ช่วงแรกของเล่ม "มิงกะละบา เมียนมาร์"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ....................................................
      ตอบ:   หรืออยากแก้แค้นอีก ถ้าอยากเกิดอีกนี่ ไม่ไปแล้วนะ อย่างที่แขวนคอมองจะช่วยอะไรมันได้ ไม่มีใครไม่ทำผิดหรอก บอกแล้วว่ามารมันเก่ง เพียงแต่ว่าผิดแล้วอย่าให้มันผิดเลย ผิดแล้วให้แก้ รู้แล้วแก้ไข หลวงพ่อท่านก็บอกแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นพาลนับว่าเป็นบัณฑิต งั้นรู้ตัวว่าตัวเองผิดไปแล้วพลาดไปแล้วก็แก้ไขให้มันถูกซะ อัตตนาโจทยัตตานัง เตือนตนด้วยตนเอง ไม่มีใครเตือนเราได้หรอก ครูบาอาจารย์ไม่มีเวลาจะมาจ้ำจี้จ้ำไชเรามากมายนัก เพราะฉะนั้นก็เหลือแต่สามัญสำนึกหรือมโนธรรมของเราเท่านั้น ที่จะตักเตือนตัวของเราเอง ให้ก้าวหน้าไปยิ่งกว่านั้น ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในแต่ละวัน อย่าลืมว่าเราจะต้องตาย เพราะฉะนั้นจุดมุ่งหมายของเราพลาดไม่ได้หรอก
              ดูอย่างหลวงปู่เมื่อกี้ ท่านเจ้าคุณราชฯ อยู่มากี่ปี นั่นน่ะยังว่าเห็นแข็งแรง ๆ ปุ๊บปั๊บไปแล้ว แล้วก็ไม่ใชว่าแก่แล้วถึงตาย เด็ก ๆ ก็ตายเยอะแยะไป วันก่อนเด็กนักเรียน ม. ๕ ใช่มั้ย นอนดูดไขมันอยู่บนเตียงตายแหงแก๋ไปงั้น อายุเพิ่งจะเท่าไหร่ ? เผลอเมื่อไหร่ตายจริง ๆ ถ้าตายตอนที่ความดีมันยังไม่ถึงที่นี่ก็ทุกข์ระทม ต้องเกิดอีก ยิ่งเกิดมากเท่าไรโอกาสลงอบายภูมิยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เพราะมารเขาเก่งเขาสามารถหลอกให้เราหลงจากจุดหมายได้เสมอ
              เพราะฉะนั้นพยายามตัดทางเกิดให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เข้าใจมั้ย ? ขยันใหม่ได้แล้ว ไม่งั้นมันอยู่ใกล้ ๆ ริมขุมไปเรื่อย ๆ หรือขยับลงกลางขุมไปแล้วก็ไม่รู้ เสียเวลาอยู่ตั้งนาน ถ้านับเวลาตั้งแต่ตะกายออกจากบ้านมาจนป่านนี้ มองย้อนหลังไปไม่มีอะไรก้าวหน้าขึ้นเลย สิ่งที่ทำเป็นล้วนแล้วแต่เป็นเขาให้เราทำ ที่เราอยากทำมีมั้ย ? นึกแล้วหยดหยองมั้ยล่ะ ถ้าวันนี้ตายลงไป ? คิดว่ารอดมั้ยเนี่ย ? เสร็จ เพราะฉะนั้นต้องทวนอยู่เสมอ ๆ วาระและโอกาสมันไม่เปิด อาตมาก็ไม่รู้จะมานั่งเทศน์เรายังไงล่ะ ก็ต้องรอวาระและโอกาสมันเปิดเหมือนกัน
              จำไว้นะ ลีลาของมาร ล่อให้กำหนัด ยั่วให้หงุดหงิด ลวงให้หลงผิด มีอยู่แค่ ๓ ลีลานี่แหละ แต่มันมาเยอะ มันเอาในเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทั้งนั้นแหละมาให้ เผลอเมื่อไหร่เสร็จมัน เจ้าคุณธรรมดิลก วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่ ท่านบอกว่าถ้าดังก็ไม่ต้องหวังความสงบเลย เสร็จนะ เวลาของตัวเองไม่มีหรอก มีแต่เวลาของคนอื่นไปแล้ว ประสบการณ์ ๗-๘๐ ปี เราต้องขอท่าน กว่าท่านจะผ่านมาถึงจุดนั้นได้ ท่านสรุปออกมาว่า ถ้าดังก็ไม่ต้องหวังความสงบ ก็ดูอย่างหลวงปู่สิ ๑๒๐ กว่าแล้วนา ยิ่งอยู่ยิ่งเหนื่อยใช่มั้ย ? ตกลงดีมั้น...ดีมั้ย? เออ...