ถาม:  ตั้งชื่อบริษัท ?
      ตอบ :  ชื่ออะไรก็ได้ ชอบใจลุยได้เลย จำไว้ว่าอย่าเปิดงานวันศุกร์ก็พอ เลือกเอาวันในฤกษ์พรหมประสิทธิ์ก็ได้ แต่อย่าให้ตรงกับวันศุกร์ ถ้าเกิดปีชวด ใช้วันพุธกับวันอาทิตย์ ปีชวด...วันพุธเป็นวันลาภ วันอาทิตย์เป็นวันชัย เลือกเอา
      ถาม :  เปิดงาน หมายถึงไปจดทะเบียนวันนั้น ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ เปิดโรงงานเดินเครื่องผลิตจ้ะ
      ถาม :  .........................?
      ตอบ :  ถ้าพูดถึงกุ้ง ต้องกุ้งวัดหนองบัว วัดหนองบัวที่ไปสร้างให้เขานี่ ตอนช่วงทำเสร็จ จะมีการเคลียร์พื้นที่ริมน้ำหน้าวัดให้สะอาด เพราะว่าจะเป็นลักษณะป่าริมน้ำ รกไปหมด พอเคลียร์พื้นที่สะอาด แล้วก็มีการปักธงบอกเขตวัดให้ชัดเจน เขียนประกาศเป็นเขตอภัยทาน วันนั้นไปเมาะละแหม่ง ไปเบิกเงิน พอกลับมาหลวงตาเย็นที่เฝ้าวัดอยู่ อาจารย์ครับ ชาวบ้านมาเอากุ้งไป ๒ ตัว ผมเผลอหน่อยเดียวเอง เราก็คิดในใจ กุ้งแค่ ๒ ตัว แบ่งให้กินไม่ได้หรือไงวะ...? ปรากฏว่าตอนลงไปที่ท่าน้ำ เห็นกะละมังซักผ้าอยู่ใบหนึ่ง วางกุ้งไว้ตัวเดียวเกือบเต็มกะละมัง กุ้งตัวขนาดแขนเรานี่ ก็เลยเพิ่งจะรู้ว่า กุ้ง ๒ ตัวมันสาหัสขนาดไหน ? สามตัวชั่วหนึ่ง ๑ ชั่งพม่า เท่ากับ ๓ ปอนด์อังกฤษ เพราะฉะนั้น...กุ้งตัวหนึ่งจะหนัก ๑ ปอนด์ นึกเอาแล้วกันว่า ตัวมันใหญ่แค่ไหน ?
              เพราะฉะนั้นมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่บอกว่า เขาเอาตะกั่วยัดใส่หัวกุ้ง ส่งมาขายเมืองไทยใช่ไหม ? มันยัดได้จริง ๆ ตัวมันใหญ่ขนาดนั้น เป็นกุ้งก้ามกรามธรรมดาแบบบ้านเรานี่แหละ บ้านเราอย่างเก่งก็เหลือแค่ตัวนิ้วชี้ แต่ของเขาเองเป็นแม่น้ำใหญ่ แล้วอยู่ใกล้ปากอ่าว ใกล้ทะเล อุดมสมบูรณ์ แล้วคนก็ไม่ค่อยกวน ก็เลยอยู่ยืนยง ตอนช่วงนั้น เขารับซื้อชั่งละ ๔,๐๐๐ พม่า ช่วงนี้ต้องเอา ๕ คูณเข้าไป เพราะว่าเงินพม่าตกไป ๕ เท่า ก็ราว ๆ ชั่งละสองหมื่น สองหมื่นพม่าตอนนี้ก็ไม่ถึงพันไทย เพราะว่าตอนนี้ ๑,๐๐๐ ของไทยช่วงนี้ ได้ราว ๆ ๒๘,๐๐๐ ยังนับว่าถูกถ้าคิดเป็นเงินไทย แต่พม่าไม่มีปัญญาจะกินกันหรอก ตัวขนาดนั้น เลยต้องส่งมาขายเมืองไทย จะกินก็ได้ แต่เท่ากับว่ากินเงินเข้าไปดี ๆ นี่เอง (หัวเราะ) ตกลงถ้าปล่อยกุ้งอย่างนั้น ก็คุ้มนะ ตัวมันใหญ่จังเลย
              สมัยเด็ก ๆ ตามแม่น้ำลำคลองของเรา ที่ไปงม ๆ อย่างเก่งก็ตัวคืบหนึ่ง พอถึงเวลาเอามาเผา ก็หดตัวประมาณกำปั้น โอ้โห...แต่ว่าตัวขนาดนี้เห็นแล้วนึกไม่ออกเลยว่า จะกินมันอย่างไร? มีแต่คนแถวหนองบัวที่ตกกุ้งเป็น เพราะว่าบอกวิธีการเขาไว้ บ้านอื่นตกไม่เป็นหรอก ต้องดำลงไปงมเอา คนดำน้ำไปไล่กุ้งใต้น้ำ จะไปเห็นอะไร ? กุ้งเวลาอยู่ในน้ำอย่างเก่งก็เห็นลูกตามันดำ ๆ หน่อยหนึ่ง เพราะว่าสีจะกลืนกับน้ำ เด็ก ๆ ใครเคยตกกุ้งบ้าง ?
