ถาม :  เรื่องสีของพระนิพพาน ฟังจากท่านเล่ามานี้ จริง ๆ แล้ว เป็นสีแก้วหรือสีแก้วผสมทอง ?
      ตอบ คุณชอบแบบไหน จะมีแบบนั้น เพราะว่าถึงตอนนั้นแล้ว พระนิพพานมันถึงพร้อมทุกอย่าง ต้องการอะไรสิ่งนั้นจะมา คราวนี้ หลวงพ่อท่านชอบในลักษณะ แก้วแกมกาญจน์ คือ แก้วผสมทองถึงเวลาสีก็ออกในลักษณะนั้น แต่คำว่านิพพานมันพูดยาก ถ้าในสายตามนุษย์เหมือนเห็นลมเป็นตัว มองเห็นไหมล่ะ ....ลม ? แต่ว่าเป็นลมที่แพรวพราวมากเลย ระยิบระยับมีประกายมีสีสันอะไรทุกอย่าง คำว่านิพพานอธิบายเป็นภาษามนุษย์คงไม่รู้เรื่องหรอก ไปสัมผัสเอาเองแล้วกันอย่างคุณให้ความสนใจอยู่แล้ว กำลังใจทำถึงเมื่อไร ดีไม่ดีไปถึงเองเลย
      ถาม:  แล้วอย่างอารมณ์ตัดร่างกายนี้ ตัดตอนไหน หรือว่าตัดทุกตอนครับ ?
      ตอบ:  คือจริง ๆ ต้องรู้สึกเสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถึงจะเรียกว่าตัดร่างกาย แต่ว่าการปฏิบัติมันก็จะมี วิขัมภนะวิมุตติ คือ หลุดพ้นด้วยความข่มไว้ แต่ ตทังคะวิมุตติ หลุดพ้นด้วยวิปัสสนาญาณนั้น ๆ มันสำคัญตรง สมุทเฉทวิมุตติ หลุดพ้นโดยเด็ดขาดเลย เพราะฉะนั้นที่บอกว่า ตัด ๆ ตัดยังไง ? รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่คิดจะรักใคร่ใยดี ทรงอารมณ์นี้เป็นปกติเป็นเอกัคตารมณ์ ก็คงเป็นสมุทเฉทวิมุตติเลย ตัดโดยเด็ดขาดและสิ้นเชิงไม่มีการกำเริบใหม่อีก
      ถาม:  อย่างที่เราคิดว่าเราไปตัดกิเลสอย่างนั้นอย่างนี้ มันจำเอาใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าเป็นสัญญามันก็แค่จำ เหมือนยังกับว่าจำไปตอบอย่างเช่น รู้ว่าต้องตอบอย่างนี้ ครูถึงบอกว่าถูก กลัวเสียฟอร์มก็เลยตอบไปตามนั้น แต่จริง ๆ แล้วยังไม่ยอมรับ ถ้าใจยอมรับจริง ๆ อย่างเช่นว่า กำลังใจรู้อยู่เสมอว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา พอไปเห็นร่างกายคนอื่น ก็เห็นว่านั้นไม่ใช่ของเขา และไม่ใช่ของเราด้วย มันก็จะไม่เกิดความอยากได้ใคร่ดีในร่างกายของคนอื่นเขา จะเป็นปัญญาที่ยอมรับ แต่ถ้าสัญญาก็แค่จำได้
      ถาม:  อย่างสมมติว่าเราได้ยินคำพูดบางคำพูด เมื่ออยู่ในหัวอย่างนี้เราจะรู้ได้ยังไงครับว่าคิดไปเองหรือได้ยินเสียงจริง ๆ ?
