ถาม :  เรื่องการทำงานของจิตน่ะครับ ในลักษณะการเดินแล้วจับลมหายใจ ทำไปจุดหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าปล่อยให้ร่างกายมันเดิน เราก็จับลมหายใจแล้วก็ดูมันว่ามันเคลื่อนไหวยังไงอันนั้นถูกหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ใช้ได้แล้ว ถ้าหากว่ารู้ลมสามฐานได้พร้อมกับที่ร่างกายมันเดินได้ ก็แปลว่าถูกทางแน่นอน แต่ถ้าหากว่ารู้ลมครบสามฐานร่างกายเดินไม่ได้ต้องไปหัดใหม่อีกเยอะ เพราะการรู้ลมสามฐานนี้จิตมันเริ่มเป็นฌาน พอเริ่มเป็นฌานจิตกับประสาทร่างกายมันเริ่มแยกออกจากกัน ใหม่ ๆ จะก้าวไม่ออกหรอก มันติดจึ๊กอยู่แค่นั้นล่ะ ไปให้รุ่นน้องไปทำมาหลายองค์ โวยวายว่าเราหลอกมันนี่หว่า ความจริงไม่ใช่ฝีมือห่วยเอง
      ถาม :  เราต้องกำหนดลมหายใจมากกว่าร่างกาย ?
      ตอบ :  ยังไงก็ได้ กำหนดความรู้สึกอยู่ที่ร่างกายก็ได้ กำหนดความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจก็ได้ สติรู้ตลอดอยู่ว่าตอนนี้ร่างกายมันเคลื่อนไหวยังไง ลมหายใจมันเข้าออกแรง เบา ยาว สั้นยังไงในลักษณะนั้น แล้วแต่ว่าเราจะแบ่งความรู้สึกส่วนไหนมากกว่าส่วนไหนน้อยกว่าอยู่ที่เรา
      ถาม :  ...(ไม่ชัด)... เกี่ยวกับผีอำ ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นจริง ๆ นักปฏิบัติเขาใฝ่หากันมาก คือ เราจะต้องปฏิบัติภาวนาไปจนถึงระดับจะหลับหรือจะตื่นจิตมันจะรู้อยู่เสมอ ตัว พุทโธ ที่แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานคืออยู่ตรงจุดนี้เอง ถึงเวลาแม้แต่หลับก็รู้อยู่ว่าหลับ กรนเราก็รู้ว่ามันกรน
              บางทีเราสามารถกำหนดความรู้สึกขยายกว้างออกไปรอบข้างของเรามีอะไรมันก็รู้หมดจนกระทั่งบางทีมันก็เหมือนสถานที่มันไม่มีข้างฝา ไม่มีกำแพงเรายิ่งกำหนดกว้างออกไปเท่าไหร่เราก็รู้หมดเห็นหมดว่าเขาทำอะไรกันอยู่ แต่ขณะเดียวกันเราดึงมันกลับเข้ามามันก็จะรู้เฉพาะหน้าอยู่
คราวนี้ในลักษณะนั้นจิตกับประสาทมันแยกไปคนละส่วนกันไปแล้ว ถ้าหากว่าเราปลุกมันให้ตื่นก็ต้องให้จิตกับประสาทมาประสานกลับกันไปอีกทีหนึ่ง ถึงจะสามารถที่จะปลุกมันตื่นขึ้นมาได้อย่างที่เราใช้คำว่าใช้ความพยายามมันถึงจะสามารถตื่นขึ้นมาได้ลักษณะนั้น
