ถาม :  เราอธิษฐานได้มั้ยครับว่า ถ้าเกิดมาชาติไหนขอให้เกิดในพระพุทธศาสนาอย่างเดียว ถ้าหากว่าเรายังไม่เข้านิพพาน ?
      ตอบอธิษฐานได้ แต่ถ้าหากว่ากำลังใจมันยังไม่มั่นคงในพุทธานุสสติก็มีสิทธิหลุด แต่ถ้าหากว่ากำลังใจมั่นคงในพุทธานุสสติ ยังไง ๆ ก็ไม่หลุดออกนอกพระพุทธศาสนา
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าหลุดออกไปก็มีโอกาสซวยสูงเลยซิ ?
      ตอบ :  ไม่แน่เหมือนกัน อย่างพระเยซู ท่านไปเกิดที่โน่นก็จริง แต่ท่านสามารถที่จะบรรยายธรรม สอนธรรมคนจนกระทั่งกลายเป็นศาสนาคริสต์ขึ้นมา แบบเดียวกับที่เราอ่านในพระไตรปิฎก ตามชาดกต่าง ๆ ที่พระพุทธเจ้าไปเสวยชาติถึงเวลาก็ต้องบรรยายธรรมะ นั่นน่ะถือว่าในส่วนที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาท่านรู้แค่ไหนท่านเอาแค่นั้น นี่ถ้าหากว่าลูกศิษย์สายหลวงพ่อไปยืนยันว่าพระพุทธเจ้าบอกว่าพระเยซูเป็นพระโพธิสัตว์จะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า พวกศาสนาคริสต์กัดตายเลย หาว่าเอาศาสดาของเขามาเล่นซะแล้ว เพราะว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในลักษณะพยายามที่จะประชาสัมพันธ์ว่าพระพุทธเจ้าคือสาวกของพระคริสต์ที่ส่งมาเพื่อประกาศศาสนาทางตะวันออกเป็นการรอไว้รองรับศาสนาคริสต์ในโอกาสหน้า
      ถาม :  .................................................
      ตอบ :  อาชีพช่วยสงครามท่านบอกไว้ชัด ๆ เลยว่าเกษตรกรรมดีที่สุด คือขายไม่ได้ก็ยังกินได้ ท่านบอกว่าใครมีที่อยู่ขายได้ถ้าราคาดี แต่อย่าขายหมดให้เหลือไว้เผื่อทำกินบ้าง
      ถาม :  ท่านบอวก่าถ้าเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วมันจะเลื่อนไม่ใช่เหรอ ?
      ตอบ :  ไม่บอกว่าความต้องการของตัวเองก็คืออยากจะให้มันหายไปเลย แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ท่านบอกว่าคนเราทำกรรมเอาไว้ถึงเวลาก็ต้องรับไป ถ้าเป็นใจของเราก็เป่าทีหนึ่งให้มันกระเด็นหายไปอย่างกับเป่าฝุ่นได้ยิ่งดี
      ถาม :  ตอนนี้ยังขี้เกียจอยู่เลยเวลานั่งมันก็ไม่ยอมนั่งทีไรก็ปวดหัวทุกที ?
      ตอบ :  ก็ไม่ต้องนั่งซิ เดินก็ได้ยืนก็ได้ นอนก็ได้ เวลาปวดหัวก็พิจารณาดูซิว่ามันเป็นทุกข์ยังไง ? เกิดมาเมื่อไหร่มันก็ยังมีหัวให้ปวดอยู่อย่างนี้นั่นแหละ เกิดเป็นปูดีกว่าเนอะไม่มีหัวให้ปวด เออ ! ถ้าเกิดเป็นปูไม่ต้องปวดหัว
      ถาม :  (ถามเรื่องการตัดขันธ์ ๕ ตัดไม่ได้)
      ตอบ :  เอาเป็นอันว่ากำลังยังไม่ถึง คำว่ากำลังยังไม่ถึงก็คือ สติและปัญญายังไม่เพียงพอ พยายามสะสมอีกนิดนึง
      ถาม :  พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ไปปราบยักษ์ตัวหนึ่งอายุ ๘๐ ปีแล้วเขาบอกว่าถ้าฆ่าเขาตอนนั้น ตอนตรัสรู้จะมีอายุแค่ ๘๐ ทำไมเขามีผลต่อพุทธานุภาพขนาดนั้นด้วยล่ะครับ ?