      ตอบ:  มันมีเรื่องที่เราพิสูจน์ในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า หวยออกเลขนี้นะ ลองจำไปดู ไม่ต้องไปเล่นนะ จำไปดู ถ้าเกิดออกตามนั้นก็ให้จำให้ได้ ว่าตอนนั้นอารมณ์เอาวางอารมณ์แบบไหน ? แล้วลักษณะของเสียงมายังไง ? มันถึงถูกต้อง แล้วจำขั้นตอนเอาไว้ ต่อไปถ้ามาอย่างนั้น ก็พิสูจน์อีก ถ้าถูกอีกก็พยายามจำไว พอจำได้มั่นคงว่าเราวางอารมณ์ใจแบบนี้ลักษณะสุ้มเสียงแบบนี้ แล้วเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต่อไปถ้ามาก็โอเค แต่ว่าจริง ๆ แล้ว เขาไม่ให้เชื่อเสียทีเดียว
      ถาม:  ถ้าหากว่าเกี่ยวกับการปฏิบัติอย่างนี้แล้ว ก็คือต้องรอดูไปก่อน ?
      ตอบ:  ถ้าหากว่าเป็นการแนะนำเกี่ยวกับกองกรรมฐานที่เราปฏิบัติแล้วเห็นว่าทำตามแล้วจะมีผลก็ลองดู แต่ถ้าเห็นว่าเราทำกรรมฐานอยู่กองหนึ่ง ชวนไปทำอีกกองหนึ่ง อย่าไปสนใจ เป็นการดึงให้สมาธิของเราเสีย
      ถาม:  สมมติว่า ได้ยินว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ?
      ตอบ เรื่องที่เกี่ยวกับมรรคผลนิพพาน เสียงที่มาทำนายห้ามเชื่อเด็ดขาด รับทราบไว้ด้วยความเคารพ แต่ไม่ต้องไปสนใจ เพราะว่าถ้าหากว่าเราไปได้จริง เรารับรู้แล้วเราตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อฝึกให้ได้อย่างนั้นจริงก็แค่เสมอตัว แต่ถ้าเรายังไปไม่ได้จริง ถึงเวลารับรู้แล้วเกิดความประมาท นอนตีพุงเฉย ๆ ชาตินี้เราไปได้แน่ ชาตินี้คุณขาดทุนยับเยินเลย เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคำทำนายเกี่ยวกับเรื่องมรรคเรื่องผลไม่ต้องไปใส่ใจ ยกเว้นพระพุทธเจ้าเสด็จมาชัดเจนแจ่มใสเลย แต่ว่าลักษณะนั้นของท่านก่อนที่ท่านจะพยากรณ์เรา ท่านก็ต้องมาสอนเราอยู่ระยะหนึ่งแล้ว
      ถาม:  ท่านมาสอนเลยหรือครับ ?
      ตอบ:  จะว่าท่านมาเลย จริง ๆ แล้วท่านก็อยู่บนนิพพาน ที่เป็นเป็นองค์ท่าน ภาษาพระเรียกว่า ฉัพพรรณรังสี แต่ว่ามาปรากฏเฉพาะหน้าเหมือนกับท่านมาเอง คือในความเป็นทิพย์ท่านสามารถที่จะแบ่งการทำงานออกไปเป็นหมื่นเป็นแสนได้พร้อมกัน อาจโปรดคนเป็นแสน ๆ คน เป็นแสน ๆ ที่ ได้พร้อมกันได้ องค์จริงของท่านอยู่ในนิพพานโน้น ขอให้เป็นองค์ที่ได้เห็น จะเป็นองค์จริงหรือเป็นฉัพพรรณรังสีก็ให้ได้เห็นเถอะสำคัญไม่ได้เห็นนั่นสิ
      ถาม:  เรื่องของสงคราม คนจะตายกันหมด ?
      ตอบ:  มันไม่หมดหรอก ถ้าตามพยากรณ์ของพระพุทธเจ้า ก็ตายไปฝ่ายละครึ่งใช่ไหม ?
      ถาม:  แล้วจะหากินกันได้ไหม ?
      ตอบ:  ข้าวแกงจานละ ๑๐๐ คงพอซื้อได้มั้ง (หัวเราะ) บ้านเราถ้าไม่ค้าขายเพลินจะสบาย ถ้าขายเพลินใครสั่งกูจะส่งตะบัน เดี๋ยวก็มาเคี้ยวสตางค์แทน
      ถาม:  ก็คือว่า เราไม่ต้องไปวิตก ?
      ตอบ:  ไม่ต้องวิตกกังวลหรอก กัมมัสสะ โกมหิ กัมมะ ทายาโท ทำกรรมไว้ดี ยังไง ๆ มันก็ต้องมีกิน
      ถาม:  แล้วระบบเศรษฐกิจโลกนี้จะล่มสลายไหมครับ ?
