ช่วงแรกของเล่ม "หลากรสในพม่า"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนมกราคม ๒๕๔๗(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ................................................
      ตอบ:   ตอนที่หลวงพ่อท่านบอกยกเลิกการใช้นี่ ต้องใช้คำว่าอะไร ผู้อำนวยการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่โน่นโดนสอบสวนเลย ทำอย่างไรให้ลูกค้ารายใหญ่ขนาดนี้บอกยกเลิกการใช้ได้ วัดท่าซุงวัดเดียวใช้เท่ากับห้วยคต ทัพทัน บ้านไร่ ๓ อำเภอรวมกัน คือหลวงพ่อท่านเน้นตรงแสงสว่าง ท่านบอกว่า คนเราคิดจะทุจริต มันจะกลัวแสงสว่างกับเสียงดัง เพราะฉะนั้นให้เปิดไฟให้สว่างเข้าไว้ มันจะได้ไม่กล้าขโมย คำสั่งของท่านคือว่า “ถ้าหากว่ายังไม่สว่างจนเห็นหน้าคนแล้วจำกันได้ อย่าเพิ่งปิดไฟ” อันนี้ท่านสั่งไว้ชัดเลย ต้องรอให้สว่างเห็นหน้าจนจำกันได้แล้ว ถึงจะยอมให้ปิด ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคนฉวยโอกาสตอนนั้นขโมย ก็ยุ่งกันใหญ่จำไม่ได้ เห็นแต่ตัว
              เห็นความรอบคอบของพ่อไหม ? จะลองทำอย่างนั้นบ้างไหม ? บอกได้คำเดียวว่า บุคคลที่ยิ่งปฏิบัติได้สูงเท่าไร กำลังใจยิ่งละเอียดเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจท่านละเอียดขนาดนั้น ท่านก็เลยทำอะไรเรียบร้อยไปด้วย
              คราวนี้เรามาดูตรงจุดนี้ อาตมาเพิ่งจะโดนมาแหม็บ ๆ คือไปซ่อมตึกแดงหลังหนึ่งพื้นที่ใช้สอย ๑,๐๐๐ ตารางเมตรกว่า คือมันตก ๕๐๐ กว่าตารางเมตร แต่เป็น ๒ ชั้น กะว่าเวลาโยมไปวัดเยอะ ๆ ก็จะให้พักที่นั่น แล้วถ้าหากว่ามีการฝึกอบรม หรือว่าสัมมนา หรือว่าเรียนหรือสอนหรือสอบของพระ จะใช้อาคารหลังนั้นได้ ก็ตั้งใจทำใหม่ให้ดีไปเลย
              อาจารย์สมพงษ์กลัวมากเพราะว่าเงินเยอะ เขาถามว่าไหวเหรอครับอาจารย์ บอกว่าไหว ถ้าพ่อสั่งต้องไหว พอทำไปก็ปรับปรุงไปเรื่อย ข้างล่างก็ปูกระเบื้อง ปูพื้นหมด ๕๐๐ กว่าตารางเมตร นี่ค่ากระเบื้องอย่าเงดียว ๑๐๐,๐๐๐ บาทเต็ม ๆ ยังไม่คิดค่าแรงช่าง ยังไม่คิดค่าปูน ค่าทรายเลยนะ พอทำไปก็ตั้งใจว่า ส่วนของเราโละด้านบนออก แล้วทำเป็นห้องกระจกทั้งหมด เพื่อมันจะได้สว่าง คนจะได้เห็นว่าโปร่งน่าอยู่น่าเข้า วางโครงการซะดิบดี พอทำไปจวน ๆ ที่จะโทรศัพท์ไปสั่งช่างให้มาวัดกระจก หลวงพ่อท่านก็โผล่มาบอกว่าให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน ท่านบอกว่า กระจกดูแลรักษายาก มันก็จริง ถ้าเราทำเป็นห้องกระจกนี่ คนตัดหญ้าประสาทกลับแน่เลย ดีดหินไป ๑ ก้อนก็ยุ่งแล้ว ท่านบอกว่ากระจกดูแลรักษายาก และที่สำคัญคือแพงมาก แล้วท่านก็เตือนเรื่องใช้เงิน บอกว่าให้รอบคอบหน่อย อะไรที่ประหยัดได้ให้ประหยัด ประโยคที่เจ็บปวดที่สุดก็คือ ท่านบอกว่าเงินน่ะข้าหาไม่ใช่แก แหมเกือบลืม ไม่อย่างนั้น ถ้าห้องกระจกอย่างเดียวนี่ พื้นที่ใหญ่ขนาดนั้น ๔๐๐,๐๐๐ บาทไม่รู้จะอยู่รึเปล่า ? หลังหนึ่งพื้นที่ ๕๐๐ กว่าตารางเมตร แล้วทำรอบมันจะเท่าไร ? กะว่า ๔๐๐,๐๐๐ บาทไม่อยู่ กระจกแบบนี้ยิ่งบานใหญ่เท่าไร ยิ่งแพงเท่านั้น เพราะว่าเอาไปยาก
