ถาม:  ในพระไตรปิฎกมีคำพูดถึงการดูดวงมั้ยครับ ศาสตร์ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียนรู้ถ่ายทอดเอาไว้ลักษณะนั้นน่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่มี แต่ว่ามันมีอยู่ในลักษณะที่ว่าศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์จะต้องเรียนรู้ศิลปศาสตร์ ๑๘ แขนงอะไรพวกนั้น ดูลักษณะคน ดูดวงดาวอะไรอย่างนี้ เสร็จแล้วก็เอามาประยุกต์รวมกันได้ ศิลปะศาสตร์ ๑๘ แขนงนี้ พระมหากษัตริย์จะต้องศึกษา
              ส่วนใหญ่บรรดาผู้ที่เป็นเจ้าชายจะโดนบังคับให้เรียน มีทั้งประเภทขี่ม้า ฟันดาบ ยิงธนู ไล่ไปเรื่อย แต่มันมีแปลก ๆ มันมีวิชาบางอย่างที่เรียกว่า ตัชชารี มันเหมือนอภิญญาเลย แต่ว่ามันเป็นลักษณะการเล่นกลบังตา ทำได้เหมือน ๆ กับอภิญญา แต่มันไม่ใช่อำนาจของอภิญญา มีการทายใจคนได้อะไรได้ลักษณะเดียวกันกับเจโตปริยญาณเคยไปดูมั้ย ? อับดุล ประเภทนั้นแหละ ไม่น่าเชื่อว่าสมัยโบราณมาจนปัจจุบันวิชานี้มันก็ยังมาเรื่อย ๆ แต่ระยะหลังนี่มันไม่เก่งจริง มันต้องมีการนัดแนะอะไรกัน แต่สมัยก่อนเขาจะทำได้จริง ๆ
      ถาม :  ตอนนี้ก็แตะ ๆ จับ ๆ พระไตรปิฎกฉบับย่ออยู่ครับ ?
      ตอบ :  เอาย่อ ๆ ก่อนแล้วกัน ขนาดย่อก็อ่วมแล้ว ดูวินีตวัตถุในพระวินัยสิ จะได้รู้ที่มาของอาบัติแต่ละข้อ พอเรารู้ที่มาอย่างแท้จริง มันจะปฏิบัติได้ถูก อย่างเช่นว่า ในเรื่องของการประเคนอาหาร ที่มาที่แท้จริงก็คือว่าพระท่านไปอยู่ในป่าช้า พอคนเขาเอาอาหารไปเซ่นสรวงคนตาย พ่อเจ้าประคุณก็ฉันเลย บางคนมันสละแล้วก็แล้วไป แต่บางคนมันย้อนกลับมาจะเอาคืน แล้วข้าวของก็โดนพระฉันไปแล้ว เขาก็ไปตำหนิเอา พระพุทธเจ้าท่านก็เลยต้องบัญญัติขึ้นมาว่า ต้องให้คนประเคนคือมอบให้จริง ๆ ก่อน
              มาสมัยนี้ก็เลยประเคนกันร่ำไปทั่ง ๆ ที่ของบางอย่างมันเป็นของสงฆ์ มันเป็นของเราอยู่แล้วก็ยังต้องไปให้ประเคนเผื่อเหนียวไว้ก่อน แต่ถ้าจะเอาจริง ๆ ขึ้นมาหาคนประเคนไม่ได้ ถ้าเป็นของสงฆ์ก็ฟาดไปเถอะ
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าเณรรับมาแต่ว่ารวมเป็นของสงฆ์ ก็ถือว่าเป็นของสงฆ์ด้วย ?
      ตอบ :  คือถ้าหากว่าเขาตั้งใจถวายสงฆ์มามันก็เป็นของสงฆ์ เพราะว่าที่มาแต่ละคนถือว่าเป็นของส่วนตัวก่อน
      ถาม :  .......................?
