ถาม :  มีอีกกรณีที่ชอบสัปหงกแล้วลักษณะจิตจะรู้ตัวเวลาที่สัปหงก เหมือนกับมันรู้หมดเลย
      ตอบ :  ร่างกายมันหลับ แต่จิตมันไม่ได้หลับหรอก ร่างกายเพลียมาก ๆ มันหลับของมัน นักปฏิบัติต้องทำให้ถึงตรงนั้นนะ ถ้าทำถึงตรงนั้นแล้ว หลับกับตื่นสภาพจิตจะรับรู้ได้เท่ากัน ถ้าไม่ทำถึงตรงนั้น ยังอาศัยตัวเองได้ยาก
      ถาม :  มันควบคุมไม่ได้ บังคับไม่ได้ ก็ต้องคว่ำ ?
      ตอบ :  ประจำแหละ พยายามอีกนิดนึง คือตัวนั้นน่ะ ดีแล้ว
      ถาม :  ยังไม่ทำอะไรเลย ก็หลับ แล้วก็เป็น...
      ตอบ :  มันเป็น เรายืนยันได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ว่าก่อนหน้านี้กับชาติก่อนนี้เคยทำมั้ย ?...ไม่กล้ายืนยันใช่มั้ย มันก็แค่นั้นแหละ เพราะฉะนั้นที่ไม่ทำแล้วจะเป็น มันเป็นไปไม่ได้....เพราะเหตุไม่มีแล้วผลมันจะเกิดได้อย่างไร คราวนี้ของเราประเภทสร้างสมให้มันเข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม ต่อไปมันก็จะบังคับได้เอง ตัวนี้จะเป็นตัวที่อัศจรรรย์ที่สุดเพราะว่าในชีวิตนี้ก็เพิ่งได้ยินอยู่ ก็คือ หลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุย ที่จังหวัดลำพูน ท่านเข้านิโรธสมาบัติ นิโรธสมาบัตินี้จะเป็นตัวดับเวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ แล้วก็ตัวสัญญาก็คือประสาทร่างกายโดยสิ้นเชิงเลย
              ปกติแล้วที่เข้านิโรธสมาบัติไม่อิริยาบทนอน ก็เป็นนั่ง แต่หลวงปู่ชุ่มท่านเข้านิโรธสมาบัติสี่อิริยาบท มันเป็นเรื่องที่เกินความสามารถที่จะอธิบายว่าท่านทำได้อย่างไร เพราะว่าการดับตัวสัญญาและเวทนาไปแล้ว ท่านจะเอาอะไรไปคุมร่างกายให้มันเดิน อันนี้บอกไม่ได้ มันอาจเป็นตัวอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานหรือการใช้อภิญญาสมาบัติ บังคับให้ร่างกายมันเดิน ทั้ง ๆ ที่จิตไม่อยู่กับร่างกายแล้ว อันนี้บอกไม่ได้แต่ว่าท่านทำของท่านได้ คราวนี้ของท่าน ท่านทำได้ขนาดนั้นแล้ว ของเรามันไม่ยากหรอก ง่ายกว่านั้นเยอะ ของเราสภาพจิตมันยังอยู่กับร่างกายแท้ ๆ เลย ถ้างั้นเดี๋ยวก็เลิกโขกเองแหละ ตอนนี้ก็หัวปูดไปก่อน (หัวเราะ)
      ถาม :  .............(เสียงไม่ชัด)..................
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่า บางทีก็ไม่จริง เขาให้เรารู้ไว้ เพื่อทดสอบอารมณ์ใจของเราว่ากลัวมั้ย ? ......หรือว่าจะไปกังวลกับมันจนเสียการปฏิบัติมั้ย ? อะไรเหล่านี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นต้องมีสติสัมปชัญญะมาก ๆ อะไรที่เกินการปฏิบัติของเรา ก็อย่าไปสนใจมัน รับรู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไร เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา
      ถาม :  พระต้องคุ้มครองเราเองใช่มั้ยคะ ...?
