ถาม :  อาการดีใจแล้วมันขาดสติ แล้วกระโดดกอดท่านอย่างนี้ถือว่าผิดไหมคะ ?
      ตอบ :  ข้างบนน่ะไม่ผิดหรอก จะกอดท่านกี่ครั้งก็เชิญเถอะจ้ะ แล้วเป็นไงกอดไปกี่ครั้งแล้วล่ะ (หัวเราะ) มันเป็นความคุ้นเคยเก่า ๆ เป็นวาสนาเก่า ๆ ที่ตัดไม่ขาดไม่มีอะไรหรอก มันอยู่ในสภาพของความเป็นทิพย์นะ ยังไง ๆ พระท่านก็ศีลไม่ขาดหรอก แต่ถ้าในสภาพความเป็นมนุษย์อย่าเผลอก็แล้วกัน ดีใจกระโดดกอดคอพระเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  เกี่ยวกับความฝัน
      ตอบ :  จำไว้นะ ไม่ต้องไปกังวลมัน เขาบอกจะไม่ให้ตื่นเลย แต่มันก็ตื่นมาจนป่านนี้ ตื่นซะจนแก่ป่านนี้แล้วไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก ฝันมันต่อไปฝันอย่างมีความสุขเลยล่ะ พอตื่นขึ้นมาไชโยเราชนะอีกวันหนึ่งแล้ว เดี๋ยวคะแนนต่อไปดูซิเราจะได้อีกรึเปล่า นี่ตกลงเราชนะมันมาทุกวันเลย ไม่เคยแพ้มันเลย มันยังไม่เก่งจริงหรอก
              ถ้าหากว่าเขาทำให้เราไม่ตื่นได้ก็ดีสิจะได้นอนพักยาว ๆ อะไรที่มันฝันมันก็คือฝัน อาจจะเป็นจิตใต้สำนึกอะไรบางอย่าง เพราะว่าฝันไม่ได้มีแบบเดียว มีตั้งแต่ธาตุวิปริต ท้องไส้ไม่ดีแล้วก็ไปฝันเละเทะ กรรมนิมิต กรรมแสดงเหตุให้รู้ จิตนิวรณ์ เอาความฟุ้งซ่านตอนกลางวันไปฝันตอนกลางคืน เทพสังหรณ์ เทวดาท่านช่วยสงเคราะห์ให้อย่างนี้
              เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปนั่งกลุ้มอกกลุ้มใจอะไรกับมันหรอก อาตมาเคยฝันลักษณะนี้เหมือนกันติดต่อกันเป็นสิบ ๆ ปีเลยนะ ฝันเห็นสถานที่หนึ่ง ถ้าหากว่าสู้ใครไม่ได้จะหนีไปตรงนั้นแล้วไม่มีใครไล่ตามได้ เพราะเราชำนาญพื้นที่มาก ฝันถึง ๓๐-๔๐ ปี กว่าจะไปเจอเข้าตอนแรกไปก็ไม่รู้ว่ามันเป็นพื้นที่นั้น คือ ตอนที่เราเห็นน่ะเป็นน้ำตก เราต้องปีนสวนน้ำตกขึ้นไป แล้วก็หลบไปข้างหลัง ในสภาพความเป็นจริง ป่ามันหมด น้ำตกมันแห้ง พอจะกลับปวดปัสสาวะ ก็เลยหลบไปข้างหลัง พอจะฉี่ เอ๊ะ ! ที่มันคุ้น ๆ ตาว่่ะ มองไปมองมาอ้าว...ใช่เลย ก็ฝันอยู่แทบทุกวันน่ะ ฝันอยู่เป็นสิบ ๆ ปีทีเดียว ก็เลยจำได้ ออกมาถามเขาว่า นี่เคยมีน้ำตกมั้ย เขาบอกว่ามีพอหน้าฝนมันเป็นน้ำตก หน้าแล้งน้ำหมดก็เลยกลายเป็นหน้าผาเฉย ๆ
              บางอย่างเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรา อาจจะเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต ตั้งแต่อะไรก็ตาม ของเราเองหนีมันมาไกลขนาดนี้ไม่ต้องไปกลัว จะบอกว่าถ้ามีปัญญาก็ตามมาเลย เราก็ควบของเราต่อไป ทำบุญให้สม่ำเสมอไว้ กรรมจะห่างอยู่ตามไม่ทัน ถ้ากระแสบุญขาดลงมันอาจจะตามทันได้ เพราะฉะนั้น อย่าประมาทอย่าสร้างกรรมใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าทิ้งบุญใหม่
      ถาม :  แล้วจะแยกได้อย่างไรคะ ว่าเป็นฝันใดใน ๔ ตัว ?
