ช่วงแรกของเล่ม "เส้นทางพระโพธิสัตว์"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๕(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ........................................................
      ตอบ:   โฆษกเทพบุตร เขาเคยเป็นคนจนมาก่อน เสร็จแล้วก็อพยพหนีภัยแล้ง ลูกก็เอาไปปล่อยให้อดตายอยู่กลางทาง ไปถึงบ้านของเศรษฐีต่างเมืองไปของานเขาทำ เศรษฐีกำลังกินข้าวมธุปายาสอยู่ ก็สั่งให้คนใช้เอาข้าวมาให้เขากินหน่อย อีตานี่ได้ไปก็จ้ำเสียเต็มที่เลย เพราะตัวเองอดมานานกินหมด เมียเห็นผัวหิวมาก ก็เลยส่งส่วนของตัวเองให้ ผัวก็กินหมดไปด้วย กินไปก็มองไป เศรษฐีก็กินข้าวมธุปายาสอยู่ เขาก็เลี้ยงหมาไปด้วย เขาอิจฉาหมาน่ะ ประเถทว่าเราเป็นคนแท้ ๆ ไม่ได้กินอย่างมัน มันเป็นหมา มันยังได้กินเลย คิดไปคิดมาตัวเองกินมากไปอาหารย่อยไม่ทัน...ตาย ความที่จิตมันจับหมาอยู่ อิจฉาหมาอยู่ ก็เลยไปอยู่ท้องหมา เกิดมาเป็นลูกหมาโทนตัวเดียว เศรษฐีเขารักมาก เขาก็เลี้ยงเอาไว้
            คราวนี้เศรษฐีเขาจะนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามารับภัตตาหารที่บ้านเป็นประจำ ถึงเวลาก็ไปนิมนต์ ลูกหมามันก็วิ่งตาม ตามไปตามมาจนกระทั่งมันจำทางได้ก็ไปเอง นิมนต์เอง ไปถึงก็เห่าเรียก พอพระปัจเจกพุทธเจ้าท่านมา มันก็พาไป ถ้าหากว่าถึงที่รกที่อะไร ก็คอยเห่ากรรโชกดู เผื่อมีสัตว์ร้าย จะได้ไม่มาทำอันตรายพระปัจเจกพุทธเจ้าท่าน บางทีท่านแกล้งลองใจเดินถึงทางแยก ท่านแกล้งเลี้ยวผิด มันก็งับสบง ดึงให้ไปให้ถูกทาง เขาทำบุญด้วยเสียง
            คราวนี้พอออกพรรษา พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็ไม่จำพรรษาอยู่ตรงนั้น กลับไปภูเขาคันธมาส เป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้ารวม ๆ กันเป็นแสน ๆ องค์ พอท่านลาเศรษฐีแล้วเหาะไป ไอ้หมาน้อย ! ก็เสียใจตายไปเลย ไปเกิดเป็นโฆษกเทพบุตร อานิสงส์ที่ทำบุญด้วยเสียง เขาบอกว่าถ้าพูดปกติได้ยินไปไกลหนึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์นี่มัน ๑๖ กิโลน่ะ เด็ก ๆ เคยท่องไหม ๒๐ วาเป็น ๑ เส้น ๔๐๐ เส้น เป็น ๑ โยชน์ ๔๐๐ เส้นนี่มันต้อง ๘,๐๐๐ วา ก็ ๑๖,๐๐๐ กิโลพอดี บอกว่าถ้าพูดเต็มเสียงนี่ ได้ยินทั่วดาวดึงส์ แล้วดาวดึงส์มันแคบ ๆ ซะเมื่อไหร่ ใหญ่กว่ากรุงเทพหลายล้านเท่า
      ถาม :  เรื่องเกี่ยวกับคาถาสมัยก่อน....?
