ถาม :  (ถามเรื่องพินทุ)
      ตอบ :  ให้ทำทันทีตั้งแต่ออกจากโบสถ์มา คำว่า พินทุนั้นแปลว่า วงกลม เขาว่าให้มีขนาดไม่เล็กกว่าแววหางนกยูง นั่นคือเท่าหัวแม่มืออย่างนี้ จะได้เป็นเครื่องหมายที่ชัดเจน ได้รู้ว่าเป็นของเรา
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  อันนี้เราดูตัวเองได้ คือว่ามันจะดีแค่ไหนก็ตาม เขาไม่ให้ยินดีกับผลอันนั้น ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ถ้าคิดว่าอันนี้เราทำได้แน่ ศีลห้าเราทำได้แน่ ขยับขึ้นไปศีลแปด ทดลองดู
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านบอกว่ากาญจนบุรี มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง โดดเดี่ยวไม่เข้าเทือกกับเขาลูกใดเลย ภูเขาลูกนั้นตั้งแต่กึ่งกลางเขาออกไปสิบห้ากิโลเป็นทองคำหมด อาตมางมเจอ เป็นโยมงมเจอไหมล่ะ ? ก็ท่านบอกอย่างนี้ยังเจอเลย นี่สุพรรณ เล็กกว่าเมืองกาญจน์ตั้งเยอะ เมืองกาญจน์แค่ทองผาภูมิอำเภอเดียวใหญ่เท่ากับสมุทรสาคร สมุทรสงครามและสมุทรปราการรวมกัน แล้วที่เหลือมันใหญ่แค่ไหนล่ะ ? สุพรรณเล็กกว่าตั้งเยอะ
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  เอาอย่างนี้แล้วกัน ตระเวนไปตามวัดสายหลวงพ่อ อย่างหลวงพ่อโหน่งที่ปัจจุบันเรียกวัดอัมพวัน ที่สองพี่น้อง หลวงพ่อโหน่งกับหลวงพ่อขอมนี่วัดจะอยู่ใกล้ ๆ กัน วัดหลวงพ่อโหน่งตอนนี้มีศพหลวงพ่อทองใบที่เป็นลูกศิษย์ตายแล้วไม่เน่าอยู่ แต่หลวงพ่อโหน่งเขาเผานะ ถัดไปอีกนิดหนึ่ง หลวงพ่อขอมวัดไผ่โรงวัวก็ไม่เน่าเหมือนกัน หรือไม่ก็เลยไปโน้นเลย หลวงพ่อเนียม วัดน้อย ก็ได้ หลวงพ่อปลื้ม วัดสวนหงส์ไม่รู้เขาจะเผาหรือเปล่า ? เพิ่งมรณภาพเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง เอาลักษณะนี้แหละ ไปตระเวนดู อยากได้หรือเปล่าจะพาไปขุด ?
      ถาม :  ไม่อยากได้ค่ะ แต่อยากรู้ว่ามีจริง ๆ หรือเปล่า ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ จ้ะ ตอนแรกก็คิดว่าฝันไปหรือเปล่า ก็เลยให้เพื่อนทหารไปเอาเครื่องมือวัดแร่ไปเช็ค ก็เป็นเรื่องจริง คือมันเยอะจนน่ากลัว ในชีวิตไม่เคยเจอทองธรรมชาติอะไรอย่างนั้นมาก่อนเลย มันเป็นแบบทรายจ้ะ ตักขึ้นมาเป็นทรายเลย แต่ว่ามันเป็นทอง มันเป็นเม็ดเล็ก ๆ ละเอียด ๆ ตอนแรกคิดว่าจะเป็นก้อน อย่างเป็นก้อนอย่างเก่งก็สักปลายนิ้วเท่านี้ อาตมาเป็นพระเลยขนไม่ได้
      ถาม :  อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านทำง่ายมากเลย ?