      ถาม :  นอกจากขยันฝันแล้วต้องช่างสังเกตด้วย คือถ้าหากว่าธาตุวิปริต กับจิตนิวรณ์น่ะ ไม่ต้องไปสนใจนะ แต่ถ้าหากว่าเป็นกรรมนิมิต เขาแสดงเหตุนี่ พอถึงเวลา วาระนั้นเราจะรู้ว่าสิ่งนี้เราเคยรู้มาแล้ว แต่ว่าคิดไปคิดมา อ๋อ...เกิดจากฝันเราอาจจะรู้เห็นอย่างชัดเจนเลยอยู่ในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เหตุการณ์นั้นมันยังไม่เกิดขึ้น เราก็ยังไม่รู้จนกว่ามันจะเกิดขึ้น คราวนี้ถ้าหากว่าเราเป็นนักฝันจริง ๆ ขยันฝันบ่อย ๆ เดี๋ยวเราจับจุดได้เองว่า เป็นตัวไหน ถ้ายิ่งเป็นเทพสังหรณ์ บอกหวยก็ครบเลยล่ะ
      ถาม :  บางคนนี่ฝันแล้วพอตื่นมาบางทีเนี่ย...จิตมันสับสน จะรู้สึกว่ากังวลกับวามฝัน เพราะฉะนั้นตรงนี้นี่แนวทางที่ดี คือเราไม่รู้แหละว่ามันจะจริงหรือไม่จริง
      ถาม :  ตัดอารมณ์ให้เป็นนะ ปัจจุบันนี้ที่ใช้ความฝันให้เป็นประโยชน์ จะใช้อยู่ ๒ ทาง ทางแรกก็คือ ถ้าฝันดีเก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ถ้าฝันไม่ดีก็ลืมมันซะเดี๋ยวนั้นเลย ขี้เกียจเก็บไว้จะทำให้ใจเศร้าหมองจะตัดขาดไปเลย
              อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า การฝันจะใช้วัดกำลังใจ วัดกำลังใจตรงที่ว่า ในฝันของเราถ้ามีโอกาสละเมิดศีลได้ แล้วเรารู้ตัวว่าเราเป็นผู้มีศีล เราไม่ยอมละเมิดถือว่ากำลังใจของเราดี หรือว่าในฝันเกิดอันตรายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมา เรายึดเกาะในคุณพระรัตนตรัย หรือว่ายึดเกาะความดีได้ อันนี้ก็ถือว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดี แต่ถ้าเรายึดเกาะไม่ได้ หรือว่าเราล่วงละเมิดในศีลของเรา แปลว่ากำลังใจของเรายังแย่มากอยู่ เพราะฉะนั้นก็เก็บหลัก ๆ อันนี้ไว้ใช้ก็แล้วกันนะ อันดับแรกถ้าฝันดี เก็บไว้เป็นกำลังใจตัวเอง ฝันไม่ดีลืมมันซะ อันดับที่สองใช้ความฝันเป็นตัววัดกำลังใจของเรา
      ถาม :  นี่อยู่ในข้อหนึ่ง ฝันว่าเหตุของกรรม ที่ฝันเพราะเหตุของแรงกรรม
      ถาม :  กรรมนิมิต จะดีหรือชั่วก็ตาม
      ถาม :  กรรมในที่นี้ก็คือ...