      ตอบ:   สมัยนี้ก็ขลัง สำคัญว่าโยมทำจริงมั้ย ? เรื่องของเวทย์มนต์คาถามันเป็นบาทของอภิญญา คนจะทำอภิญญาต้องเป็นคนเด็ดขาด จริงจัง สม่ำเสมอ ไม่ย่อท้อ สมัยนี้บอกให้ไปท่องคาถา หลวงพ่อท่านมีคาถาอยู่บท เรียกว่า คาถาเงินล้าน ถ้าหากว่าใครท่องจะรวย ท่านบอกว่าอย่างน้อยให้ท่อง ๗ จบ ๙ จบ โยมหลายคนมาบ่น บอกอยากจะรวย ถามว่ารู้จักคาถาเงินล้านมั้ย ? รู้...แล้วเคยท่องมั้ย ? เคย ท่องวันละกี่จบ ? หนึ่งจบ มันน่ารวยอยู่หรอก อาตมาบอกไปท่องไม่ต้องมาก วันละ ๑๐๘ หรือ ๓๐๐ จบก็ได้ เขาถามแล้วอาจารย์เคยท่องวันละกี่จบ ? บอกเคยท่องสูงสุดประมาณ ๑,๒๐๐ มันหมดวันซะก่อน คือท่องกันแบบเอาคุณภาพ ไปช้า ๆ อย่ารีบ เหมือนกับกินข้าว ค่อย ๆ เคี้ยวหน่อย เอาคุณภาพ ว่าไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ ใจไม่ต้องไปนึกอะไร คิดว่าเราทำเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ของที่ดีที่สุดที่ครูบาอาจารย์ให้มา หน้าที่ของเราคือท่องบ่นเป็นการรักษาไว้ ถ้าเราทำอย่างแบบนี้ จริงจัง สม่ำเสมอ ไประยะหนึ่ง ผลที่มันสะสมตัวมามันจะเริ่มเกิดมันก็จะส่งให้ จุดที่คาถาให้ผลจริง ๆ ก็คือ กำลังใจของเราที่เป็นสมาธิ ยิ่งท่องเป็นสมาธิสูงเท่าไหร่ คาถายิ่งให้ผลมากเท่านั้น
            สมัยก่อนเขาท่องกันจริงจังสม่ำเสมอ อาตมาเคยรู้จักอดีตโจรคนหนึ่ง แก่มากแล้ว เรียกแกว่า ลุง ถามว่าสมัยของลุงทำไมมันหนังเหนียวกันเยอะแท้ สมัยของพวกผมไม่เห็นได้อย่างลุงเลย บอกไอ้หนูลุงถึงจะเป็นโจร แต่ถ้าหากว่ารู้ตัวเมื่อไหร่ต้องรีบภาวนา เพราะเราไม่รู้ว่าเจ้าทรัพย์จะฆ่าเราหรือเปล่า ? ไม่รู้ว่าตำรวจจะยิงเราหรือเปล่า ? ว่างเมื่อไหร่ต้องภาวนา โอ้โห...ยิ่งกว่าพระอีก เพราะฉะนั้นเขาทำกันอย่างจริงจังสม่ำเสมอ และพวกนี้เขามีสัจจะ คำว่ามีสัจจะ อย่างโจรสมัยก่อนไปปล้น เขามีสัจจะอยู่ ถ้าหากว่าเป็นของที่เขาใช้อยู่จะไม่เอา เอาเฉพาะของที่เขาเก็บ เป็นของที่เขาเก็บก็จะไม่เอาหมด เอาครึ่งหนึ่ง เอาหนึ่งในสาม อะไรอย่างนี้ ถ้าหากเป็นของทำบุญนี่ จะไม่แตะต้องเลย
            อาตมาอยู่นครปฐม มีโจรดังอยู่คนหนึ่ง คือ เสือผาด ทับสายทอง วันนั้นแกตั้งใจจะไปปล้นโรงสี ปักป้ายล่วงหน้าไว้ ๗ วัน ถึงวันนั้นฉันไปปล้นแน่ ถ้าอยากจะสบาย ๆ ก็เก็บเงินเก็บทองใส่กำปั่นรอไว้ ถึงเวลาไปหิ้วเสร็จ ก็จะไปเลย ไม่รบกวนอะไร ถ้าคิดจะสู้ ก็ไปหาคนมา ไปแจ้งตำรวจมาจะได้ฟัดกัน ปรากฏว่าเข้าไปถึงในงาน เถ้าแก่โรงสีกำลังบวชลูกชายอยู่ เสือผาดแทนที่จะได้สตางค์ ต้องควักตัวเองไป ๘๐๐ ไปให้เขา ถ้าทำบุญอยู่เขาไม่ยุ่งเลย แล้วอีกอย่างถ้าไปบ้านไหน เขาเคยให้ข้าวให้น้ำกิน เขาถือเป็นผู้มีบุญคุณ ให้อาหารเป็นการต่อชีวิต เขาจะไม่รบกวนบ้านนั้นอีกเลย
            สมัยนี้ไม่มีหรอก มันปล้นกระทั่งพ่อแม่ตัวเอง ข่าวหนังสือพิมพ์ ดูหรือเปล่า มันเป็นสายให้เขาไปปล้น ให้เขาไปขโมยบ้านตัวเองก็มี ในเมื่อไม่มีความจริงจัง ความสม่ำเสมอ ขาดสัจจะ เรื่องเหล่านี้ทำไป ก็ไม่มีผล สมัยก่อนสัจจะเขามี ครูบาอาจารย์ห้ามอะไรเขาจะทำตามนั้น ห้ามด่าแม่คนอื่น ห้ามลอดราวผ้า ลอดใต้ถุนบ้าน เขาทำกันอย่างนั้นเลย
            ปัจจุบันอาตมาก็เจอหลายคน เดิน ๆ ไป เห็นเขามองโน่นมองนี่ เลยถามว่าทำไม ? ระวังอยู่ กลัวจะไปลอดอะไรเข้า ถ้าอย่างนั้นเอ็งไม่ต้องเข้ากรุงเพท เข้ากรุงเทพเมื่อไหร่ สะพานลอยเพียบ (หัวเราะ) เดี๋ยวมันก็ลอดจนได้ ทำให้จริง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของคนจริง ต้องทำจริงจัง แล้วจะมีผล ส่วนใหญ่ไปทำ ๆ ทิ้ง ๆ ยังไม่ทันจะเกิดผลก็ท้อเสียก่อน
      ถาม :  มันเกี่ยวกับคนสมัยก่อนเป็นคนดีหรือเปล่า เพราะว่าคนสมัยก่อนเวลาว่างเขาเยอะ และการทำมาหากินเขาก็ไม่เบียดเบียนคนอื่น สมัยนี้ต่างคนต่างเบียดเบียนกัน ?