              สมัยที่อยู่เกาะพระฤๅษี ทางด้านโชคอนันต์ เขาจะไปทำกระจกให้ สั่งเขาเสร็จแล้วปรากฏว่าเกือบ ๑ เดือนเขาหายไปเฉย ๆ ก็เลยถามเขาว่าเป็นยังไง ยังหากระจกไม่ได้หรือ ? เขาบอกว่าผมขออนุญาตไม่ทำได้ไหมครับ ? ถามว่าทำไม ? เขาสั่งกระจกมาแล้ว ปรากฏว่าตอนเอากระจกขึ้นทองผาภูมิมา มีรถตัดหน้าแล้วเขาหักหลบลงข้างทาง แตกบรรลัยหมด ๔๐,๐๐๐ กว่าบาทสูญไปเลย เขาเลยไม่ขอทำอีก เพราะทำไปก็ขาดทุน เราต้องไปหาเจ้าใหม่ ตกลงว่าเขาเสียเงินฟรี ๆ แค่ห้องกระจกประมาณ ๓ ด้าน ด้านหนึ่งก็ราว ๆ ๕ ตารางเมตร เอ้ย...ยาวด้านละ ๕ เมตร ๓ ด้าน แค่ที่เกาะฯ ๖๐,๐๐๐ บาทกว่า แล้วคิดดูว่าแค่นี้มีหรือจะไม่ ๔๐๐,๐๐๐ บาท
              เพราะฉะนั้นสิ่งนี้สรุปได้ว่า ท่านที่กำลังใจยิ่งสูงเท่าไร ความละเอียดรอบคอบจะมีมากเท่านั้น ถ้าละเอียดไม่พอรอบคอบไม่พอ มันจะสู้กิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสนั้นมันละเอียดเหลือเกิน ของเราบางวันก็ดี บางวันก็เลวไปเรื่อย มันก็เลยไม่รอบคอบ กะว่าเออ...ทำทั้งทีทำให้สวย ทำให้ดีไปเลย สตางค์ก็มีพอใช้ แต่ปรากฎว่าโดนดุเข้าไป ท่านบอกว่าแพงโดยใช่เหตุ ที่สำคัญก็คือเงินท่านหา ไม่ใช่เราหา เก็บไว้ใช้ทำอย่างอื่นมั่ง
              ตอนนี้ก็เลยมีเงินเหลืออยู่หน่อยหนึ่ง ก็เลยไประดมทำส่วนที่เป็นแดนสงบทางด้านล่างติดชายแม่น้ำแคว ตรงนั้นปกติแล้วจะเป็นบ้านของพวกมอญ พวกทวายมาอศัยอยู่เป็นร้อย ๆ คนเลย มันอยู่มาเป็น ๑๐ ปี อยู่กับวัด กินกับวัด น้ำของวัด ไฟของวัด เวลาวัดมีงานอาหารแทนที่จะประเคนพระ มันยกลงไปกินกันหมด ห้ามก็ไม่ฟัง ก็เลยอาตมาไปถึงสั่งอัปเปหิ ให้ถึงเวลากฐิน จะย้ายหรือไม่ย้าย เราไม่ว่า เราก็เริ่มสร้างไปเลย สร้างไป ๒ หลังที่พระมหาปรียชากับท่านเออยู่กัน ในเมื่อเขาเห็นเราเอาจริงแน่ เขาก็ย้ายออกกันหมด ตกลง ๑๐ กว่าปีอยู่เรื้อรังมา มันอยู่สบายจนเคย ไม่รู้ไปอยู่ที่อื่นจะลำบากรึเปล่า เพราะอยู่กับวัด น้ำ-ไฟทุกอย่างพร้อมหมด เราก็รื้อซะเกลี้ยง แล้วเริ่มเฟสที่ ๒ ตอนนี้ทำเป็นกุฏิ ๓ หลัง และศาลานั่งเล่น ๑ หลัง รวม ๆ แล้วบริเวณนั้นจะทำให้เป็นกุฏิคงประมาณ ๑๕-๑๖ หลัง คือถ้าหากว่าพวกเราไปจะได้มีที่พัก ให้พระพักแม่ชีไม่ยอมแน่ เพราะว่าต่ำกว่ากุฏิแม่ชีลงไปประมาณ ๒ เมตร กลายเป็นแม่ชีอยู่สูงกว่าพระ ก็เลยว่าให้โยมอยู่ก็ได้ แต่เขตนั้นจะกั้นรั้วเลย กะว่าทำเป็นรั้วต่าย สูงประมาณ ๓-๔ เมตร แล้วทำประตูเล็ก ๆ สำหรับลงถึงเวลาลงไปก็ปิดซะ คนที่ไม่ต้องการจะได้ไม่เข้าไปรบกวน โครงการมโหฬารเริ่มเฟส ๒ แล้ว
              มาร ๕ อย่างประกอบด้วย กิเลสมาร ความชั่วที่อยู่ในใจของเราเอง ขันธมาร สภาพร่างกายของเราเอง เทวปุตมาร เทวดาที่มาทดสอบกำลังใจของเรา อภิสังขารมาร บุญ-บาปที่มาขวางเรา มัจจุมาร ความตายที่มาขวางเรา กิเลสมาร ความชั่วในใจของเรา รู้อยู่แล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ที่มันเกิดขึ้น ขันธมาร คือสภาพร่างกายคอยกลั่นแกล้ง คอยขัดขวางเราอยู่ เวลาที่เราไม่คิดจะทำดี ร่างกายแข็งแรงทำโน่นทำนี่ได้สารพัด บางคนกินเหล้าเมาหัวทิ่มนอนตากน้ำค้างทั้งคืนไม่เป็นไร