              อาตมาเคยวิ่งไปรับโทรศัพท์มาแล้ว พอคว้าโทรศัพท์มาขึ้นมาเราก็เอ๊... นี่เราหลับลึกอยู่นี่หว่า เราจะพูดกับมันยังไง บังคับปากให้พูดไม่ได้ แต่ตอนที่รับเพราะว่าตอนนั้นหลวงปู่ท่านป่วยอยู่ หลวงปู่มหาอำพัน ท่านป่วยอยู่นอนเฝ้าไข้ ลูกศิษย์ไม่รู้ภาษามันโทรมาตอนตีสอง พอโทรศัพท์กริ๊งหนึ่งเรารู้สึกตัวอยู่นี่ก็พรวดเข้าไปหาเลย ขืนกริ๊งที่สองเดี๋ยวหลวงปู่ตื่น พอยกหูขึ้นมาเอ้า....ตายล่ะหว่านี่ตูหลับลึกขนาดนี้แล้วจะพูดกับมันยังไง ไอ้โน่นก็ฮัลโหล ๆ ๆ อยู่นั่นล่ะ รับแล้วทำไมไม่พูด ก็มันยังพูดไม่ได้ ต้องบังคับให้ประสาทร่างกายมันกลับมาทำงานใหม่ คือคลายกำลังใจตรงจุดนั้น คราวนี้ของเรามันไม่ชินกับการคลายกำลังใจออกมา ต้องเขย่ามันบ้างกระแทกมันบ้าง กระทืบมันมั่งจนกว่ามันจะอยู่ตัว
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ต่อไปถ้าหากว่าเราไม่กลัวแล้วไม่สงสัย รู้แล้วว่าปกติมันเป็นอย่างนั้น มันควรจะเป็นอย่างงั้นซะด้วยซ้ำไป ต่อไปก็กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ แล้วก็ภาวนาไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นจิตมันจะรู้รอบ อะไรที่เป็นรัก โลภ โกรธ หลงเกิดขึ้นกับเรามันจะรู้ แล้วก็สกัดมันเอาไว้ทัน ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ากำลังของสมาธิสมาบัติในตรงจุดที่ใช้ในการข่มกิเลสตัดกิเลสเริ่มใช้ได้แล้ว เพราะว่าปกติแล้วเวลาที่เราตื่นอยู่คือตอนกลางวันนะ เราจะข่มกิเลสอยู่อาจจะสกัดกั้นมันอยู่ แต่เวลากลางคืนเมื่อสติมันขาดมันตัดหลับลงไป มันก็อาจจะไปฟุ้งซ่านฝันเลอะเทอะก็ได้ คือบางคนก็ประเภทที่นอนกว้างเท่าไหร่ก็กลิ้งมันซะจนทั่วเลย คือมันจะเป็นการแสดงออกลักษณะที่กลางวันมันเก็บกดไว้มากเกินไป ก็ไม่สามารถที่จะหักห้ามมันได้ กิเลสมันจะมาตีเอาตอนกลางคืนที่สติมันขาดแทน แต่ในเมื่อกลางวันกลางคืนจะหลับแล้วตื่น อารมณ์ใจของเราอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะระมัดระวังไม่ให้กิเลสเข้ามากินใจได้เสมอกัน ตอนนั้นก็เป็นอันว่าเราเริ่มจะเอาตัวรอดได้แล้วนักปฏิบัติจริง ๆ เขาจะพยายามให้ถึงจุดนี้เป็นอย่างน้อย
      ถาม :  ต้องบอกว่าฟลุ๊ค เพราะว่า ...?
      ตอบ :  ต้องให้มันฟลุ๊คบ่อย ๆ ได้ล่ะดี ถ้าตั้งใจมันไม่ได้ จำไว้ตัวตั้งใจมันเป็นอุทธัจจกุกกุจจะ เป็นตัวฟุ้งซ่าน กั้นเราด้วยซ้ำไป เรามีหน้าที่ภาวนา มันจะเกิดอะไรขึ้นเรื่องของมัน ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ทุกอย่างมันจะเกิดง่ายมาก
      ถาม :  ......................................