      ตอบ :  เขาใช้ปกติจนเราไม่รู้ว่าเขาใช้ ลักษณะของสมัยก่อนอย่างพวกการแสดง พวกลิเก พวกโขน พวกโนราห์ พวกอะไร เขาจะใช้ไสยศาสตร์เป็นปกติ โดยเฉพาะวงที่ประชันขันแข่งกันยิ่งใช้กันหนัก เพราะฉะนั้นบรรดานายวงจะต้องมีความรู้ รู้ทั้งผูกรู้ทั้งแก้ ไม่อย่างนั้นแย่สู้เขาไม่ได้ และก็เรื่องของการค้าขายก็เหมือนกัน มันจะอยู่ลักษณะที่ว่านั่นแหละ เสกธงปักไว้คนมองเห็นธงต้องเข้าไป หรือไม่ก็เสกกลองตีไป เสียงกลองดังได้ยินถึงใครคนนั้นต้องเข้าร้าน มันจะมีของมันอยู่ บางอันมันใช้ของอาถรรพ์อย่างเดือยงูเหลือม เคยได้ยินไม๊ ?
              งูเหลือมนี่มันไม่ใช่มีกันทุกตัวนะ มันมีบ้างไม่มีบ้าง งูเหลือมที่มีเดือยถึงเวลามันขี้เกียจ มันจะเอาเดือยไปขีดวงเอาไว้แล้วมันก็นอน สัตว์อะไรเดินเข้าไปในวงนั้นแล้วจะออกไปไม่เป็น จะอยู่ตรงนั้นรอให้มันไปกิน คราวนี้พวกชาวบ้านถ้าหากว่าจับงูเหลือมได้ ตัวมีเดือยก็ซวย เพราะอย่างน้อย ๆ แกงกินยังไม่พอ มันยึดเดือยไปด้วย แล้วมันก็จะเอาไปขีดหน้าร้านขายของ ถ้าไม่เข้าไปซื้อของมันก็อย่าหวังเลยว่าจะหลุดไปได้ แต่ว่าบางทีเคยสงสัยว่าทำไมเข้าบางร้านแล้ว เราจำเป็นต้องซื้อของมันจนได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้นึกอยากซื้อ เข้าไปแล้วก็เกิดอยากซื้อขึ้นมาเฉย ๆ มีนะ
              อย่างประเภทสถานเบาก็นางกวัก ของญี่ปุ่นเขาแมวกวัก มันจะมีของเขาอยู่ เพราะฉะนั้นไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนอะไรก็ตาม เรื่องของไสยศาสตร์มันคู่กับโลก ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์มันของคู่กัน พุทธะ แปลว่า ตื่น ไสยะ แปลว่า หลับ ดังนั้นพุทธศาสตร์เจริญแค่ไหนไสยศาสตร์ก็จะเจริญแค่นั้น เพียงแต่ว่าของเรานี้ให้มันหากินถูกต้องตามศีลตามธรรมแล้วกัน หากินถูกต้องตามศีลตามธรรมมันไม่มีปัญหา บางคนเขาก็เลยใช้คำว่า ไสยเวทกับพุทธาคม คือเขาจะแบ่งออกเป็นว่า พวกใช้พุทธศาสตร์กับพวกใช้ไสยศาสตร์ แต่จริง ๆ แล้วมันแยกกันไม่ออกหรอก
              โดยเฉพาะสายของหลวงพ่อเรานั่นแหละชัดที่สุดเลย ถ้าหากถามว่าของหลวงพ่อนี่เริ่มต้นจากอะไร ต้องบอกว่าเริ่มต้นจากไสยศาสตร์ โดยเฉพาะที่ท่านสอนอาตมานี่คาถาสารพัดสารเพเลย ตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กรุ่น ๆ อยู่โน้น ไปถึงก็ เอ้ย...