      ตอบ:   ความรัก โลภ โกรธ หลง เกิดขึ้นได้ง่ายกว่า เพราะแรงกระตุ้นมากกว่า สมัยก่อนคนอยู่ใกล้ชิดวัด อยู่ในศีลในธรรม รุ่นของอาตมาถึงแม้จะไม่ถึงรุ่นของโยม แต่อาตมาก็ยังทันในยุคที่โรงเรียนปิดวันโกน วันพระ แล้วสมัยนี้มีซะที่ไหน อาตมาขึ้นชั้น ป.๓ ต้องไปไล่ถามพี่สาวตลอดว่าเมื่อไหร่จะวันอาทิตย์ ไม่รู้จักจริง ๆ เสาร์-อาทิตย์ มันเป็นยังไงเพราะของเราใช้ ขึ้น-แรม ปิดวันโกน-วันพระมาตลอด โรงเรียนก็คือวัด วัดก็คือโรงเรียน นักเรียนคลุกอยู่กับวัดตลอด ทันทีที่เขาแยกวัดออกจากโรงเรียน ความบรรลัยก็เริ่มเข้ามาตอนนั้น
            ปัจจุบันโรงเรียนดัง ๆ ในกรุงเทพ จะเหลือแต่โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนเทพลีลา คำว่า “วัด” ตัดทิ้งหมด คำว่า “วัด” มันน่ารังเกียจ ถึงขนาดเอาเป็นชื่อโรงเรียนก็ไม่ได้ แล้วจะให้เด็กมีความดีมาจากไหน แล้วยิ่งมาถึงปัจจุบัน ในเมื่อตัวเองไม่มีความดีอะไร พอบวชเข้าไปเพื่อศึกษา ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ประเภทเดียวกันเข้า ก็เลยยิ่งเละกันเข้าไปใหญ่ แล้วที่น่าเวทนาที่สุดก็คือ ครูบาอาจารย์ประเภทเอาจริง เอาจัง พ่อแม่เขาเอาลูกไม่ไหว ก็ยัดเข้าวัดไป กะว่าวัดนี่สามารถเปลี่ยนลูกตัวเองได้เลย ตัวเองเลี้ยงลูกมาอย่างน้อย ๒๐ ปี เอาดีไม่ได้ ต้องส่งเข้าวัดไปบวช ๗ วัน ๑๕ วันสึกออกไปจะให้ลูกกลายเป็นคนดี เป็นไงรสชาติของชีวิต เป็นครูบาอาจารย์ระดับนี้ อาตมาจะหัวหงอกอยู่ทุกวันนี้ มันต้องช่วยกันตั้งแต่แรก พ่อแม่ เขาเรียกบูรพาจารย์ ครูบาอาจารย์คนแรก ถ้าหากพ่อแม่ไม่ตั้งหน้าตั้งตาอบรมลูกก่อน จะไปหวังพึ่งครู หวังพึ่งพระ นี่ลำบาก รุ่นของหนิงนี่ยังดี ต่อไปถ้าเราเผลอจะมีลูกเมื่อไหร่ จะเอาลูกไม่อยู่ ที่เอาไม่อยู่เพราะว่าสิ่งล่อใจข้างนอกมันเยอะ แล้วเด็ก ๆ ถ้าหากไม่ได้รับการอบรมให้มีจิตสำนึกมาก่อน ก็จะคล้อยตามไปได้ง่าย ยิ่งคล้อยตามง่ายเท่าไหร่ โอกาสที่จะพังมันก็มาเร็ว
            ปัจจุบันในวัดมีโทรทัศน์อยู่ ๑ เครื่อง ให้แม่ชีเขาเอาเข้าห้องลงกุญแจไป ๑๐ เดือน เต็ม ๆ แล้ว อาตมาย้ายไปอยู่วัดนั้นได้ปีหนึ่งพอดี ครบปีวันนี้พอดี ยึดโทรทัศน์เขาเก็บไป ๑๐ เดือนแล้ว ห้ามมีเด็ดขาด ที่มีเก็บซะ เกรงใจอยู่อย่างเดียวไม่เอาไปจำนำ ให้มันขาด มันทำร้ายจิตใจกันเกินไป ไม่อย่างนั้นแล้วกระทั่งเด็กวัดก็ดี แม่ชีก็ดี เณรก็ดี ไม่เป็นอันทำงาน วัน ๆ เอาแต่นั่งเฝ้าหน้าโทรทัศน์ เสร็จแล้วไปนั่งตาลอย อยากจะเป็นอย่างนางเอก พระเอกเขามั่ง มันน่าเขกกะโหลกมั้ยล่ะ ? กิจที่นักบวชควรจะทำเขาไม่ทำ
