ถาม :  แต่ผมว่าที่ (ฟังไม่ชัด) เขาทำหนังสือหลวงพ่อก็มีสิทธิ์นะครับ
      ตอบเราต้องดูว่าคำสอนของใครทำให้คนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์กันเท่าไหร่ เรื่องนี้มันพิสูจน์แบบประเภทที่เรียกว่า จับตัววางตาย แบบคนเรียนจบปริญญามันไม่ได้มันต้องเป็นคนที่เป็นพระอริยเจ้าด้วยกัน หรือพระอริยเจ้าระดับสูงขึ้นกว่าท่านถึงจะรู้ หรือว่าบุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณ กราบทูลถามต่อพระท่านโดยตรง จะรู้ แล้วมันได้ซักกี่คนล่ะ ทิพจักขุญาณ ? เราไปบอกว่าคนนั้นเป็น คนนี้เป็นโดยที่พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทำนายมันก็ผิดมารยาทพอแล้ว แล้วไปโดนเขาด่ากลับมาอีกว่า ไม่เชื่อก็เจ๊ง
              เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็เลยพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครสอนให้เป็นพระอริยเจ้ามากกว่ากัน แต่ว่าตั้งแต่สมัยเด็กมาจนป่านนี้ ตั้งแต่รู้เรื่องการปฏิบัติเรื่องธรรมะนี่นะ สรุปได้ว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ครูบาอาจาย์ใหญ่ฝ่ายอีสานน่ะ หลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แต่หลวงพ่อของเราสร้างคนเป็นพระ อันนี้กล้าใช้คำพูดนี้ ใครจะว่ายังไงก็กล้ายืนยันคำพูดนี้ หลวงปู่มั่นสร้างพระเป็นพระ แต่หลวงพ่อเราสร้างคนเป็นพระ
      ตอบพระพุทธเจ้าท่านไปตรัสรู้ในชมพูทวีปมีสาเหตุ ๒ ประการ ประการแรกก็คือว่าคนที่นั่นรวยที่สุดกับจนที่สุด อยู่ในที่เดียวกัน จะได้เห็นทุกข์ชัดเจน ประการที่สองก็คือว่า บรรดาศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ มีมากคน เป็นนักคิดกันอยู่แล้ว ถ้าหากว่าสอนให้เขารู้จักการคิดอย่างเป็นระบบตามแบบพระพุทธเจ้า เขาได้ดีเร็วมาก
              แต่ว่าบรรดาอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายทั้ง ๖ คนนั่นก็มี บูรณะกัสสป มักขลิโคสาละ อชิตะเกสะกัมพล สัญชัยเวลัฏฐบุตร นิครณก์นาฏบุตร ทั้ง ๖ คน ก็มีลัทธิต่าง ๆ กันมา
              ตัวของมักขลิโคสาละ เป็นเด็กรับใช้บ้านเศรษฐี พ่อแม่เลี้ยงวัวให้เศรษฐี ตัวเองเกิดในคอกวัว ก็เลยชื่อนายโคสาล คอกวัวโคสาละ วันหนึ่ง เจ้านายก็ให้แบกหม้อเปรียง เปรียงต้องเป็นน้ำมันแสดงว่าต้องเป็นน้ำมันวัว อาจเป็นน้ำมันเนยก็ได้เพราะมาจากนมวัว แบกหม้อเปรียงไปตลาด เจ้านายจะไปขายเปรียง คราวนี้ทางมันลื่น เจ้านายก็บอกเป็นภาษาบาลีว่า มาขลิ มาขลิ ระวังลื่น นายโคสาล ก็ยังลื่นจนได้หม้อเปรียงหก เจ้านายก็โมโห คว้าตัวไว้ได้เอาไม้จะตี แกก็ดิ้นหลุดมือไป ผ้านุ่งผ้าอยู่ผืนเดียว พวกทาสอะไรส่วนใหญ่มีแค่ผ้านุ่ง ผ้าห่มไม่มี ใช่มั๊ย ! ผ้าหลุดติดมือเจ้านายด้วยความตกใจก็วิ่งหนี กลัวนายจะตีหนีไปหลบอยู่ในป่าแก้ผ้าอยู่ในป่านั้น