              อันดับแรก ต้องเข็มหมุดตัวหนึ่ง เอาเข็มหมุดมาลนไฟ ดัดงอ ๆ แล้วก็หาเชือกว่าวมาควั่น สมัยนี้เด็กฟั่นเชือกกันไม่เป็นแล้ว อย่างเก่งก็เอามาเส้นเดียวแหละ เส้นเดียวไม่เหนียวพอ แล้วก็ไปหามะพร้าวทึนทึก ทึนทึกมันต้องค้าง (หัวเราะ) ประเภทสาวทึนทึก ไม่ได้แต่งงาน มะพร้าวทึนทึกก็เหมือนกัน คือมันแก่ เอามะพร้าวแก่ หั่นเป็นชิ้น โตหน่อยเท่านิ้วมือก็ได้ แล้วก็เผาไฟ กลิ่นจะออกหอมเลย เสร็จแล้วก็เกี่ยวเอาตะขอหย่อนลงน้ำไป เดี๋ยวกุ้งก็มากิน ตอนกุ้งมากิน มันจะใช้ก้ามสองข้างจับอยู่ ก็จะมีการดึงก็จะไหว ๆ เราจะรู้ ค่อย ๆ ดึงขึ้นมา ดึงทีละนิด กระตุกหน่อย ๆ เหมือนกับว่ามีคนจะมาแย่งมันก็จะหนีบแน่นเข้า (หัวเราะ) ถ้าทำไม่เป็น อดกินนะ กระตุกหน่อย ๆ จังหวะ ตึ้ก ๆ นิดหนึ่ง มันจะรู้สึกว่ามีใครแย่ง จะหนีบให้แน่นเข้า พอดึง ๆ ขึ้นมา เห็นใกล้ ๆ น้ำ พอเห็นตัวก็รีบเอาสวิงตัก ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวมันปล่อย ตัวขนาดนั้นสงสัยใช้สวิงเบ้อเริ่ม ตกลงว่ามะพร้าวชิ้นหนึ่งนี่ตกกุ้งไปได้บานเลย
              บางคนเก่ง ๆ เขาวางเบ็ดที ๔-๕ คัน ตกกุ้งเก่งมากเลย ของเราไม่ไหวหรอก คันเดียวก็ไล่ไม่ทันแล้ว เด็กรุ่นนี้ไม่เคยตกกุ้งกันแล้ว หมดสภาพ ตอนสมัยเล็ก ๆ แถวบ้าน คือกลางวันมัวแต่ทำงานอยู่ กลางคืนเขาจะไปช้อนกุ้งกัน ช้อนกุ้งเขาจะเอาหม้อหุงข้าว หม้อหูน่ะ ผู้เชือกคล้องกับเอว แล้วน้ำก็ลึกแค่เอวบ้าง แค่อกบ้าง หม้อก็ลอยน้ำไป ถึงเวลาก็ช้อนตามหน้าดินไป กว่าจะได้กินแต่ละที ครึ่งค่อนคืนน่ะ แต่ว่ามีอาเจ๊กอยู่คนหนึ่ง แกเป็นคนจีน แกไม่ลงไปช้อนกับใครหรอก ขี้เกียจ หนาว แกก็สูบยากล้องยาของแกเป็นเหง้าไม้ไผ่ ยาวเป็นแขนเลย นั่งสูบยาของแกไปเรื่อย มองฟ้ามองดินไปเรื่อย พอได้เวลาแกจะลงไปตัก ๒-๓ ที ได้เต็มหม้อไปแล้ว คนอื่นก็จะงงมากเลย ตานี่มาทำอีท่าไหนถึงได้ มาตอนหลังแกบอกเคล็ดลับให้ จะมีดาวอยู่ดวงหนึ่ง เขาบอกว่า “ถ้าดาวดวงนี้ขึ้นเมื่อไหร่?” กุ้งจะมาออตรงน้ำไหล แกจะไปตักตรงไปปลายท่ออย่างเดียว สบายแกอยู่คนเดียว คนอื่นไล่ช้อนไปเป็นคืน ช้อนจนตะคริวจะกินก็ไม่ได้ หรือได้ก็ได้น้อย แต่ของอาเจ๊กคนนี้เล่นรอเลย นั่งสูบยาดูดาวไปเรื่อย ขึ้นเมื่อไหร่ ? ลงตัก ๒-๓ ทีเท่านั้นแหละพอ ได้เต็มหม้อเลย เรืองดิน ฟ้า อากาศ ดวงดาว สัมพันธ์กับโลกเราเยอะ โดยเฉพาะพวกสัตว์เขาจะมีปฏิกิริยากับพวกดวงดาวเร็วมาก อย่างเช่น โบราณเขาว่า “ดาวหมาหลับ เคยได้ยินไหม ?” ถ้าดาวหมาหลับขึ้นเมื่อไหร่ ? ขโมยจะย่องขึ้นบ้าน เพราะช่วงนั้นหมาจะหลับ เดินเตะผ่านจมูกยังไม่รู้เรื่องเลย
      ถาม :  ดูอย่างไร ?