แต่พอหันเข้ามาถือศีลปฏิบัติธรรมป่วยแทบตาย กลายเป็นบางคนเข้าใจผิดไปเลยว่าเข้าวัดแล้วทำให้เป็นยังงี้ ก็เลยพาลไม่เข้าไปเลย เทวปุตมาร เทวดาที่มาลองใจเรา ถ้าหากว่าเราทำข้อสอบนั้นผ่านได้ ไม่รัก โลภ โกรธ หลง ไปตามการณ์ที่ยั่วยุทดสอบของท่าน เราก็จะไม่แพ้ในตรงจุดนั้นอีก แต่ถ้าหากเราพลาด ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้ ท่านก็เลยกลายเป็นมารคือ ผู้ขวาง ผู้ฆ่าของเรา แต่จริง ๆ เจตนาของท่านก็คือต้องการทดสอบให้เราผ่าน
              อภิสังขารมาร บุญ-บาป บาปเรารู้ว่าขวางความดีอย่างไร แล้วบุญขวางได้ยังไง ก็อย่างเช่นว่า อรูปฌาน เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ อรูปพรหม อายุตั้ง ๘๔,๐๐๐ มหากัป คุณไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก ติดแหง็กอยู่แค่นั้น พอกินบุญหมดแล้วลงยาว ถ้าหากว่าไม่มีเศษบุญเหลือ ดีไม่ดีลงนรกไปเลย มันขวางได้ขนาดนี้ ตัวสุดท้ายคือ มัจจุมาร บางคนกำลังใจเข้มแข็งแรงมาก เขารู้ว่าถ้าหากว่าปล่อยให้เราทำความดี เราพ้นมือเขาแน่ เขาตัดให้ตายไปเลย อาศัยช่วงจังหวะอุปฆาตกรรมที่เข้ามาถึง ทำให้เราจะต้องสิ้นชีวิตลง เสียเวลาไปเกิดใหม่อีกรอบหนึ่ง ใช้วิธีเหยียบเบรกไว้ก่อน สกัดดาวรุ่ง
              มารทั้งหมดไม่ใช่แค่ความรู้สึกเฉย ๆ มันมีตัวมีตนของมันจริง ๆ สามารถพบเห็นได้ ถ้ามีทิพจักขุญาณจริง แต่ว่ามันแปลกตรงที่ว่าเขาแฝงมาอย่างแนบเนียนที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวของเรา เขาสามารถแฝงเพื่อใช้งานได้หมด อันนี้ฟังไว้เฉย ๆ ไม่ต้องกลัว บอกแล้วว่าเขาเป็นครูที่ดี
              เพราะฉะนั้นครูที่ดีการสอนต้องละเอียดมาก เคยพูดเต็มปากเต็มคำว่า มาร กับความดี หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่าก้าวสุดท้าย ความดีชักเราไปสุคติ ไปสวรรค์ ไปพรหม ไปนิพพาน แต่มารพาเราลงนรกบ้าง เป็นเปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานบ้าง จ่อมจมต่อไป
              เพราะฉะนั้นสรุปว่า เขาทำหน้าที่ของเขา ให้เขาทำไป หน้าที่ของเรา เราก็ทำของเราไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่มีใครเป็นศัตรูกับใคร ครูมีความสามารถสูง ขยันออกข้อสอบ เด็กอย่าไปกลัวเลย ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำ
              บางทีเรานั่งมองหน้ากันอย่างนี้ เขาดลใจให้อีกคนหนึ่งคิด พูด ทำ ในสิ่งที่ขัดหูขัดตาเรา กลายเป็นโกรธกัน ทั้ง ๆ ที่อยู่ครอบครัวเดียวกัน คนที่รักแสนรัก เขาทำได้ทุกอย่าง โยมที่วัดท่าซุง โยมเอี่ยม ชื่อจริง ๆ เอี่ยมศรี อ่อนคำ โยมก็ไปช่วยหลวงพ่อดูแลวัดท่าซุง ตั้งแต่สมัยที่หลวงพ่อเพิ่งไปอยู่ใหม่ ๆ จนบัดนี้โยมได้ทิพจักขุญาณดีมาก เขาบอกว่าหลวงพี่เจ้าขา หนูดูแล้ว หนูกลัวมากเลย ถามว่าทำไม บอกว่ามารมันวางบ่วงดักเราละเอียดลึกซึ้งเหลือเกิน หนูเห็นมันเป็นตัวเป็นตนมา ถึงเวลามันก็เอาอันนี้บ่วงรัก บ่วงโลภ บ่วงโกรธ บ่วงหลง มันวางดักเต็มไปหมดเลย เราต้องคอยหลบคอยหลีกแทบแย่ กว่าจะผ่านมันไปได้ ถามว่าหลวงพี่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ? บอกว่าอาตมาเจอ หนักกว่าโยมหน่อยหนึ่ง มันเล่นยกพหลพลโยธามาจะบี้เราตาย คือมันรู้ว่าสันดานอย่างเรา ยังไงก็มุมานะไปแน่ ก็เลยใช้วิธีข่มขู่จะให้กลัว แต่บังเอิญเราไม่กลัวซะอีก