              คราวนี้หลบเจ้านายก็หลบได้ไม่นาน เวลาผ่านไปผ่านไป วันหนึ่งหิวไส้กิ่วเลย พอรุ่งขึ้นก็เลยเดินย่อง ๆ ออกมาจากป่า มองซ้ายมองขวา เจ้านายไม่อยู่ไปหาคนเพื่อขอข้าวกิน คนเห็นเดินมา สมัยนั้นความคิดเรื่องการเป็นพระอรหันต์นี่ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นเรื่องสุดฮิตเลย เห็นอะไรแปลกหน่อยก็พระอรหันต์ เอ รายนี้รู้สึกว่า มักน้อย สันโดษกว่าเพื่อน เสื้อผ้ายังไม่เอาเลย ต้องเป็นพระอรหันต์แน่ ๆ ก็เลยพากันเอาโน่น เอานี่ พากันถวายกันยกใหญ่เลย นายโคสาละ ก็เลยสบาย กินอยู่สบาย แกก็เลยบัญญัติทิฏฐิ ขึ้นมาว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องทำถึงเวลาก็เป็นเอง แบบตัวแก อยู่ ๆ ก็เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา คราวนี้ แกชื่อโคสาละก่อนที่เจ้านายจะจับตัวแกตี ก็เตือนว่าระวังลื่น ระวังลื่น มาขลิ มาขลิ เขาเลยเรียกแกว่ามักขลิ โคสาละ มาจนทุกวันนี้แหละ
              ก็ลองคิดดูว่าอาจารย์ใหญ่ระดับนั้นน่ะ มันมีความสามารถหรือเปล่า เป็นขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้ แบบเดียวกันเปี๊ยบเลยทั้ง ๖ องค์ แต่ละองค์ก็เหมือนกัน อชิตะกัมพลนั่น กัมพล ก็คือ ผ้าที่ทอจากผมคน แกเอาผมคนมาทำเป็นผ้านุ่งไง คนเขาเห็นอัศจรรย์น่ะ ส่วนบูรณะกัสสปนั่นเป็นทาสในเรือนเบี้ย คือว่าพ่อแม่เป็นทาส ลูกก็เป็นทาสด้วย เกิดมาคนที่ ๑๐๐ พอดี ก็เลยชื่อบูรณะ แปลว่าเต็ม เต็มร้อยพอดี (หัวเราะ) บูรณะ ที่เรียกว่าบริบูรณ์ไง บูรณะแปลว่า เต็มพอดี แต่ละคนก็มีประวัติพิลึกพิลั่น แต่ละคนไม่เหมือนกัน
              ส่วนเรื่องของอรหันต์ตุ่ม อรหันต์รากไทรนั้น มันเกิดจากว่า เขาอยากแสดงปาฏิหารย์ให้ลูกศิษย์รู้ ครูบาอาจารย์ ก็ไม่รู้ว่าทำไง แอบขุดหลุมขึ้นใต้เตียงแล้วเอาตุ่มฝังเอาไว้ ถึงเวลาลูกศิษย์มาเคาะประตูก็หลบไปนอนอยู่ในตุ่ม ลูกศิษย์เปิดประตูเข้ามา อ้าว ! อาจารย์ไม่อยู่นี่หว่า ใช่มั้ย ? ก็ถอยไป แกก็ขึ้นมาจากตุ่มมานั่งบนเตียง ตะโกนเรียกลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็แปลกใจ เมื่อกี้ไม่อยู่นี่ อาจารย์เราต้องเป็นพระอรหันต์แน่ ๆ เลย หายตัวได้ด้วย ลือกันไปยกใหญ่
              ส่วนอีกรายหนึ่งเขาเรียกอรหันต์รากไทร เพราะว่า ประเภทจำศีลภาวนาใต้ต้นไทร คราวนี้แกพิจารณาว่าต้นไทรของแกอยู่ริมผาแล้วรากนี่มันเลื้อยไปถึงถนนหลวงข้างล่าง ตัวแกอยู่บนภูเขาเวลาคนขึ้น ต้องเดินอ้อมเขาขึ้นมาก่อนใช่มั๊ย ! พอมานิมนต์ไปงานไปอะไรก็บอกว่าให้ไปล่วงหน้าก่อน บ้านช่องอยู่ที่ไหนบอกมาก็แล้วกัน แล้วเสร็จแล้วพอคนเดินลง แกก็ลงตามรากไทรมันถึงถนนก่อน ไปอยู่ที่บ้าน คนก็ลือว่าเป็นพระอรหันต์ ย่นระยะทางได้ อะไรได้