      ตอบ :  เรื่องของกระแสกรรมนี่ถึงวาระถึงเวลาจะให้ผลเป็นช่วง ๆ กรรมที่ให้ผลมีลักษณะให้ผลตามวาระ ให้ผลตามลักษณะก็คือ บีบคั้น หนุนเสริม ตัดรอน ถ้าหากว่าให้ผลตามวาระก็คือ ชาติปัจจุบันนี้ ชาติที่ ๒ ชาติที่ ๓ ไล่ไปเรื่อยจะมีของเขาอยู่จนชาติสุดท้าย อโหสิกรรมก็คือไม่อาจจะจองกันได้ คราวนี้รากษส ท่านนั้นท่านมีความเป็นทิพย์อยู่ รู้ว่าถ้าเวลาทำอย่างนั้นแล้วถึงเวลาจะเป็นอย่างนั้น จริง ๆ ตัวเองก็กลัวตายเหมือนกันก็ต้องขู่เขาหน่อย
      ถาม :  รู้ถึงความเป็นไปถึงชาตินั้น ?
      ตอบ :  รู้ถึงขนาดนั้นนะ อย่างว่าแหละ พระพุทธเจ้าท่านเห็นแก่ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ ตัวเองอายุ ๘๐ ก็ช่างมันเถอะ เหยียบมันคอหักไปเลย
      ถาม :  ถ้าตอนนั้นพระอานนท์ท่านนิมนต์ให้อยู่ต่อ พระพุทธเจ้าท่านจะอยู่ต่อมั้ย ?
      ตอบ :  อยู่ต่อ แต่คราวนี้ว่าบังเอิญกรรมมันบังอยู่ ในเมื่อกรรมมันบังอยู่ทำยังไง ๆ ก็ไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป พระพุทธเจ้าท่านให้นัย ท่านให้นัยยังไง ๆ กรรมมันบัง ท่านเปรียบเทียบว่าถ้ามีเกวียนอยู่คันหนึ่งเก่าคร่ำคร่าเต็มทีแล้ว ถ้าหากว่าถึงเวลาถึงวาระแล้วควรจะเปลียนเกวียนนั้นหรือซ่อมเกวียนขึ้นมาล่ะ ? พระอานนท์บอกว่า ให้เปลี่ยนไปเลย เปลี่ยนไปเลยก็เป็นอันว่าตายดีกว่าเนอะ จะเปลี่ยนเกวียนหรือซ่อมเกวียนดีล่ะ เก่าขนาดนั้นแล้ว กรรมมันบังทำให้พระอานนท์คิดว่าเปลี่ยนเกวียนเลยดีกว่า
      ถาม :  ทำไมคนเราต้องอยู่ใต้กฎของกรรม ?
      ตอบ :  คุณทำคุณถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตามคุณทำเอง ถ้าหากคุณเลิกทำสามารถหลุดพ้นไปได้ก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎของกรรม อย่างพระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าหรือพระพุทธเจ้า สิ่งที่เราทำผลมันเกิดอยู่แล้ว ลองเขกหัวตัวเองดูซิ ต้องการเขกหรือไม่เขกมันก็เจ็บ นั่นแหละทำอะไรมันได้อย่างนั้น
              เพราะฉะนั้นมีอยู่ตัวหนึ่งที่น่าเวทนาคนบางคนก็คือ ตัวอธิษฐานบารมี คนเขาทำบุญเสร็จเขานั่งอธิษฐานแล้วอีกคนบอกนี่โลภ ทำบุญแล้วยังขอโน่นขอนี่ ความจริงการอธิษฐานบารมีนี่เป็นเรื่องของคนฉลาดเป็นการกำหนดเจาะจงในสิ่งที่ตัวเองทำ ๆ แล้วต้องการหรือไม่ต้องการผลนั้นเกิดแน่นอน แต่คนใช้อธิษฐานบารมีเขาฉลาด เขารู้จักเจาะจงว่าจะให้เกิดอย่างไร ? เกิดเมื่อไหร่ ? ขณะเดียวกันว่าอีกคนหนึ่งไม่ยอมอธิษฐาน สมมุติว่าหิวข้าวตอนนี้แต่อีก ๓ วันข้าวค่อยมา ก็ทรมานตัวเองไปก่อน แล้วเรื่องของการอธิษฐานบารมี เหมือนยิงปืน แล้วเล็งเป้าย่อมแม่นยำกว่า ในขณะที่อีกคนหนึ่งยิงขึ้นฟ้าลงดินไปเรื่อย แล้วหวังจะให้ถูกเป้า รอไปก่อนเถอะ
      ถาม :  อธิษฐานนี่จำเป็นต้องออกเสียงมั้ยครับ ?
      ตอบอธิษฐานแปลว่า ตั้งใจมั่น จะออกเสียงหรือไม่ออกเสียงมันอยู่ที่เรา ขอให้ตั้งใจอย่างนั้นจริง ๆ
      ถาม :  อย่างที่หลวงพ่อเคยสอนว่า ถ้าบารมีใกล้เต็มแล้วจริง ๆ นี่ อย่างหลวงปู่ปานนี่ทำบุญทีไรก็จะเปล่งวาจาออกมา ?