      ตอบ:  อย่างน้อย ๆ ทางบ้านเรายังพอทำมาค้าขายได้ เรียกเศรษฐกิจโลกไม่ได้หรอก บอกได้อย่างเดียวว่าต่อไปเอเชียจะเป็นผู้นำ เรื่องนี้ให้ฟุ้งซ่านเลยตายไปพักหนึ่ง
      ถาม:  คือยังไม่ถึงขั้นต้องเลิกใช้เงินตรา ?
      ตอบ:  มันยิ่งต้องใช้ ไม่ใช้แล้วจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจยังไงล่ะ ? เอาแบบสมัยก่อนไหมล่ะ ? คุณเอาของนี้มา ผมเอาของนี้ไป แลกกัน ของอะไรที่มันเคยใช้แล้วมันทำความสะดวกให้ เขาก็ไม่เลิกหรอก
      ถาม:  มีเท่านี้ครับ ความสงสัยมันเริ่มลดลง ?
      ตอบ:  จำไว้ว่าให้ทำ อย่าไปเที่ยวถาม ถ้าถามแล้วไปยึดถือคำตอบเป็นประมาณ เขาเรียกว่าเป็นอุปาทาน ด้วย ทำแล้วเกิดปัญหา แล้วมาถาม มันจะดี เพราะแก้ไขได้ตรงจิตตรงใจ ถ้าหากว่าถามแล้วเอาไปทำ แล้วมันฟุ้งซ่านหลายเรื่อง เรื่องแรกคือ เอ... ทำไมมันไม่เหมือนเขา แต่ละคนจริตนิสัยต่างกัน จะให้เหมือนกันก็ไม่ได้ แล้วอีกอย่างหนึ่งสถานที่ที่ไป ถ้าเป็นสถานที่เดียวกันแต่คนละจุด มันก็ต่างกันอีก อย่างนี้ เพราะฉะนั้นทำแล้วค่อยถาม ปลอดภัยที่สุด
      ถาม:  ......................................
      ตอบ:  เมื่อกี้นี้ไปกราบ หลวงพ่อสมเด็จ ท่านบอกว่า เรียนบาลีอย่าทิ้งสมาธิเป็นอันขาด ทิ้งเมื่อไรมันจะท้อแล้วจะเลิกเอาง่าย ๆ เพราะว่าวันแรกที่เปิดบาลี มีพระเรียนอยู่ ๑๖ องค์ มาถึงวันนี้เหลืออยู่ ๙ องค์เท่านั้น คือยิ่งสอบก็ยิ่งกำลังใจเสีย ตอนแรกถ้าเรียนไม่ดีเขาก็เสียกำลังใจ เขาจะบอกว่า อาจารย์เล็ก ยังเรียนได้แค่นั้นเอง แล้วจะเอาอะไรกับเขา คราวนี้พอเราเรียนดีขึ้นมา เขาก็หมดกำลังใจอีก เลยไม่รู้จะเอายังไงกัน เพราะว่าสอบผ่านไปสองครั้ง เพราะว่าไม่คุ้นชินกับภาษาบาลีก็เลยตกจุดบ้าง ภาษาบาลีนี้ตกจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง เกินจุดหนึ่งตัดคะแนนหนึ่ง ขาดคำเก็บคะแนนหนึ่ง เกินคำเก็บคะแนนหนึ่ง สอบครั้งแรกโดนเก็บไปสองคะแนน เสียประวัติหมดเลย เพราะระยะหลัง ๆ ๒๐ กว่าปีที่ผ่านมา สอบครั้งใดต้องได้คะแนนเต็ม
              คราวนี้ก็มาครั้งสุดท้ายที่สอบไปก็สิ้นเดือน ครั้งนั้นได้เต็ม เล่นเอาอาจารย์บุ่นอุบเลย หาเก็บยากเก็บเย็นจริง มีใครบ้างหว่าทำได้ขนาดนี้ ก็เลยกลายเป็นว่าเราเรียนไม่ดี ลูกศษย์ก็หมดกำลังใจ เราเรียนดีลูกศิษย์ก็หมดกำลังใจ