              รอยพระพุทธบาทที่สระบุรีมี ๒ รอย รอยหนึ่งอยู่ที่พระพุทธบาทเลย อีกรอยหนึ่งจะอยู่บนเขาพระพุทธฉาย รอยที่พระพุทธบาทเขาเอาคอนกรีตหล่อขึ้นมาเพื่อจะปิดของแท้ไว้ข้างล่าง ไม่ให้คนไปยุ่งเกี่ยวจะได้ไม่ชำรุด เลยออกมาในรูปลักษณะแปลก ๆ แต่ถ้าจะดูของแท้ให้ไปดูที่พระพุทธฉาย รอยที่พระพุทธฉายจะอยู่บนยอดเขาข้างบน รู้สึกเขาจะทำเป็นลักษณะเหมือนมณฑปหรือเจดีย์ครอบไว้ แต่ตรงตัวรอยพระพุทธบาทเขาก่อขอบขึ้นมาแล้วมีฝาปิด เปิดขึ้นมาดู ทำไมถึงใหญ่ พระพุทธเจ้าถ้าตามอรรถกถาท่านบอกว่าสูง ๑๘ ศอก ของสมัยนั้น คนสูง ๑๘ ศอก เท่าไร ๙ เมตร รอยเท้าแค่นั้นเอง เล็กซะด้วย อยู่เลยพระพุทธบาทออกไปไกลเหมือนกัน อยู่ใกล้ ๆ ทางศูนย์กลางทหารม้า เลยเขตศูนย์ม้าไปหน่อยหนึ่ง พระพุทธฉายไม่มีจำลองนะจ๊ะ พระพุทธบาทกับพระพุทธฉายคนละที่ ห่างกัน ๑๐ กิโลเมตรเลย ถ้าหากว่าออกจากพระพุทธบาท กลายเป็นว่าเข้าสระบุรี ถ้าไปไม่ถูกถามหาโรงเรียนทหารม้า จะอยู่ไม่ไกล
              ในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ เขาบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราสูง ๑๘ ศอก แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า ๘ ศอก ดูจากรอยพระพุทธบาท ถ้าหากว่าวิชาสะกดรอยของทหาร ไม่ผิดน่าจะ ๘ ศอก เพราะวิชาทหารสอนไว้ว่า ขนาดรอยเท้าคูณด้วย ๘ จะเป็นความสูงโดยประมาณ ขนาดรอยเท้าของพระพุทธเจ้าท่านประมาณ ๑ เมตรคูณด้วย ๘ ก็ราว ๆ ๘ เมตร วิชาสะกดรอยเขาจะมีการคำนวณน้ำหนัก คำนวณจำนวน คำนวณขนาด ดูจากรอยเท้าอย่างเดียว ไม่น่าเชื่อ แต่ทฤษฎีของเขาเป็นไปได้ เพราะที่คำนวณมาใกล้เคียงจริง ๆ พระพุทธเจ้าพระนามว่าสุมนะท่านสูง ๙๐ ศอก พระศรีอริยเมตไตรบอกว่าจะสูง ๘๘ ศอก
              ตอนนี้ให้เขาดูแลงานก่อสร้างข้างล่าง แล้วบางทีต้องไปอยู่ที่วัดถ้ำทะลุด้วย พระที่อยู่ถอนตัวออกไป เพราะมีปัญหากับทายก พวกทายกอยู่ที่ไหนก็ตาม มักจะขี่คอพระ บังคับบัญชา ถ้าบังคับบัญชาไม่ได้มันก็หาทางขับไล่ไสส่งพระ คราวนี้พวกท่านยิ้ม อาจารย์นนท์ถอนตัวออกไปหมด ให้เราส่งพระไปอยู่แทน ก็ส่งพวกท่านเอเข้าไป ยังไงให้รักษาการณ์เจ้าอาวาส เอาอาวุโสไว้ก่อน ครบ ๕ พรรษาเมื่อไรจะได้แต่งตั้ง เดี๋ยวนี้ยังกับเป็นโรงเรียนผลิตเจ้าอาวาส ถึงเวลาวัดโน้นก็มาขอ วัดนี้ก็มาขอ บอกเวรเลยสร้างให้ไม่ทันจริง ๆ กว่าจะเป็นเจ้าอาวาสได้ เขาให้ต่ำสุด ๕ พรรษา แล้วต้องรู้ธรรมรู้วินัยดี เขากำหนดว่าอย่างน้อยต้อง ๕ พรรษา แล้วก็มีความในพระธรรมวินัย สามารถที่จะสั่งสอนกุลบุตรได้ โห...แล้วพระกว่าจะอยู่ได้ ๕ พรรษามีโอกาสสึกตั้งเยอะแยะ ถึงเวลาเขาไม่มีหรือว่ามีแล้วสึกไป เขาวิ่งมาขอ เล่นเอาเจ้าคณะอำเภอชักน้อยใจ บอกอะไร ก็ไปปรึกษาอาจารย์เล็ก ผมเป็นเจ้าคณะอำเภอนะ ก็เลยบอกอาจารย์สมพงษ์ คราวหน้าบอกสิ ปรึกษาหลวงพ่อทีไรเสียเงินทุกที ปรึกษาอาจารย์เล็กไม่เสียนี่หว่า...!