      ถาม :  ก็ทั้งดีทั้งชั่วนั่นแหละ แต่ว่าเขามีพื้นฐานทิพจักขุญาณเก่ามา เจ้าตัวทิพจักขุญาณนี้ ถ้าจิตมันสงบถึงระดับของมันก็จะเกิดขึ้นใหม่ ลักษณะนี้เราไม่สามารถไปบังคับมันได้ เพราะว่าไม่ได้ผ่านการฝึกเข้มมาอย่างจริงจัง แต่ว่าเป็นตัวของเก่าที่ต้องรอให้ถึงวาระ รอเวลาที่กำลังใจจะถึงระดับนั้นพอดี ก็เลยทำให้ไม่มั่นคงพอที่เราจะรู้ได้ตลอด ยกเว้นว่าที่มันจะรู้ขึ้นมาเป็นพัก ๆ โบราณเรียกว่า ลางสังหรณ์
      ถาม :  คือ...วัดตรงข้ามค่ะ เขาจะเล่นไสยศาสตร์
      ถาม :  ก็ให้เขาเล่นไปสิ
      ถาม :  ส่งของมาหาเรา พอเรานั่งกรรมฐาน แล้วเขาก็เห็นแล้วเขาก็จะ...เราจะไปหยิบมันก็ไม่ลงมา ผ้ายันต์ รูปภาพ แล้วเขาก็ไม่สบาย
      ถาม :  เราเองไม่เป็นอะไร แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไมล่ะ ก็เรื่องของเขาสิ จำไว้ว่าบุคคลถ้ามั่นคงอยู่ในทาน ศีล ภาวนา โดยเฉพาะตัวภาวนานะ เรื่องอันตรายจากไสยศาสตร์มันจะทำได้น้อยเต็มที โอกาสจะโดนแทบไม่มีเลย ที่เราเล่ามาก็คือว่า มันมีแต่เขาทำแล้วเขาก็เดือดร้อนคนเดียว เราไม่เป็นอะไรเลย แล้วจะไปกลัวเขาทำไม
      ถาม :  เราทำแบบไม่ให้กลัวเขา แต่เราก็กลัวเขา
      ตอบ :  กลัวไปทำไมล่ะ เขาเรียกว่าเหลวไหลอีกคนแล้วจ้ะ
      ถาม :  ไม่ชอบให้เขามาทำอะไรเสียงดัง ๆ เราจะพลอยสะดุ้งค่ะ
      ตอบ :  อ๋อ ... นั่นแสดงว่ากำลังใจของเรามันไม่มั่นคง

      ถาม :  แม่เขาสอนให้มีสติ ให้เดินจงกรม
      ตอบ :  แล้วทำได้ไหม
      ถาม :  ทำได้
      ตอบ :  ถ้าทำได้มันไม่สะดุ้งหรอก อาตมานั่งนี่ ถึงโยนระเบิดมาตรงหน้า ก็ยังไม่สะดุ้งเลย จำไว้ว่าถ้าหากว่าเราสะดุ้ง แสดงว่าเราส่งจิตไปเรื่องอื่น คุยกันอยู่ตรงนี้แต่ทะลึ่งไปคิดเรื่องอื่น พอคนเขาทำอะไรอยู่ข้างตัวปุ๊บ เราก็ดึงจิตเข้าไปรับรู้นี่ จิตมันเข้ามาเร็วไป มันก็เกิดอาการสะดุ้ัง
      ถาม :  ผิดไหมคะ ?
      ตอบ :  มันจะผิดตรงไหนล่ะ มันเป็นเรื่องปกติจะตายไป
      ถาม :  เขาเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อคูณอะไรอย่างนี้ค่ะ
      ตอบ :  ก็เรื่องของเขา
      ถาม :  แต่เรามองได้ไม่เป็นไร ?