กรรมอยู่แล้ว ร่างกายแข็งแรงอย่างหลวงปู่ ดีสำหรับเรา ดีกับผีอะไร อยู่วันหนึ่งทุกข์วัน ท่านเองท่านก็คงเซ็งเต็มทีแล้วล่ะ จะให้ตายมันก็ไม่ตาย เพราะดันทำที่มันค้ำเอาไว้ซะเยอะ ล้มไม่ลง ไอ้โน่นมันก็คั่วไว้ ไอ้นี่มันก็ค้ำไว้ มันก็อยู่ไปเรื่อยแหละ ตอนนี้จะไปด่ามาร ก็ด่ามันไม่ได้ล่ะ เพราะมันสอนแล้วดันทำนึกถึงหลวงปู่สี ตอนนั้นท่านประมาณ ๑๒๐ คณะลูกศิษย์หลวงไปนิมนต์ท่านไป วัดท่าซุง ท่านก็บอกกูก็อยากไปหรอก ไอ้ที่โน่นที่นี่แบบคนอื่นเขา แต่กูไปไม่ได้ ถามว่าทำไม ? เดินไปถึงตรงร่อง เขาทำกุฏิเป็นร่องไว้หน่อย สมัยโบราณเรียกร่องเยี่ยวร่องแมว ลอดไปถึงก็ลงไป บอกเนี่ยมันเป็นหยั่งเงี้ย มันอั้นไม่ได้ พอถึงเวลารู้สึกปวดต้องฉี่เลย เพราะอยู่มา ๑๒๐ ขวบปีแล้ว ร่างกายมันไม่ไหวแล้วไง กล้ามเนื้อมันไม่อยากทำงานแล้ว แต่คราวนี้ดันไปกินยาอายุวัฒนะเข้าไป ตอนนั้นก็ไม่ได้เจตนาหรอก หลงป่าอยู่หิวจะตายชัก เทวดาเขาถวายก็กินไป ใครจะไปรู้มันจะอยู่นานขนาดนั้น
              ท่านมีครอบครัวมีลูกมีเมีย ทำไร่ไถนาเลี้ยงดูเขาจนกระทั่งมั่นใจว่าเขาเอาตัวรอดได้แน่ ท่านอายุ ๔๐ แล้ว ท่านก็ไปบวชกะว่าตายในผ้าเหลือง ปรากฏว่าอยู่มาอีก ๘๘ ปี คนจะอายุ ๘๘ ยังยากเลย ท่านอยู่มาอีก ๘๘ จาก ๔๐ น่ะ นั่นแหละ กูก็อยากจะไปอย่างที่พวกมึงเรียกร้อง แต่ไปไม่ได้ ถ้าเป็นสมัยนี้คงได้นะ ไอ้แพมเพอร์สมันมี เสียดายหลวงปู่เกิดเร็วไปหน่อย อยู่วันทุกข์วันหนึ่ง อยู่ชั่วโมงทุกข์ชั่วโมงหนึ่ง อยู่นาทีทุกข์นาทีหนึ่ง อยู่วินาทีทุกข์วินาทีหนึ่ง ระยะเวลาที่ผ่านไปมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ชีวิตเราเป็นของน้อยเหลือเกิน ศาสดานอกศาสนาที่ท่านชื่อ อารกะ ท่านบอกว่า ชีวิตเหมือนต่อมน้ำ ฟองน้ำน่ะผุดขึ้นมาก็แตกโป๊ะไปเลย ชีวิตเหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ วูบเดียวก็หายไปเลย ชีวิตเหมือนลำธารไหลจากภูเขา พรวดเดียวก็ผ่านหน้าไป ชีวิตเหมือนโคที่เขานำไปฆ่า ตายแน่ ๆ ไม่พ้นความตายเด็ดขาด ชีวิตเหมือนน้ำค้าง โดนแดดก็ระเหยหมดไปแล้ว ยังจะไปคิดว่า ๑๐๐ ปีน่ะ อายุขัย ๑๐๐ ปีตอนนี้เหลือแค่ ๗๕ ปี ๗๕ ปีนี่มันนานของเรา ลองไปเปรียบกับอายุของหินผา ต้นไม้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเปรียบถึงขนาดอายุของจักรวาล อายุของพรหม เทวดาท่านหรอก มันเศษเสี้ยวธุลีเดียวเท่านั้น จะตายลงไปวันไหนก็ไม่รู้ รอบข้างมีแต่ภัยอันตรายจะพาเราสิ้นชีวิตลงไปได้ทุกเวลา ถ้าไม่ฉวยโอกาสที่มีอยู่น้อยนิดนี่สร้างความดีให้แก่ตัวเองให้มากที่สุด
              การที่จะเวียนตายเวียนเกิดเพื่อทุกข์ทนมันก็จะยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด แล้วการเวียนตายเวียนเกิดมันเหมือนกับทางลาดชัน มีโอกาสที่จะไถลลงได้มากเกิน ๘๐% นึกถึงตรงจุดนี้จะรู้ถึงความน่ากลัวของวัฏฏสงสาร เผลอเมื่อไหร่มันเอา เพราะฉะนั้นใช้เวลาทุกเวลานาทีให้มีค่าที่สุด ทำอย่างไรที่จะให้เราไปให้พ้นมันให้ไกลที่สุด จะลำบากเหนื่อยยากแค่ไหนทุ่มเทให้กับมัน เพราะว่าลำบากแล้วมันสบายตอนปลายมือ อย่าลืมจุดมุ่งหมายของเราว่าเราทำเพื่ออะไร ? จุดมุ่งหมายอื่น ๆ ที่มันหลอกให้เราทำนั่นน่ะ ไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของเรา อยู่ตรงหน้ามีโอกาสก็ทำไป ทำมันให้ดีที่สุด แต่ต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราเกิดเพื่ออะไร ? เราอยู่ตอนนี้เราจะทำอะไร ? จุดหมายข้างหน้าของเราคืออะไร ? ลืมไม่ได้เด็ดขาด ไม่น่าเลยกู...เดี๋ยวเสร็จมันอีก ว่าจะรู้ว่ามันหลอกตามมันไปไกลแล้ว