      ตอบ :  เราต้องรู้จักว่า ดาวหมาเป็นอย่างไร ? สมัยก่อนต้องดูดาวหมี ดาวหมา ดาวจระเข้ ดาวโลง ดาวธง ดาวยอดมหาจุฬามณีพวกนั้น สมัยนี้เขาไม่ได้สอนเด็กกัน ถึงสอนก็กลายเป็นดาวภาษาอังกฤษไปแล้ว เขาก็เลยไม่รู้ว่า ดาวดวงไหนเป็นดวงไหน ?
              คราวนี้ดูไม่เป็นไม่เป็นไร มีวิธีทำให้หมาหลับ...! แถว ๆ อยุธยามีนักย่องเบาอยู่คนหนึ่ง ชื่อ ตาไป๊ ตาไป๊นี่เป็นสุดยอดนักย่องเบาเลย ขึ้นบ้านไหนบ้านนั้นแหละ ขนของเขาได้สบายเลย หมาจะเห่าซักแอะก็ไม่มี คราวนี้หลวงพ่อท่านรู้ว่าตาไป๊เป็นหัวขโมย แต่ไม่เคยโดนเจ้าของบ้านจับได้ แล้วเขามีจรรยาบรรณนะ ถ้าของที่ชาวบ้านใช้อยู่ จะไม่เอาของเขา ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาเก็บไว้ทำบุญ ไม่เอา ยกเว้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เหลือเฟือ ชนิดที่เก็บใส่กำปั่นไว้ จะเอาครึ่งเดียว คนย่องเบาแล้วมีจรรยาบรรณ หากินได้นาน เพราะคนโกรธก็โกรธไม่มากหรอก
              แหม...เอาไปยังอุตส่าห์เหลือให้ใช่ไหม ? คราวนี้พอตาไป๊ล้างมือในอ่างทอง เลิกแล้ว แก่แล้วย่องไม่ค่อยไหว หลวงพ่อก็ถามตาไป๊ว่า “สมัยที่ย่องเบา หมาไม่เห่าซักแอะเลย แกทำอย่างไร ?” มีคาถามียารมอะไรหือเปล่า ? บอก...ไม่มีหรอกครับ เอาเนื้อสัตว์ทอดให้มันกิน แต่...สับกัญชาลงไปเยอะ ๆ เอาเนื้อสับใส่กัญชาเยอะ ๆ ใส่ลงไปกำใหญ่ ๆ เลย ทอดให้หอม จะขึ้นบ้านไหน ทิ้งไว้ตามรั้วบ้านนั่นแหละ ทิ้งไว้ตอนเย็น ๆ ใกล้ค่ำ เดี๋ยวหมากินเสร็จ ก็หัวทิ่มพื้นอยู่ตรงนั่นแหละ มันเมา คราวนี้ลากหางรอบบ้านก็ไม่ลุกหรอก คือมันรู้ตัวนะ แต่มันไม่ลืมตาตื่นหรอก ไม่กระดิกกระเดี้ยเลยแหละ มันเมา
              เรื่องนี้จำไม่ได้ว่าวัดอะไร ? แถว ๆ อยุธยาเหมือนกัน เจอแกงปลาใส่กัญชาเข้าไป คือในสระของวัดมีปลาอยู่ที่เรียกว่า “ปลาค้างปี” เพราว่าสระวัดจะไม่มีคนวิดน้ำ วันหนึ่งปลาช่อนไม่รู้เป็นอะไรตาย ตัวเบ้อเริ่มเลย ขนาดขาอ่อนลอยขึ้นมา เด็กวัดก็ถามหลวงพ่อ ๆ ทำอย่างไร ? หลวงพ่อก็เออ..ตายแล้วก็เอาไปกินสิวะ เด็กวัดก็ช่วยกันทำ ทำความสะอาดขอดเสร็จ ก็ตำน้ำพริกแกง หลวงพ่อเดินผ่านมอง ๆ บอก...ถ้าใส่กัญชาซักหน่อยจะอร่อย เด็กวัดก็เลยจัดแจงไปท้ายวัดโน่น เก็บกัญชา พวกขี้ยาไปดูดกัญชากันแถวท้ายวัด แถวป่าช้า แล้วเม็ดกัญชาหล่นอยู่ ขึ้นเป็นดงเลย เด็กวัดก็เออ...หลวงพ่อบอก ถ้าใส่หน่อยจะอร่อย เลยหอบมาเป็นหอบเลย
              ปรากฏว่าตอนมื้อเพล แกงปลาใส่กัญชา กินชนิดแหกหม้อแหกไหกันเลย จำไว้เลยนะ กัญชาจริง ๆ มีประโยชน์ ถ้าหากว่าใส่อาหารในระดับที่พอดี จะอร่อยเป็นพิเศษเลย กินกันชนิดคดข้าวลงไปเช็ดหม้อกันเลย นึกกันออกไหม ? ไม่มีน้ำจะให้ซด แล้ว ต้องเอาลงไปเช็ดก้นหม้อพอกินเสร็จก็หัวไถพื้นกันหมด เมา...! ก็บอกแล้วว่าใส่หน่อยจะอร่อย เล่นเอามาหอบเบื้อเริ่มเลย
