ช่วงแรกของเล่ม "อดีตที่ผ่านพ้น ๘-๑๕"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๕
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  .......................
      ตอบ:  มีจริง ๆ หลวงปู่โลกอุดร จริง ๆ คณะของท่านมี ๕ องค์ ก็คือสมณะฑูตสายที่ พระเจ้าอโศกมหาราช ส่งมาเผยแพร่พระศาสนาที่สุวรรณภูมิ
              สมัยนั้นทะเลมันยังอยู่ที่เขต นครปฐม ตรงจุดที่ท่านขึ้นมา เขาถึงสร้างเป็นเจดีย์ทุกวันนี้ ห่างมาสองพันปีทะเลมันงอกไปโน้นแล้ว ชะอำ งอกเยอะ คราวนี้หลวงปู่โลกอุดรก็คือ พระอุตระเถระ อุตระก็คืออุดร เพียงแต่ว่าคณะของท่านมี ๕ องค์ด้วยกัน แล้วก็ทำงานลักษณะเดียวกัน บางทีมีคนเขาเจอคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง คนเขาก็เลยงง ๆ ว่าเป็นองค์ไหนกันแน่ แต่ว่าตัวจริง ก็คือพระอุตรเถระ
              แล้วก็ตรงจุดที่สำคัญก็คือว่า ท่านตั้งความปรารถนาพระโพธิญาณ คือ อยากเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก่อน บริษัทบริวารที่ตามท่านมาก็มาก มาถึงชาตินี้พอท่านพบธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าอันนี้ง่ายกว่าก็ลุยเลย พักเดียวกลายเป็นพระอรหันต์ ลูกศิษย์ตามไม่ทัน ในเมื่อตามไม่ทัน ท่านเองในเมื่อเป็นพระอรหันต์ท่านต้องนิพพาน ก็เหลือวิธีเดียวที่จะสงเคราะห์ลูกศิษย์ของตัวเอง คือต้องอธิษฐานให้อยู่ได้
              ท่านเองท่านมาไทยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๓๗๕ จนป่านนี้ท่านยังไม่ตาย อายุตั้งเท่าไรแล้ว ตัวนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันสิ่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสว่าบุคคลที่มั่นคงในอิทธิบาทสี่สามารถอธิษฐานให้อยู่เป็นกัลป์ก็อยู่ได้ ถามหลวงปู่ว่าอายุเท่าไรแล้ว ท่านบอกว่าข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนสร้างพระปรางค์สามยอดที่ลพบุรี ข้าไปยืนดูมันสร้างอยู่ พระปรางค์สามยอดไม่หนีพ้นห้าพันหกนะอายุ อยู่จนป่านนี้
      ถาม:  ..........................
      ตอบ:  ถ้าต้องการจะติดต่อกับท่าน โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ลูกศิษย์สายของท่าน ท่านจะไม่ยุ่งด้วยเลย ถ้าหากว่าใครเคยเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่าน เคยอธิษฐานตามกันมา ถึงเวลาท่านจะไปหาเขาเอง ถึงเวลาท่านจะไปสงเคราะห์เขา สอนธรรมะให้ สอนอภิญญาให้ แต่ท่านเคยให้พรไว้ว่าถ้าหากต้องการพบท่านให้จัดอาสนะปูผ้าขาว ๕ ที่ แล้วจุดธูป ๕ ดอก นึกถึงท่าน ว่าคาถาโลกะอุตโร มหาเถโร อะหังวันทามิ ตังสะทา ภาวนาอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ท่านบอกว่า ถ้าหากว่าสภาพจิตดีสมาธิดี ท่านอาจปรากฏทั้งตัวเลย แต่ถ้าสมาธิไม่ดี ภาวนาได้ตก ๆ หล่น ๆ ท่านอาจปรากฏให้ในฝันก็ได้ แต่ว่าอาสนะปูผ้าขาว ๕ ที่ ต้องมีนะ ที่ ๕ ที่ เพราะของท่านทั้งทีมเลย ก็มีพระโสณเถระ พระอุตตรเถระ พระฌานียเถระ พระภูริยเถระ พระมูนียเถระ
      ถาม:  อยู่ครบทุกองค์เลยหรือครับ ?