      ตอบ :  จ้า ...ถ้าเราอยู่ในการปฏิบัติ ต่อให้พระไม่คุ้มครอง กำลังใจเราทรงตัว เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่าให้อาราธนาพระคุ้มครองไว้เสมอ ๆ เพื่อความไม่ประมาท
      ถาม :  หลวงพี่สมชายบอกว่าให้เอาพระมาครอบเรา แล้วก็เราไปไหน ก็เอาท่านมาครอบ แล้วท่านร้าวล่ะคะ ก็เป็นจริง ๆ
      ตอบ :  ก็เอาองค์ใหม่ซิ
      ถาม :  หลวงพี่สมชายบอกว่า ให้เอาพระมาครอบตัวเรา หรือว่าที่ร้านเรา แล้วให้เราทำจิตไปดูว่ามีอะไรที่เป็นสิ่งไม่ดีอยู่ในตัวเราหรือว่าในร้านเราที่เรามองเห็น
      ตอบ :  จ้า....
      ถาม :  ตอนนั้นอยู่ที่น้ำหนาว แต่พอกลับมาที่บ้านเรา พระที่เราเอามาครอบเป็นพระสังกัจจายน์ (ฟังไม่ชัด) ท่านร้าวเลยค่ะ
      ตอบ :  หาองค์ใหม่
      ถาม :  แล้วองค์ที่ร้าว ต้องเอาไปไว้....
      ตอบ :  ไม่ต้องหรอก เก็บไว้บูชาตามเดิม ทำงานมาเยอะแล้ว
      ถาม :  ฝันเห็นเสด็จพ่อ ร. ๕ ดำเป็นตอตะโกเลยค่ะ ก็ถอดจิตถามว่า อะไร ทำอะไรมั้ย ก็คนตะโกนว่า ...(ฟังไม่ชัด).....
      ตอบ :  จ้า ...ก็บอกแล้วว่ารับรู้ไว้เฉย ๆ เขาอาจลงรักโดยไม่ปิดทองก็เลยดำ ไปกังวลมากเราเองน่ะจะเสียเอง ของทุกอย่างมันเชื่อทีเดียวไม่ได้ ค่อยเป็นค่อยไป นักปฏิบัติที่มันเพี้ยนเพราะอย่างงี้แหละ ไปเชื่อ ๒๐ ครั้งแรก พอครั้งที่ ๒๑ ผิด ก็เลยพลอยเชื่อไปด้วย มันยังมีเวลาถูกได้ถึงครั้งที่ ๙๙ แล้วครั้งที่ ๑๐๐ อาจผิด ลีลาของเขาที่หลอกเรานี่ ไม่ต้องห่วงหรอก เด็ดขาดมากเลย เพราะฉะนั้นถ้าเชื่อเลยว่าใช่ ต้องเป็นอย่างนั้น ต้องใช่อย่างนั้น โอกาสจะโดนเขาหลอกมีเยอะมาก
      ถาม :  เราเห็นเอง
      ตอบ :  ใช่..เพราะว่าเราเห็นเองนี่แหละ ทำให้เราเชื่อหัวปักหัวปำไปเลยใครว่าก็จะไม่ฟังเขาแล้ว ก็เห็นเอง อยู่ ๆ เห็นเขาไล่ยิงกันมา ใช่มั้ย...เราก็เรียกตำรวจ หรือไม่ก็วิ่งเข้าไปขวางเขาไว้ โดนเขาด่าเช็ดซิ เขากำลังเล่นหนังกันอยู่แล้วเราเห็นเค้ายิงกันจริงมั้ยล่ะ แล้วเรื่องที่เราเห็นมันจริงมั้ย มันเป็นหนังใช่มั้ย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องใช้สติสัมปชัญญะให้มาก ๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติ ยิ่งเป็นตัวที่ได้ทิพจักขุญาณหรือได้อภิญญาสมาบัติ ยิ่งชัดเจนแจ่มใส่เท่าไรโอกาสโดนหลอกมากเท่านั้น ใครเคยอ่านสามก๊กบ้าง ? เขาบอกว่าขงเบ้งหลอกได้แต่คนฉลาด ถ้าคนโง่ขงเบ้งหลอกไม่ได้หรอก
              เพราะฉะนั้นตัวทิพจักขญาณก็เหมือนกัน ทิพจักขุญานยิ่งชัดเจนเท่าไร โอกาสเขาหลอกเรายิ่งสูงเท่านั้นก็มันรู้เห็นน่ะ ถ้าไม่รู้ซะอย่างอย่างเก่งก็แหย่เราได้ รัก โลภ โกรธ หลง ธรรมดา ๆ อย่างอื่นไม่สามารถมาทำอะไรเราได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปทึกทัก อย่าไปเชื่อมั่น เราตั้งใจว่า เราทำเพื่อพระนิพพาน อะไรก็ตามที่นอกเหนือจากพระนิพพานไม่ต้องไปสนใจ เรามีหน้าที่ละสังโยชน์สามข้อ เราก็ละของเราไป มีหน้าที่รักษาศีลของเราให้บริสุทธิ์ก็รักษาไป ตั้งใจว่าตายเมื่อไหร่เราจะไปนิพพาน อันอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบเท่านั้น รู้สักแต่ว่ารู้ไว้เฉย ๆ จะเป็นอย่างไรก็ช่าง ทุกอย่างกรรมดีกรรมชั่วเป็นเครื่องตัวสินอยู่แล้วเราอย่าไปมีส่วนร่วมในกรรมนั้นก็แล้วกัน ฟังดูแล้วเหนื่อยใจมั้ย
      ถาม :  .......(เสียงไม่ชัด)...........