              เมื่อไปกราบหลวงพ่อสมเด็จ ก็กราบเรียนท่านเรื่องนี้ ท่านถึงได้บอกว่า เรื่องของการเรียนบาลีนั้นอย่าทิ้งสมาธิ ถ้าทิ้งสมาธิกำลังใจมันจะไม่มั่นคง ถ้ากำลังใจไม่มั่นคง มันอาจถอดใจเอาง่าย ไม่ยอมเรียนต่อกัน คราวนี้จากที่สังเกตกัน อย่าง ท่านเอ ก็ดี ตัวอาตมาก็ดี สรุปแบบเข้าข้างตัวเองว่า คนที่สมาธิดีสอบได้คะแนนดี
              อย่างคราวที่แล้วอาตมาสอบได้ ๗๐ ท่านเอได้ ๖๙ พลาดไปคำเดียว คือเขาห้ามพลาดเด็ดขาดเลย ก็ดีอยู่อย่าง คือทำให้เรารอบคอบขึ้น อะไรต่อมิอะไรต้องมีการตรวจการทานขาดไม่ได้ เกินไม่ได้ เลยกลายเป็นเรื่องหนักในความรู้สึกของคนอื่น ท่าน มหาปรีชา ท่านก็พยายามที่จะยกตัวอย่าง ดูอย่างอาจารย์เล็กสิ อายุท่านก็มากที่สุด งานท่านก็เยอะที่สุด เช้าต้องสอน บ่ายต้องเรียน ทำได้ขนาดนี้ แล้วพวกคุณไม่พยายามหรือ ? กลายเป็นว่ายิ่งยกตัวอย่าง เขาก็ยิ่งฝ่อไปเรื่อย เรื่องของการเรียน ถ้าเราทิ้งมันจะต่อไม่ติด โดยเฉพาะบาลีนี้ เขาบังคับให้ท่อง เหตุที่บังคับให้ท่องเพราะว่าเปรียญ ๑-๒ จะเป็นพื้นฐานไปถึง ๙ เลย แบบทั้งหมดที่เขาให้ท่อง จะเอาไปใช้ตั้งแต่เริ่มแปลไปยันเปรียญ ๙ เลย ถ้าท่องแบบไม่ได้ ต่อไปมันก็จะไม่รอด
              คราวนี้จากที่สังเกตที่ผ่านมา พระอื่นถ้าหากว่าท่านไม่ท่อง เวลาอธิบาย ท่านก็ไม่เข้าใจอีกอย่างหนึ่ง พอว่าตอนนี้ไม่ท่อง ตอนหน้ามาก็ไม่ท่อง ก็กลายเป็นดินพอกหางหมูไปเรื่อย ๆ แล้วก็หมดกำลังใจ ก็เลยมาดูว่าเรื่องของฉันทะ อิทธิบาท ๔ พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นเรื่องทำให้สำเร็จทุกอย่าง ฉันทะความพอใจของท่านไม่เต็มร้อย วิริยะความเพียรท่านก็ไม่เต็ม จิตตะเรื่องปักมั่นไม่มี วิมังสาการไตร่ตรองทบทวนไม่มี สอนนักธรรมในตอนเช้า ถามว่าเมื่อว่าที่สอนนั้น เป็นยังไง ? คือเขาเข้าห้องเรียนโดยไม่ได้อ่านทวนของเก่าเลย สอนแล้วก็แล้วกัน เข้าหูซ้ายทะลุหูหมาไปเรื่อย
              คราวนี้ของเราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นก็พยายามท่อง พยายามนำ พยายามทำให้ดูเป็นตัวอย่างเพราะว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้ตั้งใจคิดจะเรียน ตั้งแต่พรรษาที่ ๔ สอบนักธรรมเอกได้ เพราะว่าเว้นไปพรรษาหนึ่ง เพราะว่ามัวแต่ไปเฝ้าไข้ หลวงปู่มหาอำพัน อยู่ ไม่มีเวลาไปสอบ พรรษาที่ ๔ สอบนักธรรมเอกได้ หลวงพ่อบอกว่า แกจะไปเรียนต่อไหม ถ้าจะไปเรียนต่อข้าจะส่งไปให้เรียนที่กรุงเทพฯ คือว่าวัดที่ท่านรู้จักมันมีเยอะ สำนักเรียนต่าง ๆ มีเยอะ ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า ผมคงไปไกลหลวงพ่อไม่ได้หรอกครับ ไกลเมื่อไรก็เลวเมื่อนั้น ท่านก็เลยบอกว่าตามใจแก