      ตอบถ้าเอาจริงเอาจัง มันง่าย มันสำคัญว่าเราเอาจริงหรือเปล่า ? บางอย่างต้องทำให้พอดี เกินก็ไม่ได้ ขาดก็ไม่ได้ ถ้าหากว่าเกินพอดีมันทรมานร่างกายจนเกินไป ร่างกายถ้าได้รับการทรมานมากจิตใจก็จะกระวนกระวาย กังวลอยู่ตรงนั้น มันก็ไม่ก้าวหน้า ขณะเดียวกันถ้าสบายเกินไป กิเลสมันก็จะเป็นเจ้านายเราแทน มันก็ไม่ก้าวหน้าอีกเหมือนกัน มันต้องพอดี คราวนี้พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน มันไม่มีมาตรฐาน ๕๐ เปอร์เซ็นต์ มันมีตามกำลังใจ กำลังกาย กำลังสติปัญญาของเราที่จะต่อสู้กับมัน
              ถ้ามันบอกว่าไม่ไหวอย่าเพิ่งเชื่อมัน มันบอกว่าไม่ไหวก็ลองฝืนดูนิดหนึ่ง ถ้าฝืนได้ก็อย่าให้เกินชั่วโมง เพราะว่าเกินนั้นมันเป็นการทรมานร่างกายแล้ว ตั้งเวลาไว้เลย แต่ใหม่ ๆ อย่าเพิ่งไปตั้งนะ เพราะว่าถ้าร่างกายมันแย่จริง ๆ ห้านาทีมันก็นานอย่างกับชั่วโมง อาตมาเคยนั่งประเภทเหงื่อมันไหลอย่างกับงูเลื้อยเลย ลองดูว่าห้าชั่วโมง สิบชั่วโมง รสชาติเป็นอย่างไร มันเหมือนก้นจะทะลุ นั่งไป ๆ มันเหมือนอย่างกับเนื้อมันบางลง ๆ จนกระทั่งมันจะทะลุหนังออกมา สุดยอดความทรมานเลย บอกไม่ถูกว่ามันเจ็บมันปวดขนาดไหน
      ถาม :  .............................
      ตอบ :  คือถ้าเรามัวไปสนใจอยู่มันก็ไม่ผ่าน แต่ถ้าเราไม่สนใจปุ๊บ จิตมันจะตัดไปเลย เพราะประสาทมันแยกจากกัน คราวนี้นั่งไปสามวันสามคืนก็ไม่มีปัญหา
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  คือว่าถ้าไม่รู้ก็ถือว่าความผิดน้อย แต่ถ้ารู้แล้วยังทำนี้ถือว่าเจตนาปรามาสพระรัตนตรัยเลย
      ถาม :  (ถามเรื่องพระพุทธบาท)
      ตอบ :  เท่าที่เคยเจอประสบการณ์ของตัวเอง ก็มีแต่รอยพระพุทธบาท อย่างรอยพระหัตถ์พระพุทธเจ้าเท่าที่เคยดู มันก็ยังไม่ชัดเจนเป็นรูปหัตถ์โดยตรงก็มี บางทีก็เหมือนกับเป็นแค่นิ้วมือ แต่คราวนี้มันสำคัญที่ว่าอยู่ที่คนเราเชื่อถือ ถ้าคนเราเชื่อถือ ถือว่าเป็นพุทธานุสสติ อะไรก็ได้
              สมัยก่อนนักเทศน์เขาถามกันเช่นว่า เขาขุดส้วม แล้วเจอไม้ท่อนหนึ่ง สมมุติว่าไม้ท่อนนั้นมันจมอยู่ในส้วมมาแล้วห้าปีสิบปี เอาขึ้นมาทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแกะเป็นพระพุทธรูปให้คนเขากราบไหว้ จะได้บุญไหม มันก็ได้เพราะว่าคนเห็นเป็นพระพุทธรูป คนไม่ได้เห็นเป็นไม้ที่อยู่ในส้วม ตัวพุทธานุสสตินี้คือการยึดเกาะพระพุทธเจ้า เห็นเป็นพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระพุทธเจ้าก็ใช้ได้เลย