      ตอบ :  อันนั้นเกี่ยวกับพระโพธิญาณคือ ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าทำถึงระดับนั้นเขาไม่อายใครแล้ว ประกาศให้รู้ชัดเจนเลยว่าเราทำอันนี้เพื่อปรารถนาพระโพธิญาณ เหมือนกับคุณก้องเล่นเอาเขาอึ้งกันทั้งโบสถ์ พอญัตติเสร็จเขาประกาศเลยว่า กุศลของการที่บวชครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระโพธิญาณ พระทุกองค์สาธุพร้อมกัน แต่ความรู้สึกในใจบอกว่า มึงไปเถอะกูไม่ไปหรอก แบบนั้นแหละ แต่จริง ๆ มันก็น่าสงสัยนะทำไมต้องอยู่ใต้กฎของกรรมด้วย มันเหมือนอยู่ ๆ เอากฎหมายมาขี่คอบังคับเราใช่มั้ย ? แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ เราทำเอง ถ้าเราไม่ทำก็ไม่จำเป็นต้องมี
              อย่างเช่นว่า นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา มาร พรหมตลอดถึงนิพพาน ถ้าหากว่าคนหลุดพ้นหมดหรือว่าเลิกทำดี ทำชั่วทั้งหมดสิ่งเหล่านี้่ก็จะไม่มี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อรองรับการกระทำของเราเท่านั้น ถ้าหากว่าไม่มีการกระทำสิ่งเหล่านี้ก้ไม่เกิดขึ้น ไม่รู้จะเกิดขึ้นทำไม
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  ทำดีต้องได้ดี หรือทำดี...ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วหรือว่าทำชั่ว...ชั่ว ถ้ายังติดทั้งดีทั้งชั่วไม่หลุดแน่นอน อันนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าคุณทำดีแล้วยังติดดีชาตินี้คุณไปนิพพานไม่ได้ อันนี้กล้ายืนยันเพราะว่า ถ้าถึงระยะสุดท้ายแล้วนักปฏิบัติเขาจะรู้ว่า ถ้าดีก็ทำ ถ้าชั่วก็ละ ไม่เกาะทั้งดีทั้งชั่ว
      ถาม :  ถ้าแข่งขันกันทำความดีเป็นกิเลสมั้ยครับ ?
      ตอบเป็น แต่ว่ามันก็ดีกว่ากิเลสอย่างอื่น พอ ๆ กับติดวัตถุมงคล ยังไงดีกว่าติดวัตถุึอัปมงคล เยอะแรก ๆ เราจำเป็นจะต้องเกาะเพราะว่าเป็นเด็กน้อยเดินไม่แข็งแรงไม่เกาะมันจะตะกายไปได้ยังไง แต่พอแข็งแรงดีแล้วถึงสถานที่ ๆ ตัวเองต้องการแล้วมันก็ไม่ต้องเกาะต้องแบกอะไร เดินขึ้นบันไดเกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง มาถึงในห้องแล้วเราจะแบกราวบันไดมาทำไมเล่า ? มันก็ปล่อยตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้ว แต่ช่วงนิดเดียวระหว่างราวบันได้กับประตูห้อง
              คนส่วนใหญ่มันจะนึกไม่ถึงเพราะว่ายังเข้าไม่ถึงจริง ในเมื่อเข้าไม่ถึงจริง ก็เลยคิดว่าทำดีแล้วไม่ติดดีมันจะไปนิพพานได้ยังไง ? ความจริงอันนี้เข้าใจถูกแต่ตัวที่เข้าใจผิดก็ตอนสุดท้ายเขาไม่คิดอะไรแล้ว
      ถาม :  คนเขาบอกว่าทำดีชาตินี้ไว้รอชาติหน้า แล้วอย่างนี้ถ้าชาติหน้าไม่มีแล้วผมก็ทำดีด้วยหรือครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าคุณคิดว่าทำดีทำชั่ว สมมุติว่าถ้านรกสวรรค์ไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำดีคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมี สวรรค์มีชาติหน้ามีคุณตั้งใจทำดีคุณก็กำไร แต่ถ้านรกไม่มีสวรรค์ไม่มี คุณทำชั่วคุณก็เสมอตัว แต่ถ้านรกมีสวรรค์มีชาติหน้ามี คุณทำชั่วคุณก็ขาดทุน เพราะฉะนั้นคุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุรเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวแล้วกำไรดี หรือว่าเสมอตัวแล้วขาดทุนดี เลือกเอา ๒ ประตู
      ถาม :  .........................