              คราวนี้ชาวบ้านจะทำบุญขึ้นวัดไปถึงเจ้าอาวาสหงายแผ่ กรนครอก ๆ อยู่ จับขาเขย่า หลวงพ่อ ๆ จะมายืมถ้วยชาม...เออหลวงพ่อจะยืมโต๊ะหมู่...เออ ได้แค่นั้นแหละ กว่าจะลุกได้ ๓ วัน ลองดูบ้างไหม ? (หัวเราะ) เขาใส่กันนิดหน่อยนะ ถ้าแกงหม้อใหญ่ ก็กำมือเดียว แหม...ใส่หน่อยจะอร่อย ใส่เป็นหอบเลย กัญชาถ้าหากว่าคนรู้จักบันยะบันยัง จริง ๆ แล้วมีประโยชน์ไม่น่าจะเป็นยาเสพติดหรอก เป็นยาเสพติดตอนที่คนไม่รู้จักบันยะบันยัง สูบไปเรื่อย ถ้าพอเหมาะพอดี โอ๊ย...คนดูดกัญชาอารมณ์ดีจะตาย นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว
              สมัยก่อนทำงานอยู่โรงงานไทยญี่ปุ่นเมทัลอุตสาหกรรม จำไม่ได้ว่า ปี ๑๗ หรือ ๑๙ พวกคนงานเป็นพัน ๆ พอเลิกงานก็ไปนั่งยำกัญชา เราก็ไปนั่งมอง เดี๋ยวมันดูดกัญชาซักพักหนึ่ง แล้วก็นั่งหัวเราะกัน เราก็หัวเราะไปกับเขาด้วย ไปนั่งดูก็ได้กลิ่นไปด้วย เรียบร้อย...! (หัวเราะ) แต่ว่าพวกกัญชานี่จะอยากกินของหวาน คอแห้ง กินน้ำเท่าไหร่ไม่อิ่มหรอก ต้องกินของหวาน
              พูดถึงหลวงพ่อเจ้าคุณธรรมปาหังสนาจารย์ วัดประยูรวงศ์ ระดับอาจารย์ของหลวงพ่อเอง องค์นี้สุดยอดเลย เป็นเสือเก่ามาบวช คราวนี้เขานิมนต์ไปเทศน์ทางอยุธยา ปรากฏว่าเจ้าภาพเขาส่งเรือแจวมารับ คนแจวเรือติดกัญชา แจวอืด ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง ไปนิ่มมากเลย แจว ๆ ไปหน่อยหนึ่ง ก็รามือไปนั่งสับกัญชา หลวงพ่อก็ถาม “เมื่อไหร่จะถึงวะ ?” เดี๋ยวครับ ๆ อัดสตรีมก่อน ปรากฏว่าเรือก็ลอยตามน้ำไปสิ กว่าจะอัดสตรีมของมันเสร็จ เรือลอยตามน้ำไปไกลลิบเลย แต่พอดูดแล้วมีแรง ก็แจวพรึบ ๆ มา พอเลยที่เก่าไปได้หน่อยหนึ่ง สตรีมหมด เริ่มอัดใหม่ (หัวเราะ) แล้วอีกกี่ชาติจะถึงล่ะ ? เจ้าคุณธรรมปาหังสณาจารย์บอก แหม...โกรธ ตอนนั้นยอมรับจริง ๆ ว่าโกรธ กูจะไปทันเพลไหมนี่ ? เลยถามคนดูดกัญชาว่า “บ้านเอ็งอยู่แถวนี้ใช่ไหม ?” บอก “ใช่” เคยรู้จักเสือบุญไหมวะ ? บอกโอ๊ย...รู้จักดี ไอ้นี่ร้ายมากเลย ลูกเล็กเด็กแดงถ้าขัดขืนไม่ยอมให้ของ มันฆ่าหมด แล้วกลัวไหม ? กลัวคับ มึงจำเสือบุญได้ไหมวะ ? โอ๊ย...จำได้ครับ ตำหนิชัดเลย มีตำหนิด้วยหรือ ? มีครับ มีแผลเป็นที่หน้าผาก โดนดาบมา ท่านเจ้าคุณก็ยื่นหน้าไปใกล้ ๆ ไหนมึงดูหน้ากูสิ ว่าใช่หรือเปล่า ? (หัวเราะ) คนแจวเรือพอเห็น มืออ่อนตีนอ่อนอยู่ตรงนั้นเลย ท่านก็ตวาด “ถ้ากูไปไม่ทันเพล วันนี้ มึงตาย...!” โอ้โห...แจวเรือชนิดติดปีกเลย ไปถึงทันเพลจริง ๆ หอบซีกโครงบานอยู่ตีนบันไดวัดโน่น อะไร ๆ ก็สู้ชื่อเสียงของเสือไม่ได้เหมือนกันนะ นั่นขนาดบวชเป็นเจ้าคุณแล้วนะ ชื่อเสียงยังเลื่องลืออยู่ขนาดนั้น