            สมัยอยู่ที่เกาะพระฤๅษีก็เหมือนกัน ท่านตู่ สมัยนั้น “อาจารย์ลงจานซักใบสิ ?” บอก “กูลงไว้ตั้งสิบโหลมึงไม่พอใช้รึไง” มันจะเอาจานดาวเทียม แต่เราเอาจานกินข้าว ซื้อไว้ตั้ง ๑๒๐ มันยังจะเอาจานอีกใบ พวกเรื่องเหล่านี้จริง ๆ แล้วเราไม่ได้ปิดกั้น แต่ว่าตัวเขาเองนั้นแหละ ที่จะทนกระแสโลกไม่ได้ ตอนแรกขอโทรทัศน์อ้างว่าจะดูข่าว ไป ๆ มา ๆ เดี๋ยวก็เผลอไปดูละคร ดูละครไม่สะใจเดี๋ยวก็ซื้อวีดีโอมาเพิ่มเข้าไปดู วีดีโอมาเมื่อไหร่เดี๋ยวหนังโป๊มันตามมา อย่าคิดว่าพระเขาไม่ดูนะ บรรดานักบวชระยำที่มันดูเป็นปกติมีเยอะเลย ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์ไม่เข้มงวดด้วยแล้ว ดีไม่ดีอาจารย์น่ะเป็นไปด้วย
            เรื่องเทคโนโลยีเราปฏิเสธเขาไม่ได้ ความเจริญของโลกเป็นเรื่องปกติ เราปฏิเสธเขาไม่ได้ แต่เราต้องอยู่กับเขาอย่างมีสติ ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ให้มันเป็นเครื่องมือในการหนุนเสริมธรรมะให้เจริญ แต่ไม่ใช่ให้มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของชีวิต ขาดไม่ได้มันจะตาย
      ถาม :  อย่างพ่อเขาจะจดจ่อกับงาน แต่วางไม่ได้แล้วเขาก็จะเครียด
      ตอบ:   นั่นมันเรื่องปกติ คนที่ตั้งใจทำอะไรระยะเวลายาวนาน ร่างกายคนก็เหมือนกับรถ พอขับมาก ๆ เครื่องมันร้อน ก็น็อคได้เหมือนกัน มีอยู่อย่างว่าถ้าเราทำใจได้ เวลางานให้อยู่กับงาน หัวทิ่มหัวตำไปเลย ไม่มองโลกภายนอกเลยก็ได้ คนเดินผ่านข้างตัว ไม่รู้ว่าใครก็ช่างมัน แต่เวลาเลิกแล้วให้กองงานไว้ตรงนั้นเลย ไม่อย่างนั้นแล้วเครียดตายเลย เราเองจะมานอน หัวก็ยังมาคิดอยู่แต่เรื่องงานไม่ไหว ถ้าหากว่าอยากหลับให้หัดภาวนา โอ้โห ! เป็นเรื่องที่มันมาก ภาวนามันเหมือนกับยานอนหลับ เราพยายามจะตั้งใจรู้ลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้า “พุท” ผ่านจมูกลงไปกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง ออก “โธ” จากท้องมาอก มาจมูกตั้งใจจะจับ ไม่ต้องมากหรอกให้มันได้ ๒๐ ครั้ง ไม่เคยจับถึงหรอก มันจะชิงหลับเสียก่อน เป็นเรื่องแปลกมาก ถ้าเราตั้งใจทำความดีมันไม่ให้ทำ แต่ว่าคิดฟุ้งซ่านเรื่องอื่น มันตื่นได้ทั้งคืน
            เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าหากว่าหลับไม่ได้นี่ โยมตั้งใจ พุท-โธ อย่างเดียวเลย แป๊บเดียวแหละไปจ้อย ไม่ทันรู้ด้วยว่าตัวเองได้กี่จบแล้ว...เพราะฉะนั้นถึงเวลาไม่หลับก็ว่ายาวไปเลย พักเดียวเท่านั้น อาตมาเคยเป็น พอไม่หลับแล้วไปตั้งใจให้หลับยิ่งหลับใหญ่ เราเองก็ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ แล้วพรุ่งนี้จะเอาแรงที่ไหนทำงาน ก็คิดไปโน่น คิดไปนี่ไปเรื่อย ก็ยิ่งไม่หลับ พอตั้งใจ ช่างหัวมัน ไม่หลับก็ดีจะภาวนาให้เยอะเลย ไม่กี่ทีหลับ ยังกับกลัวเราจะดี รีบ ๆ ตัดให้มันหลับเสียดีกว่า มันเอาจริงแล้วคราวนี้