      ตอบ :  ครับผมสบายใจแล้วครับ ก็บอกว่าคุณสบายใจเรื่องอะไร เขาก็บอกว่าตอนแรกผมตั้งใจว่าถ้าหากว่าคนเราทำความดีแล้วได้ไปสวรรค์ซัก ๓๐-๔๐ % นี่ผมก็จะทำนะ แต่ว่าตอนนี้ผมไปถามหลวงพี่ชาติชายมาแล้ว
              หลวงพี่ชาติชายยกตัวอย่างว่า มีอยู่วันหนึ่งมีคนตายไป ๑,๒๐๐ กว่าคน ปรากฏว่าขึ้นสวรรค์แค่ ๑๐ คนเท่านั้นเอง มันไม่ถึง ๑% ใช่มั้ย เออ เพราะว่าถ้า ๑% มันต้อง ๑๒ คนกว่า ๆ น่าคิดเนอะ ทำความดีไปก็แปลกแยกจากสังคมก็ไม่รู้จะทำไปทำไม (หัวเราะ) วัน ๆ หนึ่งก็มีปัญหาแบบนี้มาอยู่เรื่อย ๆ ล่ะ บางทีก็อยากปล่อยให้มันไปตามทิศตามทางซะ มันก็อดสงสารไม่ได้ มีปัญหาแล้วถามนั่นถือว่าดี ถ้ามีแล้วเก็บไว้ไม่ยอมถามน่ะบางทีมันจะเอาความเข้าใจผิดเก็บไปเรื่อย ๆ ที่ถามพิลึกพิลั่นกว่าคุณน่ะมีเยอะเลย ของคุณน่ะเป็นคำถามพื้น ๆ เท่านั้นเอง คนเรานะถ้าหากว่าขาดความมั่นใจในตัวเองไม่ว่าจะอยู่ในสถานะการณ์ไหนมันก็ค่อนข้างจะแย่ สมมุติว่าขึ้นเวทีจะชกมวย ขาดความมั่นใจมันแพ้ตั้งแต่ยังไม่ชกแล้ว มันก็เลยต้องหาวิธีไหนที่สร้างความมั่นใจให้แก่เขา พวกคาถามันก็เป็นการสร้างสมาธิอย่างนึง พอสมาธิทรงตัว ความมั่นใจมันก็มี
      ถาม :  เราจะพูดยังไงให้เขาเมตตาเรา ?
      ตอบ :  มันสำคัญอยู่ที่ว่าเราสามารถแก้ตัวให้เขาเชื่อได้มั้ย ? แต่ถ้าไม่ได้มันก็มีวิธีอยู่เหมือนกัน อันนี้ต้องเอาคาถาไปนั่งท่อง มีคาถาที่หลวงพ่อให้ไว้ว่า พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต ต้องการให้ใครเขารักเราเมตตาเราให้ภาวนานึกถึงหน้าเขา เอาให้กำลังใจมั่นคงแล้วไปหาเถอะรับรองว่ารักเราทุกคน แต่คราวนี้ว่ารักเราในลักษณะนี้มันจะไม่ยืนนาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเราทำดีปฏิบัติดีกับเขา อย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกให้มีสังคหวัตถุ ๔ คือ
              ๑. ทาน รู้จักให้เขา สงเคราะห์เขา
              ๒. ปิยะวาจา พูดดีกับเขาตลอดไป
              ๓. อัตถจริยา ยังประโยชน์ของเขาให้สำเร็จ
              ๔. สมานัตตตา ทำดีอย่างนี้เสมอต้นเสมอปลาย ท่านบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้คนจะรักเราแน่นแฟ้นตลอดไป เพราะฉะนั้นตอนนี้เอา ๒ อย่างพร้อมกันคือว่า ถ้าหากว่ามันพลาดมาเราก็นั่งท่องคาถาไปก่อนแล้ว ก็ตั้งใจทำดีกับเขา ๆ จะได้รักเราตลอด
      ถาม :  วันนี้ไม่รู้ว่ามีอะไรมาบังค่ะ กุญแจหาไม่เจอ แล้วพอเราดูมันวางอยู่จะทิ่มลูกตาอยู่แต่มันไม่เห็น มันเหมือนอะไรมาบังก็ไม่รู้ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เหมือน มันมีการทดสอบเหมือนกัน ของพรรค์นี้ต้องเรียกว่า กรรมมาบัง ไม่แปลกหรอกเจอบ่อย เอาพรุ่งนี้นั่งว่าคาถานี้ไปตั้งแต่ตื่นจนไปถึงที่ทำงานนึกถึงหน้าเขาไว้ เดี๋ยวถ้าเขารักเราผิดปกติก็อย่าไปแปลกใจแล้วกัน แต่จำไว้นะว่ามันไม่ยั่งยืน ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องเป็นความประพฤติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอน
      ถาม :  กรรมที่ให้ผลแล้วเนี่ย จะกลับมาให้ผลอีกไหมครับ ?