              มีอยู่สมัยหนึ่ง พยายามเล็งแล้วเล็งอีก ดูแล้วดูอีก ๓ ปีเต็ม ๆ ไม่มีอะไรที่มันหลอกเราได้เลย มารู้ตัวตอนอยู่ก้นเหวพอดี พื้นดินมันทรุดลง ทีละกระเบียดเดียว ไม่รู้หรอกลงไปเรื่อย ลงไปเรื่อย รู้ตัวตอนอยู่กลางเหวพอดี ตอนนั้นระวังตัวที่สุดเลยนะ ศีลทุกสิกขาบททบทวนอยู่เสมอ โดยเฉพาะอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ภิกษุ เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธเจ้าท่านล้อมคอกเอาไว้หมด เหมือนกะกั้นเขื่อน ถ้าเราละเมิดศีลแม้แต่เล็กน้อยเพียงใด มันก็เหมือนกับมีรอยน้ำรั่วขึ้นที่เขื่อน ปล่อยให้น้ำมันออกไปเรื่อย ออกไปเรื่อย เดี๋ยวแรงดันมันเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น มันก็จะแตกทลายไปในเวลาอันรวดเร็ว เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้ ก็ตั้งหน้าตั้งตาระวังรักษาตลอด ๓ ปีเต็ม ๆ คิดว่าเราไม่หลงกลมันแน่ แต่ปรากฏว่ามารู้ตัวเองตอนอยู่ก้นเหวพอดีเลย มันใช้วิธีหลอกที่นิ่มนวลมาก ชนิดที่เราพิจารณาอยู่ตลอดยังไม่รู้ตัวเลย มันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ๆ ถ้าอยู่อย่างนี้มันก็คือทางเรียบนี่แหละ แต่มันเรียบภาษาอะไรของมันไม่รู้ พอรู้ตัวหันกลับไป โอ้โห...ก้นเหวพอดีเลย ตะกายหนีแทบไม่ทัน นั่นขนาดรู้ตัวแล้วมีกำลังใจจะหนีมันนะ แต่รู้สึกตอนนั้นว่ามันสาหัสจริง ๆ ประเภทกลัวจนเหงื่อหยด ทำไมมันหลอกเราได้เก่งขนาดนั้น มาปัจจุบันมันจะหลอกอะไร รับไว้หมด มีปัญญาหลอกมาทำทั้งนั้นน่ะ ทำแค่ตาย ตายแล้วเลิก
              วันนี้พอเราไปเห็นครูบาอาจารย์ตายมา ไปเห็นพระที่อายุยืนตายมา เท่ากับเราได้เห็นความตาย ปรากฎว่ามันไม่ค่อยสลด ก็เลยต้องตีซ้ำ เห็นมันต้องรู้ คิดตั้งแต่ต้นยันปลายแล้ว ไม่ใช่ท่านตาย เราก็ตายเหมือนกัน เขาว่าอะไรนะ มองอ้อล้อลมเล่นดูดั่งเช่นจะสุขสม มิทุกข์ระทมตนเฉกเช่นนั้นนิรันดร์กาล ฤๅเกิดมิตายไปเป็นฉันใดจึงอาจหาญ ไปมองต้นอ้อมันล้อเล่นลม แหมสนุก แล้วไปคิดว่า เอ...มันเกิดแล้วมันไม่ตายหรือไงหว่า ? มันถึงได้สนุกขนาดนั้น ในชีวิตของคนทั่ว ๆ ไปก็แบบนั้น
              อีกอังศุมาลินจะลาถิ่นอันตระการ จวบจนทิวาวารจึงจะกลับมาเยือนยล พระอาทิตย์ก็ยังมีขึ้นมีตก กระนั้นอยู่นานนับเกิดสดับมากี่หน วัฏเวียนวะวกวนมิสิ้นสุดเสมอมา ถามหน่อยระวิเอย สูเจ้าเคยเห็นมั้ยหวา ผู้ใดในใต้ได้หล้าที่ยืนหยัดยะยิ่งยง ขนาดพระอาทิตย์ยังตก แล้วใครมันจะอยู่รอด โครงการตื้นไม้ด่าได้ของท่านเอ วัดอื่นเขามีต้นไม้พูดได้ วัดท่าขนุนมีต้นไม้ด่าได้ ไปอ่านป้ายไหนก็โดนด่าป้ายนั้น เพียงแต่ว่ามันชนตัวเองพอดีหรือเปล่า ถ้าชนพอดีก็ด่ามันชัด ๆ เลย อังศุมาลินเขาหมายถึงดวงอาทิตย์ ชื่นนางเอก...คู่กรรมโกโบริ ฟังเพราะเชียว มันเจตนาตั้งให้ โกโบริคือญี่ปุ่น เขาถือว่าลูกพระอาทิตย์ เพราะฉะนั้นนางเอกชื่ออังศุมาลิน พระอาทิตย์ เชิญจ้ะไม่ต้องหนักใจ เผลอเมื่อไหร่จะช่วยด่าให้
      ถาม :  นอนไม่หลับ หลับตาเห็นภาพตัวเองทำร้ายตัวเอง ตีหัวตัวเอง?
