ถาม :  แล้วอย่างพวกที่เขาไปเอาอุปกรณ์สำนักงานไปใช้เป็นของส่วนตัวอย่างนี้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าจิตละเอียด เขาจะไม่ทำ
      ถาม:  แล้วพวกค้ายา พวกนี้เขาจะได้รับกรรมในลักษณะไหนเจ้าคะ ? เพราะตอนนี้มีเยอะมาก
      ตอบ:  ไม่ต้องหวงหรอกจ้ะ พวกยามันอยู่ในของมึนเมาทำให้ขาดสติสัมปะชัญญะ ก็โดนโทษอย่างเดียวกับพวกที่ผิดศีลข้อ ๕ ความจริงพระพุทธเจ้าท่านสอนครบ แต่ว่าคนฟังก็ดีหรือว่าคนสอนก็ดี มักจะตีความไม่ครบ ท่านบอกว่า สุรา สิ่งที่กลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ มัชชะ ของมึนเมาที่ทำให้ขาดสติสัมปะชัญญะ จริง ๆ แล้วมันรวมหมดใช่ไหม ? พวกยาเสพติดจัดอยู่มัชชะ คราวนี้คนเขาไม่นิยมที่จะแปลกัน มันแปลแต่คำหน้าคำเดียว คือ สุรา ไอ้เมรัยที่หมักดองนั่นแหละตัวเจ็บเลย
      ถาม:  ถ้าเกิดเราจะต้องคอยที่จะไปวิ่ง ไปเที่ยวช่วยเหลือคน คนที่เขามาหาเรา ก็ต้องวิ่ง ต้องไปช่วย เราเหนื่อยใจจะขาด อันนี้ถือว่าเป็นกรรมของเราไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ:  จะเรียกว่ากรรมของเราก็ได้ จะรียกว่าโง่ก็ได้ แรงไปไหม ? เพราะว่าจริง ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นะ มันได้รับการดลจิตดลใจมาเหมือนกัน เขาเห็นว่ากำลังใจของเรา ถ้ารวบรัดตัดตรงมันจะเข้าถึงมรรคผลได้เร็ว จะทำให้พ้นจากเงื้อมมือเขา เขาก็หาสิ่งอื่นมาขวาง คราวนี้สิ่งอื่นที่มาขวาง ด้วยวิสัยของเราก็คือสู้ ก็ใช้วิธีนำสิ่งที่น่าสงสารมา ทำให้เราต้องไปใจอ่อนกับมัน ในเมื่อเราต้องไปใจอ่อนกับมัน ก็ทำให้เราต้องเสียเวลา ดังนั้นท่านถึงได้สอนว่า ตัวเมตตาพรหมวิหารนะ ตอนแรกต้องรักตัวเองก่อน สงสารตัวเองก่อน รักษาตัวกลัวกรรม อย่าทำชั่ว จะหมองมัว หม่นไหม้ไปเมืองผี ตอนแรกต้องรักษาตัวเองก่อน เอาตัวเองให้รอดก่อน เมื่อตัวเองรอดแล้ว เราจะช่วยคนหมู่มากก็ช่วยได้ แต่ถ้าตัวเองยังไม่รอด เขาได้ประโยชน์ตรงเฉพาะหน้าตรงนั้นนิดเดียว เราเองสิเสียประโยชน์ไปตลอดกาล ดังนั้นจะเรียกว่าโง่ก็ย่อมได้
              อาตมาเองเมื่อวานกำลังไปโรงเรียนแล้ว ตอนแรกเปิดประตูกุฏิออกมา เจอรถยนต์คันหนึ่งมีคนนั่งอยู่สามคน เขาเองก็มอง ๆ ไปได้สักพักหนึ่ง ท่านเทพวสันต์ พระลูกศิษย์วิ่งมาตาม บอกว่า อาจารย์ครับมีคนรออยู่ ก็บอกปล่อยมันรอไป มันรอฉันไม่ใช่ฉันรอมัน ว่าแล้วก็ขึ้นโรงเรียน ฟังดี ๆ นะ เดี๋ยวจะกลายเป็นคนใจดำ ไปถึงก็นั่งท่องหนังสือ อาจารย์เขาจะใส่ตรงหน้านี่แล้ว ถ้าท่องไม่ได้ก็ตายแน่ใช่ไหม ไปนั่งท่องหนังสือได้สัก ๒๐ นาที เขาก็เดินมา