      ตอบ :  ก็มองไปสิ อย่าไปแอบดูตอนเขาแก้ผ้าอาบน้ำก็แล้วกัน เรื่องอื่นจะรู้ไปก็รู้ไป จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า เรื่องที่เรารู้เราเห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่เราเห็นไม่แน่ที่จะจริง ตอนนั้นอย่าเพิ่งไปเชื่อ กำหนดใจสักแต่ว่่ารู้ไว้เฉย ๆ พอ
              อะไรที่จะเกิดขึ้นแล้วเป็นไปตามนั้นก็ขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์มาบอกให้รู้ ถ้าไม่เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นไปตามนั้นก็เรื่องของมัน เพราะเราไม่สนใจอยู่แล้ว ทำใจให้ได้อย่างนี้จ้ะ สิ่งที่เราฝึกได้แล้วอย่าทิ้งนะ พยายามทำให้กำลังใจมันมั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ การรู้เห็นไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก เพียงแต่ว่ารู้เห็นแล้วอย่าไปบ้าตามเท่านั้นพอ รู้เห็นต้องมีสติสัมปชัญญะประกอบด้วย ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะประกอบจะลำบากมาก
      ถาม :  หนูถามเรื่องฝันต่อค่ะ ถ้าฝันว่าเราเจอ คู่แข่ง อุปสรรค แล้วเราพลาดพลั้งไว้ แต่ว่าเราเจอมันมาก่อน แล้วผ่องใสดี
      ตอบ :  แสดงว่าจิตใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็เร่งการภาวนาให้มันมากกว่าเดิมหน่อยอย่าไปอ้างว่าไม่มีเวลา
      ถาม :  ถ้าเร่งในฝัน มันจะได้มั้ย ?
      ตอบ :  มันก็ได้แต่ไม่ผ่องใส (หัวเราะ) เพราะอันนั้นมันเป็นผลแล้ว เราไปใช้ผลของมัน เราต้องสร้างเหตุแล้วสร้างเหตุ เราสร้างในฝัน มันไม่มีเวลาสร้างหรอก ต้องสร้างในความเป็นจริง บอกแล้วว่า ฝันมันเป็นตัวกำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจของเรามันไม่ผ่องใสจริง ๆ ก็คือว่าในสภาพความเป็นจริงของเราเป็นอย่างนั้น ต้องเร่งสร้างในสภาพความเป็นจริงของเราให้กำลังใจมันทรงตัวมากกว่านั้น มันจะได้ใสมั่ง
      ถาม :  โดยปกติแล้วคนทั่ว ๆ ไปมีศีลบ้าง ไม่มีศีลบ้าง มีโอกาสมั้ยคะที่จะได้ยินเสียง เสียงที่ดีของ ...(ฟังไม่ชัด) ที่จะบอกเราว่าเรายินดีหรือเราพร้อมจะช่วย
      ตอบ :  มีโอกาสเป็นเกินร้อยเปอร์เซนต์ เพราะว่าถึงจะมีศีลบ้างไม่มีศีลบ้างก็ตาม แต่วาระและเวลาที่กำลังใจของเราเปิด ต้องใช้คำว่าสมาธิ บังเอิญมันตรงร่องนั้นพอดี ซึ่งมันไม่ใช่กำลังสูงอะไรเลยเป็นแค่อุปจารสมาธิก็สามารถรับได้แล้ว ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน คือว่าบังเอิญว่าคลื่นมันตรงช่องพอดี เปิดช่องสามปุ๊บ ก็พอดีคลื่นตรง ก็รับภาพรับเสียงได้ เพราะฉะนั้นโอกาสมีเกินร้อยเปอร์เซนต์ที่จะรู้ได้ ที่จะรับได้ แต่ท่านพร้อมที่จะช่วยนะซิ แล้วเราจะทำยังไงท่านถึงจะเต็มใจช่วย
      ถาม :  ไม่ได้ชอบใครลองถามดู...(หัวเราะ)
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วก็คือว่าเรื่องของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของเหตุกับผลที่สมดุลกัน ถ้าเราสร้างเหตุ สมควรแล้ว ผลก็จะเกิด พระหรือว่าเทวดาที่ท่านจะช่วยท่านจะช่วยต่อเมื่อว่า เหตุนั้นมันพร่องอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ท่านก็อาจบอกวิธีว่าทำอย่างไรมันจะเต็มเร็วอย่างหนึ่ง หรือถ้าหากว่าเราสัญญลักษณะนี้ต้องเรียกว่าบน ใช่มั้ย ?