      ตอบ :  ที่เขาให้ผลไปแล้ว ถ้าหากว่ามันยังไม่หมด ถึงวาระถึงเวลาของมัน มันก็จะคืนมาอีก แต่ถ้าหากว่าให้ผลแล้วกันไปแล้ว ก็เป็นอันว่าผ่านไปเลย กรรมมันมีบางประเภทที่ให้ผลปุ๊บปั๊บฉับพลันได้นะ
              อย่างที่เขาเรียกว่า ครุกรรมทั้งฝ่ายกุศล อกุศล อย่างครุกรรมฝ่ายอกุศล ก็คือฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท อย่างนี้ ก็จะเห็นผลทันตาในปัจจุบัน ตายเมื่อไหร่คุณลงอเวจีมหานรกเลย ขณะเดียวกัน ครุกรรมฝ่ายกุศล คือฝ่ายดี ที่คุณทำเอาไว้อย่างเช่นว่า ได้ฌาน ๔ ได้สมาบัติ ๘ ถึงเวลาคุณก็ไปเป็นพรหมหรืออรูปพรหมไปเลย หรือว่าถ้าหากว่ามีโอกาสได้ทำบุญกับพระอริยเจ้าที่ออกนิโรธสมาบัติมาก ก็กลายเป็นเศรษฐีในวันนั้นเลย
              ฉะนั้นพวกนี้ให้ผลฉับพลัน แต่ว่าให้แล้วให้เลย จบกันไปเลย เหมือนยังกับเราปลูกผักปลูกหญ้าให้ผลเร็วมากไม่กี่วันก็เก็บกินได้แล้วใช่ไหม ? แต่ว่ามันได้แล้วได้เลย แต่ว่ากรรมบางอย่างมันให้ผลช้ามาก อย่างเช่นว่า พวกอปราปรเวทนียกรรม อุปัชชเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ เหมือนกับปลูกไม้ผล ให้ผลช้ามากเหมือนยังกับตามไม่ทัน ประเภทสิบล้อ สิบล้อมันวิ่งช้าใช่ไหม ? แต่ถึงเวลาถ้ามันชนเราได้ แล้วเป็นอย่างไรล่ะ มันก็หนัก
              ฉะนั้น กรรมพวกนี้จะให้ผลต่อเนื่อง ยาวนาน ลักษณะเหมือนยังกับปลูกไม้ผล ถึงเวลา ถ้าหากว่า ๕ ปีขึ้นไป เริ่มให้ผล ก็ให้ไปเรื่อย ๆ กรรมเขามีทั้งให้ผลตามกาล ให้ผลตามลักษณะ บางอย่างก็มาหนุนเสริม บางอย่างก็มาบีบคั้น บางอย่างก็มาตัดรอน ให้ผลตามกาลนี่ก็ให้ช้า ให้เร็ว ก่อน หลัง กันไปรวม ๆ แล้วว่า กรรมน่ากลัวมาก ตามทันเมื่อไหร่ มันเอาเมื่อนั้นที่คุณปริวัฒน์ เขาบอกว่า เวรกรรมมันมีจริงนั้นน่ะ เริ่มเห็นตรงจุดนี้ถึงได้พูดออกมาอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นตรงจุดนี้ยังพูดไม่เป็นหรอก
      ถาม :  ....................................
      ตอบ :  อย่าเกเรมากนักนะ เกเรมาก จิ้มเขาไว้เยอะ ถึงเวลามันเอาคืนแย่เหมือนกัน ของพรรค์นี้ก็ว่าไม่ได้ซะด้วย เป็นไงสมัยสามก๊ก มีใครเกิดบ้างหว่า ? ผลจากการสู้รบครั้งนั้นเราดังภายในชั่วข้ามคืนเท่านั้นเอง เหลือเชื่อเหมือนกันนะ คนเราประมาทหน่อยเดียวแพ้ยับเยินเลย คือถ้าเขาไม่ประมาทนี่เราคงลุ้นเขาไม่ขึ้น
              ฉะนั้น เรื่องของการทำความดี ความชั่ว ก็เหมือนกัน ประมาทเมื่อไหร่ก็เจ๊ง ปมาโท มัจจุโน ปทัง อปมาโท อมตัง ปทัง ความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ความไม่ประมาทเป็นหนทางที่ไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเลยไง คะยะวะยะ ธัมมา สังขารา อัปมาเทนะ สัมปาเทถาติ เขาเรียก ปัจฉิมโอวาท ครั้งสุดท้ายท่านก็บอกให้ทุกคนให้ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ถามว่า ยังไงถึงยังประมาทอยู่ ถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติดี ก็ยังประมาทอยู่ทั้งนั้น