              ให้ไปคุมก่อสร้าง ปรากฏว่าต้องย้ายเครื่องโม่ปูนลงไปด้วย ไอ้ที่ทำใหม่อยู่ริมน้ำ ก็เลยไปขนเครื่องโม่ปูนกัน เขางัดไปงัดมาปรากฏว่าท่านเอค้ำไม่อยู่ โดนทับแอ๊กไปเลย ยังดีกระดูกหักหรือเปล่าไม่รู้ เราก็ประเภทมัวแต่ว่า เออ...เขาเป็นอะไรมากรึเปล่า ? ตอนที่เข็นลงไปข้างล่างมันเป็นทางลาดแล้วมันหนัก ไปค้ำอยู่ ปรากฏว่าค้ำไปค้ำมา พอมันเร็วขึ้น ๆ ยันไม่อยู่ มันดันเราพรวดเดียว เข้าไปอยู่ในกอไผ่หนามทั้งกอเลย ออกมาถึงได้ลาย ๆ อย่างที่เห็นนี่ มีแต่รอยแผลขีด ๆ ข่วน ๆ
              อาตมาเองมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยรู้จักว่าวันเกิดหน้าตาเป็นอย่างไร เด็กสมัยนี้แหมเขาเกิดกันทุกปีนะ น่าอิจฉา สมัยโบราณเขาจะทำวันเกิดต่อเมื่ออายุ ๖๐ ปี ถือว่า ๕ รอบอายุมากแล้ว ทำวันเกิดซะครั้งหนึ่ง แล้วหลัง ๖๐ ปีไปจะนิยมทำเป็น ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งคือ ครบ ๑ รอบ ทำหนึ่งครั้ง อย่างเช่นว่า ๗๒, ๘๔, ๙๖ อย่างนี้ ๑ รอบ คือ ๑๒ ปี รอบ ๑๒ ปีนักษัตร ทำครั้งหนึ่ง บางทีก็นิยมทำรอบ ๑๐ ปี คือ ๖๐, ๗๐, ๘๐, ๙๐ เขาทำกันแค่นั้นแหละจ๊ะ เพื่อนไม่เขียน Card ให้โดนงับหูเลยใช่มั้ย ?
              จำไว้ว่าวันที่เราเกิด คือวันที่เกือบ ๆ ตายของคุณแม่ เพราะฉะนั้นวันเกิดไม่ได้สำคัญที่เรา สำคัญที่คุณแม่ หาพวงมาลัยสวย ๆ ไปไหว้คุณแม่ ขอบคุณค่ะที่ช่วยดูแลหนูมารอดจนป่านนี้ จำเอาไว้นะ เปลี่ยนความคิดซะ วันเกิดของเราไม่ได้สำคัญที่เรา วันเกิดของเราสำคัญที่คุณแม่ ถ้ายิ่งมาสมัยก่อน ๆ โน้น คลอดลูกแต่ละทีมันครึ่งเป็นครึ่งตายเลย ไม่รู้จะรอดรึเปล่า ? เพราะฉะนั้นวันเกิดต้องคุณแม่มาก่อน คนอื่นว่ากันทีหลัง ตัวเราเองจะทำอะไรก็ทำไป แต่อย่าลืมคุณแม่แล้วกัน
              รู้ว่าไม่ดีก็อย่าทำ แต่ไม่ต้องกลัวหรอก เป็นฆราวาสลงนรกยังไงมันก็ไม่ลึกนัก ถ้าเป็นพระแล้วดีแตก ลงลึกแน่เลย
              แต่งงานก็ผิด เพราะว่าพ่อแม่ยังไม่อนุญาต เราจะไปเปรียบเทียบว่าถ้าไม่ได้ขออนุญาตพ่อแม่ มีเพศสัมพันธ์กันแล้วผิด ถือว่าฝรั่งผิดหมด – ไม่ได้ ไอ้นั่นผิดหมดจริง ๆ เพราะว่าเขาไม่มีข้อห้ามเหมือนของเรา ยกเว้นเขามาถือศาสนาพุทธแล้วเขารู้ ลักษณะของบุคคลที่มีเจ้าของตามนัยบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ละเอียดมาก ท่านใช้คำว่าบุคคลผู้มีบิดาปกครอง บุคคลผู้มีมารดาปกครอง บุคคลผู้มีพี่ชายปกครอง บุคคลผู้มีพี่สาวปกครอง บุคคลผู้มีน้องชายปกครอง บุคคลผู้มีน้องสาวปกครอง บุคคลผู้มีญาติปกครอง บุคคลผู้มีพระราชาปกครอง บุคคลผู้มีคนอันจองไว้แล้วด้วยพวงมาลัย อันนี้น่าจะหมั้นหมายไว้ บุคคลอันสุดท้ายนี่เจ็บมาก มีธรรมปกครอง สรุปแล้วตั้งแต่ต้นยันปลายโดนหมด ท่านใช้คำว่า ถ้าหากว่าเจ้าของหรือผู้ปกครองไม่ยินดี คือไม่อนุญาต ซวยแน่ ๆ เลย
              มีอยู่อันหนึ่ง พวกชาวแอฟริกันเผ่าหนึ่ง ถ้าแขกไปเยี่ยม เขาจะให้เมียมานอนด้วย อย่างนี้ไม่ผิด เพราะสามียินยอม จำไว้ว่า การล่วงละเมิดในศีลมีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด เจตนาที่จะละเมิดมันเริ่มต้นตั้งแต่คิดแล้ว ไม่ใช่ทำอย่างเดียว พูดอย่างเดียว ไม่เป็นไรหรอก หางิ้วหนามสั้น ๆ หน่อย ถ้ายาว ๑๖ องคุลี ก็เอาซัก ๑๕ ครึ่งก็พอ
      ถาม :  เห็นจระเข้ แปลว่าอุปสรรคใช่ไหม ?