      ตอบ :  อันนั้นมันมีเหตุสองประการ ประการแรกจะเป็นของ ผรณาปิติ กับ อุเพ็งคาปิติ รวมกัน ตัวอุเพ็งคาปิตินี่ ถ้าเราภาวนาไปจนถึงจุด ๆ หนึ่ง ตัวมันจะลอยขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ถ้าเป็นผรณาปิตินี่มันจะรู้สึกกว่าตัวเบา ซาบซ่าน ซู่ซ่าไปหมดทั้งตัว บางทีมันเบาจนกระทั่งมันลอยขึ้นเองเหมือนกัน ถ้าสองอย่างรวมกันมันกำลังของมันก็สูงพอที่จะพาตัวเราลอยไปไหน ๆ ได้
              อีกอย่างหนึ่งก็คือว่ามันลักษณะเหมือนยังกับว่าถอดจิตไปโดยที่ ถ้าหากว่าเป็นพวกที่ฝึกมโนมยิทธิเขาเรียกว่าไปแบบเต็มกำลัง คือมันไปหมดเลย ความรู้สึกทุกอย่างเหมือนกับเอาตัวนี้ไป แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นกายในของเรา ถ้าลักษณะนั้นไปประเภทกระทบอากาศมันก็รู้ว่ากระทบ กระทบแสงสว่าง กระทบแดดมันร้อนมันอุ่นอย่างไรมันก็จะรู้ มันเป็นไปได้สองอย่างด้วยกัน อยู่ในลักษณะว่าพยายามสังเกตดูว่ามันเป็นตัวไหนกันแน่
              แต่ว่าประเภทที่ว่ามันลอยขึ้นไปแล้วมันจะต้องติดเพดานติดอะไรนั้นน่ะ ถ้าหากว่าไปในลักษณะของมโนมยิทธิเต็มกำลัวก็ดีไป กำลังของอภิญญาเต็มที่ดีมันจะไม่ติดหรอก มันไปเฉย ๆ มันทะลุไปเฉย ๆ จนบางทีตกใจว่าบรรลัยแล้วหลังคาไปหมด แต่ว่ามันก็ไม่มีร่องรอยอะไรให้เห็น แต่ว่าจิตตอนนั้นห้ามคลายนะ ถ้ากำลังจิตคลายออกเมื่อไหร่เดี๋ยวเดี้ยงเพราะว่าลักษณะแบบนี้เคยเป็นมาแล้ว ก็คือว่าพอมันลอยขึ้นไปปุ๊บก็เอ๊ะเดี๋ยวก็พอดีหลังคาพังกันอย่างนี้
              พอความรู้สึกอย่างนั้นมันเกิดขึ้นมาสภาพจิตมันก็ตกลงมานิดหนึ่ง มันลอยขึ้นมามันไปกระแทกแบนแต๊ดแต๋อยู่กับเพดานนั่นล่ะ หายใจลำบากเป็นบ้าเลยจมูกมันบี้อยู่ จริง ๆ แล้วมันไปจริง ๆ จ๊ะ แต่เราเองไปกลัวว่าเออ.......เดี๋ยวหลังคามันพัง ถ้าหากว่าไปลักษณะอย่างนั้น เป็นกำลังของอภิญญาใหญ่มันหลุดออกไปได้เลย โดยที่มันไม่มีร่องไม่มีรอย ไม่รู้เหมือนกันว่ามันออกไปช่องไหนรูไหน มันไปได้จริง ๆ พยายามอีกหน่อย เริ่มสนุกแล้ว เรื่องพวกนี้มันเป็นของแถมอยู่แล้วจ้ะ เป็นของแถมของนักปฏิบัติ ซื้อรถเขาแถมล้อให้ ต้องการไม่ต้องการก็เอาไปเหอะ ถ้าเราไปถึงจุดนั้นมันจะได้เอง จะมีเองจะเป็นเอง ไม่ต้องใช้คำพูดที่ว่ากำลังมันพอแล้ว มันจะมีมันจะเป็นของมันเอง ไม่ต้องไปตั้งหน้าตั้งตาตะกายหาซื้อรถ ซื้อล้อรถ เอารถมันทั้งคันนั่นล่ะ ถึงเวลาได้รถมาล้อมันมาเอง
      ถาม :  ยาก..มันค่อนข้างละเอียด ?
      ตอบ :  สติมันขาดเมื่อไหร่มันก็หลุดจากจุดนั้น พยายามหน่อยรับรองได้ว่าทำจริง ๆ ได้ดีแน่นอน ที่วัดเพิ่งมีแม่ชีสิบองค์ ยังมีกุฏิว่างอยู่พร้อมที่จะรับ
      ถาม :  ( ถามเกี่ยวกับเรื่องฝัน)
      ตอบ :  ถ้ามันเป็นเรื่องทีไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ทำไป คือย่างน้อยถ้ามันเป็นจริง เขาผู้นั้นก็จะดีรับในสิ่งที่เรารับปากตั้งใจทำให้กับเขา ถึงจะไม่เป็นจริงอย่างน้อย ๆ ก็ได้ทดสอบ สัจจะบารมี ของเรา ขนาดในฝันแล้วเรายังตั้งหน้าตั้งตาทำเลย แสสดงว่ากำลังใจต้องเข้มแข็งจริง ๆ เรื่องสัจจะบารมีพร่องนี่น่าเบื่อหน่าย คนสัจจะบารมีพร่องนี่ดูง่ายมากเลยนัดไม่ค่อยเป็นนัดหรอก ผิดเวลา ผิดนัดเสมอ
      ถาม :  บารมีถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งเต็มก็จะเต็ม ?