              คราวนี้พอย้ายจาก วัดท่าซุง ไปอยู่ที่ วัดท่ามะขาม ท่านเจ้าคุณก็จะให้เรียน ในช่วงที่ระหว่างให้ย้าย ท่านเจ้าคุณราชปริยัติโมลี ซึ่งก่อนหน้านั้นอยู่ วัดชนะสงคราม เป็นลูกศิษย์ของวัดชนะสงครามด้วย เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อด้วย ก็พยายามลากตัวไปให้เรียน ไปถึงที่ สถาบันบาฬีศึกษาพุทธโฆส โน้น ก็เห็นว่าเวลาเรียนนี้มันต้องทุ่มเทจริง ๆ ของเรางานมันเยอะ ก็เลยปฏิเสธท่านไป ไปถึง เมืองกาญจน์ ที่วัดท่ามะขาม ท่านเจ้าคุณก็จะให้เรียนก็ปฏิเสธท่านไปเรื่อย ๆ มาระยะหลังนี้ท่านบังคับให้เรียนก็ส่งลูกศิษย์ไปเรียนบ้าง จนกระทั่งวาระสุดท้าย ย้ายมา วัดท่าขนุน ท่านขอให้เจ้าอาวาสไปเรียน โดยให้เราทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสก็เบี้ยว ท่านก็เลยใช้วิธีว่า ในเมื่อคุณไม่ยอมไปโรงเรียนผมก็เลยยกโรงเรียนมาให้คุณ เอาโรงเรียนมายัดไว้ในวัดเลย
              คราวนี้ก็เลยกลายเป็นว่า เราเองอยู่ในฐานะผู้นำกลาย ๆ เพราะว่า อาจารย์สมพงษ์ เจ้าอาวาสก็ลูกศิษย์ ท่าน มหาปรีชา ที่มาสอนก็ลูกศิษย์กลายเป็นอาจารย์เขา ถ้าเป็นอาจารย์แล้วทำไม่ดี อย่างที่ว่านั่นแหละมันจะอ้างว่าขนาดอาจารย์เล็กยังเรียนห่วยแตกเลย แล้วเอาดีกับมันแค่ไหน เลยพยายามทำให้มันดี พอทำให้ดี ความเคยชินที่ว่าถ้าทำอะไรก็ต้องทุ่มเทไปเลย ทุ่มเทในลักษณะที่ว่าเรามีวันนี้วันเดียวพรุ่งนี้ไม่มี เพราะฉะนั้นทำวันนี้ดีที่สุด ผลเป็นอย่างไรช่างมัน ปรากฏว่าผลมันออกมาดี คนที่ไม่มีกำลังใจไล่ไม่ทัน ปรากฏว่าเดี๋ยวเขาจะทิ้งไปเรื่อย
              พอไปกราบเรียนหลวงพ่อสมเด็จท่านพูดถึงเรื่องสมาธินี้เห็นชัดเลย ชัดมาก ๆ ชัดตรงที่ว่า พระที่เรียนดีส่วนใหญ่จะเอาสมาธิเข้าว่า องค์อื่น ๆ เท่าที่สังเกตดู องค์ไหนถ้าสนใจทำสมาธิเป็นปกติ องค์นั้นท่านจะเรียนได้อยู่ในระดับดี คราวนี้มันก็จะมีบางพวก บางพวกที่อยู่ในลักษณะแหกคอก เพราะว่าครูจะจับผิดละเอียดมาก เขาก็เลยเปลี่ยนไปจับผิดครูบ้าง สนุกสนานกันใหญ่ สักวันจะโดนครูขว้างกบาลด้วยแปรงลบกระดานเอา ยังไม่รู้ว่าจะไปได้เท่าไร เพราะว่าอายุมากแล้ว ก็กะให้เวลา ๕ ปี อายุขึ้นเลข ๕ เรียนไม่ไหวแล้วก็เลิก ๕ ปี ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น