              คราวนี้ตามมาแล้ว ตามมาจากทางด้านกุฏิขึ้นโรงเรียนมา เราเองก็ไม่สนใจ ก็ท่องหนังสือไปเรื่อย เขาก็กราบ ๆ เสร็จก็เงียบ เงียบก็เรื่องของเขา โยมมีธุระกับอาตมา อาตมาไม่มีธุระกับโยมนี่หว่า ใช่ไหมก็เรื่องของเขา ก็ไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย ท่องไปเรื่อย จนกระทั่งเขาเห็นว่าถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ เราคงไม่มองเขาแน่ ๆ เลย เขาก็เลยถามว่า หลวงพี่เล็กหรือเปล่าครับ ก็ถามว่ามีธุระอะไร เขาก็บอกว่า เขามาหา หลวงพี่สมปอง ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นไปหาที่ข้าง วัดท่าซุง ไม่ใช่หาที่นี่ ว่าแล้วเราก็อ่านหนังสือต่อ ก็หมดธุระแล้วนี้ เขามาหาหลวงพี่สมปอง ไม่ได้มาหาอาตมานี่
              คราวนี้พอเขาไป แล้วพระเขาสงสัย ก็พระเรียนอยู่ตั้งเยอะนี่ พระเขาสงสัยว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น บอกว่าถ้ากำลังใจในปัจจุบันของอาตมาแล้วนะ ถ้าไม่ใช่มาดิ้นพรวด ๆ ล้มทับตีนอยู่ตรงหน้าก็เดินผ่านไปเลย ถ้ามันล้มทับตีนอยู่ก็จำเป็นต้องช่วยมันหน่อย เพราะเราเดินต่อไม่ได้ กำลังใจเมื่อถึงเวลา ถึงวาระแล้ว มันจะเอาเฉพาะงานตรงหน้าเท่านั้น เรื่องอื่นไม่พยายามเอาแล้ว เหนื่อยพอแล้วจ้ะ ของเราถ้ายังเหนื่อยไม่พอก็ต่ออีกหน่อยก็ได้ เชิญตามสบายจ้ะ
      ถาม:  เหนื่อยมากไหมคะหลวงพี่ ?
      ตอบ:  เหนื่อยไม่มากจ้ะ เหนื่อยคนเดียว คนเดียวจะไปมากยังไง ใจดำไหม ? เมตตา กรุณา แต่ขณะเดียวกัน อุเบกขา ท่านก็สอนไว้ด้วย ส่วนใหญ่มันไม่เบรคขาหรอก ทั้งแขนทั้งขา มันไปหมดอีกต่างหาก
      ถาม:  แล้วอย่างนี้ถ้าเราเจอพวกวิญญาณขอส่วนบุญ ?
      ตอบ:  ถ้าเขาแสดงว่าเขารับได้ ให้เขาไป ถ้าอันไหนที่เราสงเคราะห์ไม่ได้ก็หยุดไว้แค่นั้น มีจิตคิดสงสาร พร้อมที่จะให้การสงเคราะห์ แต่ขณะเดียวกันเมื่อตอนนี้ยังสงเคราะห์ไม่ได้ก็ต้องปล่อยวางก่อน เขาเรียกว่า อุเบกขาในกรุณา ไม่ใช่เมตตา กรุณา อุเบกขา เฉย ๆ นะ มันมี เมตตาในเมตตา เมตตาในกรุณา เมตตาในมุทิตา เมตตาในอุเบกขา มีกรุณาในเมตตา กรุณาในกรุณา มีกรุณาในมุทิตา กรุณาในอุเบกขา ทั้งสี่ตัวมีลักษณะเดียวกันหมด ถ้าถึงที่สุดนี้ อุเบกขาในอุเบกขา เจอเบรคสองชั้นก็เหมือนกับอาตมานี้แหละ ไม่ถึงขนาดไปดิ้นทับขาอยู่ข้างหน้าก็ปล่อยมันไป
      ถาม:  จะพยายามค่ะ
      ตอบ:  ไม่ต้องพยายามจ้ะ ถ้ายังไม่เหนื่อยทำต่อไปได้ ไม่เป็นไร ถ้าเหนื่อยแล้วก็พยายามหน่อย