      ตอบ :  ตอนอยู่วัดท่าซุง หลวงพ่อสั่งให้ไปสร้างบ้านให้หมาอยู่ เพราะสงสารหมาตากแดดตากฝน ก็ไป ทำกัน มีเสาเก่าที่สูง ๕ เมตรอยู่ เสาจะเป็นเสาหล่อสำเร็จ เสาหล่อคอนกรีต สูง ๕ เมตร พวกเราก็ไม่มีใครสักคน ที่คิดว่าตัดมันได้ เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าขุดหลุมฝังมันลงไปให้เหลือ ๒ เมตรครึ่ง ก็คือต้องขุดหลุม ๒ เมตรครึ่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาขุด ขุดลงไปได้เมตรกว่านี่เป็นทรายเลยทองอร่ามเลย เห็นแล้วก็นั่งเซ่อ.....อึ้งไปหมด พักหนึ่งแล้วก็พร้อมใจกันกลบ
              คราวนี้ตัดเสาได้หายโง่แล้ว (หัวเราะ) มันเหมือนกับเขาเจตนาจะให้เราได้เห็นจะได้ยืนยันได้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีจริง ๆ แต่อันนั้นเป็นทองธรรมชาติ เป็นแบบเม็ดทรายตักขึ้นมาเป็นขอบ ๆ ได้เลย เหมือนยังกับเขาต้องการยืนยันคำหลวงพ่อบอกว่า เทวดาเขาย้ายทองมาที่วัดท่าซุงเป็นจำนวนมาก ในที่ ๑๐๐ ไร่นี้ไม่มีที่ว่างแม้แต่ตารางนิ้วเดียว เขาเอามาไว้เต็มเลย ท่านถึงต้องได้รีบสร้างกำแพง ท่านพูดอย่างนั้น คนที่ได้มโนถึงจะรู้เห็นได้ แต่บางทีก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่รู้เห็นนั้นถูกมั้ย เขาเลยให้พิสูจน์ชัด ๆ ด้วยลูกกะตาเนื้อ ๆ เลย ไปจับไปคลำกันเอาเอง
              ปรากฏว่าเราก็ปากเสีย มอง ๆ เสร็จแล้วบอกว่า นี่ถ้าเป็นฆราวาส ผมเอานะ....เพื่อนพระด้วยกัน ท่านก็แหะ ๆ ไม่มีใครกล้าพูด ....ขึ้นเสามันก็ต้องมีไม้ค้ำ เราก็ขึ้นไปวางคานหัวเสา ไม่น่าเชื่อว่าเหยียบ ๆ อยู่เฉย ๆ ไม้ค้ำสามตัวมันหลุดพร้อมกัน หัวทิ่มลงไปเลย เจ็บตัวอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่เป็นอะไร ข้างใต้ฝ่าเท้าของเราหนังมันหลุดไปแผ่นใหญ่เบ้อเร่อเลย ต้องตะแคงเท้าเดินอยู่เป็นอาทิตย์ ๆ แล้วตะแคงเท้าตอนบิณฑบาตนี่ตะคริวมันจะกินน่ะ ลงโทษซะ โทษฐานปากเสีย....