              เรื่องในธรรมบทนี่ อ่านแล้วมันมากเลย นั่นแหละเค้าเรียกว่าอรหันต์รากไทร แล้วอรหันต์ตุ่ม พวกนั้นเป็นอรหันต์เพราะคำร่ำลือของลูกศิษย์ ไปหลงยึดติดอยู่กับชื่อเสียงเกียรติยศที่ได้ เลยติดอยู่ตรงนั้น
              ส่วนรายที่ไม่ยึดติด ก็คือพระพาหิยะ นั่นเรือแตกแล้วลอยไปติดชายฝั่งขึ้นมาเสื้อผ้าหายหมด ตอนว่ายน้ำอยู่น้ำพัดไปหมด เพราะว่าผ้านุ่งแขกก็นุ่งเหมือนกับผ้าขาวม้า ผ้าสะโหร่ง โจงกระเบน แล้วอีกผืนก็พาดเฉย ๆ โดนน้ำพัดไปหมด เอาสาหร่ายมานุ่ง คนก็เห็นว่าเป็นพระอรหันต์
              พอเห็นว่าเป็นพระอรหันต์ก็แห่กันมาถวายเครื่องสักการะอะไร อยู่สมบูรณ์บริบูรณ์ เอ้อ ! อยู่อย่างนี้ก็สบายดี เขาว่าเราเป็นพระอรหันต์ เราคงเป็นจริง ๆ ละมั้ง อะไรอย่างนั้น อยู่ไปเรื่อย คราวนี้ไปเดือดร้อนว่า เพื่อนร่วมปฏิบัติมาตั้งแต่ชาติก่อน ท่านไปเป็นพรหมอยู่องค์หนึ่ง มองลงมา เอ้า ! เพื่อนเราไปไกลซะแล้วก็ลงมาเตือนสติ ท่านรู้ตัว เพราะว่าพรหมท่านมา ก็ต้องแสดงเต็มที่ของท่าน ใช่มั๊ยว่า สภาพท่านเป็นพรหมว่าขนาดของท่านยังได้แค่นี้เลย แล้วคุณจะเป็นอรหันต์ได้ยังไง ท่านก็เลยถามว่าจะเป็นพระหันต์เป็นอย่างไร ท้าวมหาพรหมท่านก็เลยบอกว่า ขณะนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ให้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
              เชื่อมั๊ยว่า ท่านเดินคืนเดียว ๑๒๐ โยชน์ ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยความอยากจะเฝ้าถึงขนาดไปถึงเชตวันมหาวิหาร พระท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตตามไปในตัวเมือง ไปถึงก็เข้าไปกราบ กอดพระบาทพระพุทธเจ้าขอฟังธรรม พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเลย ฟังธรรมตอนนี้ไม่มีผลอะไร ท่านก็ขอร้องอีกเป็นครั้งที่สอง บอกว่าท่านเดินทางมาไกล และก็ไม่แน่ใจว่าชีวิตจะยังอยู่ได้นานเท่าไหร่ขอฟังธรรมเถิดพระพุทธเจ้าก็บอกว่า ตอนนี้ไม่สะดวก ครั้งที่ ๓ ขอร้องอีก จึงได้เทศน์ให้เพราะกำลังใจของท่าน
              ตอนนั้นมันปิติมากไป ฟูมากเกินไป ถ้าเทศน์ตอนนั้นจะไม่มีผล ก็ห้ามซะสองครั้ง กำลังใจลดลงมาพอพระพุทธเจ้าเห็นว่ากำลังใจลงลงมาสู่จุดเหมาะ เทศน์ว่า พาหิยะ เธอจงอย่าไปสนใจในรูปที่เธอเห็น แค่นั้นแหละเป็นพระอรหันต์เลย บุญเก่าทำไว้เยอะเห็นชัดเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่กระทบตา หู ลิ้น กาย ใจ มันสักแต่ว่าเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นสัมผัส แค่นั้นเอง ถ้าไม่รับเข้ามาสู่ใจ ไม่เอาใจไปปรุงแต่ง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด เป็นพระอรหันต์เดี๋ยวนั้นเลย เป็นผู้ที่เลิศกว่าภิกษุใดในทางบรรลุเร็ว เทศน์สั้นจู๋นิดเดียวบรรลุเลย