              วิชาการสมัยก่อนที่สาบสูญไปเยอะต่อเยอะด้วยกัน เกิดจากว่า ยุคหนึ่งต่อลงไปอีกยุคหนึ่ง มันจะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ ๆ เพราะไม่ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชามาครบถ้วน สมัยก่อนเขาจะก็มีประเภทที่เรียกว่าเก็บเอาความรู้ขั้นสุดท้ายเอาไว้เพื่อให้คนที่ไว้ใจจริง ๆ อย่างเช่นว่า อาจจะเป็นลูกหลานของตัวเอง หรือว่าลูกศิษย์ที่รักมาก แต่ว่าบางทีก็ถ่ายทอดไม่ทัน ตายไปกับตัวเองก็มี หรือไม่ก็เห็นว่าพวกลูกศิษย์ลูกหาไม่สามารถรับวิชานี้เอาไว้ได้ ก็ตายไปกับตัวเลยก็เยอะ
              สมัยก่อนต้องไปอยู่ไปกินไปคลุกคลีอยู่กับครูบาอาจารย์กันทีหลาย ๆ ปี ครูเขาจะดูออกว่าคนประเภทนี้ สมควรจะได้วิชาการไป หรือไม่ได้ไป แล้วมายิ่งรุ่นหลังมากขึ้นเท่าไร ความอดทนที่จะฝึกฝนพวกวิชาการที่จะเรียนรู้ศึกษาวิชาการต่าง ๆ มันก็น้อยลงไปเรื่อย ๆ มันก็กลายเป็นว่า สาบสูญไปบ้าง อะไรไปบ้าง กลายเป็นไม้ตายก้นหีบบ้าง กลายเป็นของที่คนรุ่นหลัง ๆ ต่อไม่ติดแล้วว่าอะไรเป็นอะไร
              อย่างตัวอย่าง ปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหมที่ว่าเมื่อกี้ โลหะศาสตร์สมัยใหม่นี่ทำสแตนเลสยังเป็นสนิมน่ะ แต่อันนั้นดูว่าตากแดดตากฝนมากี่ร้อยปีแล้ว นั่นน่ะไม่เห็นจะเป็นเขียวปัดอยู่อย่างนั้น หลวงพ่อท่านเรียกเหล็กแข็ง เพราะว่าพวกเครื่องตัดเหล็ก เครื่องทำลายเหล็กอย่างโลหะสมัยใหม่ ๆ นี่ ยังทำเขาได้ยาก อีกอย่างเป็นเหล็กเหนียว ไอ้เหล็กเหนียวนี่สมัยก่อนเรียกเหล็กกำพล เหล็กกำพล คือเหล็กในลักษณะเหมือนกับผ้า ถ้าตีเป็นดาบนี่ เคียนรอบเอวเป็นเข็มขัดได้เลย สมัยนี้ก็ไม่เห็น นี่ตัวนี้เขาเรียกว่า เบี้ยแก้ เป็นวิชาโบราณอย่างหนึ่ง ที่จะสาบสูญไปเหมือนกัน
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ก็ตั้งแต่ต้นเดือนที่แล้ว เพราะว่างานมันต่อเนื่องกันเรื่อย ๆ ตั้งแต่งานประจำปีของวัด ได้พักวันเดียวก็ลงยาวมาที่นี่เลย เสร็จแล้วก็มาเลเรียมันชอบฉวยโอกาสซ้ำ อีงวดนี้มันเป็นหนักขนาดฉี่เป็นเลือด ไอ้ฉี่เป็นเลือดนี่มันโทรมเร็ว ตายเร็ว รอดมาได้ ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน ว่ามันทำไมถึงรอดมา
      ถาม :  ผมมีคำถามครับ คือค่อนข้างแปลกใจเรื่องของเพื่อนครับ ?
      ตอบ :  ทำไม ?
      ถาม :  ไม่รู้ว่าเป็นกรรม หรือเป็นอะไร ยังไง ?
      ตอบ :  แล้วทำไมไม่ถามตัวเขาล่ะ ทำไม มันเกี่ยวกับจุดไหนล่ะ ?
      ถาม :  คือดูเขาเครียดไปหมดทุกอย่าง เขาไม่กล้ามา ?
      ตอบ :  คนตั้งใจเอาจริงเอาจัง มันก็อย่างนั้นแหละ พอตั้งใจเอาจริงเอาจังแล้วทำไม่ได้อย่างที่ตัวเองตั้งใจ บางคนมีลักษณะเหมือนกับว่าลงโทษตัวเอง แล้วอะไรก็โทษตัวเอง กลายเป็นว่าไม่กล้าสู้หน้าคนอื่นไปเลยก็มี ลำบากนะ
              เรื่องนี้จะว่าไปแล้ว ก็เป็นการดลใจของมารอย่างหนึ่งให้เราเสียเวล่ำเวลาไปพะวงไปกังวลอยู่กับสิ่งที่ไม่ควรจะเป็น ทำให้การที่จะหนีห่างจากมันก็เสียเวลาไปเลย
      ถาม :  แล้วตอนนี้ก็นอนก็นอนไม่ค่อยหลับครับ เพราะว่า คือเขาบอกว่านอนแล้วเขาจะผวาตื่น ผวาตื่น พอนอนไม่หลับมาก ๆ เข้ามันก็มีอาการประสาทเข้ามาด้วย มันก็...?