              สมัยก่อนกฎหมายนี่ ถ้าหากว่าไปบวชแล้ว เขาถือว่าเจ๊ากันไป คือจะไม่ลงโทษ เลยมีเสือดัง ๆ หลายรายที่หนีไปบวช อย่างหลวงพ่อหรุ่นเก้ายอด วัดอัมพวัน นั่นต้นตำรับสักเก้ายอด ลูกศิษย์ท่านใครสักไปนี่ หนังเหนียวหมด ตีกับใครสบาย ไม่เคยมีแมลงวันได้กินเลือด ลักษณะนั้นแหละ เสือหรุ่นจริง ๆ ก็เป็นคนพื้นเพอยุธยานั่นแหละ แต่ว่าโดนเขาแกล้ง ความจริงแกเป็นกำนัน แล้วโดนเขากลั่นแกล้ง ถึงเวลาคุมพวกออกปล้น แล้วก็ตะโกนบอกว่า “เสือหรุ่นปล้น” กำหนันหรุ่นก็เจ๊งน่ะสิ เขาปลดแกออกไม่พอยังจะจับเข้าคุกด้วย ก็ต้องหนี หนีไปหนีมา ลำบากมาก ๆ เข้า ก็เลยปล้นจริง ๆ ปล้นจนคนเดือดร้อนกันไปทั้งอำเภอทั้งจังหวัดแล้ว ทางด้านตำรวจเลยต้องไปตกลงกัน ถ้าหากว่ายอมมอบตัว จะให้อภัย แล้วจะแต่งตั้งให้เป็นกำนันตามเดิม เสือหรุ่นก็จะไปมอบตัว ปรากฏว่านายอำเภอคู่ปรับไม่อยากให้มอบตัว เพราะว่าถ้ามอบตัวเมื่อไหร่ ? เดี๋ยวความแตก เพราะนายอำเภอโกงกินไว้เยอะแล้วเสือหรุ่นรู้ เลยใช้คนไปดักยิง เสือหรุ่นคิดว่าโดนหักหลัง เลยหนีเตลิด แล้วก็ไปปล้นเขาอีก กว่าจะล้างมือก็หลายปี หนีมาบวชที่กรุงเทพฯ
              สมัยก่อนกรุงเทพฯ นี่เป็นป่าดี ๆ นะ ไม่ต้องถึงสมัยเสือหรุ่น สมัยอาตมาฝั่งธนบุรีนี่ป่าเลย สวนรกไปหมด บ้านยายนี่แบกลูกซองเข้าไปในสวน ไล่ยิงลูกฟักข้าวเล่น ฟักข้าวเป็นไม้เถา ๆ เลื้อย แล้วก็มีลูกอ่อนนอย่างกับทุเรียนลูกเล็ก ๆ เป็นหนาม ๆ ถ้าลูกอ่อนแกงส้มกินก็อร่อย จิ้มน้ำพริกก็อร่อย เราเล็งแต่ลูกแก่ ๆ สีสดดี ถ้าไม่ส้มแปร๊ดเลย ก็สีแดงเลย ตอนเรียนทหารจบ คว้าลูกซองเปิดหน้าต่างออกไป กลายเป็นตึกแถว (หัวเราะ) ถ้ายิงอีกคราวนี้ติดคุกหัวโตแน่เลย
              สมัยก่อนกรุงเทพฯ ยังเป็นป่าเป็นดงอยู่ ถนนที่กว้างที่สุด คือถนนราชดำเนิน เสือหรุ่นก็หนีมาบวชที่วัดอัมพวัน ปัจจุบันสาบสูญไปแล้ววัดอัมพวัน ไม่รู้เปลี่ยนเป็นวัดอะไร ? หรือว่ากลายเป็นวัดร้างแล้วก็ไม่รู้ ? คราวนี้ความที่แกเป็นเสือชื่อดังมาก่อน มีวิชา พวกลูกศิษย์ลูกหาก็มาขึ้นเยอะ ก็เลยสักยันต์เก้ายอดให้เขา สมัยก่อนนักเลงนี่ข้ามถิ่นกันไมได้หรอก เขาต้องลองของกัน ไปไหนถ้าหากว่าไม่ถือตะพดไป ไม่ถือดาบไป ถือว่าหนังดี อยากลอง...! คนสมัยก่อน ไม่ใช่นักเลงนะ ที่ถือไม้ถือมีดติดมือไป เพื่อให้คนอื่นไม่มาตีกบาล หรือไม่มาฟันกบาลตัวเอง เพราะถ้าไม่ถือติดไป ถือว่าของดี อยากลอง...! เขาลองกันจริง ๆ ตีกันชนิดร่วงล้มทั้งยืน ประเภทตีอย่างไรให้ร่วงแบบกบกระโดด ตะครุบหัวทิ่มปั๊บ...เงียบไปเลย ? หรือตีอย่างไรให้หมุนเป็นกงจักรไปเลย ? เขามีวิธี สอนให้ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพวกนี้ไปตีเขา จริง ๆ เขามีวิธีตี หัวทิ่มพื้นฟุบไปเลยอย่างนั้น คราวนี้เสือหรุ่นดัง ทางการก็ลำบากใจ เพราะว่ากลัวบรรดาลูกศิษย์ลูกหาจะอาละวาดหนักหนา เลยต้องกำชับลูกศิษย์ ถ้าหากว่าใครสักยันต์ไปแล้ว ห้ามไปรังแกคนอื่นเขา ยกเว้นว่าเขามาทำร้ายก่อน แล้วค่อยสู้