              แต่ว่าท่านไม่มีโอกาสจะนุ่งเหลือง ห่มเหลือง เหมือนคนอื่น เพราะว่าในอดีตชาติไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรมาก่อน พระพุทธเจ้าไม่สามารถบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ การบวชด้วยวิธีเอหิภิกขุ คือ ตรัสว่า “เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด” ก็จะมีจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์จากบุญเก่าของตัวเอง ลอยมาสวมให้อันนี้ของท่านไม่มี พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าให้เธอไปหาจีวรก่อน ระหว่างที่ออกไปหาจีวรก็โดนยักขิณีแปลงร่างเป็นวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตาย
              ถามว่า บุคคลที่ทรงความดีถึงขนาดเป็นพระอรหันต์ทำไมถึงทรงชีวิตอยู่ถึงตอนบวชไม่ได้ ? เฉลยว่า บุคคลที่เป็นพระอรหันต์ มีคุณอนันต์ และมีโทษมหันต์ บุคคลทำดีกับท่านแม้เพียงเล็กน้อยก็เป็นบุญมหาศาล แต่ขนาดเดียวกัน ถ้าเป็นบุคคลที่ไม่ทราบทำในสิ่งที่ล่วงเกินแม้เพียงเล็กน้อยก็จะเป็นโทษมหันต์เหมือนกัน
              แบบเดียวกับนางขุชชุตตรา อริยสาวิกา อันนั้นแค่บอกเพื่อนที่เป็นภิกษุณีอรหันต์ว่า พระแม่เจ้าโปรดช่วยส่งกระเช้าแต่งตัวให้หม่อมฉันด้วย ภิกษุณีท่านเป็นพระอรหันต์ได้อภิญญา ท่านได้อะไรหมด ทะลุตลอดไปเลยว่า ถ้าเราไม่ส่งกระเช้าเครื่องแต่งตัวให้เธอจะโกรธ เธอโกรธพระอรหันต์เธอจะต้องลงอเวจีมหานรก แต่ถ้าเราส่งกระเช้าให้เธอต้องไปเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ เป็นคนใช้เขาดีกว่าตกนรก เลยหยิบกระเช้าให้ นั่นน่ะแค่นิดเดียว คุณอนันต์โทษมหันต์
              ดังนั้นบุคคลที่เป็นพระอรหันต์ในลักษณะฆราวาส หลวงพ่อบอกว่าเท่าที่ท่านมีประสบการณ์มาตำราเขียนไว้ว่าไม่เกิน ๗ วัน แต่ประสบการณ์ของท่านแล้ว ผู้ที่เป็นตอนกลางวันไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ตก ผู้ที่เป็นตอนกลางคืนไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนกัน เพราะว่าถ้าอยู่ต่อจะเป็นโทษกับบุคคลอื่นมากก็ตัดตายซะ
              ฟัง ๆ ดูเหมือนไม่ยุติธรรม แต่ความจริงแล้วอันตรายมากเลย ไม่ต้องอะไรมาก เกิดคนรู้จักกันเดินผ่านมาบ้องหัวเล่นซักที เฮ้ย ! เพื่อนเป็นไงบ้าง...ซวยมั้ยล่ะ ? ตอนนั้นไม่ใช่เพื่อนแล้วนะนั่นน่ะ พระอริยะเจ้าขั้นสูงสุดแล้ว
              ขีณาสวะ ผู้สิ้นแล้วด้วยอาสวะ อีคราวนี้ของคนไทยเรานี่ บาลีสันสกฤต ว.แหวน กับ พ.พาน มันตัวเดียวกันไง ก็เลยเขียนเป็น สพ. อ่านเป็น ขีณาสพ ฟังดูแล้วเป็นไง อันตราย ถึงได้ว่า จ่าพัว แม่อ๋อย คุณหญิงเยาวมาลย์ ไปก็ไปเอาง่าย ๆ อีกรายคุณสมบูรณ์ เวสารัชชานนท์ ที่จันทบุรีนั่นน่ะ ยังอยู่ในท่าไหว้พระเลยฟุบบนกับเตียง

      ถาม :  ท่านไปยังไง...?