      ตอบ :  เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาพยายามทุกวิถีทางที่จะขวางกำลังใจยิ่งเข้มแข็ง การขัดขวางยิ่งรุนแรง
      ถาม :  พอจะมีทางที่จะช่วยแก้ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ช่วยแก้ได้ไหม ? จับรดน้ำมนต์ซะดีไหม ไอ้ปุ๊ยพาพี่น้องไปจับรดซะเปียกมะล่อกมะแล่กไปเลย รดจริง ๆ เลยนะ ประเภทตักกันเยอะ ๆ ราดโครมไปเลย จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่เขาไประแวงกันเอง ผู้หญิงกับผู้ชาย มันก็น้ำมันกับไฟ ใกล้กันได้เมื่อไหร่ล่ะ ยิ่งไปเจอผู้ชายปากหวาน ๆ เข้า มันก็หลงเข้าหัวทิ่มหัวตำ ก็ไปเที่ยวว่าเขาทำเสน่ห์ ไม่ต้องทำเสน่ห์หรอก ทำแบบพระพุทธเจ้าว่า ทาน การให้รู้จักแบ่งปันกัน ปิยวาจา พูดดีกับเขาเอาไว้ ปากหวานซะอย่าง อัตถจริยา ทำตนให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นเขา สมานัตตตา มีความเสมอต้นเสมอปลาย วิธีทำเสน่ห์ที่ไม่ต้องไปเสียเวลานั่งเสกคาถา ก็ในเมื่อมันอยากให้รด ก็รดมันซะจนเปียกโชกไปเลย ป่วย ๆ ไม่สบาย ๆ อยู่ มันยังแห่ไปเต็มกุฏิ คนโน้น ก็บอกให้พักผ่อนมาก ๆ คนนี้ก็บอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่มันไม่ยอมกลับซะที
      ถาม :  ไม่ยอมหรอกครับ เพราะว่าผมเคยคุยแล้วเนี่ย เขาคือ ถ้าเกิดว่าเจอหลวงพี่ปุ๊บเนี่ย เขาก็จะแบบมีตำหนิหลวงพี่ในใจ เขาจะกลัวมาก ?
      ตอบ :  ไอ้นั่นมันเรื่องปกติของเขาอยู่แล้ว เพราะว่า ยังไงล่ะ เอาแค่การปฏิบัติภาวนาได้อุปจารสมาธิหน่อยเดียวเท่านั้นเอง มารเขาก็รู้แล้ว่าเราจะพ้นมือเขา เขาก็จะพยายามดลจิตดลใจให้เราปรามาสพระรัตนตรัยทุกเรื่องราวไปเลย ในเมื่อปรามาสพระรัตนตรัย ถ้าหากว่าแก้ปัญหาตรงจุดนี้ไม่ตก มันก็จะกลายเป็นปัญหาคาใจของตัวเองไป และจะทำให้การเข้าถึงมรรคผลจุดที่ต้องการมันก็จะยาก มันทำทุกคนแหละ ไม่ได้ทำแต่เขาคนเดียวหรอก
      ถาม :  ผมก็โดนหลายทีแล้วครับ ?
      ตอบ :  แล้วก็คิดดูแล้วกันว่าเราเองผ่านมาได้แล้ว เห็นคนอื่นแล้วมันรู้สึกยังไง มันสงสารก็สงสาร เรื่องไอ้พรรค์อย่างนี้มันบอกกันไม่ได้จนกว่าจะแก้ตกไปเอง เพราะว่าเราบอกให้เขาขอขมาพระรัตนตรัย ถ้าเขาไม่ตั้งใจขอขมาเองก็ไม่รู้จะช่วยยังไง
      ถาม :  เพราะเขาเป็นที่ขี้กังวลมากเกินไป ?
      ตอบ :  บอกแล้ว มันเป็นคนคิดคนเดียว คนคิดคนเดียว คนคิดมากไม่มากหรอก คิดคนเดียว คิดไม่ค่อยจะยอมเลิก
      ถาม :  แล้วเราทำยังไงดีล่ะครับ อยู่เฉย ๆ ?