      ตอบ:   ต่อไปถ้าหากว่ามันฟุ้งซ่านมาก ๆ มีคาถาอยู่บทหนึ่ง หลวงพ่อท่านมักจะบอกพระบวชใหม่ ๆ เพราะว่าพระบวชกำลังใจยังไม่มั่นคง โอกาสจะฟุ้งซ่านได้ง่าย หลุดออกจากสมาธิได้ง่าย ท่านให้ภาวนาคาถา อิติ สัมมา สัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง ว่าไปเรื่อย ๆ พักเดียวมันจะสงบแน่ คาถานี่พระพุทธเจ้าท่านบอกมา
              เอา...จด อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง ท่านบอกว่าเป็นคาถาเรียกจิต ไม่ได้ไปเรียกหนุ่มเรียกสาวที่ไหนหรอก เรียกจิตตัวเอง ป้องกันไม่ให้มันฟุ้งซ่าน ภาวนาซัก ๕ นาที ๑๐ นาที พออารมณ์ใจมันทรงตัวแล้วเรา...ภาวนาสิ่งที่เราทำต่อไป อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะจิตตัง
      ถาม :  เอาไม่อยู่จริง ๆ
      ตอบ:   รับรองว่าบทนี้เอาอยู่แน่ ถ้าหากว่าไม่สงบ ไม่สงบนาน ๆ ก็ว่ามันยาว ๆ หน่อย แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเท่าที่เคยปรากฏมา แค่ ๒-๓ ครั้ง ก็อยู่แล้ว ของเราอาจจะสมาธิไม่ค่อยทรงตัว เหมือนกับแกว่งมาก แกว่งมากก็ภาวนามันนานนิดหนึ่ง
      ถาม :  คิดว่าตัวเองบ้าไปแล้ว ?
      ตอบ:   ยังจ้ะยัง ถ้าบ้าไปแล้วมาที่นี่ไม่ได้หรอก ธรรมดา...อย่าลืมว่าเราเป็นนักปฏิบัติ ในเมื่อเราเป็นนักปฏิบัติ เรื่องของมารทั้งห้าเขาก็พยายามที่จะขัดขวางเรา สารพัดวิธีมันจะขวาง อย่าเผลออย่าประมาท อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำภาวนา อยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับนิพพานให้เป็นปกติ หลุดเมื่อไหร่มันเอาเราแน่
      ถาม :  เวลามีโทสะ เราโกรธ จะเอามันออกยังไง ?