      ตอบ :  เราต้องเน้นหนักจริง ส่วนใหญ่พวกที่พร่องน่ะมันพร่องทุกตัวล่ะ
      ถาม :  ถ้าเกิดว่าตัวหนึ่งเต็มตัวอื่นก็จะมา ?
      ตอบ :  มันมาของมันเอง มันมาลักษณะว่าถ้าหากว่าตัวหนึ่งเต็ม ตัวอื่นมันก็เต็มไปด้วย เรื่องของบารมีเป็นเรื่องแปลก ถ้าหากว่าเน้นตัวหนึ่งตัวอื่นมันจะมา อย่างเช่นว่าเราเน้นเรื่องทานบารมี คนจะให้ทานต้องมีอะไร มันจะต้องมีปัญญา จะต้องรู้ว่าทานดีถึงจะให้ใช่มั้ย ? เสร็จแล้วคนที่จะให้เขาได้จิตใจจะต้องประกอบไปด้วยเมตตาเป็นปกติอยู่แล้วใช่มั้ย ? คนที่มีเมตตาเป็นปกติศีลก็จะทรงตัวอยู่โดยอัตโนมัติ แล้วในขณะที่ให้ทานความรู้สึกของคนที่สละออกที่ประเภทอยากได้ตอบแทนมามันไม่มี
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  มีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งก็คือสติปัญญายังไม่เพียงพอนะ สติสมาธิ ปัญญายังไม่เพียงพอ อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าบังเอิญเรามีเชื้อเก่าที่ไม่ยอมตายอยู่ ก็คืออยากจะเป็นพระพุทธเจ้า ตัวอยากเป็นพระพุทธเจ้านี่เขาเรียกว่าพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นี่กำลังใจต่อให้เข้าถึงธรรมขนาดไหนก็ตามจะไม่ตัดขาด เทียบเท่าได้เท่านั้น ก็จะเลือกเอาจะเอาข้อไหนดี รู้จริงเห็นจริงจิตยังไม่ยอมรับก็แสดงว่ากำลังยังไม่เพียงพอก็ต้องไปเพิ่มทบทวนของศีล สมาธิ ปัญญาใหม่
      ถาม :  ตัวที่เป็นชิ้นเอกตัวแรกควรจะทำมาก ..... (ไม่ชัด)..?
      ตอบ :  จ้ะ.. พยายามพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นจริง จริง ๆ เลยว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ขึ้นชื่อว่าในสภาพที่ทุกอย่างมันเป็นแค่สมมติ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราต้องการมันมั้ย ? ถ้าจิตไม่ต้องการยกออกมาจริง ๆ มันก็จะหลุดจะขาดไปเลย
      ถาม :  ถ้าอย่างนั้นจริง ๆ แล้วเวลาที่เราคิด....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  แน่นอน ไม่อย่างนั้นไปแล้วจ้ะ แรก ๆ มันจะเป็นแค่สัญญา คือความจำก่อน เมื่อมันเป็นสัญญาคือความจำนี่ เราพยายามที่จะคิดจะนึกไปตามแบบของมัน พอทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีกแบบไม่เบื่อไม่หน่าย นาน ๆ ไปสภาพจิตมันจะยอมรับก็จะเริ่มกลายเป็นปัญญา ถ้ายอมรับถึงที่สุดมันก็เด็ดขาดเป็นสมุทเฉทปหาน ก็เป็นอันว่าจบ แต่ว่ายังไม่ยอมรับถึงที่สุดก็จะได้เป็นขั้น ๆ ตามกำลังที่มันยอมรับของมันไป อาจจะเป็นโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผลถึงอรหันตมรรคยกเว้นว่ายอมรับโดดเด็ดขาดสิ้นเชิง จิตยกหลุดถอนออกมาได้เป็นอรหันตผลไป
      ถาม :  แล้วเวลาคิดยังไงเราจะรู้ว่าสิ่งที่เราคิดมันอยู่ในความฟุ้งซ่านหรือว่าเป็นการคิดด้วยเหตุผลอยู่ในเหตุและผล บางทีรู้สึกว่าเวลาคิดหรือพิจารณาไปแล้วมัน ..?