              คนสมัยก่อนเขามีสัจจะนะ ถ้ารับปากไปแล้วต้องทำถ้าไม่ทำเดี๋ยววิชาจะเสื่อม เพราะครูบาอาจารย์แช่งเอาไว้ เพราะฉะนั้น…คนสมัยก่อนถึงได้ว่า ทำของขึ้น เล่นของได้ขึ้น เพราะว่าเขามีสัจจะ เชื่อถือครูบาอาจารย์อยู่ คนไหนไม่มีสัจจะ เขาว่าพระไม่คุ้ม พระไม่คุ้มนี่ ไปไหนโดนของหนักเข้า ไม่เละเลย ก็ยุ่ยอยู่ตรงนั้น รุ่นพ่อของใครยังทัน ประเภทถือไม้เท้าหัวเลี่ยมตะกั่ว หัวเลี่ยมทองแดง จะมีอยู่ ถึงเวลาไปไหนต้องเอาไปด้วย ไม่ได้เอาไปยืดอะไรมากมายหรอก ถือให้เขารู้ว่า กูยังกลัวเขาอยู่(หัวเราะ) กูมีอาวุธป้องกันตัว ถ้าหากว่าไม่มี ข้ามถิ่นเมื่อไหร่? โดนเมื่อนั้นแหละ
              เรื่องข้ามถิ่นแล้วโดน มีอยู่เรื่องหนึ่ง คือ วันหนึ่งหลวงพ่อท่านเล่าเรื่อง “คาถาหัวใจปลาไหลเผือก”ท่านบอกว่า “หัวใจปลาไหลเผือก เอาไว้สำหรับหนีเขา” ถ้าหากว่าปลุกคาถานี้ขึ้นแล้ว ต่อให้เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ ผู้ใหญ่ ๗-๘ คนจับไม่อยู่หรอก หลวงพ่อท่านก็เคยลองให้เด็กประมาณอายุซัก ๕-๖ ขวบ มานั่งปลุกคาถาอยู่ เด็กใจบริสุทธิ์นี่บอกให้ปลุกก็ปลุกพักเดียวของก็ขึ้น พอของขึ้น ผู้ใหญ่ ๔-๕ คนไล่จับ จับไม่อยู่ ตัวลื่นเหมือนอย่างกับทาน้ำมัน รอดไปเรื่อย เลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อครับ ผมขอ” หลวงพ่อท่านบอก “ไม่ให้ว่ะ” ครั้งเดียวในชีวิตนะ ที่ขอคาถาถาหลวงพ่อแล้วไม่ให้ ท่านบอก “ลูกข้าหนีเขา ขายหน้าหมด มันต้องสู้” บังคับให้สู้ด้วยนะ ห้ามหนี ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นจะเอาคาถาอะไรครับ?” ท่านบอก “เอาคาถาหัวใจหนุมานแล้วกัน” ท่านบอกว่า “หัวใจหนุมาน ถ้าหากว่าใครเขาตี หรือว่าทำร้ายร่างกายของเรา ถ้าหากว่าซ้ำเมื่อไหร่ ? จะเหมือนกับประเภทกินยาโด๊ป ถ้าซ้ำเมื่อไหร่ ? จะพลิกฟื้นขึ้นมาเหมือนหนุมานโดนลมอย่างนั้น” แล้วคราวนี้ก็ทั้งไวทั้งเหนียว ทั้งหนัก คนอื่นจะตี จะทำร้ายเท่าไหร่? ไม่มีถูกหรอก มีแต่อัดเขาอยู่ฝ่ายเดียว ในชีวิตหลวงพ่อท่านบอก “เคยเห็นอยู่สองครั้ง” ครั้งแรกตอนนั้นหลวงพ่อท่านกำลังเรียนพวกแพทย์แผนโบราณอยู่ หลวงพ่อที่ท่านต้องไปเป็นทหารเรือ เพราะว่าญาติ ๆ ทุกคน ถ้าไม่เป็นทหาร ก็ไปเป็นตำรวจ ในเมื่อคนอื่นเขาเป็นทหาร เป็นตำรวจหมด หลวงพ่อท่านประเภทรูปหล่อสาวติด ท่านก็เลยเลี่ยงไปเรียนแพทย์แผนโบราณ จะได้ไม่ต้องเป็นทหารหรือตำรวจ ปรากฏว่าพอเรียนจบ คุณน้า คุณหลวงสุวิชาญแพทย์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ถามว่า “เฮ้ย...ไอ้เล็ก จบแล้วหรือวะ?” “จบแล้วครับ” “ดี...เก็บผ้าเก็บผ่อนได้ พรุ่งนี้ไปรายงานตัวที่กรมแพทย์” (หัวเราะ)ซวยไปเลย ขนาดหนีไปเป็นหมอแผนโบราณแล้ว ยังโดนนะ เพราะลืมไปว่า คุณน้าเป็นเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ โดนจนได้ บรรจุเป็นเรือตรี