      ตอบ :  ไปยังงั้นแหละ คุณสมบูรณ์ หลังจากหลวงพ่อมรณภาพไม่นานท่านก็ไปด้วย ตอนที่คนไปพบน่ะ ท่านฟุบอยู่กับเตียงในท่าไหว้พระ ส่วนโยมจันทนา ท่านพิจารณาธรรมไปจุด ๆ หนึ่ง กำลังจิตบอกว่า ถ้าเธอหยุดอยู่แค่นี้จะอยู่ได้อีก ๑๒ ปี แต่ถ้าพิจารณาต่อจากนี้อีกสักหน่อยเดียวเธอจะเป็นพระอรหันต์แล้วตายเลยน่ะ ตามที่หลวงพ่อสัมภาษณ์มา ท่านพิจารณาดูแล้วว่า ๑๒ ปี กับตายเดี๋ยวนี้ อะไรมันจะดีไปกว่ากัน พิจารณาเสร็จเรียบร้อยไม่ต้องตอบก็ได้ ใช่มั๊ย ! ท่านว่าต่อเลย ถ้าขืนอยู่ก็ลำบากอีก ๑๒ ปี คนที่มีปัญญาถึงระดับนั้นแล้ว ทุกข์แม้แต่ละเอียดยิบนิดนึง ท่านก็เห็นชัดเจน ๑๒ ปี ชั่วโมงเดียวยังสุดจะทนเลย ท่านก็เลยไปมันซะ แล้วลูก ๆ หลวงพ่อที่ไปก่อนหน้าแล้ว พี่ ป้า น้า อา ของเราเยอะแยะแล้วตัวเราเองนี่ ก็นั่งรอไปเถอะว่า เมื่อไหร่จะได้ไปมั่ง
      ถาม :  แสดงว่าเราก็มีบุญอยู่บ้าง...ที่ได้เกิดมาใช่มั๊ยคะ ?
      ตอบ :  มีแหง ๆ แล้วอย่าลืมว่าคนเราเกิดมา ต้นทุนเก่าคือ ศีล ๕ มีอยู่แล้ว คนมีศีล ๕ ครบ จะเรียกว่าไม่มีบุญได้ยังไง บุญมหาศาลเสียด้วยซ้ำไป คราวนี้สำคัญตรงที่ว่าเกิดมาแล้วใช้บุญให้เป็น
      ถาม :  แล้วหนูใช้เป็นมั๊ยคะ ?
      ตอบ :  ยังเป็นอยู่ คือ ถ้าหากว่ายังอยู่ในศีลในธรรม ยังอยู่ภายใต้กฏหมายบ้านเมืองนี่ เรียกว่าใช้บุญเป็นอยู่ เราก็พยายามรักษากำลังใจของเราเอาไว้ ประคับประคองเอาไว้ เดี๋ยวผู้ใหญ่เขาเห็นใจเองน่ะอย่ารีบไปตอบโต้ เก็บเขี้ยว เก็บเล็บใส่กระเป๋าไว้ก่อน ถ้ามันเหลือทนจริง ๆ แล้วค่อยอาละวาดให้มันกระเจิงทั้งแผนกไปเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอย่างนั้นจะมีประโยชน์เหรอ ?
      ตอบ :  มี เขาจะได้รู้ซะบ้างว่า เขี้ยวเล็บเราก็มี ไม่งั้นให้มันเราฝ่ายเดียว นี่แนะนำถูกมั๊ยเนี่ย ? (หัวเราะ) จำไว้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น เราได้ทั้งนั้น ทำถูกได้กำไรทำผิดได้บทเรียน
      ถาม :  ต้องขอบคุณเขาด้วยที่เขาสอนเรา
      ตอบ :  ใช่ ทำผิดเราก็ได้บทเรียนได้ทั้งคู่ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแก่เรา จำว่าไม่มีไม่ดี ดีทั้งนั้น แต่เราจะหาแง่ดีจากมันได้อย่างไรเท่านั้นเองสำคัญตรงที่เราหาให้ได้
      ถาม :  แล้วยังนี้คนอื่นจะเข้าใจ ?
      ตอบ :  จำไว้ว่า ถ้าสิ่งที่เราทำแล้วมั่นใจว่าถูกต้องไม่จำเป็นต้องไปแคร์กับกระแสสังคม เขาจะมองในแง่ไหนเขาจะพูดว่าอย่างไรเรื่องของเขา เราตั้งหน้าทำในสิ่งถูกต้องต่อไป แล้วหลังจากที่เราตั้งหน้าทำไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง คนอื่นเห็นว่าสิ่งที่เราทำนั้นถูกจริง เดี๋ยวเขาคล้อยตามมาเอง แต่อย่าไปหวังคำ ขอโทษจากคนอื่น ๆ ไม่มีหรอก พวกนี้ พอถึงเวลามันรู้ว่าเราทำถูกตัวมันเองผิดมันก็ แหะ แหะ เงียบฉี่อย่างเก่งเจอหน้าก็ยิ้มแหย ๆ หน่อย
      ถาม :  แล้วคนที่แบบไม่เคยเจอหน้ากันอยู่ ๆ ก็โกรธเราไม่มีเหตุผลอย่างงี้คะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันมีนะ มันอาจเจอเหมือนกันแต่ชาติโน้น ๆ ไม่ใช่ชาตินี้ สังเกตมั๊ย ! ว่า บางคนเราเจอหน้าก็ชอบเลย แต่ว่าบางคนแค่เจอหน้านี่ แหม ! เกลียดขึ้นมาทันที ไม่มีเหตุ ไม่มีผลเลยใช่มั้ย ?