      ตอบ :  ดีจ้ะดี ตัวนี้แสดงว่าเราระวังอยู่ตลอดเวลา การคิดที่ถูกต้องอันดับแรกให้คิดอยู่ในกรอบของ ไตรลักษณ์ ไตรลักษณ์ ก็ลักษณะของความเป็นจริงสามอย่าง อนิจจัง มันไม่เที่ยงเป็นปกติ ทุกขังเราไปยึดถือมั่นหมายมันเมื่อไหร่มันประกอบไปด้วยทุกข์แน่นอน อนัตตา ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา ได้ทุกสิ่งทุกอย่างในที่สุดก็เสื่อมสลายไปทั้งหมด
              หรือว่าคิดในแง่ของ วิปัสนาญาณ ๙ วิปัสนาญาณ ๙ มันจะมีประเภทว่าคิดถึง ความเกิดและความดับของมัน หรือคิดถึง ความดับอย่างเดียว คิดว่ามันเป็น โทษเป็นภัย คิดว่ามันเป็น ของน่ากลัว คิดว่ามันเป็นของ น่าเบื่อหน่าย คิดว่ามันเป็นของ ไปเสียให้พ้น จนกระทั่งในที่สุดถึงจุดสุกท้ายมันก็จะ ปล่อยวางกลายเป็นสังขารุเบกขาญาณ คือยอมรับสภาพของมัน เห็นธรรมดาของมันและอีกจุดหนึ่งก็คือคิดว่าคิดตามแนว อริยสัจ ถ้าอริยสัจนี่คิดในเรื่อง ทุกข์ อย่างเดียวก็พอ เพราะว่าถ้าหากว่าเรารู้ทุกข์ เราก็ไม่อยากจะไปแตะต้องมันอีก จนกระทั่งเห็นว่า มันประเภทเข้มข้นเกินไปหนักเกินไปก็เอาทุกข์ กับสมุทัย สมุทัย คือสาเหตุที่ทุกข์มันเกิด เราทุกข์อยู่ปัจจุบันนี้สาเหตุใหญ่ก็คือเกิดมา ถ้าเราไม่เกิดมาเราก็ไม่ต้องทุกข์อย่างนี้ พยายามตัดตรงที่สาเหตุมันคือตัวอยากเกิดให้ได้ เหล่านี้เป็นต้น
              ถ้าหากว่าตัดลงได้มันก็คือ นิโรธ ขณะที่เรากำลังตัดกำลังทำมันก็คือ มรรค อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เอาแค่ว่าเอาแค่สมุทัยกับทุกข์สองตัวก็ได้ หรือจะเอาแต่ทุกข์อย่างเดียวเห็นแล้วเข็ดไม่เอาเลยก็ได้ ถ้าหากว่าอยู่ในกรอบของสามอย่างนี้คือตามแนวของไตรลักษณ์ก็ดี ตามแนววิปัสสนาญาณ ๙ อย่างดีก็ตามแนนวของอริยสัจ ๔ ก็ดี ก็เป็นอันว่าความคิดของเราถูกต้อง แต่ถ้าพ้นจากที่นี่ไปก็ถือเอาว่าฟุ้งซ่าน ฟังแล้วเหนื่อยมั้ย ? นึกว่าฟังแล้วเหนื่อย คนอธิบายไม่เหนื่อยจ้ะ ถ้าหากว่ามีคนสนใจจริง ๆ ว่ากันได้ ๓ วัน ๓ คืน
              สมัยเป็นฆราวาสมีคู่มือที่ทัดเทียมกันจริง ๆ จ้ะ ๖ โมงเช้ายัน ๔ ทุ่ม ข้าวปลาไม่ต้องกินก็ได้นั่งคุยกันอย่างเดียว แต่มันไม่ใช่นั่งคุยกันเฉย ๆ เพราะฟุ้งซ่านแต่เป็นการไล่อารมณ์กันว่า หัวข้อนี้ที่เราทำมามันเป็นอย่างนี้ ๆ เธอทำอย่างนั้นได้อย่างนั้นฉันทำอย่างนี้ได้อย่างนี้ ไล่กันไปไล่กันมา มันจะไปยันกันอยู่ตรงจุดสุดท้ายพอดีทุกครั้งเลย แล้วก็เป็นเรื่องอัศจารรย์มาก แสดงว่ามันเป็นพวกประเภทคู่บุญคู่กันคู่กัดกันมาจริง ๆ แล้วก็เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างหนึ่งว่า ถ้าเขาจะทำได้ในจุดไหนก่อนหน้าที่จะเจอเขาสองสามวันเราจะทำได้ ในจุดนั้น แล้วเราก็มีเวลาทวนอยู่สองสามวัน จนกระทั่งช่ำชองแล้วก็มั่นใจว่าอันนี้ไม่ผิดพลาดแน่ ก็บังเอิญได้เจอกับเขาก็ไปกัดกันต่อ แล้วมันจะไปอยู่ตรงจุดสุดท้ายที่ว่าเขาหมดปัญญาที่จะรุกแล้ว ก้าวสุดท้ายไม่มีแรงที่จะก้าวขึ้นหน้ามา ขณะเดียวกันเราก็ติดผนังพอดีถอยต่อไม่ได้เหมือนกัน แต่บังเอิญเรามันใจดีสู้เสืออยู่เรื่อย ถึงถอยไม่ได้ก็ยังยิ้มเข้าไว้ เขาพยายามจะเค้นคอเราว่ายังมีอะไรอีก ความจริงเราหมดเกลี้ยงกระเป๋าแล้วพอ ๆ กับเขานั่นล่ะ จะเป็นอย่างนี้อยู่ทุกครั้ง
              ที่ขำที่สุดเพราะเขาเป็นผู้หญิง นั่งคุยกันไปคุยกันมา ปะป๊าก็คว้ากาน้ำชามานั่งฟังด้วยอยากรู้ว่ามันคุยอะไรกันนักหนา คุยกันได้เป็นวันเป็นคืน กินน้ำชาหมดไป ๒ กา ป๊าบอกกูไปนอนดีกว่ามันคุยอะไรก็ไม่รู้ฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) น่าสนุกมั้ย ? มันต้องมีคู่ปฏิบัติที่เรียกว่าทัน ๆ กันอย่างนี้ถึงจะก้าวหน้า ไม่อย่างนั้นถ้าหากว่าสมมติว่าปัจจุบันอาตมานั่งอยู่ตรงจุดนี้ ส่วนใหญ่ที่ได้มามันน้อยกว่า ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักขวนขวายหาความก้าวหน้า พอใจอยู่แค่นี้ คิดว่าเราอยู่ในจุดที่สูงแล้วพอแล้ว มันจะสะดุดอยู่แค่นั้นเอง
              เพราะฉะนั้นคู่ศึกนี่สำคัญมากเลยขอให้ได้กัดกันหน่อยแล้วปัญญามันจะเกิด เป็นไงฝีมือตกไปมากเลยหรือ ? ไม่ใช่หรอกเขาเรียกว่ามันรู้ตัวมากขึ้น รู้ตัวมากขึ้นอะไรที่มันเป็นปลีกย่อยเราก็ตัดมันออกไปเยอะ เมื่อเราตัดมันออกไปเยอะก็เหมือนยังกับว่าอะไรที่มันรุงรังมันมีน้อยลง สิ่งที่เราต้องให้ความสนใจก็มีน้อยลง มันรวบเข้ามาเป็นเฉพาะหน้ามากขึ้น ก็เลยเหมือนยังกับว่ามีอะไรน้อยลง แต่จริง ๆ แล้วมันน้อยลงจริง ๆ
              แรก ๆ การพิจารณาก็เหมือนกันมันต้องกระจายกว้างเหมือนยังกับตีอวนล้อมเอาปลาทั้งทะเล แต่หลังจากที่ประเภทที่เรียกว่าเหนื่อยแล้วเหนื่อยอีกก็ลากอวน ปลาทั้งทะเลมันเหนื่อยขนาดไหนมันก็เข็ดพอมันเข็ด คราวนี้มันก็เลือกเอาเฉพาะจุดที่ตัวเองต้องการ มันไป ๆ มา ๆ มันก็เหลือหน่อยหนึ่ง ก่อนหน้านี้ก็ต้องไปแยกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ภายนอก ภายในอะไรบ้างก็ไม่รู้ยุ่งไปหมด หลังจากนั้นบอกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรามันโอเคจบเลย เหลืออยู่กระจ้อยหนึ่ง.... จำไว้เลยว่าการปฏิบัติถ้ามันไม่ก้าวหน้านะอย่าไปท้อถอย ย้ำแล้ว ย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีกตรงจุดนั้น แสดงว่ากำลังของเรามันยังไม่พอ ศีล สมาธิ ปัญญาของเราต้องมีตัวใดตัวหนึ่งมันพร่องอยู่ เราย้ำแล้ว ย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก เดี๋ยวถ้าหากว่ากำลังมันพอมันจะก้าวผ่านไปได้เอง คือมันอาจจะพร่องทั้ง ๓ ตัวนั่นล่ะ
      ถาม :  อย่างกรณีของคือตัวเองโทสะแรงมาก จะมีอะไรยังไงโทสะให้มัน...?