      ตอบ:  อยู่แค่องค์เดียวล่ะจ้ะ แต่ว่าท่านที่ไปนิพพานแล้ว กลับมาช่วยเมื่อไรก็ได้อยู่แล้ว แต่ว่าที่ต้องแบก สังขารคือ ขันธ์ห้าอยู่ ก็มีหลวงปู่เทพโลกอุดรนี่แหละ จริง ๆ ถิ่นที่ท่านอยู่ มันเป็นถ้ำใหญ่มากเลย อยู่ใต้เขาที่เนปาล เย็นอย่างกับตู้เย็น เวลาท่านจะสงเคราะห์ใครก็ไปได้ทั่วแหละ ไม่จำเป็นต้องเมืองไทยหรอก
      ถาม:  มีคนเข้าไปถึงไหมครับ ?
      ตอบ:  มีพวกที่ตั้งใจจริง ต้องการจะไปหาท่านจริง ก็ไปเจอได้ บางทีเขาเรียกว่าถ้ำวัวแดง มันเป็นถ้ำเคลื่อนที่ ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลาหรอก จะสังเกตไหมตามประวัติ เจอท่านที่ถ้ำวัวแดง แล้วกลับไปใหม่ ก็ไม่เจอ ถ้ำนั้นเลยกลายเป็นถ้ำเคลื่อนที่ ท่านอยากจะให้ไปโผล่ที่ไหน มันก็ไปโผล่ตรงนั้น
              ถามว่าอย่างเราไปเจอท่านได้ไหม ถ้าตั้งใจจริง ๆ เดินส่งเดชไปเถอะ ถ้าท่านต้องการให้พบ เดี๋ยวไปโผล่ที่ถ้ำเองแหละ ในชีวิตเคยพลัดกับท่าน ๓-๔ ครั้ง ไล่ไม่ทัน เร็วจริง ๆ ประเภทเห็นหลังไว ๆ ไล่ไม่ทัน สรุปว่าไม่ใช่ลูกศิษย์ของท่าน แล้วอีกอย่างก็คือว่า สิ่งที่หลวงพ่อสอนมาเหลือเฟือแล้ว ไม่จำเป็นให้ท่านสอนก็ได้
      ถาม:  (ถามเรื่องพระพุทธบาท ๔ รอย)
      ตอบ:  พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ต้นกัป คือ พระพุทธกกุสันโธท่านตั้งใจประทาน รอยพระพุทธบาทไว้ให้หมู่มนุษย์และเทวดาได้บูชา ท่านก็เล็งว่าตรงจุดนั้นมันเหมาะที่สุด เพราะว่ากาลต่อไปข้างหน้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๕ องค์ ก็จะไปประทับรอยไว้ที่นั่น ก็เลยกลายเป็นว่า ท่านตั้งใจอธิษฐานเหยียบรอยเอาไว้ พอมาองค์ที่สองคือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโกนาคม ก็ไปเหยียบรอยเอาไว้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธกัสสป ก็ไปเหยียบเอาไว้ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สมัยนั้นยังเป็นพื้นที่ป่าอยู่ จนปัจจุบันนี้ยังเป็นป่าอยู่ เพียงแต่ว่าหนทางดีขึ้น
              คราวนี้มีวาระที่สมควรแล้ว เทวดาที่รักษาที่นั่นก็แปลงเป็นเหยี่ยวใหญ่ มาถึงก็คว้าเอาสัตว์เลี้ยงของชาวบ้านไป บินขึ้นไปยอดเขา เดี๋ยวก็มาเอาแล้วบินขึ้นไปยอดเขา ชาวบ้านก็ยัวะต้องล่ามันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวกินหมด ลูกเป็ด ลูกไก่ อะไรจะไม่เหลือ ก็ลุยตามขึ้นไป เลยเจอรอยพระพุทธบาท
              ในเมื่อเจอรอยพระพุทธบาทอยู่ ก็มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซม เพื่อให้เป็นที่พอจะสักการะบูชาได้ แต่สมัยก่อนเส้นทางสุดสาหัส ต่อให้มีรถโฟร์วีลก็อาจไปไม่รอด แต่ปัจจุบันนี้ดีแล้ว เพราะว่าช่วงที่เป็นเนินสูงเป็นอะไรนี่ เขาจะลาดคอนกรีตเอาไว้กันมันพัง ไม่เช่นนั้นร่องน้ำลึก ๆ เวลาหน้าฝนขนาดโฟร์วีลยังไปไม่รอด
      ถาม:  แล้วพอถึงศาสนาพระศรีอริยะเมตไตรย ?