      ถาม :  เมื่อก่อนผมก็ทำใจไม่ได้ มันจะเก็บเอามาคิด พอมาคิดปั๊บ ผมคิดว่านั่นแหละคือตัวมาร ในจิตสำนักเรา พอเอามาคิดได้ตอนหลับ เห็นลูกด้วย...(ไม่ชัด)... นึกถึงคำสอนหลวงพ่อ เราต้องตัดทิ้ง เวลาพักผ่อนร่างกายต้องพักผ่อนสวดมนต์ไว้พระตั้ง ๒ ชั่วโมง
      ตอบ:   คือที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา มันเป็นสุขปัจจุบันอย่างหนึ่ง คือ ถ้าเราทำได้ จิตใจเราสงบ มันจะเยือกเย็นไม่ทุกข์มาก ถ้าอีกอย่างก็เป็นสุขในอนาคต อย่างเช่นว่าถ้าตายแล้วเราก็มีสุขคติ คือ เทวดา พรหม หรือพระนิพพานเป็นที่ไป ไม่ต้องลงไปทุกข์
            ดังนั้นท่านสอนเราทั้งประโยชน์สุขในปัจจุบัน และประโยชน์สุขในอนาคต ใครทำเมื่อไหร่จะได้ประโยชน์ทันที เพียงแต่ว่าคนเรามันแปลกว่า กลายเป็นคร่ำครึล้าสมัยก็เลยไม่อยากจะทำกัน ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่ช่วยเราได้ดีที่สุดเลย คราวนี้เรื่องของเศรษฐกิจล้มก็ดี กิจการล้มละลายเจ้งไปก็ดี ตัวอย่าง ในพระไตรปิฎกที่ชัดที่สุด ก็คือ อนาถบิณฑิกเศรษฐี อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นตระกูลมหาเศรษฐีเลย แต่ปรากฏว่า บทดวงจะซวยขึ้นมา สำเภาที่ส่งไปค้าขายต่างประเทศ ไปโดนพายุเข้าไม่รู้หายไปทิศไหน ข่าวคราวไม่ได้เลย กองเกวียนที่ส่งไปค้าขายก็เจอลักษณะเดียวกัน ที่สำคัญที่สุดคลังสินค้าริมน้ำโดนน้ำเซาะถล่มลงน้ำไปอีก แกแทบจะเหลือแต่ตัว แต่ว่าแกเป็นคนที่มีศรัทธาเป็นปกติ ก็ยังคงนิมนต์พระพุทธเจ้าพร้อมกับพระไปฉันที่บ้าน แต่จากที่เคยเลี้ยงด้วยข้าวมธุปายาส ที่ถือว่าแพงมากมีแต่เศรษฐีกินได้ ก็กลายเป็นเลี้ยงด้วยข้าวต้มกับน้ำผักดอง แล้วท่านก็มานั่งเสียใจน้อยใจว่า ทานของเราเศร้าหมองแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอก เสฏฐิ...ดูก่อน มหาเศรษฐี ลูขังวา ปณีตังวา ไม่ว่าจะหยาบหรือละเอียดก็ตาม ถ้าทานนั้นประกอบ ๑. เจตนาบริสุทธิ์ คือตั้งใจทำทาน ๒. วัตถุทานได้มาโดยบริสุทธิ์ไม่ได้ลักขโมย ช่วงชิงใครมา ๓. ผู้ให้คือตัวเราขณะนั้นมีศีลบริสุทธิ์ ๔. ผู้รับเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ ท่านบอกว่าถ้าบริสุทธิ์โดย ๔ ส่วนนี้ ทานนั้นจะหยาบหรือปราณีตแค่ไหนก็ตามมีผลเต็มร้อย เศรษฐีท่านก็พยายามทำของท่านเรื่อย ๆ
            คราวนี้ท่าน ถึงแม้ว่าจะจนก็จนอย่างเศรษฐีจน ท่านก็ยังเลี้ยงพระวันละ ๕๐๐ องค์ พร้อมกับพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากข้าวมธุปายาส มาเลี้ยงข้าวต้ม เขาเรียกว่าข้าวปลายเกวียน ก็คงปลายข้าวต้ม แล้วก็ใส่น้ำผักดองไปให้เค็ม ๆ หน่อยเท่านั้นแหละ ในเมื่อเลี้ยงพระในลักษณะนั้น ที่ทนไม่ไหวก็คือเทวดา เทวดาที่รักษาฉัตรอยู่
            สมัยก่อนใครจะเป็นมหาเศรษฐีต้องมีเงินอย่างน้อย ๘๐ โกฏิ ก็คือ ๘๐๐ ล้าน ต้องมีเงินต่ำสุดประมาณแค่นั้น พระราชาจะมอบฉัตร ๓ ชั้นให้ตั้งเป็นมหาเศรษฐี สมัยนั้นพวกเศรษฐีมีความสำคัญเกี่ยวกับเศรษฐกิจของบ้านเมืองมากเลย บ้านไหนเมืองไหนมีเศรษฐีเยอะ เศรษฐกิจมันจะดี