      ตอบ:   พยายามพิจารณาให้เห็นจริงว่าโทสะมันเกิดจากอะไร ? ส่วนใหญ่มันก็ไม่พอหูไม่พอตา แล้วก็พาให้ไม่พอใจ สิ่งที่เราเห็นแล้วไม่พอหู ไม่พอตา ทำให้ไม่พอใจ ก็คือคนอื่นทำทั้งนั้น ในเมื่อคนอื่นเขาทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ต้องดูว่าเขาเองปกติ ก็มีความทุกข์อยู่แล้ว แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าตัวเขานอนอยู่ท่ามกลางกองทุกข์ ยังพยายามสร้างสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นโทษ เพื่อซ้ำเติมตัวเองให้มากขึ้นอีก
              คนทั้งหลายเหล่านี้จริง ๆ แล้วน่าสงสารมากกว่าน่าโกรธ เพราะว่าสิ่งที่เขาทำเป็นทุกข์เป็นโทษต่อผู้อื่นยังไม่พอ ยังเป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตัวเองด้วย ผู้ที่กระทำในลักษณะเหล่านั้น สภาพจิตเขายังหยาบอยู่ โอกาสที่จะไปเกิดในอบายภูมิสูงมาก ยิ่งทำมากเท่าไรโอกาสที่จะลงอบายภูมยิ่งมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่น่าโกรธเขาหรอก ควรจะสงสารเขามากกว่า พยายามคิดให้อภัยเขาให้ได้ ให้เห็นว่าธรรมดามันเป็นอย่างนั้น
              บุคคลที่ยังเป็นพาลน่ะ พาละ...พาล แปลว่า ทั้งโง่ทั้งมืด ตกอยู่ในความมืดบอด ไม่รู้สิ่งดีสิ่งใดชั่ว เขาก็มีแต่จะกระทำสิ่งที่ไม่ดี...ไม่ดีเหล่านั้น ยิ่งทำมากเท่าไรแรงกรรมก็ยิ่งซ้ำเติมเขาให้ตกต่ำมากเท่านั้น ในเมื่อเขาเองก็มีความทุกข์ขนาดนั้นแล้ว เราทำไมต้องไปโกรธเขาให้เสียเวลา ไม่ต้องทำอะไรซ้ำเติมเป็นการตอบแทนเขาหรอก แค่คิดก็เป็นโทษแก่ตัวเราแล้ว เพราะเป็นมโนกรรม คำพูดก็เป็นโทษกับเราหนักขึ้นไปอีก เพราะเป็นวจีกรรม ถ้าลงมือทำยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ กลายเป็นกายกรรม กรรมทั้งสามไม่ว่าจะเป็นกาย วาจา หรือใจ พาให้เป็นทุกข์เป็นโทษทั้งนั้น เราไม่จำเป็นต้องซ้ำเติมเขาด้วยความคิด
              ในเมื่อเราให้อภัยเขาได้จิตใจของเราก็ปลดออก ปล่อยวางได้ มีความเบาสบายไม่ไปยิดติดอยู่ตรงนั้น เราก้าวพ้นจากครานั้นมาแล้ว ก็มีแต่จะหนีมันไปให้ไกล ๆ
              มีอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเพิ่งจะอยู่ที่เกาะพระฤๅษีปีแรก กำลังทำการก่อสร้างอยู่ คราวนี้จ้างช่างมาทำห้องกระจกที่ศาลาหลังโบสถ์เหล่านั้น ปรากฏว่าช่างมันรับทั้งค่าของค่าแรงไปหมดแล้ว ก็ไปนั่งตีไพ่จนหายเกลี้ยง แล้วมันก็เบี้ยวไม่มาทำงาน ตอนนั้นมันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าไอ้เจ้านี่มันไม่รู้ว่ากูเป็นใคร
              สมัยก่อนมีคติประจำใจว่า เราไม่ทำอะไรเขาก็นับเป็นบุญของเจ้า ถ้าใครมาทำอะไรเรา มันซวยแน่ ๆ นี่สมัยก่อนความคิดแรงขนาดนั้น แล้วทำจริง ๆ ด้วย พอคิดว่ามันไม่รู้แล้วว่ากูเป็นใคร เพราะงั้นพรุ่งนี้จะไปเหยียบมันให้ดู ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ พอตอนเช้ามืดยกกำลังใจขึ้นไปกราบพระข้างบน ท่านตรัสว่า “บุคคลที่ประกอบไปด้วยจิตกุศล เมื่อปฏิสนธิคือเกิดแล้ว ก็เร่งตั้งหน้าตั้งตากอปรกองบุญการกุศล เพื่อส่งตนให้พ้นจากบาปยิ่ง ๆ ขึ้นไป ตราบจนกระทั่งหลุดพ้น บุคคลที่จิตประกอบด้วยอกุศล เมื่อปฏิสนธิแล้วความมืดบอดของกรรม ก็พาให้เขาทำแต่สิ่งชั่วช้าซ้ำเติมตัวเองให้ตกต่ำลงไปทุกที” แล้วพระองค์ก็ตรัสว่า เราก้าวข้ามจุดนี้แล้ว ยังจะย้อนกลับไปอีกหรือ ? ฟังแล้วได้ความคิดจะไปเหยียบมันนี่หายจ้อยไปเลย เท่ากับว่าเราลงนรกด้วยความเต็มใจเอง พระด่านี่เพราะนะ ไม่มีคำหยาบแม้แต่คำเดียว ๑๐ ปีแล้วยังจำขึ้นใจเลย