      ถาม :  ทั้งที่เขาก็ไม่เป็นแบบนี้ง่าย ๆ กับคนอื่น
      ตอบ :  นั่นแหละ คือว่า คนที่เราเจอแล้วรักเลย ในอดีต ก็คือ คนที่เราเคยรักมาก่อน อาจเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนที่เรารัก เป็นครูบาอาจารย์ของเรา แต่ว่าคนที่เราเกลียดเลยนั้น สบายมากศัตรูเก่าแหงแหง.
      ถาม :  แสดงว่าปน ๆ กันอยู่ ?
      ตอบ :  ใช่ แต่เราอย่าไปเอาของเก่ามาปนกับของใหม่ อดีตมันผ่านมาแล้ว เราทำปัจจุบันให้ดีน่ะ ทำปัจจุบันให้ดี เดี๋ยวอนาคตมันดีเอง ถ้าจะเกิดใหม่ รับรองได้ว่าดีแน่ (หัวเราะ)
      ถาม :  หนูควรจะอยู่ในอาชีพเดิมต่อไปดีมั๊ยคะ ?
      ตอบ :  ถ้ายังไม่มีอะไรที่ดีกว่าตอนนี้ก็ทำของเดิมไปก่อน อย่าเป็นคนหลักลอย ยกเว้นว่าเราหาได้แน่ ๆ ว่าโอเค แล้วค่อยออกจากงานเก่า ไม่ใช่ว่าไปหวังน้ำบ่อหน้าทิ้งอันนี้เลยเดี๋ยวอดน้ำตาย
      ถาม :  แล้วที่ทำอยู่นี่ท่านว่าดีมั๊ยคะ ?
      ตอบ :  ท่านว่าดีมั๊ย สำหรับพระถ้ามีงานทำก็ดีทั้งนั้นแหละ จะได้ไม่เป็นภาระแก่สังคม (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วจะดีกับชีวิตหนูมั๊ยคะ ? หรือว่าไง
      ตอบ :  เรื่องนี้มันอยู่ที่เรา ทุกสิ่งทุกอย่างเราสามารถทำให้มันดีได้ เพราะฉะนั้น ถามว่างานอันนี้ดีมั้ย ? งานอันโน้นดีมั้ย ? ถ้าเราทำเป็น ปรับปรุงเป็น ทุกอย่างดีกับเราทั้งนั้น
      ถาม :  แต่มันปรับปรุงยาก บางคนก็ไม่อยากปรับปรุง
      ตอบ :  ช่างมัน เราเอาเฉพาะในสิ่งที่เรารับผิดชอบนะ สูงกว่านั้นต่ำกว่านั้น ไม่ต้องใส่ใจ ถ้าอยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เราก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาให้ดีที่สุด ส่วนสูงขึ้นไปไม่ต้องไปสนใจจะประเภทที่เรียกว่า อยุติธรรมกับเราขนาดไหนก็ตาม ช่างมัน ! ทำมันให้ดีเองได้ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก ว่ามันดีมั้ย ?
      ถาม :  เพราะว่าคนที่เขาไม่ชอบหนู บอกว่าไปอยู่ที่อื่นดีกว่า
      ตอบ :  นั่นเขาว่า บางทีเขาอาจรอตำแหน่งของเราอยู่ก็ได้ ไล่ ๆ มันออกไปซะจะได้เป็นแทน เชื่อมันได้ยังไง (หัวเราะ) สิ่งที่เราว่าไม่ดี เพราะว่าเราคุ้นอยู่กับมัน ใช่มั้ย ? แต่คนอื่นเขาเห็นว่าดีจ้องเอาเก้าอี้ของเราตาเป็นมันอยู่ก็ได้ อย่าลืมซิว่า ถ้าหากว่ายังมีคนอิจฉา มีคนรังเกียจอยู่ แสดงว่าเราต้องมีอะไรดีกว่าเขา (หัวเราะ) นี่สอนให้ติดสักกายทิฏฐิ