      ตอบ:  ท่านก็จะไปเหยียบเสียอีกที พระศรีอริยะเมตไตรยรอยใหญ่กว่าเพื่อน ถึงเวลาท่านไปเหยียบ กลายเป็นรอยเดียวกันไปเลย เคยไปกันบ้างไหม ? อาตมาไปหลายครั้งเต็มทีแล้ว ไปปลายปีที่แล้วไปเจอน้ำขังอยู่ในรอยพระบาท สูงตั้งศอกหนึ่ง แสดงว่าฝนมันสาดเข้าไปเลย ก็เลยตักกรอกใส่ขวดกันอุตลุด เอามาไล่แจกชาวบ้านเขา นาน ๆ จะฟลุ้คที
              สมัยก่อนชาวบ้านเรียกว่า พระบาทรังรุ้ง คือรังเหยี่ยว เหยี่ยวรุ้งตัวใหญ่ ๆ ที่ลงมาจับสัตว์เลี้ยงชาวบ้านไปกิน เปลี่ยนไป เปลี่ยนมากลายเป็นพระบาท ๔ รอย ปัจจุบันนี้ไปง่ายหน่อย พอเข้าเขตอำเภอแม่ริม ก็เล็งซ้ายมือไว้เลย จะมีคนเอาป้ายไปปักไว้ ลูกศิษย์หลวงพ่อทั้งนั้น ตามป้ายไปเรื่อย ๆ ถึงแยกเมื่อไร ก็ดูซิมีป้ายไหม ถ้ายังไม่มี ก็วิ่งต่อไป มีก็เลี้ยวได้
              สมัยก่อนกว่าจะคลำไปถึงได้ หลงแล้วหลงอีก โดยเฉพาะช่วงหมู่บ้านทางเยอะแยะไปหมด ปัจจุบันนี้ทางก็ยังหลายเส้นอยู่ แต่ว่าพอมีป้ายแล้ว ก็เลยกลายเป็นสะดวกขึ้น
              พระพุทธบาทที่เดียว ๔ รอย หายากมากเหยียบซ้อน ๆ กันอยู่ ขององค์ปัจจุบันเล็กที่สุด เห็นชัดที่สุด แล้วอีกสามองค์ องค์แรกที่ใหญ่ที่สุดจะเห็นชัดที่สุด อีกสองรอยจะซ้ำ ๆ กันอยู่ ต้องไปเล็งอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าของท่านอยู่ตรงไหน
      ถาม:  องค์ปัจจุบันนี้ขนาดไหน ?
      ตอบ:  นั่นเล็กที่สุด ที่เราเห็นประเภทเมตรกว่าจะสองเมตร นั่นแหละ เล็กที่สุด ไม่ต้องห่วงเรื่องที่พักเรื่องอะไรที่นั่น ถึงพระไม่อยู่ก็อาศัยแม่ชีได้ เขาเต็มใจเลี้ยง อากาศดี แต่อย่าไปหน้าหนาวนะ หนาวเอาเรื่องเลย ไปหน้าร้อนอากาศกำลังเย็นสบาย ของเราชอบอะไรที่มันสุด ๆ ก็เลยไปหน้าหนาว
      ถาม:  ผมเคยไปไหว้ครั้งหนึ่ง แล้วน้ำตาไหลขึ้นมา ?