      ถาม:  สงสัยค่ะ ตอนนี้มีน้ำมาจากทางเหนือ ก็จะมีการตายหมู่ เกิดขึ้นไม่ทราบว่าพวกที่มีกรรมจากการตายหมู่ เขาทำกรรมอะไรไว้ถึงต้องตายหมู่ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าตายจริง ๆ ก็คือโทษปานาติบาต แสดงว่าได้ทำกรรมมาในลักษณะเดียวกันและพร้อมเพรียงกันทำ อย่างเช่นว่า องคุลีมาล สมัยที่ท่านเป็น อหิงสกะ ที่เป็นโจรอยู่ ท่านฆ่าคนไปในตำราเขาบอกว่า ๙๙๙ นั่นไม่ใช่หรอก ...เกิน เพราะระยะแรกที่ฆ่า แล้วท่านคิดว่าท่านจำได้ ก็ไม่ได้จดไว้ จนกระทั่งจำไม่ได้จริง ๆ ต้องตัดนิ้วมาร้อยไว้ แสดงว่าเกินปรากฏว่าในอดีตชาติ
              มีชาติหนึ่งที่ท่านเกิดเป็นควายป่า ชาวบ้านเอาควายมาเลี้ยงที่ชายป่า ท่านก็ออกมาขวิดควายชาวบ้านเขา ชาวบ้านเขาก็เลยพร้อมใจกัน ล้อมฆ่า ในเมื่อก่อนจะตายท่านก็เลยอาฆาตไว้ว่าจะมาฆ่ามันบ้าง เมื่อกลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้พวกที่โดนฆ่าก็คือพวกที่เคยล้อมฆ่าท่านตอนนั้น ถ้ากรรมมาอย่างเดียวกัน ก็จะตายในลักษณะเหมือน ๆ กัน บางทีตายพร้อมกันด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งก็คือว่าทรัพย์สินสิ่งของที่เสียหาย อันนี้เกิดจากกรรมอทินนาทาน เคยลักขโมยเขามาทรัพย์สินในชาตินี้จะเสียหายด้วยการลักขโมยบ้าง เรียกว่า โจรภัย โดนทำลายด้วยลมบ้าง เรียกว่า วาตภัย โดนทำลายด้วยน้ำบ้างเรียก อุทกภัย โดนทำลายด้วยไฟบ้างเรียก อัคคีภัย
      ถาม:  แล้วที่เขาตายหมู่วิญญาณพวกเขาเหล่านี้จะไปเกิดพร้อมกัน หรือว่าต่างคนต่างไปคะ ?
      ตอบ:  ต่างคนต่างไป ตามกรรมดีกรรมชั่วที่ทำมา แล้วแต่ว่าหนักเบาแค่ไหน เพราะว่าแต่ละคนก็ไม่ใช่นัดกันทำอยู่ทุกบ่อย สิ่งที่ตัวเองทำเฉพาะตนอยู่ก็มี เหมือนพระพุทธเจ้ากับ พระเทวทัต พระเทวทัตกอบทรายขึ้นมาประกาศว่าเราจะตามจองพระพุทธเจ้าทุกชาติเท่ากับจำนวนเม็ดทรายในกำมือนี้ เสร็จแล้วท่านก็ตามจองมาเรื่อย ไม่ใช่ว่าเจอกันทุกชาติ ไม่ใช่เจอกันทุกครั้ง หากแต่ว่าถ้าชาติไหนพระเทวทัตพลัดลงนรกไป พระพุทธเจ้าท่านเองก็ไปทำบุญทำบาปอะไรของท่านอย่างอื่นไป มีหลายชาติที่ท่านลงนรกไปอย่างหน้าชื่นตาบานเหมือนกัน แต่พอเกิดขึ้นมาพร้อมกันเมื่อไรก็ฟัดกันต่อ แล้วอันนี้เป็นอันว่าพระพุทธเจ้าท่านเสียเปรียบพระเทวทัต เพราะพระเทวทัตเล่นฝ่ายเดียวตลอด เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าแต่ละชาติจะได้นัดไปทำความดีความชั่วพร้อม ๆ กันอย่างนั้น มันก็มีแต่ละชาติที่ต่างคนต่างทำบ้าง พอมาถึงชาติสุดท้ายพระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้า พระเทวทัตเกิดเป็นพระเทวทัต ก็มาว่ากันยกสุดท้าย พอยกสุดท้ายแล้วต่อไปเทวทัตท่านเกิดท่านก็เดือดร้อนเองแล้ว พระพุทธเจ้าท่านไม่เกิดแล้วนี่
      ถาม:  พวกเคยอาฆาตกันข้ามชาตินี่มีวันหมดไหม ?