              แล้วอีกอันหนึ่งสมัยก่อนเด็กมันใส่ตะปิ้ง ถึงเวลาขอบริจาคเงิน บริจาคทอง บริจาคทองเหลือไปหล่อพระพุทธรูป เอาตะปิ้งเด็กไปหล่อพระพุทธรูปจะได้บุญไหม ทำไมจะไม่ได้ ก็เขาหล่อเป็นพระถึงเวลาไหว้ก็ไหว้พระไม่ได้ไหว้ตะปิ้งเด็ก นั่นแหละนักเทศน์สมัยก่อนเขาถามกันเอาตายเลย ถ้าไม่แม่นตำราจริง ๆ เสร็จเขานะ
              ลักษณะเดียวกัน มันถึงจะใช่หรือไม่ใช่ก็ตาม ถ้าใจเขายึดถือก็ใช่เลย อย่างมีพ่อค้าชาวพม่าอยู่คนหนึ่ง เขาก็ประเภทเรียกว่ารักกตัญญูต่อแม่ตัวเองมาก จะไปค้าขายที่อินเดีย ก่อนจะไปก็กราบลาแม่ ถามแม่ว่าจะเอาอะไรบ้างไหม ถ้าไม่เกินวิสัยก็จะหามาให้ แม่บอกว่าอยากได้พระธาตุเขี้ยวแก้ว พระสารีบุตร ทำยังกับหาซื้อได้ในตลาด ลูกชายก็รับปากด้วยความที่รักแม่ ไม่อยากปฏิเสธให้แม่เสียใจ ถ้าอยากได้ก็ต้องได้ ไม่คิดว่ามันจะหายากแค่ไหน ลูกก็ไปค้าขายจนกระทั่งสินค้าหมดแล้วจะเดินไปหา ก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปหาพระธาตุเขี้ยวแก้วที่ไหน กลับมาเจอหมาตายอยู่ก็เลยทุบเอาเขี้ยวหมาไปล้างขัดเสียอย่างดี ใส่ผอบไปให้แม่ แม่ก็ดีอกดีใจว่าได้พระธาตุเขี้ยวแก้วพระสารีบุตรมา ก็ตั้งใจบูชา สวดมนต์ไหว้พระบูชาอย่างดี
              พอกลางคืนปรากฏว่าเขี้ยวหมาเปล่งแสงสว่างไปทั้งกระท่อมเลย คือใจเขายึดว่าเป็นเขี้ยวแก้วพระสารีบุตร เทวดาท่านก็ต้องสงเคราะห์ให้ เจ้าลูกชายก็อกจะแตกตาย พูดก็พูดไม่ได้ มันกลายเป็นของแท้ไปได้อย่างไร มันสำคัญตรงใจยึด ถ้ายึดใจเกาะ โดยเฉพาะพุทธานุสสติ ธรรมมานุสสติ สังฆานุสสติ เกาะเป็นอันว่าใช่
      ถาม :  เหมือนกับอ่านธรรมะปฏิบัติตอนเข้าส้วม เข้าส้วมทีไรปฏิบัติจิตได้ดี ?
      ตอบ :  จ้ะ นั่นแหละสำคัญที่สุด อยู่ในส้วมจำเป็นต้องภาวนาไว้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรเลย ยิ่งทำยิ่งดี เพราะตอนที่เราจะเผลอสติ ส่วนใหญ่ก็ตอนเข้าห้องน้ำ ห้องส้วม ตอนเคลิ้มกำลังใกล้จะหลับ ถ้าหากว่าเราเผลอสติตอนนั้นอันตรายบางอย่างมันจะเข้ามาแทรกได้ เพราะฉะนั้นยิ่งอยู่ในส้วมยิ่งต้องภาวนา พระพุทธเจ้าท่านไม่รังเกียจหรอก
      ถาม :  ตอนเป็นฆราวาสนี้ ถือศีลแปดตลอดเวลาเลยไหม ?
      ตอบ :  สองปีก่อนบวช มันมีอยู่วันหนึ่งที่หลวงพ่อท่านบอกที่ซอยสายลมหลังจากออกจากกรรมฐานแล้วว่า ผู้ที่ปฏิบัติอยู่วันนี้ พระท่านบอกว่ามีอยู่ ๗๐ คน ถือศีลแปดทรงตัวได้เลย เราก็ฟันธงโช๊ะเลยว่า ข้าคือหนึ่งใน ๗๐ คน นั้น จำไว้เลยนะว่าการตัดสินใจนั้นสำคัญที่สุด ถ้าเราตัดสินใจอย่างนั้นเมื่อไรได้ มรรคผลมันก็จะมา ถ้าตัดสินใจตอนนั้นมันก็จะมาตอนนั้น รุ่งขึ้นมันก็เหมือนกับคอหอยมันตัน มันไม่อยากกินอะไร คราวหลังเที่ยงแล้วก็เป็นอันว่าเลิกกัน มันจะเป็นของมันเอง มันก็ดีได้เตรียมอดข้าวไว้ตั้ง ๒ ปี จาก ๖๓ โลครึ่ง เหลือ ๕๔ โล
      ถาม :  ถ้าไม่บวช สงสัยจะไม่ได้เจอหลวงพี่ ?