              คราวนี้ตอนที่ท่านเรียนอยู่ ท่านบอกว่า “มีอยู่วันหนึ่งอาจารย์ที่เป็นหมอแผนโบราณ ส่งลูกศิษย์คนหนึ่ง ให้ไปเก็บค่าครูจากกำนันอิทธิพล อยู่แถว ๆ บางระมาด ตลิ่งชัน อาจารย์เขารักษากำนันคนนี้หายแล้ว แต่ว่ากำนันไม่ยอมจ่ายค่าครู ผัดผ่อนไปเรื่อย” สมัยก่อนถ้าหากว่าไม่จ่ายค่าครู ปกติจะไม่รักษาเลย แต่กำนันมีอิทธิพลมาก คุณหมอต้องยอมอนุโลมรักษาให้ก่อน เพราะบอกว่า “หายแล้วจะจ่ายค่าครูให้” แต่ทวงกี่ที ๆ ไม่ให้ ถ้าหากว่าไม่ได้ค่าครูนี่ เขาบอกว่า “ความป่วยของคนไข้จะเข้าตัวหมอเอง” อย่างไรอาจารย์ก็จะต้องทวงค่าครูให้ได้ เลยส่งลูกศิษย์คนหนึ่งไป หลวงพ่อท่านก็ย่องๆ ตามไปดู เพราะรู้ว่ากำนันอิทธิพลสันดานเสีย วันนี้อย่างไรถ้าไปคนเดียว ต้องโดนลูกน้องยำเละแน่เลย ก็ย่องไปดู ปรากฎว่า...จริง ๆ พอตะโกนเรียก กำนันแทนที่จะลงมาจ่ายค่าครูให้ เปล่าหรอก สั่งลูกน้องลงมา ๔-๕ คนช่วยกันตี
              สมัยก่อนชอบใช้คมแฝกกัน ถ้าไม่คมแฝกก็ประเภทไผ่ตันเลี่ยมหัวตะกั่วหนักมากเลย ตีทีเดียวกระเด็นติดรั้วเลย พออีกคนกระโดดซ้ำ คราวนี้แทนที่จะหมอบกระแต เปล่าหรอก พลิกตัวหลุดจากรั้วมาได้ ถอนเสารั้วมาด้วย ตีกระจายเลย (หัวเราะ) คราวนี้ลูกน้องกำนันมีกี่คนเข้าไปเถอะ ตีเขาไม่ถูกไม่พอ โดนเขาตีหมอบหมด กำนันเลยต้องยอมจ่ายค่าครูให้ไม่อย่างนั้น...ตัวเองจะต้องหมอบไปด้วย พอถึงเวลากลับมา หลวงพ่อเลยเข้าไปถามว่า “มีอะไรดี?” เขาบอก “มีคาถาหัวใจหนุมาน”
              คาถาหัวใจหนุมาน ถ้าหากว่าโดนตีทีเดียวนะ ถ้าไม่ซ้ำหมอบกระแตเลย กว่าจะฟื้นก็น้ำค้างตก กว่าน้ำค้างตกก็คงเลยเที่ยงคืนไปหน่อย ๆ (หัวเราะ) แต่ถ้าซ้ำเมื่อไหร่ ? จะติดไม้ขึ้นมาเลย คราวนี้ทั้งไวทั้งหนัก คนอื่นทำอะไรไม่ถูกหรอก เร็วกว่าลิงอีกอย่างนั้น
              ส่วนอีกครั้งหนึ่งตอนนั้นท่านขึ้นจากเรือมาแล้ว เรือหลวงธนบุรีโดนฝรั่งเศสถล่มจมที่เกาะช้าง ไม่มีเรือจะอยู่ ขึ้นจากเรือมาแล้ว ทางตำรวจก็ขอตัวให้ไปช่วยปราบพวกผู้ร้าย เสือปล้นดังๆ ที่หนังเหนียว เพราะว่าพวกหลวงพ่อนี่ หนังเหนียวเท่าไหร่ก็ยิงออก เขาให้ไปล่าพวกโจรทางสุพรรณบุรี ตอนนั้นชุมโจรทางสุพรรณดังมากเลย โดยเฉพาะพวกหัวๆ นี่มีเกิน ๓๐ คน ตัวใหญ่สุดก็คือ เสือฝ้าย รองลงไปก็พวกเสือใบ เสือดำ เสือมเหศวร แล้วแต่ละคนยังมีมือรองๆ ลงไปอีก กินแดนตั้งแต่นครปฐม สุพรรณ ชัยนาท แถวนั้นดงโจรเลย ถ้าหากว่าตำรวจเข้าไปเมื่อไหร่? ก็ตายแหงอย่างเดียวเลย เลยต้องส่งหลวงพ่อที่เป็นทหารเข้าไป เพื่อสืบหาความ ท่านบอกว่า “วันนั้นท่านไปฝนตก ก็เลยหลบเข้าไปร้านกาแฟ กาแฟสมัยก่อนที่ชงด้วยถุงนั่นแหละ