              หมั่นคิดทบทวนลักษณะนี้บ่อย ๆ ให้เห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิด เขาทำอย่างนั้นเขาต้องเกิดอีกนาน เขาต้องทุกข์อีกนาน เราไม่ต้องโกรธเขาหรอก ไม่ต้องเสียเวลาไปซ้ำเติมเขาด้วยกาย วาจา ใจ หรอก แค่นั้นมันก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว นรกแต่ละขุมกว่าจะรอดออกมาได้ระยะเวลามันยาวนานเหลือเกิน โอกาสจะพบพระพุทธเจ้านี่แทบจะเป็นศูนย์ไปเลย ในเมื่อเขาเองก็ทำกรรมหนักขนาดนั้นแล้ว แล้วยังมาซ้ำเติมตัวเองด้วยการทำในสิ่งที่ทำให้เราไม่พออกไม่พอใจอยู่
              ธรรมดาของบุคคลที่มืดบอด เขาก็มีการกระทำที่ไม่ดีแบบนั้น ในเมื่อธรรมดาของมันเป็นแบบนั้น เราเอง เราก็อย่าไปยุ่งไปเกี่ยวกับมันเลย พยายามแผ่เมตตาไปเรื่อย ๆ แรก ๆ ให้คนที่เรารักก่อน จนกระทั่งกำลังใจทรงตัวมั่นคงก็แผ่เมตตาให้คนที่เรารักน้อย ต่อไปก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายโดยถ้วนหน้า ให้แก่คนที่เราเกลียดน้อย ให้แก่คนที่เราเกลียดปานกลาง จนกระทั่งให้คนที่เราเกลียดมากได้ เวลาเจอหน้าคนที่เราเกลียดมาก ๆ แล้วไม่มีความรู้สึก ไม่มีความหวั่นไหว เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตายเหมือนกันกับเรา ปกติเขามีความทุกข์อยู่แล้ว ก็เป็นไปได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เราจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ได้ เราก็จะทำ ถ้าสร้างกำลังใจแบบนี้ได้ต่อไปสบาย
              พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารักราหุลลูกเขาเราเท่าไหร่ เราก็รักเทวทัตเท่านั้น คนอื่นเขาต้องคิดว่าโกหกแหง ๆ เลย ศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดกับลูกที่รักที่สุด ท่านบอกว่าท่านรักเท่ากัน แต่ว่าถ้าเราทำถึงสักส่วนเสี้ยวหนึ่งของเมตตาบารมีที่แท้จริง เราจะรู้ว่าพระองค์ท่านตรัสออกจากใจจริงแท้ จิตใจของพระองค์ท่านเป็นอัปปมัญญา คือหาประมาณไม่ได้ ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง ไม่มีอคติลำเอียง ไม่ว่าจะลำเอียงด้วยรัก ลำเอียงด้วยโกรธ ลำเอียงด้วยกลัว ลำเอียงด้วยความหลง ไม่มีเลย
              สรรพสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ที่ท่านควรจะมีความกรุณาด้วยทั้งสิ้น ในเมื่อกำลังใจของท่านหาประมาณไม่ได้ขนาดนั้น ท่านถึงได้ตรัสได้เต็มปากเต็มคำ ว่าเรารักราหุลลูกของเราเท่าไหร่ เราก็รักเทวทัตเท่านั้น เราไม่ต้องเอาถึงขนาดนั้นหรอก เอาแค่ว่าคนที่เราเกลียด เราสามารถให้อภัยเขาได้ก็พอแล้ว
              บุคคลที่ตั้งหน้าทำความดีอย่างเช่นพวกเรายังมีความทุกข์ขนาดนี้ ขึ้นชื่อว่าคนแล้วจะไม่ทุกข์น่ะไม่มี เกิดเมื่อไรก็ทุกข์เมื่อนั้น เพราะฉะนั้นพยายามไปให้พ้น มันจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาเกิดอีกทุกข์อีก
      ถาม :  (เรื่องหมา)..................................
      ตอบ:   ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะขอดูใต้คางเขาหน่อยว่าเขามีขนกี่เส้น จะมีตุ่มอยู่ตุ่มหนึ่ง แล้วมีขนแข็ง ๆ ยาว ๆ อยู่ใต้คางตรงนี้ ถ้าหากว่ามีขนเส้นหนึ่ง สองเส้น สามเส้น ส่วนใหญ่มาจากเทวดาหรือพรหม พวกนี้รู้ภาษาทุกตัวแหละ พูดอะไรเขาก็รู้ เส้นยาว ๆ แข็ง ๆ น่าไปเห็นปุ๊บก็เข้าใจแล้วล่ะ ถ้า ๔ เส้นขึ้นไปเริ่มดื้อ ถึงฟังรู้เรื่องแต่ว่ามันดื้อ ถ้าหากว่าขนเส้นเดียว หลวงพ่อบอกว่าเป็นราชาหมา ไปที่ไหนมาตัวอื่นจะกลัว