            คราวนี้เทวดาที่รักษาฉัตรอยู่ ทนไม่ไหวโผล่หน้าออกมา ห้ามเศรษฐีว่าอย่าทำบุญเลย ตัวเองยากจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังมัวแต่ไปทำบุญให้สิ้นเปลืองอีก อนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านก็ไม่พอใจ ท่านก็ไล่เทวดา อัปเปหิ เธอจงไป คนเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างน้อยเราคบกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนเราบอกทานเป็นของดี เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เราเชื่อว่าดีจริงเราจะทำ
            คราวนี้อนาถบิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นพระโสดาบัน พระโสดาบันเป็นพระอริยเจ้ากำลังของท่านก็สูงมาก ในเมื่อท่านไล่เทวดาอยู่ไม่ได้ ในเมื่ออยู่ไม่ได้เดือดร้อนหาที่อยู่ไม่ได้ เพราะว่าท่านเองเป็นประเภทที่ว่า เหมือนรุกขเทวดา ต้องอาศัยวิมานไปแปะอยู่ ในเมื่ออาศัยวิมานตัวเองไปแปะฉัตรอยู่ไม่มีที่จะอยู่ก็ต้องร่อนเร่เดือดร้อน ก็วิ่งโร่ไปฟ้องพระอินทร์ว่าโดนเศรษฐีไล่มาขอให้พระอินทร์ช่วย พระอินทร์บอกช่วยไม่ได้หรอก เศรษฐีองค์นั้นเป็นพระโสดาบันอำนาจท่านสูงกว่า ในเมื่อช่วยไม่ได้แล้วจะทำอย่างไร ? พระอินทร์ก็บอกว่า เอาอย่างนี้สิ เธอจงไปต้อนเอากองเรือของเขาที่หลงทางในทะเลให้กลับมา กองเกวียนที่ยังไม่กลับก็พยายามไปให้กลับมา สินค้าของเขาที่ตกน้ำก็ไปงมคืนมา แล้วไปขอโทษเศรษฐีซะ เศรษฐีเขาคงจะให้อภัย เทวดาเลยกลายเป็นคนใช้ไปเลย ท่านต้องไปไล่ต้อนเรือเขากลับ ไปไล่ต้อนเกวียนเขากลับ ต้องไปงมสมบัติเขากลับ
            คราวนี้แกก็ทำงานก๊อกแก๊ก ๆ ของแกอยู่ทั้งคืน เทวดาน่ะรัศมีกายแกสว่าง มันก็เหมือนกับเปิดไฟไว้ในคลัง สินค้าของเศรษฐีต้องตกน้ำไปเพราะว่าคลังสินค้ามันพัง แกก็สร้างคลังสินค้าใหม่ เตรียมรอว่าถ้ากองเรือกลับมาเมื่อไหร่ จะได้เอาสินค้าขึ้นมาเก็บได้ เทวดาแกก็ไปงมมาใส่คลัง เศรษฐีก็ตื่นขึ้นมากลางดึก มองไป เฮ้ย! ใครทำอะไรอยู่ในคลัง สว่างขนาดนั้น แล้วมีเสียงอยู่ แกก็เข้าไปถามว่าใครอยู่ในนั้น เทวดาก็โผล่หน้ามาสารภาพว่า “ผมเองครับ” ถามว่าแล้วแกทำอะไร ก็บอกไปงมสินค้ามาคืน แล้วตอนนี้กองเกวียนของท่านที่ไปค้าขายต่างเมืองก็ตามมาให้แล้ว กองเรือก็จวนจะมาถึงแล้ว ขอให้ท่านอภัยให้ด้วย เศรษฐีก็บอกว่า ถ้าหากทั้งหมดนั่นกลับคืนมา จะให้อภัยได้ แต่ว่าก่อนจะให้อภัยต้องไปขอขมาพระพุทธเจ้าด้วย เทวดาก็ยอมรับไปขอขมาพระพุทธเจ้า เศรษฐีถึงยอมอภัยให้แล้ว พอสินค้ากลับคืนมา ค้าขายได้ใหม่แกก็ร่ำรวยเหมือนเดิม
            เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เราจะเห็นว่า ต่อให้เขาเคยทำบุญในอดีตมามากขนาดไหนก็ตาม กลายเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐีก็ตาม แต่ว่าเราไม่ได้ทำบุญมาตลอด ก็มีส่วนที่สร้างกรรม สร้างความชั่วอยู่ ถึงเวลาผลกรรมมันสนอง กลายเป็นคนจนชั่วคราวไปเลย
            อันนี้สู้พวกเศรษฐีในบ้านเราไม่ได้ มันล้มบนฟูก บอกว่าล้มละลาย ๆ แต่มันเที่ยวนอกกันประจำ ล้มละลายประเภทนี้มันน่าซ้ำ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ศาสนาพุทธของเราดีตรงที่ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบอก ตรงตามนั้นพิสูจน์ได้ ท่านบอกว่าทุกอย่างนี้เกิดขึ้นกับเราเป็นกรรม คือการกระทำของเราในอดีตทั้งนั้น กรรมดีคือกุศลกรรม กรรมชั่วคืออกุศลกรรม ส่วนใหญ่กรรมดีเราจะเรียกว่า “บุญ” กรรมชั่วเราจะเรียกว่า “กรรม” เฉย ๆ ผลบุญผลกรรมที่เราทำ มันก็จะมาส่งผลในปัจจุบัน ถ้าเราทำดีไม่สม่ำเสมอ ถึงเวลากุศลผลบุญมันขาดช่วงเอง กรรมที่รอจังหวะอยู่ เข้ามาสนองเมื่อไหร่ ก็เจ๊งเมื่อนั้น จะเดือดเนื้อร้อนใจ ทุกข์ใจสารพัด เรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้น
            สมเด็จพระสังฆราช(อยู่) ท่านบอกว่า ถ้ายังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่ควรขวนขวายที่สุดก็คือ เร่งทำบุญเอาไว้ ถ้าคนเราตราบใดยังเกิดแก่ เจ็บ ตาย อยู่ให้ทำบุญไว้ให้มาก คือเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่มันยังไม่หลุดพ้น ถ้าเราตั้งหน้าทำความดีอยู่ ได้รับผลฝ่ายดีอย่างเดียวก็สบายไปตลอด นั่นระดับนั้นท่านยังให้ไว้เป็นคติประจำใจเลย “มีแต่บุญเท่านั้นที่ควรจะเร่งขวนขวายไว้ให้มาก ถ้ายังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ บุญยังสำคัญต้องรีบทำไว้”
            พระพุทธเจ้าท่านบอกอะไรเป็นจริงตามนั้น เพราะฉะนั้นเราเองพอมาเจอในสถานการณ์อย่างนี้ มันดีอยู่อย่างว่า ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของแท้ เป็นอริยสัจ คือความจริงแท้ ๆ อย่างประเสริฐ พิสูจน์ได้ทุกเวลา ฉะนั้นเราเองก็ไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ ท่านบอกว่ามันเป็นเพราะกรรม คือการกระทำของเรา ในอดีตเราทำมาปัจจุบันจะรับ เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคตเราก็จะรับความดีส่วนเดียว ตอนนี้เป็นปัจจุบัน อีกวินาทีหนึ่งมันก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว ก็ไล่ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นถ้าหากเราทำกรรมดีในปัจจุบันให้ต่อเนื่องยาวไปเรื่อย มันก็จะกลายเป็นส่งผลให้อนาคตของเราดีเอง