              ปรากฏว่ามีเจ้าถิ่นอยู่ ๓-๔ คน ประเภทเมาตาขวางอยู่แล้ว กินเหล้ากันแต่หัววันเลย หลวงพ่อไปกัน ๓ คน มันก็ไม่กล้ายุ่งใช่ไหม? มันก็ได้แต่เมาเอะอะโวยวายอยู่นั่นแหละ ปรากฏว่ามีคนต่างถิ่นคนหนึ่งเดินตากฝนมา หนาวก็เลยหลบเข้าไปในร้าน สั่งเหล้าเป๊กหนึ่งกินแก้หนาว” เหล้าสมัยก่อนเขาใส่ถ้วยตะไลเล็ก ๆ ถ้วยนี่จะครอบปากขวดได้พอดีเทเหล้าแก้วหนึ่ง เขาเรียก “เป๊กหนึ่ง” สมัยก่อนส่วนใหญ่เขากินเพื่อสุขภาพ เขาไม่ได้กินเอาเมา เขากินแก้หนาว คราวนี้ ๓ คน ก็ไม่กล้ายุ่ง นี่มาคนเดียวเลยได้เรื่อง มันก็หาเรื่องเขาก่อน ประเภทตะโกนด่า ท้าทายเขาก่อน หนุ่มคนนั้นเขาก็ไม่ยุ่งด้วยหรอก เขาจ่ายเงินค่าเหล้าของเขาเสร็จ เขาก็เดินออก ยอมเปียกฝนไปดีกว่า เรื่องอะไรจะไปตีกับอันธพาลใช่ไหม? ปรากฏว่าเจ้า ๓ คนคว้าตะพดไล่ตาม หลวงพ่อก็เลยต้องตามไปดูกัน พอคนหน้าวิ่งตามทัน มันตีข้างหลังปังเดียวเท่านั้นแหละ ประเภทหัวทิ่มพื้นไปเลย เหมือนอย่างกับคนตายเลย นิ่งสนิทเลย หน้าคว่ำพื้นอยู่ อีกคนตามไปถึง อยู่ว่าง ๆ ไม่ได้ ตีซ้ำ พอตีซ้ำ คนที่นอนสลบเหมือนอย่างกับตายอยู่กับพื้น เด้งติดขึ้นมาเลย หันหน้าชนกัน พอกลับหันหลังเดินไป คนตีก็ทรุดลงกับพื้น พวกก็แปลกใจ พลิกขึ้นมาดู ตายสนิทไปแล้ว โดนแทง ๙ รู ตั้งแต่สะดือถึงคอหอยไม่รู้ชักมีดแทงตอนไหน? เร็วจนมองไม่เห็นเลย เร็วขนาดนั้น นั่นยังดีนะเขาเล่นคนตีคนเดียว ถ้าจะเอาหมด อีก ๒ คนก็ตายด้วย
              หลวงพ่อท่านเลยต้องอ้อมไปดักทาง เพราะเห็นเขาเดินออกนอกทางหมู่บ้าน อ้อมไปดักทาง เพราะเห็นเขาเดินออกนอกทางหมู่บ้าน อ้อมไปดักทางเพราะรู้ว่าไม่ใช่คนบ้านนี้ ถ้าหากว่าเป็นคนบ้านนี้ คงไม่ทำเขาถึงตาย แล้วขณะเดียวกันคงไม่มีธุระในหมู่บ้านนี้ เลยไปดักนอกหมู่บ้าน ก็ไปเจอกันหลวงพ่อก็ถามว่า “มีอะไรดี?” เขาบอก “คาถาหัวใจหนุมาน” หลวงพ่อท่านบอก “ดูไม่ทันเลยนะ พอตีซ้ำ ตีใส่หลังแท้ ๆ ติดไม้ขึ้นมาเลย ไม่รู้พลิกหันหน้าไปเจอกันเมื่อไหร่ ?” ประเภทยืนจมูกชนกันอยู่ พอเขาหันหลังไปคนตีก็ทรุดลงไปกับพื้น พวกพลิกขึ้นมา โดนตั้งแต่สะดือถึงคอหอย แทงไปตั้ง ๙ รู ชักอีเหน็บแทงตอนไหนก็ไม่รู้?
              สมัยก่อนมีดเขาจะมีด้ามโค้งๆ ลักษณะเหมือนกับด้ามปืน มีรุ่นใครเคยทันเห็นบ้างไหม? เป็นมีดพกนี่แหละ แต่ด้ามเป็นแบบปืน พวกต่างจังหวัดเขาใช้กัน จะมีติดตัวอยู่เป็นปรกติเลย นั่นแหละมีดลักษณะอย่างนั้น แทงซะ ๙ รู ตายคาที่ไปเลย จะเอาไหม? คาถาหัวใจหนุมาน ถ้าเขาไม่ซ้ำ ก็นอนกองอยู่ตรงนั้นแหละ(หัวเราะ) ถ้าหากว่าจะใช้จริง ๆ ตอนเช้าปลุกให้ขึ้นก่อน จะเต้นปั๊บๆ จนกระทั่งเลิกสั่น แล้วคราวนี้จะไปไหนก็ไปเถอะ วันนั้นทั้งวันคุ้มได้หมด จำไว้นะว่า “สมัยก่อนเขาทำจริง แล้วก็มีสัจจะ เขาถึงได้ผล” สมัยของเราไม่ค่อยทำจริง แต่อยากได้ อยากได้จริง แต่ไม่ค่อยทำจริง ไม่ทำจริงก็เลยไม่ค่อยได้อะไรกัน