              สัญญาว่าจะทำความดีอันนั้น อันนี้ซึ่งท่านเห็นถ้าทำความดีอันนั้นแล้ว เหตุมันจะพอดีว่าทำให้ผลนั้นเกิดได้ ท่านก็จะเพิ่มตรงส่วนที่มันขาดให้ก่อน แล้วหลังจากนั้นพอเราทำความดีส่วนนั้นลงไป เหตุมันเต็มผลมันก็เกิดได้เอง เพราะงั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องของเหตุกับผล ถ้าเราทำไม่พอผลก็ไม่เกิด คราวนี้ท่านจะช่วย ก็อยู่ที่เราว่าเราจะสร้างเหตุที่ดีพร้อมพอที่ท่านจะช่วยเราได้มั้ย
      ถาม :  นอกจากเหตุปัจจัย ๔ อย่างแล้ว จะไม่พูดถึงอาหารหรือว่าฟุ้งซ่านสภาวะของผู้ที่จะฝัน สภาพจิตนั้นจะต้องเป็นยังไงคะ ถึงฝันได้ ?
      ตอบ :  ตัดพวกธาตุวิปริต ความฟุ้งซ่านออกไปมั้ย กำลังใจอย่างน้อยจะต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ สภาพจิตจะเกิดอาการนิ่ง พอนิ่งแล้วจะค่อย ๆ คลายตัวของมันออกมาถึงจุดที่เรียกว่า อุปจารสมาธิเมื่อไหร่ก็สามารถรับรู้ได้เมื่อนั้น จะเป็นของมันเองโดยอัตโนมัติ
      ถาม :  เวลาคนที่นอนหลับแล้วถอดฌานได้เพราะว่าหลับ เหมือนว่าเรา จิต...
      ตอบ :  ปฐมฌานมันมีสามระดับ ...หยาบ กลาง ละเอียด ของคนหลับ มันหยาบมาก แต่ว่าเป็นฤทธิ์ที่เป็นไปโดยวิบากกรรมอย่างหนึ่ง คือว่า ร่างกายของเราจำเป็นต้องพักเลยทำให้ทุกคนเข้าถึงตรงจุดนั้นได้ แม้จะไม่ได้รับการฝึกมา ให้สังเกตุว่าถ้าวันไหนเราคิด จิตเราฟุ้งซ่านอยู่จะไม่สามารถหลับได้ ที่หลับไม่ได้ เพราะว่าใจมันไม่สงบพอ ไม่ถึงตรงจุดปฐมฌานหยาบก็ไม่สามารถจะตัดหลับไปได้ แต่ว่าคนทั่ว ๆ ไป ถึงจะมีตรงจุดนี้ก็ตาม มันเป็นตัววิบากกรรมที่พาให้เป็นไป เพราะว่าเขาต้องการพักผ่อน ไม่ใช่เกิดจากการสร้างสมขึ้นมา
              เพราะฉะนั้น ผลอันนี้จะไม่ส่งผลว่าคุณได้ปฐมฌานหยาบ คุณจะเกิดตรงพรหมชั้นที่หนึ่งได้ ผลตัวนี้จะไม่เกิด เพราะไม่ใช่สิ่งที่สร้างสมมาด้วยความสามารถตัวเอง แต่เป็นวิบากกรรมชักนำให้เป็น เมื่อขึ้นถึงตรงจุดนั้นปั๊บ จิต...เมื่อพักผ่อนของมันเต็มที่แล้วจะค่อย ๆ คลายออกมา ลักษณะที่พร้อมที่จะตื่น แต่คราวนี้พอยังไม่ถึงจุดนั้น มันอยู่ตรงจุดที่เท่ากับอุปจารสมาธิพอดี มันจะเป็นตัวรับรู้ พอตัวนี้เกิดปั๊บ ก็เป็นอันว่าเริ่มฝันแล้ว