      ตอบ :  ตัว โทสะ พระพุทธเจ้าท่านให้สู้กับมันด้วย พรหมวิหาร ๔ เป็นปกติอยู่แล้ว แต่เพียงแต่ว่าลักษณะของการแผ่เมตตาของเราอย่าไปให้คนที่เราเกลียด ให้คนที่เราเกลียดปฏิกริยาสะท้อนกลับมันจะแรงมาก ต้องให้คนที่เรารัก พอถึงเวลากำหนดใจมั่นคงเสร็จเรียบร้อยก็กำหนดใจใปถึงคนที่เรารักก่อนทั้งหมด ว่าต้องการให้เขาพ้นทุกข์ให้เขาอยู่ดีมีสุข พอกำลังใจมันทรงตัวแล้วค่อยไปให้คนที่เรารักน้อย จนกระทั่งถึงคนที่เราไม่รักไม่เกลียด จนกระทั่งถึงคนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งถึงคนที่เราเกลียดมากของเราถ้าหากว่าข้ามขั้นทีเดียวมันยันกลับหงายท้องล่ะ
      ถาม :  เมื่อพฤหัสที่แล้วโดนเตะซะเต็ม ก็เลยไม่รู้จะยังดี ?
      ตอบ :  เอาอย่างใครน่ะเดี๋ยว พระปุณณะเถระ โดนเตะแขนดีกว่าก้านคอ (หัวเราะ) พระปุณณะเถระท่านอยู่ในเขตเมืองในที่เขาชื่อว่าเมืองของคนดุร้าย พอท่านบรรลุธรรมแล้วขอพระพุทธเจ้าไปเพื่อโปรดคนในเขตของท่าน เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าก็ถามว่าคนเขาด่าเธอจะว่ายังไง เขาด่าดีกว่าเขาตี ถ้าหากว่าคนเขาตีล่ะ ถ้าคน เขาตีดีกว่าเขาฆ่า ใช่มั้ย ? แล้วถ้าหากว่าคนเขาฆ่าเธอล่ะ ? ถ้าหากว่าคน เขาฆ่าก็ถือว่าเป็นความกรุณา เพราะว่าเราก็ไม่ต้องการอยู่ ๆ แล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงได้สาธุการให้ บอกว่าถ้าเธอคิดอย่างนี้ก็ไปได้ ของเราเอาลักษณะเดียวกันนั่นล่ะ เขาเตะแขนดีกว่าโดนก้านคอ
      ถาม :  มันต้องเห็นกันอยู่ ต้องเจอกันอยู่ทุกวัน ก็เลยลงบันทึกประจำวันไว้นิดหนึ่ง ?
      ตอบ :  อันนั้นมันเป็นการป้องกันตัวอย่างหนึ่ง สมควรที่จะทำจ้ะ แต่ว่าใจของเราจริง ๆ อย่าให้มันอยู่ตรงนั้น โกรธได้แต่อย่าไปผูกโกรธ การผูกโกรธมันเป็นการอาฆาตพยาบาท ประเภทว่ายังไงกูก็ต้องเอาคืนให้ได้อันนั้นใช้ไม่ได้ แต่ว่าตอนโดน คนเรามันรักตัวเองเป็นปกติอยู่แล้ว มันต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่ว่าโกรธแล้วก็ให้มันเลิก ๆ กันไปอย่าไปผูกมันเอาไว้
      ถาม :  ยอมรับว่ามันก็ยังมีอยู่ล่ะครับ ?