      ตอบ:  อาจเกิดปิติขึ้นมา สถานที่ซึ่งถือว่าเป็นปูชนียสถานสำคัญที่สุดก็ว่าได้ ขณะนี้เราได้มาถึงแล้ว เดี๋ยวก็จะเหมือนกับหลวงพี่นันต์ วัดท่าซุง ไปถึงพระเจดีย์สแวดอเมี้ยต พระครูปลัดของเราไม่ต้องอายชาวบ้านเขาหรอก คือเข้าไปเห็นก็น่าทึ่ง เสาต้นหนึ่งประมาณสามคนโอบ แล้วเขาปิดทองอร่ามเลย แล้วก็หล่อเทวดาด้วยเงินสูงประมาณสองเมตร สองเมตรครึ่ง ประจำเสาทั้งสี่ทิศ แปดทิศ เพื่อเฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุ
              แต่อันนั้นจะเป็นพระทันตธาตุ พระธาตุเขี้ยวแก้ว ทางประเทศจีนเขามอบมาให้ ของพม่านี้ถ้าเรื่องพระศาสนา เขาทุ่มเทให้สุด ๆ เลย ไปถึงแล้วก็ พระพี่ยาก็นั่งร้องไห้ที่นั่นแหละ ใครเคยไปที่ไหนแล้วร้องไห้บ้าง ไม่ใช่โดนรังแกนะ แสดงว่าชีวิตหนึ่งไม่เสียชาติเกิดที่ได้ไป อีกที่หนึ่งที่ที่พระธาตุเชิงชุม ที่ สกลนคร นั่นก็มี ๔ รอยเหมือนกัน ที่พระพุทธบาทสี่รอย คงให้พี่น้องไทยกับพม่า ทางด้าน พระธาตุเชิงชุม ก็ไทยกับลาว
      ถาม:  แล้วพระธาตุศรีสองรัก ?
      ตอบศรีสองรักอยู่ที่เลย อันนั้นไทยกับลาวช่วยกันสร้าง อธิษฐานให้เป็นอย่างไรล่ะ เหมือนกับว่าสุวรรณปฐพีเดียวกัน ต่อให้มีน้ำโขงกางกั้น น้ำใจของไทยและลาวก็จะสมานสามัคคีกันอย่างนั้นแหละ เขาเรียกศรีสองรัก คือสองประเทศเขารักกัน
      ถาม:  รักกัน...วันดีคืนดีก็ทะเลาะกัน ?
      ตอบ:  ช่วงรักกันเราไม่ทำ ไม่รักกันแล้วค่อยว่ากัน ทางลาวเขาเรียกว่า พระธาตุหมากโม รู้จักหมากโมไหม แตงโมไง ขำอะไรไม่ขำ ขำท่านพร ท่านพรมาจากปากงึม แขวงนครเวียงจันทร์ ถือว่าเป็นเด็กเมืองเหมือนกัน มาถึงไทยก็เลยชวนกันลุยไปพม่า แล้วเส้นทางตั้งแต่หงสาวดีไปร่างกุ้ง มันมีร้านขายแตงโมอยู่เยอะเลย ท่านพรก็มันเขี้ยวขึ้นมาอยากกินแตงโม บอกรถให้หยุด ส่งสตางค์ให้เด็กวัด บอกมึงไปเอาบักโม หน่วยบักใหญ่นั่นมา ปรากฏว่าอุตส่าห์ประคับประคองเป็นอย่างดี เที่ยวขากลับ วนกลับมาถึงพระธาตุอินทร์แขวนแล้ว อดใจไม่ไหวขอกินมันหน่อยวะ สงสัยจะชอบมากเลย ถึงเวลาตอนอาหาร ก็ส่งแตงโมลูกเบ้อเริ่ม ให้เขาไป บอกว่าให้ช่วยผ่าให้ที พวกเราก็ก้มหน้าก้มตาฉันอาหารไป พอเงยขึ้นมาอีกที ลักษณะเหมือนกับส้มตำเปี๊ยบเลย เขาผ่าแตงโมแล้วซอยมาละเอียดยิบเชียว เราก็นั่งเกาหัวอยู่ เอ็งเอามาทั้งชิ้น แล้วให้ข้าตักก็ได้ หรือไม่ก็หั่นให้เป็นชิ้นใหญ่ ๆ หน่อยได้ไหม เขาบอกว่าเห็นใช้ช้อนกัน กลัวจะกินไม่ถนัด เลยสับมาให้ ของเขาส่วนใหญ่ใช้มือนี่ก็ชิ้นใหญ่ได้ใช่ไหม งานนั้นท่านพรอยากจะเอาหัวชนเสา จะกินให้อร่อยเสียหน่อย พวกสับมาเป็นส้มตำเลย