      ตอบ ถ้าหมดความตั้งใจอันนั้นเมื่อไรก็มีวันหมด ถ้ายังไม่หมดความตั้งใจ มันไปเรื่อย ถ้าอย่างการอาฆาตกันเหมือนอย่างกับ นางกุลธิดา กับ ยักษิณี อันนี้ต้องให้อโหสิกรรมกันก่อน นางกุลธิดาแกคลอดลูกเมื่อไรจะมียักษ์ตัวหนึ่งคว้าลูกเอาไปกินเสียทุกทีเลย
              จนกระทั่งแกรู้เลยว่าถ้าคลอดอีกก็เสร็จอีกเพราะฉะนั้นวันนั้นพอคลอดเสร็จ ก็ไม่สนใจว่าร่างกายจะอ่อนแอขนาดไหนก็ตาม อุ้มลูกได้ก็วิ่งไป เชตวัน จะอาศัยบารมีพระพุทธเจ้าช่วย ไปถึงประตูเชตวันมหาวิหารนางยักษิณีตามทันพอดี ปรากฏว่าท้าวจตุมหาราชที่รักษาพระพุทธเจ้าอยู่ในบริเวณนั้น ยักษ์ก็เลยไม่กล้าทำอะไร พระพุทธเจ้าเลยสั่งให้พายักษิณีเข้ามา พอเข้ามาก็ประกาศกรรมในอดีตชาติให้รู้ ว่าชาติหนึ่ง นางยักษ์เกิดเป็นแม่ไก่ส่วนนางกุลธิดาเกิดเป็นแม่แมว แม่แมวกินลูกไก่เสียเกลี้ยงเลย แม่ไก่ยัวะขึ้นมาก็ประกาศเลยว่าจะตามไปกินลูกแกบ้าง พอชาติต่อมาแม่แมวไปเกิดเป็นแม่กวาง แม่ไก่ดันไปเกิดเป็นแม่เสือ กินลูกกวางคืนไป กินกันไปกินกันมาจนมาถึงชาติปัจจุบันนี้ เมื่อถึงชาติปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าท่านประกาศบอกแล้ว ก็เลยขอให้โจทก์และจำเลยอโหสิกรรมต่อกัน ในเมื่อทั้งหมดออกปากอโหสิกรรมต่อหน้ากัน โดยที่ประกาศว่าจะไม่จองกันต่อ กรรมอันนั้นก็ขาดช่วงลง คือ ความตั้งใจหมดลงแล้ว เมื่อความตั้งใจหมดลงแล้ว กรรมก็ขาดช่วงลง
      ถาม:  อันนี้ต้องเป็นทั้งสองฝ่ายเลยไหมคะ ?
      ตอบ:  ต้องทั้งสองฝ่าย โจทก์และจำเลยพร้อมกัน ถ้าหากว่าเราให้อภัยฝ่ายเดียว ก็เป็นว่าเราปลดออกจากจุดนั้นได้ แต่เขาเอง เขาก็ตามอย่างที่เทวทัตเล่นพระพุทธเจ้า
      ถาม:  ไปงานศพแม่ของน้องที่ทำงานเขามีปี่พาทย์มอญเจ้าคะ ทีนี้พอเข้าไปกราบศพ วิญญาณแม่ของน้องที่เพื่งจะเสียไปก็เดินวนเวียน ๆ อยู่รอบศพของเขา ตอนแรกก็ไม่ทราบว่าทำไมเขาเดินอยู่ แล้วพอเปิดม่านเลิกการบรรเลง ไม่ทราบว่ามีกินรีออกมาได้อย่างไร จากฆ้องวงที่เป็นรูปฆ้องวง ออกมาร่ายรำให้วิญญาณของคุณแม่ของน้องที่เสียไปแล้ววิญญาณเขารับรู้การแสดงได้อย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ:  จริง ๆ ถ้าเป็นคนตาย ก็เปลี่ยนจากกายหยาบเป็นกายทิพย์เท่านั้น อายตนะ ตา หู ลิ้น กาย ใจ อะไรพร้อมที่รับสัมผัสยังมีอยู่เป็นปกติ ก็เลยสามารถรับรู้ได้ ส่วนเรื่องที่มีกินนร กินรี ออกมาร่ายรำน่ะ เคยได้ยินบ้างไหม เคยได้ยินคนเขาพูดไหมว่าเรื่องของเครื่องดนตรีนะ อย่าไปเล่นส่งเดช เขามีครู ก็ลักษณะนั้นแหละ คือเขาประกอบพิธีกรรมของเขามาเรียบร้อยแล้ว แล้วคนที่ไม่รู้ไปเล่นส่งเดชเข้าก็เป็นไข้บ้าง ปวดหัวบ้าง อะไรบ้าง ตามแต่ความหนักเบา แล้วแต่ครูจะเมตตาลักษณะนั้น