      ตอบ :  ก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็หลวงพ่อท่านชวน ก็ต้องบวช ดื้อกับพ่อไม่ได้หรอก ท่านรู้ไม่หมด ของเรานี่รู้หมด ถาม ๆ ท่านเท่าไรก็ตอบได้ ไม่รู้จักหมดสักที ของเรานี่ ถาม ๆ ไป ก็หมดเสียแล้ว
      ถาม :  (คุยเรื่องลูกศิษย์หลวงพ่อที่ใช้ทิพจักขุญาณดูหมอ)
      ตอบ :  บุคคลที่ไปหาหลวงพ่อสมัยโน้นมีสองแสนเศษ งานใหญ่อาจถึงสามแสนกว่า แต่หลวงพ่อท่านบอกว่า การที่ว่าเป็นลูกศิษย์ของข้าไม่จำเป็นต้องมาหาข้าก็ได้ อันดับแรกให้ตั้งใจรักษาศีลห้าให้ครบ อันดับที่สองให้ตั้งใจเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง ๆ อันดับที่สามให้ตั้งใจว่าตายเมื่อไรขอไปพระนิพพาน ถ้าประเภทนี้ต่อให้ไม่ไปหาเลย หลวงพ่อก็รับเป็นลูกศิษย์
              แต่ถ้าพวกที่อ้างตัวว่าเป็นลูกศิษย์แล้วไม่สามารถปฏิบัติสามข้อนี้ได้ ต่อให้มันอยู่กับข้าทุกวัน ข้าก็ไม่ถือว่ามันเป็นลูกศิษย์ สะใจไหม ก็ดูเอาก็แล้วกันว่าเขาทำได้หรือเปล่า
              คราวนี้เข้าใจแล้วนะว่าลูกศิษย์ประเภทไหนที่หลวงพ่อบอกว่าใช่ แล้วประเภทไหนที่ไม่ใช่ คนไปหาหลวงพ่อมากต่อมาก ใครเขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เราปฏิเสธเขาไม่ได้แต่ให้ดูความประพฤติของเขาแทน หลวงพ่อเคยบอกกับพระอยู่เสมอว่า แกบอกเขาว่าเป็นพระวัดท่าซุง แกเอาซุงดี ๆ หรือเอาซุงผุ ๆ ไปอวดเขา ถ้าประเภทซุงผุท่านไม่รับหรอกจ้ะ
      ถาม :  (คุยเรื่องความไม่พยาบาท)
      ตอบ :  มันมีคาถาอยู่บทหนึ่ง ซึ่งผลของมันรุนแรงมากเลย คือสัมปจิตฉามิ ผู้ที่ได้กลั่นแกล้งเรานะ เราไม่ต้องไปตอบโต้ ไม่ต้องไปอะไรเขา ให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ โดยมีพระพุทธเจ้า ผู้มีนามว่าเรวัตตะเป็นที่สุด ขอให้ท่านช่วยสงเคราะห์ให้เราพ้นจากเรื่องเดือดร้อนนี้ อันนี้แหละคนทำซวยเอง ถ้าเขาทำดีกับเรา เขาก็รับดีไปหลายเท่า ถ้าเขาทำไม่ดีกับเราก็เละเอง เราไม่ได้ทำอะไรเขาหรอก กฎแห่งกรรมสนองเขาเอง
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  อันนี้เป็นงานของท่านโดยตรง สมเด็จพระพุทธเรวัตตะนี้ สมัยของท่านเขาแกล้งกันซึ่ง ๆ หน้า ท่านเทศน์อยู่มันก็แกล้งดิ้น ๆ พราด ๆ อยู่กลางศาลาอย่างนี้ คือจะให้คนเสื่อมศรัทธาท่านให้ได้ เพราะว่าศาสนาอื่น ๆ เขาเสียลาภไปเยอะเมื่อท่านตั้งศาสนาพุทธขึ้นมา ก็พยายามจะแกล้งท่านทุกวิถีทาง
              เพราะฉะนั้นองค์นี้ถนัดที่สุดกับการรับมือพวกช่างแกล้ง ท่านเคยให้พรไว้เลยว่า ถึงเวลาถ้าเดือดร้อนขึ้นมาแล้วให้บอกท่าน จุดธูป ภาวนา คาถาบทนี้เดี๋ยวมันเจ๊งไปเองเราไม่ได้ทำเขาหรอก
      ถาม :  แล้วคาถา สัมปฏิจฉามิ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็ใช้ได้อยู่ อันนั้นเรียกว่าสารพัดนึกจ้ะ แต่อันนี้โดยประเภทโดยตรงเลย อันนั้นเหมือนเอาขวานไปถากไม้ มันก็ถากได้เหมือนกันแต่มันไม่ถนัด
      ถาม :  หลวงพี่รับสมัครลูกแถวไหมคะ แล้วต้องทำอย่างไรบ้าง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะ ให้ตั้งใจทำตามกติกาหลวงพ่อ ต้องมีศีลห้าบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มั่นคง ตั้งใจว่าตายแล้วจะไปที่นั่น เดี๋ยวก็เป็นลูกแถวหลวงพ่อไปเอง ไม่ใช่ลูกแถวหลวงพี่ ทำอย่างไรบ้าง ?