              ไปลองดูเหอะ พม่านี่ทำอะไรชนิดที่เราไม่ต้องเถียงมันเลย มันมีเหตุผล ของเราไปสั่งเขา เอาหัวหมูสามหัวไก่หนึ่งตัว จะเอาไปทำบวงสรวง ให้มาหัวเดียวเลย บอกว่าหัวเดียวก็พอกินแล้ว เอาอะไรเข้าไปตั้งเยอะแยะ เสร็จแล้วเราก็ไม่ว่า หัวเดียวก็หัวเดียว ย่อเป็นชิ้นเล็กก็ได้ใช่ไหม ก็สั่งให้ชาวบ้านช่วยไปต้มเสียหน่อย เราเผลอหน่อยเดียว มันเผาเสียดำปี๋เลย เราก็เห็นว่า ทำไมถึงทำอย่างนี้ เขาบอกว่าจะให้อร่อยต้องทำอย่างนี้ มันนึกว่าเราจะกินเอง
              เพราะฉะนั้นไปพม่าต้องทำใจให้ได้ ไม่งั้นเดี๋ยวไล่เตะกันทั่วประเทศ ทุกอย่างที่ทำมันมีเหตุผลทั้งนั้น ถามมันก็ได้ เป็นไงล่ะ ต้มไม่อร่อยต้องเผา แล้วเผาเสียดำปี๋เลย งานนั้นเลยได้หัวหมูกระดำกระด่าง กว่าจะเอาช้อนขูดให้สะอาดขึ้นมาได้ ขำก็ขำ หิวก็หิว แล้วโปรดระวังนะไปฝั่งโน้นตั้งท่าจะล้มทับเราอย่างเดียว อ้างว่าไปน้อยไม่ปลอดภัยต้องไปเยอะ ๆ จริง ๆ ก็คืออยากอาศัย อาศัยเราเที่ยว เสร็จแล้วเราก็ต้องเลี้ยงมันด้วย รถก็ไปฟรี กินก็กินฟรี
              มีอยู่เที่ยวหนึ่งไปจนสตุ้งสตางค์หมดแล้ว รถก็เราเช่า ค่าอาหารก็เราจ่าย มันยังอยากจะไป ตองยี เมืองหลวงของรัฐฉาน เราก็บอกว่าสตางค์ไม่มีแล้ว จะกลับ มันก็อุตส่าห์ไปเกลี้ยกล่อมคนขับ ให้ขับรถไปฟรีได้ไหม อยากจะไปเที่ยว มันไม่เคยไป แล้วจะเอาเราไปด้วย เพราะยังไง ๆ เราเป็นตัวประกันอยู่แล้ว เราก็เลยสั่งคนขับบอก กลับ ไม่ต้องไปต่อหรอก แหมขับรถให้ฟรี ถึงเอ็งฟรีมา แล้วค่าอาหาร ค่าน้ำมันใครจ่ายล่ะ ? ไปที่โน่นจะเจอรายการล้มทับอย่างมโหฬาร เขาเห็นเรารวย เหมือนยังกับว่าเราเห็นฝรั่งรวย
              ตอนนั้นไปกันสามองค์ สามประเทศ ท่านนาวิน พม่า ท่านพรลาว เรานี้ไทยคุยกันรู้เรื่องเหมือนกัน บางคำนึกภาษาเขาไม่ออกจริง ๆ ก็ต้องทับศัพท์ไป เดี๋ยวปีหน้าก็จะฉลองวัดหนองบัวแล้ว ไม่รู้ท่านนาวินจะมีฝีมือหรือเปล่า ให้ไปล๊อบบี้ทหาร จะเอาคนของเราเข้าสักหน่อย สัก ๕๐ คนก็ยังดี สองปิ๊กอัพเอง เคยนั่งรถมันทีหนึ่ง ของนี่ล้นกะบะเลยนะ ยังเอาคนยัดไปตั้ง ๑๙ คน ระยะทาง ๑๐๗ กิโล เราไปได้ ประมาณ ๓ กิโล ยางระเบิดไปสองเส้น บรรทุกน้ำหนักจนเกินไปไง