              แต่ทว่าท่านมหาก็พยายามให้กำลังใจบอกว่าระดับอาจารย์สอบเมื่อไรได้เมื่อนั้นแหละ แต่คราวนี้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะรักษาระดับไว้ได้ไหม อย่างภาษิตจีนบอก ขึ้นสูงไม่ลำบาก รักษาระดับจึงยากเย็น ถอยหลังเมื่อไรลูกศิษย์มันโห่เอา แล้วโดยวิสัยตัวเองขึ้นหน้าตาย ถอยหลังตาย จะขึ้นหน้าอย่างเดียว ขึ้นหน้าไปตายเขายังชมว่ากล้า ถอยหลังมาตายเขาว่าขี้ขลาด นิสัยอย่างนี้เอาไปใช้ได้นะเจริญแน่ ๆ
              ไปกราบหลวงพ่อสมเด็จ พอออกมาที่วัดเขาจะมีคติธรรมของ สมเด็จพระสังฆราชอยู่ ญาโณทัยมหาเถระ เขาติดเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าบุคคลยังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ บุญเป็นเรื่องสำคัญที่สุดต้องขวนขวายทำบุญให้มาก ชัดไหม ? ถ้ายังเกิดแก่เจ็บตายอยู่ก็แปลว่าเรื่องของบุญของบาปยังให้ผลเราเต็มที่ ในเมื่อเรื่องของบุญของบาปให้ผลเราเต็มที่ ก็ต้องขวนขวายในสิ่งที่มันเป็นบุญก่อนเพื่อที่จะได้รับแต่ผลที่ดี
              เดี๋ยวนี้สายตาแย่แล้ว พอความชรามาเยือน มีดีอยู่อย่างเดียวคือ ดีที่ได้แก่ นอกจากนั้นไม่ดีสักอย่าง
      ถาม:  การท่องหนังสือธรรมะ มันเครียดไหมครับ ?
      ตอบ:  ใหม่ ๆ มันเครียด เพราะเราไปคิดจะจำมัน มาตอนหลังถือการท่องเป็นสมาธิ ก็เลยเหมือนทำสมาธินั่นหละ วิธีอัดเทปนี้ดีที่สุดเลยเพราะตอนท่องนี้เราต้องทุ่มเท เพราะว่าอันดับแรกต้องดูว่าสายตาผิดหรือเปล่า ปากต้องว่าผิดหรือเปล่า แต่เทปนี่ใจมันคลายไปครึ่งหนึ่งแล้ว คือยังไง ๆ มันอยู่ในเทปแน่ ตั้งใจฟังไป ก็คลายเครียดได้เหมือนกัน
      ถาม:  ขออารัมภบทนิดหนึ่งนะเจ้าคะ คือ มีลูกศิษย์ที่เคยมาเรียนพิเศษน่ะเจ้าค่ะ เวลามาเรียนก็มาปฏิบัติมานั่งสมาธิกันอยู่ที่บ้าน พ่อเป็นอาจารย์อยู่เจ้าค่ะ หลังจากนั้นเขาก็ไปจบมหา‘ลัย อายุเขาประมาณ ๒๔-๒๕ หลังจากจบมาเขาไปทำกรรมหนักมากเจ้าคะ ?
      ตอบ:  กรรมอะไรหรือ...แบกช้าง ?
      ถาม:  ไม่ใช่เจ้าค่ะ เขาโกงกินในลักษณะประมูลงานของราชการแล้วก็โกงกินกัน เขาสามารถมีเงิน จากไม่มีเงินเลยนะเจ้าคะ จากอายุ ๒๔ ปี สมารถมีเงินเป็น ๑๐๐ ล้านบาท ภายในอายุ ๒๘ ปี ?