              เรื่องของดนตรีอย่างหนึ่ง เรื่องของนาฏศิลป์อย่างพวกลิเก โขนอะไรอย่างหนึ่ง เขาจะมีครูของเขา ถ้าหากว่าเป็นสายที่บริสุทธิ์ตั้งใจทำ เขาเรียกว่าเป็นธรรมทานก็ดี ลักษณะแบบนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่ว่ามันมีบางอย่าง บางอย่างเขาทำในลักษณะดึงคน เขาจะมีการเสกกลอง เสกธง ถ้าเห็นธงต้องไปเข้าโรงของเขา ถ้าได้ยินเสียงกลองยังไงก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องไปหาเขา เขาใช้ในลักษณะว่าหาเงิน ถ้าพวกนี้อันตรายนิดหนึ่ง ถ้ากำลังใจของเราต่ำเมื่อไรโดนเขาครอบงำได้เลย จะสังเกตได้เลย ลิเกบางคนนี่ไปแสดงสุดเหนือสุดใต้พวกแม่ยกตามกันหัวทิ่มหัวตำกัน
              หลวงพ่อท่านเคยอยากจะไปขอเรียน ท่านเรียกว่า นะปัดตลอด ท่านบอกว่าครูลิเกคนหนึ่ง น่าจะเป็น หอมหวล เพราะว่าหอมหวลเป็นลูกศิษย์ของ หลวงปู่ปาน ท่านบอกว่าเขาใช้นะปัดตลอดเสกแป้ง ถึงเวลาเสกแป้งกำหนึ่งแล้วก็เป่าไป ถ้าเป่าไปทิศไหนคนทิศนั้นที่อยู่ในระยะนั้นต้องมา แล้วแป้งกำนั้นจะวิ่งตรงไปข้างหน้าอย่างเดียวจนกว่าจะมีอะไรมาขวางก็ไปติดที่สิ่งกีดขวางนั้น ถ้าไม่มีก็ไปเรื่อยล่ะ แล้วลองคิดดูสิ ถ้ามันไปสัก ๒๐ - ๓๐ กิโล แล้วคนด้านนั้นมาหมดมันจะเยอะแค่ไหน เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่เห็นแค่นั้น มีเยอะกว่านั้น
      ถาม:  แล้วพวกที่เล่นของ เสกของเข้าในตัวล่ะเจ้าคะ พวกนี้ถือว่าพวกนี้ถือว่าเขามีวิชาไหมคะ ?
      ตอบ:  อันนี้ก็เป็นสมาธิอย่างหนึ่ง แต่เขาเรียกว่าเป็น มิจฉาสมาธิ ก็คือใช้สมาธิผิด แต่วิชาเขาก็มี จริง ๆ แล้วพวกนี้เป็นไสยศาสตร์ประเภทหนึ่งเขาเรียกว่า คุณคน ก็คืออาศัยคนทำสิ่งของไปทำร้ายคน ถ้าหากว่า คุณผี หมายถึงบังคับผีไปทำร้ายคน อาจเป็นการเข้าสิง เป็นการบังคับให้ทำอะไรตามที่ตนต้องการ ก็เลยมีทั้งคุณผีและคุณคน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มันจะเป็นประโยชน์แค่ปัจจุบันของเขาเท่านั้น เพราะว่าเท่ากับตัวเองเป็นผู้มีวิชา ก็จะมีลูกศิษย์ลูกหา มีคนขึ้น มีคนไปมาหาสู่ เพื่อที่จะให้ช่วยเหลือ
              แต่ว่าพวกนี้ถ้าไม่มีจริยธรรมจริง ๆ เขาสามารถเอาออกได้ เวลาเราไปขอให้เขาช่วยเขาก็เอาเข้าได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเผลอเมื่อไรเขาก็แถมให้ ถึงเวลาก็ต้องวิ่งไปหาเขา เสียสตางค์ให้เขาอีก คราวนี้พวกนี้มันมีความสุขแต่ปัจจุบัน ทำให้คนอื่นเดือดร้อนได้ ตัวเองอาศัยความเดือดร้อนของคนอื่น เป็นความสุขของตัว ถ้าตายลงนรกก่อน เมื่อลงนรกเสร็จแล้วขึ้นมาเป็นเปรต