              คราวนี้บ้านเขาไม่ใช่บ้านเรา ที่จะมีร้านซ่อมอะไหล่เยอะแยะ ของเขานี้ต้องรอ รอจนกว่าจะหาร้านซ่อม ช่างซ่อม จนกว่าจะหาอะไหล่ได้ ซึ่งอาจอีก ๗ วัน ข้างหน้าหรือ ๑๐ วัน ข้างหน้า ซึ่งพวกเขาก็เคยชินนะ พอรถยางระเบิดปุ๊บ ก็ลงไปปูเสื่อนอนเลย รู้ว่าอยู่ ยาวแน่ แต่ของเรามันยาวไม่ได้ ถ้าเรามาไม่ถึงเมืองไทย สมมุติว่าเลยเวลารับสังฆทานอย่างนี้ ญาติโยมมาแล้วไม่เจออาตมาเป็นไงล่ะ ? รับรองได้ว่าหูชาแน่ ก็เลยจต้องย่ำต๊อก ตกลงเสียค่ารถไป ๒๐,๐๐๐ กว่าพม่า แล้วก็เดินเองสะใจมาก ระยะทาง ๑๐๐ กว่ากิโล ค้างคืนหนึ่งเท่ากับว่า สองวัน ลองดูไหม ที่ค้างเพราะว่ามันค่ำจริง ๆ ไม่อย่างนั้นก็จะเดินต่อ
              ไปค้างที่บ้านกะเหรี่ยงเลโพ สวดมนต์ ทำวัตรเสร็จก็หลับ ตื่นเช้าขึ้นมา ไม่ได้ตื่นเพราะถึงเวลาหรอก ตื่นเพราะชาวบ้านมาปลุก โอ๊ย...มากันเยอะแยะ ถือตะเกียงเทียนกันมาแต่มืด ไปกัน ๕ องค์ พอดีพม่าเขาถือ เลข ๕ เป็นเลขมงคล แล้วชาวบ้านเขาบอกว่า เขาฝันล่วงหน้ามาสองวันแล้วว่ามีพระมาพักอยู่ที่นี่ ก็เลยเตรียมเลี้ยงพระไว้ก่อนแล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าองค์ไหนมาช่วยเข้าฝันให้ เราก็กินอ่วมกันไปเลย
              งวดนั้นที่ไปกัน ๕ องค์นี่ กินที่ไหนแทบไม่ต้องเสียสตางค์ ของพม่านี่เขานิยม การทำบุญอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่านิมนต์พระอย่างเป็นทางการ นอกจากเลี้ยงอาหารแล้วยังต้องถวายปัจจัยไทยทาน ค่าเดินทางด้วย คนรายได้เขาน้อย ก็เลยไม่กล้านิมนต์ ของเรานี้ ๕ องค์ เป๋เข้าร้านเขาส่วนใหญ่กินฟรี เดี๋ยวนี้ยังคิด ๆ อยู่ น่าไป ๕ องค์อีกสักรอบ ประหยัดเยอะเลย ขนาดบอกเขาว่าฉันมาแล้วนะ ถึงเวลานั่งรถเหนื่อย ลงไปพัก เขายังอุตส่าห์เลี้ยงพวกกาฟงกาแฟเลย ตกลงเลข ๕ ของพม่าเป็นเลขมงคลนะ ของไทยเราเลข ๙
      ถาม:  (คุยเรื่องประวัติศาสตร์ไทย)
      ตอบ:  สมัยของ พระเจ้าตาก ที่ไปตี จันทบุรี ความตั้งใจจริง ๆ ก็คือว่าตั้งใจจะไปขอความช่วยเหลือแต่ พระยาจันทบุรี โดน นายทองอยู่ นกเล็ก เขาให้ตั้งตัวเป็นจ้าวเสียเอง พระเจ้าตากก็เลยระดมทหารไปตีพวกเดียวกัน ตรงจุดนั้นไม่ได้ติดใจหรอก ไปติดใจตรงที่ว่า เมื่อท่านออกจากปากอ่าวแล้วเลาะอ้อมไปทางจันทบุรีนั้นท่านไปด้วยเรือ แล้วมันมีการทำน้ำทะเลเป็นน้ำจืด เพื่อใช้กินแล้วก็อาบ สมัยนี้เขาใช้สกัดเอาใช่ไหม ? แต่สมัยโน้นเทคโนโลยีเขายังไม่ถึง แต่บรรพบุรุษของเราเก่งตักน้ำทะเลมาใส่ปูนขาวแล้วเกว่งด้วยสารส้ม ให้ตกตะกอน แล้วก็ใส่ขัณฑสกร คือน้ำตาลกรวด เพื่อลบรสเฝื่อนของน้ำ เพราะว่ารสมันจะไม่จืด จะออกกร่อยมากกว่า แล้วรสจะออกเค็มหน่อย ๆ ก็ให้ในหวานไปเลย ง่าย ๆ ดีเหมือนกัน แต่กินมากไม่ได้ เดี๋ยวไตพังหมด เอาแค่พออาศัยได้ ทำน้ำจืดทะเลจากน้ำทะเล
              สมัยนี้หลาย ๆ ประเทศเขากลั่นน้ำจืดจากน้ำทะเล แต่เมื่อเช้าเห็นข่าวว่า ไต้หวัน ไม่ไหวแล้ว ต้องขอซื้อน้ำจืดจากแผ่นดินใหญ่ จีนกำลังสร้าง เขื่อนต้าซานเสียเขื่อนยักษ์ ถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ถ้าหากว่ากักน้ำเอาไว้ ปริมาณน้ำจะมากกว่าปริมาณน้ำจืดที่มีอยู่ในโลกถึง ๗ เท่า จีนเขาบอกว่า ต่อไปน้ำจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญมากเตรียมขายแล้ว แต่บรรดาพวกนักอนุรักษ์เขาโวยวายกันเสียไม่มี ถึงขนาดบอกว่าถ้ากักน้ำด้วยปริมาตรขนาดนั้น จะทำให้ศูนย์ถ่วงของโลกมันเสีย จะทำให้โลกหมุนเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นวันเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ลองนึก ๆ ดู ถ้าหนักขนาดนั้น แรกมันก็ไปแล้วพอข้ามจุดศูนย์กลางแล้วเป็นไง มันวูบ มันน่าเป็นลักษณะนั้นใช่ไหม ? แต่คงไม่แย่ขนาดนั้น เพราะโลกเราใบใหญ่ขนาดนี้
              ตอนนี้ใครจะไปเมืองจีนต้องรีบไปเพราะเขาจะเก็บกักน้ำในปี ๒๕๔๗ แล้วช่องแคบใหญ่ ๓ จุด ที่คนจีนเขาเรียกว่าประตูมังกร จะจมน้ำหายไปเลย แล้วพวกบรรดาโบราณวัตถุต่าง ๆ พวกสถานที่สำคัญหลายแห่งอาจจมหายไปด้วย บ้านของขงเบ้ง ก็จมหายไปด้วย เพราะฉะนั้นใครจะไปเที่ยวต้องรีบไป เกินปี ๔๗ เขากักน้ำแล้ว ไม่ได้เจอแน่เลย มีคนเขาสงสัยว่าเมื่อถึงเวลาการกักน้ำแล้วเดินเรือสมุทรขนาดใหญ่จะข้ามไปอย่างไร จีนบอกว่าเขาไม่มีปัญหาสร้างลิฟท์ ถึงเวลาคุณแล่นเรือไปจอดยกปี๊ดไปหย่อน อีกฝั่งหนึ่งวิศวกรจีนตอนนี้เขาระดมกำลังไปทั้งประเทศ เสร็จแล้วก็เกิดปัญหาขึ้นมาหาลวดสลิงที่ใหญ่ ขนาดนั้นเพื่อมาดึงลิฟท์ไม่ได้ ก็เลยต้องสร้างโรงงานผลิดลวดสลิงเพื่องานนี้อีกหนึ่งโรง ทำให้อะไรก็ต้องมีปัญหาให้แก้
      ถาม:  ......................