              ในชีวิตเคยเจออยู่แค่ ๒ ตัว ยังไม่เจอตัวที่ ๓ ทั้ง ๒ ตัวอยู่ที่วัดท่าซุง ตัวแรกชื่อเจ้ามะดัน มันแสบขนาดเขาเลยเรียกไอ้มะดัน ขนมันสีแดงแปร๊ดเลย แต่มันแดงทั้งตัวนะ แดงแบบคุณทองแดงนี่แหละ แต่มันแดงทั้งตัว คิดดูเป็นลูกหมานะอายุมันยังไม่ถึง ๒ เดือนเลย เวลากินอาหารนี่หมาใหญ่เข้ามา มันไล่กัดเขากระจายเลย แล้วหมาอื่นต้องหนีมันด้วย แต่ปรากฏว่ามันเก่งเกินไป เป็น distemper-หัดหมาตายเสียฉิบ แล้วลูกแม่นวล ไอ้ครอกนั้นไม่มากหรอก ๑๑ ตัว ตายเกลี้ยงเลย อีกตัวหนึ่งก็ตี๋น้อย หมาของท่านตี๋ โดนรถชนอยู่ข้างถนน ท่านตี๋ก็เมตตามัน อุตส่าห์เอาน้ำมันชาตรีไปทาให้ ไปหยอดให้ หาข้าวให้มันกิน พอหายเจ็บมันก็ตามต้อย ๆ มอบกายถวายชีวิตเลย เขาก็เลยเรียกไอ้ตี๋น้อย อีคราวนี้มันมอบกายถวายชีวิตอะไรเราก็ไม่ว่าหรอก มันรักเจ้านายขนาดออกไปบิณฑบาตด้วย แล้วพอเดินเข้าไปในหมู่บ้านแล้วมันจะเหลือเรอะ หมาแปลกหน้าไป ในหมู่บ้านมันก็แห่เข้าไปเป็นสิบ ๆ ปรากฎว่าไอ้ตี๋น้อยนอกจากไม่กลัวแล้ว มันยังโดดใส่เขาซะอีก หมาอื่นกระจายหมดทั้งฝูงเลย เราเองพอเห็นเข้าหลาย ๆ ทีก็แปลกใจ ก็เลยไปขอดูใต้คางมันมีขนเส้นเดียวจริง ๆ อย่าลืมนะเส้นเดียว สองเส้น สามเส้น นี่เขามีที่มาจากพรหม จากเทวดานะ ถ้าหากว่าเจ้าของบารมีต่ำกว่า เขาจะไม่อยู่ด้วย เขาจะหนีไปอยู่กับคนอื่น ใครเลี้ยงหมาแล้วหนีนี่พิจารณาตัวเองได้เลย เลวกว่าหมาจริง ๆ
      ถาม :  แล้วอย่างหมาลิ้นดำ ?
      ตอบ:   พวกลิ้นดำนี่ โบราณเขาเชื่อว่างูกัดไม่ตาย แต่จริง ๆ แล้วตายเหมือนกัน แต่ว่าอาจจะเป็นของดีประจำตัวเขาก็ได้ ให้สังเกตไว้อย่างหนึ่ง หมา แมวดำหากว่า ดำทั้งตัว ลิ้นดำ เล็บดำด้วย หายากมาก ถ้าแมวนี่ก็เป็นพันธุ์นิลรัตน์ นิลรัตน์นี่ก็คือแก้วสีดำ แมวขาวทั้งตัวน่ะ แล้วก็ประเภทว่าตาแดง จมูกแดง เล็บแดง อะไรพวกนั้น เขาเรียกขาวแก้วมณี จะเป็นพันธุ์แก้วมณี นิลรัตน์กับแก้วมณี ถ้าหมาดำทั้งตัวประเภทลิ้นดำ เล็บดำด้วยนี่ยังไม่เคยเจอเลย แต่แมวที่เคยเจอมาแล้ว นาน ๆ เกิดทีหนึ่ง พวกที่มีอะไรผิดปกติจากเขา เป็นจุดเด่นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติโน่นแน่ะ
              อย่างคุณเอียงนั่นน่ะ นั่นตาเป็นแก้วทั้งสองข้างเลย คุณเอียงนั่นพันธุ์เก้าแต้ม พันธุ์เก้าแต้ม เคยนึกมั้ยว่ามันจะมีสีขนาดนั้นน่ะ ดำทั้งตัวไม่ว่า เล็บมันดำด้วย ลิ้นมันดำด้วย แหมถ้าไก่ดำจะไม่ว่าซักคำ ไก่ดำมันดำทั้งตัวจริง เนื้อดำ กระดูกดำ
      ถาม :  .............(ไม่ชัด)....................
      ตอบ:   ก็บางทีมันเป็นปาน แต่ถึงขนาดดำทั้งลิ้นไม่มี ก็อย่างพระนเรศวรไง เขาเรียกเจ้าชายลิ้นดำ ของพม่าเขาเรียกอย่างนั้น เพราะว่าลิ้นท่านเป็นปาน แล้วไอ้แฝดจอมแสบของกระเหรี่ยงก๊อดอามี่นั่นน่ะ ลูเธอร์กับจอห์นนี่ นั่นก็ลิ้นดำ เขาถึงได้เชื่อว่าเป็นของที่พระเจ้าส่งมา ไป ๆ มา ๆ เด็กพระเจ้าส่งมาอดข้าวมาก ๆ ยอมโดนจับดีกว่า ไม่มีจะกิน ทางฝั่งพม่ามันก็ต้อนไม่มีที่จะไป ฝั่งไทยก็ประเภทบล็อกเอาไว้จนไม่มีที่จะปล้นหาของกินไปได้ ก็เลยต้องยอมแพ้ ตอนนี้น่าจะอยู่สหรัฐซะมั้ง ไทยเรามันก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง จะปล้น จะฆ่าจะอะไรมากันก็ตาม ถ้าหากว่าจับกันได้ก็ยังอุตส่าห์เห็นแก่มนุษยธรรมมั่ง ถ้าเป็นทหารพม่าป่านนี้มันเจี๋ยนไปละ...มีอะไรที่เป็นสัญลักษณ์พิเศษ มักจะเป็นพระโพธิสัตว์มาเกิด
      ถาม :  ทำไมต้องเป็นสีดำ ?