              อันดับแรกต้องอดข้าวเก่ง ๆ อันดับที่สองต้องไม่ขี้แย หลงทางทีสามวันเจ็ดวันนี่ห้ามร้องไห้เด็ดขาดจ้ะ มันจะทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งสุดยอดของความทรมาน ทำอย่างไรจะให้เราคิดตัดร่างกายได้ เลิกห่วงร่างกายได้
              แล้วของเรานี่ก็ดื้อจริง ๆ เลย เจ้าประคุณ จนถึงวันที่สิบเอ็ดสิบสองใจมันถึงยอมรับกฎของกรรม ความที่มันเป็นนักรบมาทุกชาติ มันตั้งหน้าตั้งตาสู้ตะบันเลย ไม่ยอมรับกฎจริง ๆ พอยอมรับกฏของกรรมปิ๊งเดียวกลายเป็นสังขารุเบกขาญาณไปเลย มันไม่เอาต้นไม่เอากลาง มันโดดไปปลายเลย จะว่าไม่กลัว มันก็เย็นไปถึงสันหลังเหมือนกันนะ แต่ว่ามันไม่หนี
              เคยไปโดนควายล้อมอยู่กลางป่า น่าจะเกินสามสิบตัว แต่ที่ประจันหน้ากับเรานั่น นับเรียบร้อยแล้วสิบสองตัว แล้วที่ยังแหกป่าโครม ๆ นี่ไม่รู้อีกเท่าไร ชนิดที่แม่เตรียมจะชาร์จแล้ว เพราะมันหวงลูกมัน แล้วถึงเวลาเสือมันจะลงไปกินน้ำ มันก็อาละวาดใหญ่ เพราะว่าเรานอนขวางทางมันอยู่ แต่มันไม่กล้าเข้าใกล้
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  คำว่าซื้อขายแลกเปลี่ยนโดย รูปิยะ ที่มันไม่เหมาะไม่งาม เราใช้เด็กวัดไปซื้อแทนได้ เช่น พวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน มาบูชาพระอย่างนี้ ถ้าเรารู้สึกว่ามันไม่ดี หรือเขาถือสาเรื่องนี้ ก็ใช้เด็กวัดไปทำแทน
      ถาม :  (คุยเรื่องการแขวนพระ)
      ตอบ :  เป็นเรื่องจำเป็นเสียด้วยซ้ำไป เพราะว่าถ้าสมาธิของเราไม่ดี ไม่สามารถจะทรงอารมณ์อยู่ได้ตลอดเวลา โอกาสที่จะพลาดให้ อันตรายเข้ามาทำเราได้มันมีอยู่ เพราะฉะนั้นการพกพระอยู่กับตัว ถึงเวลาเช้าภาวนาให้พระอยู่กับตัว ภาวนาให้ท่านคุ้มครอง ท่านจะรักษาเราได้ตลอด ตัวเราเผลอได้ แต่พรหมหรือเทวดาท่านไม่เผลออยู่แล้ว
      ถาม :  ตอนเช้านี้ควรจะตื่นสักกี่โมง ?
      ตอบ :  ตีสามตีสี่ก็ได้แล้วแต่เราถนัด แต่อย่าตื่นสายมาก ถ้าตื่นสายมากกิเลสมันตื่นก่อนก็ฟุ้งซ่านมาก ตื่นก่อนกิเลสนั่นแหละดี ภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว รัก โลภ โกรธ หลง มันก็เยินไปเสียแล้ว โดนดับไปชั่วคราวก็สบายไปทั้งวัน แต่ถ้ากิเลสตื่นก่อนก็มีเรื่องแน่งานนี้ ฟุ้งซ่านไปทั้งวัน รักษาอารมณ์ใจให้ดี ถ้ารักษาอารมณ์ใจไม่เป็น มันจะเป็นโทษแก่ตัวเรา เรื่องของหนังสือก็ดี วิทยุโทรทัศน์ก็ดี หนังสือพิมพ์ก็ดี อ่านได้ แต่ว่า ต้องรักษาอารมณ์ใจตัวเองให้เป็น รักษาไม่เป็นก็เหมือนรู้ว่าอาหารมันไม่ดี แต่ก็กิน ก็เจ็บบ้าง แสบท้องบ้าง
      ถาม :  (ถามเรื่องการทำสมาธิ)
      ตอบการนั่งทำสมาธิภาวนาตัวสำคัญคือสติที่รู้อยู่ตอนนั้น อย่าให้สติเคลื่อนออกจากลมหายใจเข้าออกตามรู้เข้าไปว่ามันผ่านรูจมูกแล้ว ผ่านอกแล้ว ไปสุดที่ท้องแล้ว และออกจากท้องมาแล้วผ่านหน้าอกแล้ว มาอยู่ที่จมูกแล้ว ต้องให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ตรงนี้ อย่าไปคิดเรื่องอื่น คิดเรื่องอื่นเมื่อไร ดึงมันกลับมา ไม่อย่างนั้น มันจะไม่ก้าวหน้า พอถึงเวลามันฟุ้งซ่านอีกใจหนึ่งมันยังพุทโธ ๆ อยู่ ก็เหมือนกับท่องอาขยานอย่างที่ว่า ไม่มีอะไรแนะนำจ๊ะ เพียงแต่ให้ทำใหม่
              การนั่งทำสมาธิภาวนาจุดสำคัญคือ การสงบของใจ เรื่องอื่นเป็นของแถม ของแถมชนิดที่ต้องการหรือไม่ต้องการเขาก็ต้องให้มา ซื้อรถเขาก็ต้องให้ล้อมาแน่ ๆ ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาหาล้อรถ ขอให้ซื้อรถให้ได้ได้ล้อรถแน่ ท่านถึงว่าให้เราภาวนาอย่างเดียว พอถึงเวลาจิตมันทรงสมาธิได้ มันจะรู้เห็นเอง การรู้เห็น ไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เพราะว่าเราอาจไปยึดติดกับมันก็ได้ ทำให้การปฏิบัติของเราไม่ก้าวหน้า การปฏิบัติที่แท้จริง คือการทำให้หมดสิ้นซึ่งกิเลส คราวนี้มันจะหมดสิ้นได้เท่าไร มันจะละได้เท่าไร อยู่ที่ความสามารถของเรา เรื่องอื่นเป็นเรื่องที่เขาแถมมาให้ สำคัญที่สุดตรงนั้น คือเพื่อความสุขในปัจจุบัน ให้จิตของเราไม่ฟุ้งซ่าน
              อนาคตถ้าเราทรงความดีได้ เราก็ไปเกิดในที่ดี อย่างเช่นไปเป็นเทวดา เป็นพรหม หรือไปนิพพานเลย อย่าไปขวนขวายเพื่อไปอยากรู้อยากเห็น ตัวอยากมันจะกั้น ภาวนาไปอย่างเดียว เดี๋ยวถึงเวลาผลมันจะเกิดเอง กำหนดสติรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับปัจจุบันแค่นี้ สิ่งที่เราคิดมัน มันพาเราให้เราทุกข์ทั้งนั้น คิดไปในอดีตก็ดี คิดไปในอคาคตก็ดี ล้วนแล้วแต่ พาให้เราฟุ้งซ่าน หยุดอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการภาวนา หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ นับหนึ่งหายใจเข้าพุท หายใจออกโธนับสอง ไล่ไปเรื่อย เอาสักห้าสิบคู่ก็พอ ถ้าทำได้โดยไม่ฟุ้งซ่านไปกับอารมณ์อื่นได้นับว่ายอดมนุษย์แล้ว ถ้าหากว่าแว๊บไปเรื่องอื่นนี่ ตั้งต้นนับใหม่เลยนะ ให้มันได้ทุกวัน ถ้ามันเมื่อยขา ปวดหลัง ก็เปลี่ยนอิริยาบถก็ได้ ไปยืน หรือว่าไปเดิน ไปนอนก็ได้ แต่ว่าอิริยาบถนอนต้องกำหนดสติให้มั่นคงเข้าไว้มิฉะนั้นจะหลับ
      ถาม:  เวลานั่งแล้วรู้สึกปวด ?