ไอ้หนูคาถาบทนี้ดีนะลูก ลองไปทำดูนะ อย่างน้อยต้องภาวนาวันละครึ่งชั่วโมง และก็อย่าลืมรักษาศีลให้บริสุทธิ์ด้วย ภาวนาแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ได้อย่างนั้นได้อย่างนี้ เราก็ทำของเราไป พอได้ผลก็วิ่งโร่หน้าบานไปรายงานท่าน ท่านก็ เออ...เอาบทนี้ไปลูกลองทำดูซิจะได้ผลมั้ย ? กว่าจะรู้โดนท่านหลอกให้ก็ภาวนาจนติดแล้ว พอถึงเวลาท่านแนะนำให้เข้ามาเรื่องของสมถวิปัสสนา มันกลายเป็นของง่ายไปหมด และอีกอย่างหนึ่งเรื่องของไสยศาสตร์นี้มันเห็นผลเร็ว เห็นผลง่าย มันก็เลยทำให้มีแรงจูงใจที่อยากจะทำ ในเมื่อมันทำไปทำมามีครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ดีท่านตีกรอบเอาไว้แล้วอย่างไร เราก็ไม่หลุดออกจากกรอบนั้นแน่ พอถึงวาระถึงเวลาที่เหมาะสมท่านโยนกรรมฐานมาให้ ก็กลายเป็นของง่ายสำหรับเรา เพราะพื้นฐานมันแน่นซะแล้ว
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าใครบอกว่าสายหลวงพ่อฤๅษีมาไสยศาสตร์ รับไปเลย...ใช่เลย...คุณไม่ต้องว่าผมก็รู้เอง เพียงแต่ว่าของเรามันเอามาปรับใช้เป็น อันไหนเหมาะ อันไหนไม่เหมาะ ควรไม่ควรอย่างไร มีคาถาบางบทตั้งแต่ได้มาไม่เคยใช้เลย เพราะว่ามันไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจจะจำเป็นสำหรับคนอื่น กระทั่งพวกสีผึ้งหลวงพ่อ
              สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกว่า เวลาข้าไปเจรจาเพื่อให้คนเขาบริจาคสร้างอันโน้นสร้างอันนี้ ข้าก็ใช้สีผึ้งนี่แหละ ถ้าพูดขอเขาเท่าไหร่เขาก็จะให้เท่านั้น แต่เราต้องรู้ขนาดหลวงพ่อนะ รู้ว่าเขามีให้ ให้แล้วเขาไม่เดือดร้อน ถ้าอย่างนั้นน่ะได้ไม่ใช่ว่าส่งเดชไปเรื่อย แล้วอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าเรามันไม่เห็นความจำเป็นตรงจุดนั้น ของหลวงพ่อนั้นงานพระท่านสั่งท่านถึงทำ แต่ของเรานี่ถ้ามีเงินเมื่อไหร่เราต้องทำ เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรจะมีให้มันเหนื่อย ก็เลยประเภทนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่ทุกวันนี้ ใครให้ไม่ให้เรื่องของมันไม่เกี่ยวกับข้า ยิ่งให้ข้าก็ยิ่งเหนื่อย มันก็เลยไม่มีความจำเป็นที่ต้องไปใช้ แต่ว่าสำหรับญาติโยมที่ทำมาหากินอยู่อะไรอยู่เรื่องนี้มันจำเป็น ในเมื่อมันจำเป็นก็เลย เออ...มันน่าจะมีสี สีผึ้งเขามีคาถากำกับมีอะไรด้วย ถ้าหากว่าใช้กับคนที่อายุมากกว่าอาวุโสกว่าให้ใช้สีด้วยนิ้วโป้ง ถ้าเสมอกันให้ใช้นิ้วชี้ ถ้าอ่อนกว่าให้ใช้นิ้วกลาง อะไรอย่างนี้