พวกนี้จะเป็นเปรตพวกหนึ่งใน ๑๒ จำพวก เรียกว่า มหิทธิกาเปรต จะเป็นเปรตที่มีฤทธิ์มาก เพราะตัวเองมีสมาธิสมาบัติมาก่อน มหิทธิกาเปรตนี่อานุภาพเขามาก จะครองพื้นที่เขตใดเขตหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกเจ้าพ่อ เจ้าป่า เข้าเขา พวกนี้ถ้าเทวดาที่มีศักดานุภาพน้อย ๆ ต้องหลีกให้เขานะ สู้เขาไม่ได้จริง ๆ เพราะพื้นฐานเขามาดีกว่า ถ้าสมมติว่าเป็นเทวดาด้วยพื้นฐานของทาน ด้วยพื้นฐานของศีล แต่นั่นเป็นเปรตด้วยพื้นฐานของสมาธิ สูงกว่ากี่เท่าล่ะ ? ต้องถอยให้เขาเหมือนกัน
      ถาม:  แล้วถ้าเรามัวแต่ทำสมาธิ จะเป็นการถ่วงตัวเองหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ รูปราคะ และอรูปราคะ การติดในรูปและสิ่งที่ไม่ใช่รูป สิ่งที่ติดอย่างชนิดที่แกะยากที่สุดก็คือติดในรูปฌานและอรูปฌาน จะเรียกว่าถ่วงตัวเองก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน แค่พลิกกำลังใจนิดเดียวเท่านั้นเอง อาศัยกำลังสมาธิเกาะนิพพานแทน คราวนี้สบายมากเลย เพราะกำลังมันเหลือเฟือแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ข้อนี้ก็เปลี่ยนจากการที่ไปยึดอยู่ในฌาน เปลี่ยนเป็นเกาะนิพพานแทน คราวนี้จะมั่นคงกว่าปกติ เพราะกำลังมันสูง
      ถาม:  ถามเรื่องการถวายดอกไม้กับดอกไม้ประดิษฐ์ให้กับพระพุทธรูปเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าจำเป็นไหมเจ้าคะที่ต้องถวายดอกไม้สดเสมอ ?
      ตอบ:  เรื่องดอกไม้สดนี่มีตัวอย่างอยู่ก็คือ นางอมิตดา ใน พระเวสสันดรชาดก นางอมิตดาได้ตาชูชกแก่งั่กเป็นผัว อรรถกถาท่านบอกว่านางอมิตดาถวายดอกไม้เหี่ยวบูชาพระ เพราะฉะนั้นถ้าถวายพวกดอกตูม ๆ จะได้เด็กหน่อย คราวนี้เสียวอยู่อย่างเดียว ไปถวายดอกไม้ประดิษฐ์ ถ้าไม่ได้ลักษณะ เบญจกัลยาณี สาวสองพันปีไม่แก่สักที ก็จะได้สาวพลาสติกแถมไปด้วย คาดว่าคงไม่ได้สาวพลาสติกหรอก ก็จะได้สาวเบญจกัลยาณีแบบ นางวิสาขา มากกว่า
              เบญจกัลยาณีนี้ในสี่อย่างแรกเป็นความสวยปกติอยู่แล้วใช่ไหม ? งามผม งามเล็บ งามฟัน งามเนื้อ แต่สุดท้ายนี้เขาว่างามวัย งามวัยเขากำหนดเอาไว้ว่ามีลูกคนแรกอายุเท่าไรผู้เป็นแม่ลักษณะร่างกายจะอยู่แค่นั้นจนกว่าจะตาย นางวิสาขาท่านแต่งงานตั้งแต่ตอนอายุ ๑๖ ก็ตีเสียว่ามีลูกตอน ๑๗ ก็แล้วกัน ก็กลายเป็นว่าเป็นสาว ๑๗ ไปจนถึง ๑๒๐ ปี แกมีลูกอยู่ ๒๐ มีหลานอยู่ ๔๐๐ นั่งอยู่ในกลุ่มหลานสาว ๆ คุณยายอายุ ๑๐๐ กว่าแล้ว คนเขาดูไม่ออกว่าคนไหนเป็นยาย คนไหนเป็นหลาน พระเจ้าปเสนทิโกศล ก็เล็งแล้วเล็งอีกเขาว่านางวิสาขามีเครื่องมหาลดาปสาธน์ ใช่ไหม ? ก็พยายามเล็งดูใครแต่งมาวิริศมาหราคนนั้นแน่ ปรากฏว่าดันไปดูตอนไปวัด เขาก็เก็บเครื่องแต่งตัวก่อนแล้วค่อยไปวัด ไม่เจอสักที