      ตอบ:  เรื่องของร่างกาย ภาษาทางพระเรียกว่า ขันธมาร มารคือสิ่งที่จะมาขวางไว้ไม่ให้เราทำความดี เพราะว่าเราปกติเป็นสาวกเขาอยู่แต่ถ้าใครดิ้นรน ทำความดี ก็จะหลุดจากอำนาจของเขา เขาก็จะพยายามขัดขวางเรา มารมีอยู่ด้วยกัน ๕ อย่างคือ กิเลสมาร ความชั่วที่นอนนิ่งอยู่ในใจมานาน มันก็อาละวาด อภิสังขารมาร เป็นบุญ / บาปที่เราทำมาขวางเราได้ ทำบุญมาทรงอรูปฌานได้ ตายไปเป็น อรูปพรหม อย่างเช่น เนวสัญญานาสัญญายตนพรหม ต้องอยู่นั่นตั้งแปดหมื่นมหากัลป์ ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย ความดีก็ขวางได้ ส่วนความชั่วก็ขวางเป็นปกติอยู่แล้ว ขันธมาร ร่างกายเรา เดี๋ยวเจ็บโน้นเดี๋ยวปวดนี่ เดี๋ยวเมื่อยนั่น เขาไม่ต้องการให้เราทำความดี ก็เลยดึงความสนไปจากจุดเฉพาะหน้า การที่เราปฏิบัติภาวนา เขาไม่ให้สนใจยึดติดร่างกายอยู่แล้ว คราวนี้เราไปยึดก็เป็นอันไม่ก้าวหน้า
              เทวปุตตมาร เทวดาเขามาลองใจ ทำโน่น ทำนี่ให้เห็น เราไปยึดติดตามนั้นหรือเปล่า เราไปยึดติดก็เสร็จเขา ถ้าไม่ยึดติดก็ผ่านไปได้ ก็สบาย มัจจุมาร ความตายมาขวาง เห็นว่ากำลังใจของเรา เด็ดเดี่ยวแน่นอนแล้ว ไม่สามารถที่จะดึงเราไว้ได้แล้ว แต่ว่าบังเอิญเรามีกรรมเก่า ที่เป็นอุปฆาตกรรมนั้นมา เขาเลยฉวยโอกาสตอนกรรมนั้นเข้า ทำให้มันเกิดอุบัติเหตุให้เราตายไปเลย จะได้ไม่ต้องหนีพ้นเขา เสียไปชาติหนึ่งฟรี ๆ ฉะนั้นเจ้าพวกนี้ ๕ ตัว นี้จะคอยขวางอยู่ตลอดเวลา แล้วอาการเจ็บป่วยของร่างกายนี้เป็นขันธมาร
      ถาม:  ............................
      ตอบ:  โดยส่วนใหญ่แล้ว โดยสัญชาตญาณมันจะประกอบไปด้วยอคติไม่รู้ตัว อคติอย่างเช่นว่า ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะโกรธ ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะหลง คราวนี้ว่าลักษณะของการบิณฑบาตแล้วให้กำหนดใจในลักษณะนั้น เรียกว่า อัปปมัญญา คือว่าเห็นทุกคนเสมอกันหมด ไม่ไปเลือกว่าของคนรวยเราถึงจะรับ ของคนจนเราไม่รับ กับข้าวอันโน้นอร่อยเราจะเอา อันนี้ไม่อร่อยเราไม่เอา คนโน้นคนใส่สวยเรารับ ไม่สวยเราไม่รับ อะไรอย่างนี้ไม่ใช่ ตั้งใจสงเคราะห์ทุกคนให้มีความสุขเสมอหน้ากัน ต้องรักษาอารมณ์ใจตัวเองให้เป็น รักษาไม่เป็นก็เหมือนรู้ว่าอาหารมันไม่ดี แต่ก็กิน ก็เจ็บบ้าง แสบท้องบ้าง