              แล้วอย่างเจ้าตู่มันเล่นประเภทที่ว่าจีบสาวแข่งกันเพื่อนมันก็ใช้ สมัยก่อนมันน่าเตะมั้ยล่ะ ? ตอนนี้แรดมากเลยสึกไปแล้ว มีการมารายงานอีก ผมขอครั้งเดียวครับ บอก...เอ็งขอหลายครั้งก็เจอตีน ขนาดจีบสาวมันยังใช้ มันบอกว่าประเภทเพื่อนเขามั่นใจว่ายังไง ๆ ก็เสร็จเขาแน่ไม่เปลี่ยนใจหรอก ผมก็เลยอยากลองดูว่ามันจะเปลี่ยนมั้ย ? ไม่ควรทำ ของพรรค์นี้มันจะอยู่ในลักษณะที่เรียกว่าอย่างน้อย ๆ ต้องมีมโนธรรม
              อย่างเช่นว่า หมอเสน่ห์สมัยก่อนเวลาเขาทำเสน่ห์เล่ห์กลให้คนรักกันอะไรกันนี่ เขาบังคับเลยว่าต้องเลี้ยงดูเขา ทอดทิ้งไม่ได้ ทิ้งขว้างไม่ได้เด็ดขาดเลย แสดงว่าคนเขาก็มีจรรยาบรรณของเขาอยู่ สมัยนี้มันไม่ค่อยมี มันมีวิธีการอะไรบางอย่างมันเหมือนอย่างกับว่าชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ได้เลย
              เมื่อพรรษาที่แล้วทางวัดท่าขนุน ท่านเจ้าคุณรองจังหวัดวัดท่ามะขาม ท่านสั่งให้ตั้งสำนักบาลีวัดท่าขนุน ท่านให้ไปขออนุญาตเจ้าคณะจังหวัดเอง อาจารย์สมพงษ์แกก็สั่นนะสิ ไม่รู้จะโดนตีนหรือเปล่า ก็เลยไปกับแกด้วย ถามอาจารย์สมพงษ์ว่าคุณจะเอาแบบไหน ? ประเภทให้แกด่าเช็ดมาเลยมั้ย หรือเอาแค่หอมปากหอมคอ หรือว่าให้อนุญาตแต่โดยดีไม่มีปากไม่มีเสียงเลย ผมทำได้ อาจารย์สมพงษ์บอก ก็แล้วแต่อาจารย์จะเมตตาแล้วกัน เราก็บอก เออ ถ้าหากว่าแล้วแต่ผมจะเมตตา ผมก็เอาประเภทง่ายที่สุดคือไปถึงให้ท่านพยักหน้าอนุญาตโดยไม่ต้องว่าอะไรเลย พอถึงเวลาเราไปรายงานเสร็จ ท่านก็เออ ๆ อนุญาตให้ทำได้เลยไม่ต้องขอก็ได้ ก็บอกอาจารย์สมพงษ์ว่า ถ้าวันไหนคุณมั่นใจในตัวเองว่ามีกำลังใจมั่นคงพอ ไม่เคลื่อนไปตามอำนาจของโลกธรรมใน รัก โลภ โกรธ หลง อะไรต่าง ๆ แล้ว คุณต้องการวิธีการผมจะสอนให้ ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าคนเอาไปใช้ผิดมันจะน่ากลัวมาก พูดอย่างไรคนอื่นจะมีแต่ตามเราอย่างเดียว เราต้องการอย่างไรเขาจะตามใจอย่างเดียว จะไม่มีการปฏิเสธ น่ากลัว
              เพราะฉะนั้นของเรามันควรจะอยู่ในระดับที่เรียกว่า จะต้องรักษากำลังใจตัวเองให้ได้ในระดับหนึ่งถึงสมควรที่จะศึกษา เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่เหมือนกับดาบ ๒ คม ถ้าใช้ผิดมันจะเป็นโทษ แต่ถ้าใช้ถูกมันก็มีคุณ ศึกษามันไม่เสียหลายหรอก แต่ขณะเดียวกันถ้าไปหลงงมงายอยู่กับมันก็เสียเวลาปฏิบัติ
      ถาม :  หลวงพ่อคะ เมตตาเทศน์เรื่องเมื่อวานอย่างละเอียดอีกครั้งค่ะ ฟังไม่ทัน ?
      ตอบ :  ทวนไม่ไหวหรอกเหนื่อย
      ถาม :  เอาย่อ ๆ ก็ได้ค่ะ ?