      ตอบ :  ก็ให้มันมีก็ให้มันอยู่ในใจของเรา ขังมันไว้ในอกอย่าให้มันอยู่ทางกายหรือทางวาจา ถ้ากิเลสมันจะฟัดเราคนเดียว อย่าให้มันลามไปเดือดร้อนคนอื่นด้วย
      ถาม :  เราต้องยอมรับว่าสภาพแวดล้อมตรงนั้นเนียะ คนประเภทอย่างนี้อันธพาลมันก็มี ?
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ปฏิรูปเทสวาโส เอตัมมังคละมุต ตะมัง อยู่ในถิ่นที่เหมาะสมจัดเป็นอุดมมงคลอย่างยิ่ง ของเราอยู่ผิดที่ไปหน่อย เอาน่ะ ถ้าหากว่าเราเอาดีได้ แปลว่ากำลังใจของเราต้องเข้มแข็งแน่นอน มันอยู่ในลักษณะเหมือนยังกับว่า ในที่ ๆ เราจะต้องขวนขวายใช้กำลังใจมากเป็นพิเศษ ถ้าเราชนะได้ แสดงว่าเราเก่งจริง...
              ตั้งใจจำนะ ไปได้มางวดนี้ได้คาถา หลวงปู่จันทร์ มาบทหนึ่ง หลวงปู่จันทร์อายุร้อยกว่าปีแล้ว กะว่าท่านก็คงจะไปเร็ว ๆ นี้แล้วล่ะ จำไม่ทันก็จด คาถาขอให้แม่ธรณีช่วยท่านบอกว่าต้องเอาไว้ให้จำเป็นจริง ๆ เพราะฉะนั้นจำเป็นจริง ๆ ของเราถ้าหากว่ามันยังพอดิ้นรนได้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็อย่าไปกวนท่าน ให้จุดธูป ๖ ดอก ปักกลางแจ้ง ขอให้แม่ธรณีช่วย คาถามันเป็นภาษาไทยง่าย ๆ คาถาว่า พระแม่ธรณีเจ้าแม่เอ๋ย บัดนี้แม่มาอยู่หรือยัง ? เสร็จแล้วเราก็จัดแจงเออเองเรียบร้อยเลยว่า อยู่แล้วอะไรก็ได้ โปรดมาช่วยคลายทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขะตังโลกะวิทู คาถามาอยู่แค่นี้ล่ะ แล้วเสร็จจะให้ท่านช่วยเรื่องอะไรก็บ่นไปเหอะ พระธรณีเจ้าแม่เอ๋ย บัดนี้แม่มาอยู่หรือยังโปรดได้มาช่วยคลายทุกข์ลูกบ้าง แม่สังขะตังโลกะวิทู คาถามีอยู่แค่นี้ล่ะ อยากจะให้ท่านช่วย อะไรก็บ่นไปสัก ๓ วัน ๓ คืนก็ได้ จุดธูป ๖ ดอกปักกลางแจ้งแล้วก็ลุยเลย คงไม่มีแม่ไหนยิ่งใหญ่กว่าแม่ธรณีอีกแล้วมั้ง ลูกทั้งโลกก็ต้องอาศัยอยู่บนอกท่าน
      ถาม :  งวดที่แล้วฝันตีสองกว่า ฝันว่าไปกราบหลวงพ่ออุตตะมะ ให้ท่านเป่ากระหม่อมให้ ยื่นหัวเข้าไปเป่ากระหม่อม ท่านบอกว่าลูกเตรียมของให้ ๓๐ ดอกอะไรหรือ ๓๐ อย่าง ไปเตรียมของให้ ๓๐ ดอกหรือไงไม่รู้ล่ะ ท่านพูดอย่างนี้นะจำไม่ค่อยได้ ก็ไปซื้อหวยล็อตตารีซะห้าหกใบมันออกข้างบนน่ะ ๒ ตัว ว่าจั่วข้างล่างซะ ๑๐๐ หนึ่งไม่มีบุญจะถูกอีก ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่าบุญมีแต่กรรมมันบัง บอกแล้วเล่นอะไรไม่เล่น ๆ เล่นหวย อาตมาไม่เคยสนับสนุนใครเลย