      ตอบ:   โบราณเขาบอกว่า ถ้าหากว่านิมิตเห็นจระเข้ มีอยู่ ๒ เหตุด้วยกัน เหตุแรกคือ ติดสินบนอยู่ยังไม่ได้แก้ คือไปบนอะไรไว้แล้วลืม ประการที่สอง ท่านว่ามีบุคคลจะปองร้ายแล ภาษาโบราณฟังยาก สิทธิการิยะพระท่านว่าคนเขียนว่าไว้ ไม่ใช่พระว่า
              อาตมาเคยฝันเห็น โอ้โห...ตัวมันใหญ่เหลือเกิน ใหญ่จนบอกไม่ถูก กว่าจะรู้เหยียบอยู่บนตัวมันแล้ว คือมันใหญ่เกินไปไง จนเราไม่คิดว่าเป็นจระเข้ แต่บังเอิญตื่นเสียก่อนที่จะโดนมันงาบ ก็เลยรอดใช้วิธีขี้โกง สะดุ้งตื่นก่อน ถือว่ารอด
      ถาม :  เด็กซนมาก + ดื้อ
      ตอบ:   ธรรมดาจ้ะ เด็กดื้อกับเด็กซน เป็นเรื่องปกติของเด็ก เด็กสมัยนี้เป็นมาก เรียกว่าพวก Hyperactivity ถือว่าเป็นการป่วยไข้อย่างนี้ คือ เป็นผู้ที่มีการแสดงออกที่มันเกินเหตุไปหน่อย หมอถือว่าเป็นผู้ป่วย แต่ว่าสำคัญที่สุด ก็คือเกิดจากการขาดสมาธิ ถ้าหากว่าเด็กมีสมาธิอยู่ก็จะนิ่งอยู่ได้ เมื่อพรรษาที่ผ่านมา พระรูปหนึ่งบวชอยู่ที่วัด ท่านอู๋นั่นแหละ เป็นโรคนี้ นั่งคุยอยู่ตรงหน้า มันถาม เรายังไม่ทันจะตอบได้ครึ่งประโยค มันไปอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ไม่ใช่สมาธิสั้นเฉย ๆ จู๋เลยแหละ อาการนี้หมดถือว่าเป็นผู้ป่วยประเภทหนึ่ง
      ถาม :  หมอบอกว่าปกติ
      ตอบ:   ถ้าสติและสมาธิไม่มั่นคง ลืมปณิธาน ลืมความตั้งใจจริงของตนเองว่าที่เราเข้ามา ตีเสียว่าเข้ามาปฏิบัติธรรมของเรา จุดมุ่งหมายของเราอยู่ที่ไหน จะเป็นความปรารถนาของเขาเลย ถ้าเราลืมเมื่อไรเสร็จเขา มันต้องไม่ลืมทุกอย่างที่ดี ๆ เขาจะเอามาให้เราทั้งนั้น
              คราวนี้เราต้องค่อย ๆ สะสาง เหมือนกับด้ายยุ่ง ๆ ขดหนึ่ง มันพยายามก่อกวน ให้มันยุ่งหนักขึ้นไป ประเภทสอนให้เราถักเสื้อ ยิ่งถักยิ่งสวยว่าไปเรื่อย ลืมไปเลยว่าเราจะสางด้ายนั้นออกมา
      ถาม :  ............................................
      ตอบ:   ธงท่านปู่พระอินทร์ คาถาปลุกธงโดยเฉพาะ เขาว่า “สุปะติ” สมัยหลวงพ่อท่านทำ ท่านบอกว่า ต่อให้ถึงที่ตายก็ให้ไปตายที่บ้าน
      ถาม :  เรื่องราวลับแล
      ตอบ:   ที่ไม่ยอมแข่งกับเขางวดนั้น เพราะว่ากลัวแพ้ ถ้าแพ้แล้วต้องทำตามสัญญา คราวนี้ แหม หายไป ๑ ปีพวกเราลงแดงแน่ มันจะต้องตามกันอุตลุตเดือดร้อนกันไปหมด เลยไม่ยอมรับปากเขา เขาอุตส่าห์เปิดพื้นที่ให้ดูแล้วว่าเดินไปทางไหน ? อย่างไร ? แต่ว่าเขาก็ให้อยู่สัญญา ถ้าหากว่า เราเปลี่ยนใจเมื่อไรไปหาได้ ไปถึงบริเวณนั้นแล้วนึกถึงเขา เขาจะมารับ ถ้าปกติธรรมดาจะไม่เห็นทางเข้ายกเว้นเขาตั้งใจให้เราไป หรือว่า คน ๆ นั้นมีกรรมเนื่องกันมาจึงจะเข้าไปได้
      ถาม :  อ่านหนังสือหลวงปู่ธุดงค์ เข้าไปแล้วพบสิ่งแปลก ๆ เหมือนในนิทาน เป็นเรื่องจริง ?