      ตอบ :  ย่อก็ไม่ไหว คือถ้าเอามันต้องละเอียดอย่างที่ว่า เพราะว่าถ้าหากว่าย่อบางจุดคนก็จะข้ามไป และอีกอย่างก็พอทำ ๆ ไปถึงจุดหนึ่งมันเหมือนกับโลกมันตีลังกากลับ ของที่ไม่ดีมันกลายเป็นของดีไปหมด ทุกข์จะแทบเป็นแทบตายอยู่ โอ้โห...มันกลายเป็นของวิเศษยิ่งกว่าดวงแก้วมณีโชติอีก ทุกข์มันดีตรงไหน ดีจริง ๆ ดีอย่างมหาศาลเลย อย่าลืมว่าทุกข์ต้องมีปัญญาของมหาบุรุษขนาดพระพุทธเจ้าถึงจะมองเห็นมัน ขวนขวายกันทั้งชีวิตเพื่อจะได้เห็นทุกข์ เพื่อจะได้หาสาเหตุของทุกข์ให้เจอ จะได้หยุดสาเหตุนั้นเพื่อเป็นการดับทุกข์
              ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าเราเห็น ๆ อยู่แล้ว หาซื้อด้วยเงินเท่าไหร่ก็ไม่ได้ แล้วของอย่างนี้มันมีค่าหรือไร้ค่า มันกลายเป็นของดีไปได้อย่างไร ไม่น่าเชื่อนะ ทำไปเถอะพอถึงระดับหนึ่งแล้วโลกมันพลิกกลับเลย ทุกอย่างมันดีหมด เมื่อตอนกลางวันถึงได้บอกว่า อะไรสำหรับอาตมาปัจจุบันนี้มันดีอย่างเดียว เขม่นตาซ้ายลาภใหญ่มา เขม่นตาขวาลาภใหญ่ยิ่งกว่านั้นก็จะมา อะไรอย่างนี้ มันไม่มีเสียเลย พอมาถึงตรงจุดนี้แล้วอะไร ๆ มันดีหมด
      ถาม :  มันขึ้นอยู่กับการคิดให้เป็นด้วยใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่คิดให้เป็นอย่างเดียว ใจมันเป็นตัวกำหนด ถ้าใจมันดีทุกอย่างมันดีหมด มันจะไม่เห็นอะไรที่เป็นทุกข์เป็นโทษเลย ก็บอกแล้วว่าธรรมดาของมันเป็นอย่างนั้น คนเขาไม่รู้เขาก็เลยทำในสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษทำให้เราโกรธเราเคืองเขา คนที่ไม่มีความรู้มันโง่ขนาดนั้นมันแทนที่จะน่าโกรธน่าเคืองมันกลายเป็นน่าสงสาร เพราะสิ่งที่เขาทำเป็นโทษกับเราไม่พอยังเป็นโทษกับตัวเขาเองด้วย มันทำให้ตัวของเราได้ทุกข์ได้โทษด้วยกาย วาจา ใจของเขา
              ขณะตัวของเขาก็มีทุกข์มีโทษด้วยกายวาจาใจของเขาเองเช่นกัน มันต่างคนต่างไปซ้ำเติมผู้อื่นที่มีความทุกข์อยู่แล้วให้ทุกข์ยิ่งขึ้น มันก็เลยสร้างโทษใหญ่ให้กับตัวเอง ถึงเวลาต้องไปรับทุกข์รับโทษนั้นเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบ คนประเภทนี้แทนที่จะน่าโกรธก็เลยกลายเป็นน่าสงสารไป ในเมื่อเราเห็นว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น คนเขายังเป็นพาลคือโง่อยู่ ไม่สามารถรู้ว่าความดีเป็นอย่างไร ไม่สามารถที่จะกระทำดีได้ขนาดนั้น เราก็ควรจะให้อภัยเขามากกว่าที่จะไปโกรธเขา พอถึงเวลาถ้าหากว่าใจมันดีอยู่แล้ว อะไรมันก็ไม่ชั่วหรอก แต่ถ้าหากว่าใจมันไม่ดีอยู่มันก็เห็นว่า คนโน้นก็ผิด ไอ้นี่ก็ผิด ไอ้นั่นก็ไม่ถูกใจ ยุ่งไปหมด เฮ้อ หมดอารมณ์ยิ่งทำก็ยิ่งยากใช่มั้ย ? มันไม่ยากหรอกถ้าทำจริง ๆ แรก ๆ ล่าไดโนเสาร์มันเรื่องง่ายตัวมันใหญ่นี่หว่า เห็นชัดใช่มั้ย ? ถึงเวลาเล็กมาหน่อยเหลือแค่ช้างม้าวัวควายมันก็ยังง่ายอยู่ พอเหลือแค่หมาแค่แมวชักจะยาก นาน ๆ ไปมันไม่หรอกมันเป็นยุงเป็นมดเลย ค่อย ๆ ทำไปพอถึงวาระนั้นถึงเวลานั้นสติปัญญาต่าง ๆ มันจะเท่าทัน พอมันเท่าทันแล้วของที่เห็นว่ายากมันก็กลายเป็นง่าย อย่าเพิ่งไปท้อกับมัน
              ทุกคนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้มันก็ประเภทล้มแล้วล้มอีก เพียงแต่ว่าล้มแล้วให้มันลุก แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้ฟันฝ่าต่อไป ไม่ใช่ล้มแล้วก็ไปนั่งคร่ำครวญอยู่กับมัน เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน มาตั้งเยอะตั้งแยะไม่น่าล้มเลย ตกลงไม่ต้องทำมาหากินอะไร กองมันตรงนั้นแหละ ถึงได้สอนว่าเวลาทำความดีต้องหน้าด้าน คำว่าหน้าด้านก็คือว่าล้มแล้วก็ลุก ตั้งใจเลยว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป ศีลของเราบริสุทธิ์ เราจะรักษาทุกสิกขาบทให้ไม่บกพร่อง แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป
              ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนอยู่สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์หรอก โอกาสผิดพลาดด้วยกายวาจาใจมันมีอยู่แล้ว ในเมื่อมันมีอยู่ก็ช่างมัน หน้าด้านเอา ผิดแล้วแล้วกันตั้งหน้าทำดีของเราใหม่ พอนาน ๆ ไปมันก็จะเคยชิน เพราะว่าจิตมันอยู่กับความดีไปเรื่อย ไม่ไปเสียเวลาคร่ำครวญต่อความผิดพลาดของมัน เกาะความดีมากกว่าความชั่วโอกาสที่จะชนะกิเลสมันก็มีอยู่
      ถาม :  กำลังใจสำคัญที่สุดใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ใช่ อะไร ๆ ก็ใจเป็นใหญ่ สูงสุดก็ใจ สำเร็จก็ใจ
      ถาม :  ที่ว่าอะไรมันก็ดีไปหมด ไม่ว่ามันจะมาทุกข์มาไม่ทุกข์ มันหมายถึงสิ่งที่ดีใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ใช่ ทุกอย่างมันดีหมด เพียงแต่ว่าถ้าใจของเราไม่ดี มันยังมีการไปแบ่งไปแยกมันอยู่ อย่าลืมว่าทุกอย่างมันเป็นสมมติ มันจะดีจะชั่วมันก็อยู่ที่สมมติ เพียงแต่ว่าสมมติทางโลกน่ะ ถ้าหากบอกว่าดีมันไม่แน่ว่าจะดีจริง แต่ถ้าหากว่าเป็นสมมติทางธรรมคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าดีมันดีแน่ แต่ว่าถ้าไปถึงท้าย ๆ สุดแล้วจะดีจะชั่วมันก็เกาะไม่ได้ทั้งคู่ มันถึงวาระมันต้องละมันต้องวาง
              แรก ๆ เราขึ้นบันไดเราก็เกาะ พอจะเข้าห้องแล้วจะเกาะราวบันไดไปทำอะไร ก็มุดเข้าไปเลย ทิ้งราวบันไดกองไว้ตรงนั้น เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าละชั่วและก็ทำดี คือละจากความชั่วเกาะความดีแทน ถ้าเราไม่เกาะแล้วมันจะมีอะไรให้ละ อะไรก็ปล่อยวาง ๆ มันยังปล่อยไม่ได้หรอก ถ้ามันยังไม่เกาะ มันต้องเกาะก่อนมันถึงมีให้ปล่อย เมื่อถึงวาระสุดท้ายถึงเวลาจะปล่อยมันก็ปล่อยของมันเองแหละ ความเคยชินเดิน ๆ สุดบันไดมันก็เข้าห้องไปเลย ไม่ต้องไปเกาะราวบันไดแล้วนี่ เอาไว้ถึงตอนนั้นแล้วค่อยว่ากันอีกที
      ถาม :  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ :  ไม่ต้องสู้จ้ะ ตั้งใจให้ทานรักษาศีลภาวนาของเราไป โดยเฉพาะอารมณ์ภาวนาถ้าทรงตัว ไสยศาสตร์ทำอะไรไม่ได้หรอก
      ถาม :  ก็รู้ว่าเขาทำอะไรเราไม่ได้หรอก แต่คนอื่นรอบข้าง ?