      ตอบ:   ก็พูดถึงว่าดำเลยไง ดำเลยมันมี อย่างช้างเผือก ๑๐ ตระกูล จะมีอุโบสถหัตถี สีกายเหมือนทองคำ ฉัตทันต์หัตถี สีกายเหมือนแผ่นเงิน ปัณฑรหัตถีสีขาวเหมือนสังข์ขัด ตามพหัตถี สีกายเหมือนทองแดง คังไคยหัตถี สีเหมือนน้ำไหล คงจะดำระยับเลย ปิงคลหัตถี เขาว่ามีกลิ่นกายหอมเหมือนแก่นไม้กฤษณา ไล่ไปเรื่อย ๆ ๆ จนกว่าจะครบ ๑๐ ตระกูล และแต่ละตระกูลนี่ ตั้งแต่อุโบสถหัตถี ไล่ลงมา ๆ จะมีกำลังเหนือตระกูลอื่นเป็น ๑๐ เท่า ๑๐ เท่าตลอด
              ถ้ามาถึงประเภทช้างปกตินี่ อุโบสถหัตถีนี่จะมีกำลังเท่ากับช้างปกติ ๑๐๐ เท่า ก็ในชีวิตน่ะยังไม่ได้เห็นช้างเผือกจริง ๆ จัง นอกจากของพม่ากับลาว ของเรานี่ยังไม่เห็นจริง ๆ ของพระนี่ก็นางพญาคำแก้วมิ่งเมืองลาวนั่นตามพหัตถีสีทองแดงแจ่มจ้าเลย ขนทุกเส้นยังกะลวดทองแดงใหม่ ๆ เลย ตอนที่สมเด็จพระเทพฯ เสด็จไปครั้งแรก เขาพาไปดู อายุคงประมาณซัก ๒-๓ ปี ยังไม่ถึง ๕ ปี งามจริง ๆ แล้วมาตอนหลังเขาได้พระยาไชยมงคลมาอีกตัวหนึ่ง พระยาไชยมงคลนี่เป็นช้างเลี้ยงของชาวบ้านมานานถึง ๓๐ ปีแล้ว
              คราวนี้ขอลาวเขาก็เหมือนของไทยสมัยก่อนก็คือว่า พอใช้งานจนถึงหน้าฝน ทำงานไม่ได้แล้วก็ปล่อยเข้าป่าไปหากิน ช้างที่ปล่อยเข้าป่าเขาจะมีโซ่พันคอไปด้วย ถึงเวลาได้เดินไปหาตามเสียงใช่ไหม ปรากฏว่าเขาก็ทำอย่างนั้นมาทุกปี ถึงเวลาก็ไปตามคืน ๆ ปรากฏว่าปี ๓๐ นี่ไปตามคืนมากลายเป็นช้างขาวจ๋องทั้งตัวเลย ตอนแรกเขาสงสัยอยู่อย่างเดียวว่า ช้างตัวนี้เฉลียวฉลาดมาก ควาญพูดอะไรไม่ต้องบังคับเลย เขาเข้าใจและทำตามได้ แล้วลักษณะท่าทางสง่างาม เวลาเดิน เวลาอะไรจะอยู่คนเดียวเดี่ยวโดดจะไม่เข้าร่วมฝูงกับใคร แล้วเวลาผ่านช้างอื่น ช้างอื่นจะหลีกให้หมด เขาก็รู้อยู่แค่นั้น
              ปรากฏว่าพอตามกลับมากลายเป็นช้างขาวเผือกผ่องไปทั้งตัว เขาก็เลยเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้แม่ช้างเห็นตั้งแต่แรกว่าลูกตัวเองเป็นช้างเผือก ก็เลยกลัวว่าจะเป็นอันตราย เพราะว่ามนุษย์เห็นเดี๋ยวเสร็จแน่ ก็คงไปหาพวกยางไม้พวกอะไรมาพ่นเสียจนดำปี๋ไปทั้งตัว อีคราวนี้...ก็คงมีอายุซัก ๓๐ ปีอะไรอย่างนั้น แล้วยางมันก็เสื่อมสภาพ เสื่อมสภาพไปโดนโคลนโดนเลน โดนอะไรมามั่ง ลอกหลุดหมด ขาวผ่องไปเลย ก็เลยขึ้นระวางเป็นช้างดีอยู่ทางเมืองลาว