      ตอบ:   เหมือนจ้ะ แต่เวลาของเขาช้าจริง ๆ สมัยที่ยังอยู่วัดท่าซุงแล้วธุดงค์ ก็มีรุ่นน้อง ๒ ท่าน คือท่านชาติชาย ตามอาตมาขึ้นไปที่บ้านกระเหรี่ยงตะเพิน วันนั้นจะแยกกันก็เตือนท่านไว้ว่า ตรงทางนั้นอย่าเผลอเลี้ยวผิดนะ ถ้าคุณเลี้ยวผิดจะเข้าเมืองลับแลไปเลย ท่านชาติชายก็ครับ ๆ
              ปรากฏว่าวันนั้นกว่าท่านจะออกไปข้างนอกบ่าย ๒ กว่า ทั้ง ๆ ที่เริ่มเดินทางตั้งแต่ฉันเช้าเสร็จ ท่านบอกว่าก้มหน้าก้มตาเดินไปภาวนาไป อยู่ ๆ รู้สึกว่าภูมิอากาศเปลี่ยนหมด เหมือนกับสว่างผิดปกติ ต้นไม้เขียวใสผิดปกติ แต่แหงนดูแล้วไม่เห็นดวงอาทิตย์ อาจจะยังเช้าอยู่ แต่แสงมาจากทุกทิศทาง ต้นไม้ไม่มีเงาเลย เท่านั้นแหละ ท่านก็รู้ว่าใช่แล้ว เลยรีบออก ท่านบอกว่าแป๊บเดียวเท่านั้น ตอนที่เริ่มเดินประมาณ ๘ โมง แป๊บเดียวเท่านั้นเองออกมาเกือบบ่าย ๒ โมง
              ส่วนอีกท่านหนึ่ง ท่านสหชาติ พอได้ยินอย่างนั้นก็ขึ้นไปพิสูจน์บ้าง ท่านก็เดินดุ่ย ๆ ไป ปรากฏว่าหายไปทั้งคืน แล้วรุ่งขึ้นก็ออกมา ชาวบ้านถามว่าไปถึงไหนมา ท่านพูดสั้น ๆ ว่าหลงทาง คิดว่าคงเข้าไปถึงจุดนั้นเหมือนกัน
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จริง ๆ ก็คือมนุษย์เรานี่แหละ เพียงแต่ว่าความดีเขาไม่พอจะเป็นเทวดา แล้วก็ดีเกินกว่าที่จะอยู่กับเราเท่านั้นเอง พวกนี้ส่วนใหญ่ศีล ๕ จะทรงตัว เป็นคน แต่เป็นคนชั้นดี เขาก็ปลูกผักปลูกหญ้าเหมือนเรา แต่ว่าพวกพืชผลของเขาจะงามผิดปกติ เขาเคยไปทำบุญกับหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ประจำ หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์บอกให้สังเกตพวกนี้อยู่ มันมีอยู่ ๒ อย่างที่สังเกตได้
              อย่างหนึ่งก็คือ ผิวพรรณของเขาผ่องใสผิดปกติ อย่างที่สองคือว่า พวกนี้ไปทำบุญมักจะเอากล้วยไปด้วย ถ้าหากเป็นกล้วยเป็นหวี หวีหนึ่งจะมี ๑๖ ลูก ถ้ากล้วยเป็นเครือ เครือหนึ่งจะมี ๑๓ หวี พวกลูกศิษย์หลวงปู่ย่องตามไปอยู่เรื่อย บอกว่าเขาแต่งตัวกะมอมกะแมม เหมือนกับชาวบ้านธรรมดานี่แหละ เพียงแต่ว่าผิวพรรณเขาผ่องใส ถึงเวลาตามไป อยู่ ๆ เหมือนกับเดินลับหายไปเฉย ๆ แล้วก็ตามไม่เจอ
      ถาม :  ภาษาของเขา ?
      ตอบ:   ภาษาของเขาสามารถสื่อสารกับเราได้ทุกคน เหมือนกับภาษาใจนี่แหละ คือใครเข้าไปเขาคุยกับเรารู้เรื่องหมด แล้วคราวนี้ถามว่าพูดภาษาอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเราไป เราถนัดภาษาอะไร เขาก็คุยภาษานั้นกับเราได้
      ถาม :  เมืองลับแลมีอยู่ที่เดียวในโลก ?