      ตอบ :  ก็อธิษฐานเผื่อเขาสิ ถึงเวลาทำกรรมฐานเสร็จอะไรเสร็จ ตั้งใจนึกถึงภาพพระพุทธรูปครอบบ้านเราเอาไว้เลย หรือไม่ก็ครอบทุกคนเอาไว้เลยจะได้ปลอดภัย
      ถาม :  ช่วงนี้มันสับสนมากเลยไม่รู้จะไปทางไหน ดูตัวเองไม่ออกแล้ว ?
      ตอบ :  หยุดอยู่ตรงนั้นจ้ะ ไม่ต้องไปไหนหรอก ยิ่งดิ้นมันก็ยิ่งวุ่น มันต้องหยุดดิ้นไม่ได้เลย จำไว้ว่าหยุดมันถึงจะเห็นตัวเอง ถ้ายังวิ่งอยู่โอกาสจะเห็นตัวเองมันยาก ดังนั้นถ้าหากว่าทุกอย่างมันวุ่นวายอะไรอย่างไรก็ตาม ให้รักษาอารมณ์ใจอยู่ในระดับที่เรียกว่าโลกต้องไม่ช้ำธรรมต้องไม่เสีย เราจะมีศีลเป็นเกราะป้องกันของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำไปแค่กรอบของศีล ถ้าจะล่วงศีลเราไม่เอาด้วยมันได้ไม่วุ่น
      ถาม :  ให้อยู่นิ่ง ๆ หรือคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่อยู่นิ่ง ๆ คืออย่าไปดิ้นไปรนมันมาก ตั้งใจปฏิบัติในทานศีลภาวนาของเราไป ผลได้ผลเสียมันจะได้หรือไม่ได้จะดีหรือไม่ดีไม่ต้องไปคิดถึง มีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่ตรงหน้าของเราไปให้จบแล้วก็จบกัน เราก็มาอยู่กับธรรมะอยู่กับศีลของเราต่อ
      ถาม :  น้องสาวพาแม่ไปดูหมอ เจ้าหนึ่งบอก ๓ ปี อีกเจ้าบอก ๓ เดือน เรียบร้อยเลยค่ะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องไปสนใจหรอกจ้ะ อาตมายืนยันว่าอยู่อีกนานจนลืม จำไว้ว่าเรื่องของหมอดูอย่าไปเชื่อมันมากนัก ส่วนใหญ่เขาจะขู่ให้เราตกใจ พอตกใจกลัวแล้วมีวิธีแก้วิธีต่ออายุ แต่ละวิธีเสียเงินให้มันทั้งนั้นน่ะ คนเราถ้าหากว่าศีลบริสุทธิ์อายุจะยืนยาว ถ้าตั้งใจทำในทานศีลภาวนาให้ทรงตัวเรื่องของดวงจะมีผลนิดเดียว จำไว้ว่าหมอดูน่ะถึงแม่นที่สุดก็ยังเชื่อไม่ได้
              ในพระไตรปิฎกเรื่องของพระเจ้าปเสนทิโกศล อันนั้นเทวดามาบอกเองเลย พระกาฬเขามาบอกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลนี่อีก ๗ วันจะตาย พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ เออ ไหน ๆ จะตายแล้วก็สร้างบุญมันเต็มที่เลย ก็จัดแจงตัดถนน ขุดบ่อน้ำ สร้างที่พักคนเดินทาง อะไรยุ่งไปหมด พอเลย ๗ วันแล้วไม่ตาย ยัวะ...เทวดาอะไรวะโกหกกันได้ ก็เลยให้คนไปตามพระกาฬ คนมันก็บ้า พอเหมือนกันไปหาจนเจอถามท่านว่าทำไมไม่ตาย พระกาฬก็บอกว่ากลับไปถามใหม่ช่วง ๗ วันนั้นทำอะไร ปรากฎว่าเขาทำในส่วนที่เป็นบุญเป็นกุศลทุกอย่าง ก็เลยกลายเป็นการต่ออายุตัวเองไป ถ้าอยากอายุยืนไปปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า อย่างพวกปลา พวกไก่ในตลาด เอาเป็น ๆ นะที่ยังไงก็ตายแน่ ไปปล่อยเถอะ ตัวละปีอยากได้กี่ร้อยปีปล่อยไปเลย
      ถาม :  หลวงพ่อลำไยท่านสิ้นแล้วหรือครับ ?