      ตอบ:  แสดงว่าเป็นคนเก่ง
      ถาม:  เขาเก่งมากเลยเจ้าค่ะ แต่ว่าเก่งในทางขี้โกง ทีนี้เมื่อประมาณสองอาทิตย์ที่แล้ว เขาขับรถเบนส์สีแดงวิ่งสวนประสานงารถสิบล้อเจ้าค่ะตายคาที่ทั้งตัวเขาและภรรยา และคนในรถอีกหนึ่งคน ตอนนั้นเราเองก็ไม่ทราบว่าเกิดเหตุการณ์ขึ้น แต่ว่าดวงวิญญาณของเขาเจ้าค่ะที่เสียชีวิต ตายโหงอยู่ ณ. จุดที่เกิดเหตุ เขามาหาในสภาพศพที่เละเขาตายในสภาพศพยังไงเขาก็มาหาในสภาพเป็นอย่างนั้นเจ้าค่ะ ทีนี้เขาจะมาให้เราช่วย พอเราจะเริ่มสวดให้เขานะเจ้าคะ พวกเจ้ากรรมนายเวรเขามาเป็นหมื่นเลย ล้อมตัวเขาจนตัวเองต้องถอยมาตั้งหลัก พอเราหันหน้าเข้าไปมอง พวกเจ้ากรรมนายเวรก็หันหน้าเขียวปั้ดไปหมดเลย ก็เลยต้องถอยมาตั้งหลัก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ?
      ตอบ:  ไม่ต้องทำ เพราะว่าบางคนนี่ เอาเป็นแค่ตัวอย่างนะ เปรตญาติ พระเจ้าพิมพิสาร นั่นผ่านพระพุทธเจ้ามาตั้งกี่องค์ ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ ๙๑ กัปเต็ม ๆ กว่าจะมาถึงสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีนามว่า โคตมะ แล้วผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือผู้ที่ทำบุญร่วมกันมา คือพระเจ้าพิมพิสาร ที่เคยทำบุญร่วมกันมาในชาตินั้น มาถวาย เวฬุวันมหาวิหาร และอุทิศส่วนกุศลให้ ถึงได้รับ พระพุทธเจ้าตั้ง ๕-๖ องค์ ยังช่วยไม่ได้เลย
      ถาม:  ตอนนี้ก็เห็นสภาพวิญญาณเขาถูกลากลงไปที่ข้างล่างแล้วนะเจ้าคะ ก็คงต้องปล่อยไปตามสภาวะกรรมของเขาใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ:  ต้องอย่างนั้นจ้ะ
      ถาม:  ก็ดูจากชะตาเขายังไม่ถึงฆาต ก็เลยจะถามว่านะเจ้าคะ ทำกรรมชนิดใดถึงได้ก่อกรรมทำเข็ญถึงขึ้นตัดรอนชีวิตอายุขัยเขาขนาดนั้น ?
      ตอบ:  ตัวส่วนนี้จริง ๆ แล้ว เรียกว่า อุปฆาตกรรม ส่วนใหญ่เกิดจากกรรมในอดีตที่เคยฆ่าคนฆ่าสัตว์มาก่อน คราวนี้แทนที่จะทำความดีเพื่อหนีกรรมส่วนนี้ เขาก็ไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดี ในเมื่อไปทำแต่ในสิ่งที่ไม่ดีพอบุญขาดช่วงลงกรรมส่วนนี้ก็เข้าแทรกพอดี ก็เป็นอันว่าแบนคาเบนซ์...!
      ถาม:  อันนี้คือกรรมของเขาโดยตรงใช่ไหมคะ ?
      ตอบ:  กรรมโดยตรงจะเป็นอย่างนี้ ส่วนอีกอย่างหนึ่งโทษปัจจุบันคือโกงกินเงินหลวง ก็คล้าย ๆ กับโกงกินเงินสงฆ์ ถ้าหากว่าโกงเงินสงฆ์ลงอเวจีมหานรก พวกโกงกินเงินหลวงก็ไม่แคล้วเหมือนกัน เพราะเงินสงฆ์กับเงินหลวงมันเป็นของกลางที่จะเป็นประโยชน์แก่คนหมู่มากเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่สงฆ์หมู่มาก อีกอันหนึ่งเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไป ลักษณะก็เลยคล้าย ๆ กัน โทษก็หนักพอกัน ใครรู้ตัวรีบคายคืนมาเสียเร็ว ๆ