      ตอบ:   เยอะแยะไปหมด คือเขตของเขาอาจจะประเภทซ้อนเหลื่อมกันอยู่นิดหนึ่ง แต่ว่าทางเขามีเยอะ เหมือนกับหมู่บ้านโน้นหมู่บ้านนี้ เต็มไปหมด หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยท่านยังเด็ก ๆ อยู่ ก็วัยรุ่นแล้ว ปกติแล้วกลางคืนจะเดินทางไป
              คือ สมัยหลวงพ่อท่านยังเด็ก ๆ ตำบลสาลีแทบทั้งตำบล เป็นญาติกันหมด หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าใครมาคุยว่าเป็นญาติกับข้า อยู่บ้านใกล้ ๆ ฤๅษีลิงดำตั้งแต่เล็กแต่น้อยอย่าไปเชื่อแม่ง เพราะว่าตำบลสาลีทั้งตำบลเป็นลูกพ่อแม่เดียวกันเกือบหมด ลูกหลานตระกูลเดียวกันเกือบหมด แล้วคราวนี้ท่านก็มี นิสัยเฉพาะตัวว่า ก่อนจะนอน ต้องไปไหว้ย่าก่อน ก็จะต้องเดินไป ต้องข้ามไปบ้านอื่น กว่าจะไหว้ย่าเสร็จแล้วก็กลับเรือนตัวเองแล้วนอน ท่านบอกว่าวันนั้นท่านเดินไป อยู่ ๆ เจอบ้านแปลก ๆ อยู่กลางทางไม่เคยเห็น หน้าตาคนก็ไม่รู้จัก ไม่ใช่ญาติเราแน่ ๆ เลย แต่มันอยู่กลางทาง ตอนนั้นไม่ได้สงสัย คิดว่าคนมาอยู่ใหม่ ก็ไปกราบย่าเสร็จแล้ว จะเดินทางกลับมานอน ปรากฏว่าบ้านหลังนั้นไม่มีแล้ว แสดงว่าตอนนั้นของท่านเขาเปิดให้ดูอยู่แป๊บหนึ่ง
              คนจริง ๆ มันเหลื่อมกันอยู่นิดเดียว เหมือนกับว่าเป็นฤทธิ์ที่เกิดจากวิบากกรรม ที่เขาสามารถที่จะปิดทางไว้ไม่ให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเข้าไป เขามีฤทธิ์โดยวิบากกรรม เรียกว่า กัมวิปากะชาฤทธิ์ ที่หัวหน้าลับแลอยู่ ๆ เขาก็แวบมา เราดู เฮ่ย...ไอ้นี่อภิญญาชัด ๆ แต่คราวนี้จะไปท้าแข่งกับเขา เราก็ไม่มั่นใจ กลัวแพ้ เพราะว่าเขาใช้ประจำ คนใช้ประจำจะคล่องกว่าเรา นึกจะไปไหนก็ไป
      ถาม :  เขาออกมาอยู่กับคนไหม ?
      ตอบ:   ไม่รู้จะมาทำไม ? มีอยู่ที่ตะเพิน สมัยก่อนเขาก็มาช่วยงานคนข้างนอกอยู่ ถึงเวลามีลงแขก มีเกี่ยวข้าว เขาก็ออกมาช่วยกันเกี่ยวให้ แต่ไอ้หนุ่มข้างนอกไปเห็นสาวของเขาสวยก็ไปลวนลาม เขาก็เลยไม่มาอีก
      ถาม :  เขามีเผ่าพันธุ์มาก ?
      ตอบ:   ก็ได้ ไม่มีปัญหา เขาก็อยู่ของเขา อย่าลืมว่าเขาไม่ได้มากเท่ากับคนนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเขตที่เหลื่อมกันอยู่อย่างนั้น เขาสามารถขยายได้ ๖-๗ พันล้าน พอ ๆ กับเรา
      ถาม :  มีทีวีไหม ?
      ตอบ:   เขาเห็นว่าเหลวไหลจ้ะ กลายเป็นเพ้อเจ้อไปเลย คือของเขาที่สำคัญคือปัจจัย ๔ นอกเหนือจากนั้นไม่มีความหมาย ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจจะไม่เท่ากับเรา แต่ความเจริญด้านจิตใจเยอะกว่าเราแน่ ๆ ถ้าหากว่าจะไปนิพพานเขาก็ไปได้ ใจเกาะพระนิพพานก็ไปนิพพานเหมือบกับเรา เขาก็เลยต้องแยกไปอีกเขตหนึ่งต่างหาก ถือว่าเล่านิทานให้ฟังก็แล้วกัน อันนี้ยังดีว่าเป็นลับแลมนุษย์
              ถ้าหากว่าลับแลเทวดา สาหัสกว่านี้อีก ย้ายบ้านตามได้ ไอ้เราธุดงค์เดินซะจนลิ้นห้อยเป็นวัน ๆ แล้ว ก็ไปจ๊ะเอ๋บ้านเขาอีก มันเตรียมไปรอใส่บาตร ย้ายบ้านตามได้ เขาเองแค่คิดก็ไปโผล่ตรงโน้นแล้ว ของเราเดินแทบตาย ลับแลมนุษย์นี่ยังไม่กระไรนักหรอก ไม่หลงเข้าไปไม่มีปัญหา ลับแลเทวดาเขาถูกใจขึ้นมาเขาตามไปทำบุญด้วย