      ตอบ :  บ้านเมืองเรานับว่าโชคดี เพราะว่าช่วงที่ประเทศชาติมันแย่ ๆ มักจะมีพระดีท่านทิ้งขันธ์เพื่อเป็นการตัดกรรม หรือว่าเปลี่ยนความร้ายให้มันกลายเป็นดีได้ความ นี่ก็สององค์ติด ๆ กันแล้ว วันที่ ๒๗ หลวงพ่อลำไย วัดทุ่งลาดหญ้า มาวันที่ ๑ เมื่อวานนี้หลวงปู่ตี๋วัดหลวงราชาวาส ปกติหลวงปู่ตี๋ถ้าไม่มีหลวงพ่อท่านดังไปนานแล้ว มีหลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ท่านก็ดังไม่ขึ้น พอสิ้นหลวงพ่อท่านก็ดังขึ้นมาแทน
      ถาม :  ..........................?
      ตอบ :  ต้องถามว่า “พระแต่ละองค์มีความสามารถเท่ากันไหม ?” พระที่ปลุกเสกองค์เดียว ถ้าท่านรู้จักพระพุทธเจ้า เชิญพระพุทธเจ้าได้ พระพุทธเจ้าเสด็จมา ต่อให้เขาไปรวมกันปลุกเสกทั้งโลก ก็สู้ท่านไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ต้องดูความสามารถของพระที่ท่านทำพิธีพุทธาภิเษกเป็นอย่างไร ? จะดูได้อย่างไร ? แอบดู...! วิธีแอบดูนี่...ยากหน่อย
      ถาม :  ถ้าปลุกเสกพระ หมายความว่า ต้องเชิญพระพุทธเจ้า ?
      ตอบ :  คือ ถ้าหากว่าโดยตรงแล้วควรจะเป็นอย่างนั้น อะไร ๆ ของเราพระพุทธเจ้าเป็นใหญ่ที่สุด ถ้าหากว่าเชิญท่านได้ ก็สบายแต่ถ้าหากว่าต่างก็ใช้กังสมาธิสมาบัติของตัวเอง อันนี้ข้อจำกัดมีเยอะ เพราะอย่างไรเราก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ถึงเวลาถ้าสิ้นชีวิตไป ก็อาจจะเสื่อมลง หรือต้องการมีการกำหนดระยะเวลา แต่ถ้าหากว่าเป็นเรื่องของพระ ของเทวดา ถ้าหากว่าพระที่อยู่นิพพาน อายุท่านไม่มี ถ้าเป็นเทวดา พรหม อายุท่านก็ยืนยาวเหลือเกิน
              เพราะอย่างนั้นอัญเชิญให้ถูกวิธี มีพรหม มีเทวดา หรือว่ามีพระท่านช่วยสงเคราะห์ให้ ดีกว่าเยอะ เลยกำหนดไม่ได้ว่า ปลุกเสกเดี่ยว หรือปลุกเสกหมู่ อันไหนจะดีกว่า ? ขึ้นอยู่กับว่าพระที่อยู่ในพิธีเป็นอย่างไรต่างหาก ? ถ้าความสามารถท่านสูง จะหมู่จะเดี่ยวก็ได้
      ถาม :  พระดัง ๆ ก็คือ ปลุกเสกโดยอัญเชิญพระพุทธเจ้า ?
      ตอบ :  ไม่แน่...! เท่าที่อาตมาเจอในประเทศไทย ที่อัญเชิญพระพุทธเจ้าเป็นมีไม่กี่องค์ ส่วนใหญ่แล้วท่านก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ใช้กำลังสมาธิสมาบัติของท่านเอง ซึ่งอันนั้นโอกาสที่จะดีถึงที่สุดยาก