            คราวนี้ ความดีมันไม่ได้จะต้องเสียเงินเสียของอยู่ตลอด ทานมัย ความดีเกิดจากการให้ทรัพย์สินสิ่งของแก่คนอื่น หรือว่าให้ความรู้ก็ได้ ให้อภัยก็ได้ เขาเรียกว่าเป็น ธรรมทาน อภัยทาน เหมือนกับ สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล มีผลมากกว่าให้ทานเป็นร้อยเท่า เพียงแต่ตั้งหน้ารักษาสิกขาบทให้ครบเท่านั้น ภาวนามัย บุญเกิดจากการทำสมาธิ ภาวนา มีผลมากกว่าศีลเป็นอีกร้อยเท่า ก็ไม่เสียอะไรเลย อปจายนมัย อ่อนน้อมถ่อมตนกับคนอื่นเขาคนเห็นเย็นตาเย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตา ทำให้บุญกุศลมันเกิดขึ้น เนื่องจากความเย็นตาเย็นใจที่คนอื่นเขาเห็นเรา ก็เลยได้บุญตรงนั้น เวยยาวัจจมัย เห็นคนอื่นเขาทำบุญ ช่วยให้งานบุญเขาสำเร็จ ได้บุญ ปัตติทานมัย ทำบุญแล้วอุทิศให้คนอื่นเขา สิ่งที่เราทำมาโดยยาก ยังตั้งใจแบ่งให้คนอื่นเขา กำลังใจประกอบไปด้วยเมตตากรุณา ขนาดนั้นก็เลยเป็นบุญ ปัตตานุโมทนามัย เห็นคนอื่นทำดีพลอยยินดีด้วย แทนที่จะอิจฉาริษยาก็ยินดีในบุญเขา ธัมมัสสวนมัย ฟังธรรมแล้วนำไปปฏิบัติก็เป็นบุญ ธัมมเทสนามัย ทำได้แล้วสอนคนอื่นต่อก็เป็นบุญ ตัวสุดท้ายเรียก ทิฏฐุชุกรรม มีความเห็นถูกว่าพระพุทธเจ้าสอนมานั้นดีจริง เราจะทำตาม สรุปแล้ว เราทำบุญได้ทุกวัน โดยไม่ต้องเสียอะไรเลยก็ได้ เพียงแต่วิธีทำนี่บางคนเขาไม่รู้ ในเมื่อไม่รู้ก็เลยทำไม่ถูก มีแต่ทานมัยบุญที่สำเร็จด้วยการให้เท่านั้นที่จะเสียของ แต่ถ้าเราให้เป็นธรรมทาน คือสอนเขาก็ดี เป็นอภัยทาน คือรู้จักปล่อยวาง รู้จักละเว้นเขาก็ดี มันเป็นบุญทั้งนั้น
            น ตํ ทฬฺหํ พนฺธนมหุ ธีรา
            ยทายสํ ทารุชปพฺพชญฺจ
            สารตฺตรตฺตา มณิกุฒฺฑเลสุ
            ปุตฺเตสุ ทาเรสุ จ ยา อเปกฺขา ...
            เครื่องจองจำที่ทำด้วยเหล็กไม้ และปอป่าน
            ท่านผู้รู้กล่าวว่า ยังไม่ใช่เครื่องจองจำที่มั่นคง
            แต่ความกำหนัดยินดีในเครื่องเพชร บุตร ภริยา
            เป็นเครื่องจองจำที่มั่นคงนัก

            Not strong are bonds made of iron,
            Or wood, or hemp, thus say the wise.
            But attachment to jewelled omaments,
            Children and wives is a strong tie.
            เอตํ ทฬฺหํ พนฺธนมาหุ ธีรา
            โอหารินํ สิถิลทุปฺปมุญฺจํ
            เอตํปิ เฉติวาน ปริพฺพชนฺติ
            อนปกฺขิโน กามสุขํ ปหาย ...
            ท่านผู้รู้กล่าวว่า เครื่องจองจำชนิดนี้มั่นคง
            มักฉุดลากลงที่ต่ำ คล้ายผูกไว้หลวม ๆ แต่แก้ยากนัก
            ผู้รู้ทั้งหลายจึงทำลายเครื่องจองจำนี้เสีย
            ละกามสุขออกบวชโดยไม่ไยดี

            This is a strong bond, says the wise,
            Down-hurling, loose but hard to untie.
            This too they cut off and leave the world,
            With no longing, renouncing the sense-pleasures.