              คราวนี้พระเจ้าปเสนทิโกศลท่านฉลาด ท่านก็คิดเออ.....คนแก่นี่กำลังจะไม่ดี ถึงรูปกายจะหนุ่มจะสาวก็เหอะ คนกำลังไม่ดีเวลาลุกต้องเอามือยันพื้นก่อน พอถึงเวลาเลิกเทศน์ปุ๊บก็มียายแก่ยักแย่ยักยันอยู่คนเดียวแหละ สาวเซ้งเลย แต่ต้องเอามือค้ำยันก่อนถึงค่อยลุก ก็ถึงได้รู้ว่านั่นแหละนางวิสาขา เพราะฉะนั้นก็คาดว่า การถวายดอกไม้ประดิษฐ์ซึ่งมันอยู่ยงคงทนมากกว่าก็อาจมีเนื้อคู่อย่างนางวิสาขา เป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี ไม่รู้จักแก่สักทีคงไม่ใช่ได้สาวพลาสติกศัลยกรรมมาหรอก
      ถาม:  คนที่จะได้เป็นเบญจกัลยาณี ต้องทำบุญอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?
      ตอบ:  เบญจกัลยาณีนี้ จุดสำคัญที่สุดก็คือว่าซ่อมพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปปรักหักพังอย่างไรก็ไปซ่อม แต่ว่าขณะเดียวกัน ถ้ามีเมตตาเป็นปกติ มีศีลเป็นปกติก็จะสวยอยู่แล้ว คราวนี้ความสวยนี้จะเสื่อมไปตามวัย เบญจกัลยาณีนี้ถ้ามีลูกเมื่อไรจะอยู่แค่นั้น ได้กำไรกว่าเขาอยู่อันหนึ่ง
      ถาม:  ไม่ทราบว่า ภพชาติที่จะได้ผล จะยาวนานแค่ไหน ?
      ตอบ:  ก็ต่อไป ๆ ในภายหน้า เขาเรียกว่า อปราปรเวทนียกรรม กรรมที่ให้ผลในชาติที่สองที่สามต่อไปเรื่อย ไม่ใช่ปัจจุบันนี้ ปัจจุบันนี้ที่เป็น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม มันมีอยู่ทั้งความดีความชั่ว ถ้าหากว่าฝ่ายชั่ว ก็คือ ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ยุสงฆ์ให้แตกกันเป็นสังฆเภท อันนี้ลงอเวจีมหานรกอย่างเดียว ถ้าทำครบสี่อย่างก็ลงโลกันต์ไปเลย
              คราวนี้ในฝ่ายดี ก็คือสร้างฌานสร้างสมาบัติได้เป็นปกติ อยู่ระดับก็จะส่งผลให้เกิดเป็นพรหมในระดับนั้น ถ้าทรงอรูปฌานได้ก็จะเป็นพรหมในระดับนั้น แต่ว่ามีอยู่อีกอันหนึ่งว่า ถ้าได้ทำบุญกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติจะรวยในชาตินั้นทันทีเลย เพราะฉะนั้นทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนี้ทำยากหน่อย ให้ผลในปัจจุบัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย เหมือนกับการเพาะถ่วงอกกินแล้วหมดเลย ให้ผลเร็วมาก ถั่วงอกนี้ ๓ ชั่วโมงได้กินแล้ว แต่ว่ากินแล้วหมดเลย ขณะเดียวกันกับกรรมอื่น ๆ ที่เป็น อุปัชชเวทนียกรรม อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในการข้างหน้าต่อเนื่องยาวนานไปเรื่อยเหมือนกับเราปลูกไม้ผล ๓ ปี ๕ ปี กว่าจะได้กิน แต่ถ้ามันโตขึ้นมามันได้อยู่เรื่อย