      ตอบ:  โยมคนนั้นเขาตั้งใจหล่อรูป พระศรีอริยเมตไตรย แล้วไม่ใช่องค์เล็ก ๆ องค์ใหญ่ขนาด ๖-๗ คน ยกกันหลังแอ่น
              คราวนี้ก่อนที่จะเอาไปถวาย วัดไลย์ ที่ ลพบุรี ก็ผ่านมาที่วัดบางนมโค เสร็จแล้วแวะขึ้นที่วัดก่อน กลางคืน หลวงปู่ปาน ท่านก็ให้ลูกศิษย์วัดไปตามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ประเภทว่าอาจารย์ตามก็ไม่ถามแล้ว เดินดุ่ย ๆ เข้าไป ไปถึงปรากฏว่าหลวงปู่ปาน ท่านบอกว่า ให้ลองเสี่ยงอธิษฐานบารมีดูว่า สิ่งที่ต้องการจะทำในชีวิตจะสำเร็จไหม ? แล้วหลวงปู่ปานก็ลองนำให้ดู ท่านก็จุดธูปเทียนอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าความปรารถนาพระโพธิญาณท่านจะสำเร็จ ก็ขอให้ยกขึ้น สองมือยกขึ้นเฉยเลย ทั้งที่ตอนยกขึ้นจากเรือแบกกัน มาตั้ง ๖-๗ คน เสร็จแล้วหลวงพ่อลองดูบ้าง ปรากฏว่ายกขึ้น ท่านว่ามันเบา ๆ เหมือนกับลังกระดาษ
              คราวนี้หลวงปู่ปานให้หลวงพ่ออธิษฐานอีกอย่างหนึ่งว่า อธิษฐานดูซิว่าอายุเท่าไรถึงจะตาย หลวงพ่อท่านก็อธิษฐานเอา เริ่มจากอายุปัจจุบัน อย่างเช่นว่า ๒๒ ถ้าหากว่ายกขึ้นก็แปลว่าตาย ถ้ายกไม่ขึ้นก็ไม่ตาย ก็ไล่ไปเรื่อยก็ยกไม่ขึ้น จนกระทั่งอายุ ๒๗ ยกขึ้นปุ๊บเลย หลวงพ่อก็ เอ่อ....สบายใจ อายุหมดแค่ ๒๗ ปรากฏว่าหลวงปู่ปานท่านบอกว่า ให้ไปปล่อยปลา เพื่อต่อชีวิตตัวเอง ข้างหลวงพ่อท่านก็นอนตีพุง เรื่องอะไรจะไปปล่อยให้เสียเวลา ตาย ๆ เสียให้หมดเรื่องหมดราว หลวงปู่ปานเห็นท่าไม่เอาแน่ ก็เลยซื้อปลามาใส่กะละมังเอาไว้ ถึงเวลาก็บอกหลวงพ่อว่า ไปช่วยปล่อยปลาให้หน่อยซิ หลวงพ่อก็ เออ... อันนี้ของหลวงปู่ท่านก็ยกไปปล่อย พอปล่อยเสร็จเรียบร้อย หลวงปู่ท่านบอกว่า เป็นอันว่าแกต่ออายุเรียบร้อยแล้วนะ ตกลงพระศรีอารย์องค์นั้นแหละจ๊ะ องค์ที่ วัดไลย์ ลพบุรี เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากของลพบุรี เช่น วัดไลย์ วัดเขาวงพระจันทร์ วัดมณีชลขันธ์ เพราะฉะนั้นไปไม่ถูก ถามชาวบ้านเขาก็บอกได้อยู่แล้ว ไปเถอะ หลงเสียหน่อย มันจะได้ฉลาดขึ้น