      ตอบ :  ทำยังไงดี แนะนำให้เขาหน้าด้าน ขอขมาพระรัตนตรัยทุกวัน ทำความดียังต้องหน้าด้านเลย ไม่งั้นมันทำไม่ทน ทำไม่นาน
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  ไม่ได้ขาด จริง ๆ เขามั่นคง แต่เพียงแต่ว่าเวลาเจอข้อสอบก็รวนเหมือนกัน ข้อสอบพวกนี้เวลามา เขาทดสอบเรา จะเป็นจุดอ่อนของเราทั้งนั้น เพราะฉะนั้น แน่แค่ไหน มันก็รวนทั้งนั้นแหละ ยกเว้นเจอกันมาเยอะ ๆ จนอ่านเชิงกันออก ก็จะรู้ว่าจะแก้ไขวิธีไหน มันถึงได้ง่ายที่สุด
              ลักษณะของกำลังใจตก ที่เขาเรียก จิตตก สมาธิตก มันเหมือนกับคนหกล้ม สมมุติว่า คน ๒ คนหกล้มพร้อมกัน คนหนึ่งลุกแล้วเดินไปเลย ขณะอีกคนหนึ่ง นั่งลงคร่ำครวญ โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน ไม่น่าเลย เดินมาตั้งนานแล้วล้มซะได้ ใครมันจะได้ระยะทางเยอะกว่ากัน มันก็ต้องล้มแล้วลุกเลยใช่มั๊ย ?
              เพราะฉะนั้น เรื่องของการทำความดีเหมือนกัน ถ้าเวลาผิดพลาดอะไรไป เช่นว่าละเมิดศีลไป กำลังใจตก สมาธิคลายตัว ตั้งหน้าทำใหม่แป๊บเดียว มันก็ได้เหมือนเดิม ถ้ายิ่งไปนั่งคร่ำครวญนานเท่าไหร่ ก็คือสิ่งที่เขาต้องการ เพราะเขาอยากจะให้เราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว
      ถาม :  จะตัดสินใจทำงานต่อ กำลังสับสนว่า จะทำงานหรือไม่ทำงาน ?
      ตอบ :  อันนี้จับฉลากได้ ถึงเวลาจับฉลาก (หัวเราะ) พูดเล่นนะ เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสียของมันสิ ถ้าหากว่าเราทำสิ่งนี้มันมีผลดีอะไรบ้าง ก็ลิสต์เป็นรายการออกมา ๑ ๒ ๓ ๔ ถ้าหากว่าไม่ทำแล้วมันมีผลเสียอะไรบ้างก็ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วเปรียบเทียบดู ถ้าผลดีมันมากกว่าก็ทำไป วิธีง่ายนิดเดียว
      ถาม :  คือ ทีนี้มัน วิธีนี้มันก็จะง่ายสำหรับคนที่แบบว่าเคลียร์ว่า นี่คือสิ่งเรานึก แต่บางคนเีนี่ย อย่างเพื่อนหนูเนี่ย เขาก็จะสับสนว่าแล้วหนูจะไม่ใช่ แล้วหนูจะยังไง คือมันยังสับสนอยู่ค่้ะ ?
      ตอบ :  ช่วยเขาตัดสินใจหน่อยแล้วกัน ถ้ายังสับสนอยู่ก็ช่วยโขกหัวมันหน่อย
      ถาม :  บางทีมันกระทบเรื่องการทำงานด้วยครับ ?
      ตอบ :  เสียเหมือนกันนะ มัวแต่นั่งเหม่อคิดอยู่
      ถาม :  ตอนนี้ ก็วัน ๆ อย่างช่วงนี้ดีขึ้นนะครับ ช่วงก่อนหน้านี้ทำงานก็ไม่ได้ คุยงานนี่ คุยงานไป ร้องไห้ไปครับ ?
      ตอบ :  เครียด
      ถาม :  ไม่รู้จะทำยังไง ผมก็พูดไปเรื่อย ๆ น้ำตาเธอจะไหล เราก็ปล่อย ?
      ตอบ :  ปล่อยไป มันร้องไห้จนน้ำตาหมด มันก็เลิกร้องเอง ตัวก็ใหญ่ ใจนิดเดียว
      ถาม :  ถ้าเราทำอย่างที่แนะนำบ่อย ๆ คือแนะนำชี้ว่า อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ให้เขาลองลิสต์นี่ จะช่วยได้ไหมคะ ทำซ้ำ ๆ อาจจะต้องวน ๆ อย่างนี้ค่ะ ?
      ตอบจริง ๆ มันอยู่ที่ใจของเขาเลย ถ้าเขาสามารถตัดสินใจได้มันก็หมดปัญหาไปเลย เรารู้อยู่แล้วสิ่งนี้เป็นมารทีจะมาขวางการกระทำของเรา เราเองก็ให้ตั้งใจไว้เลยว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เจตนาแท้ที่เราเป็นคนทำ ในการล่วงละเมิดสิ่งนั้นไม่ว่าจะการคิด การพูด การทำ ในเมื่อตัวเเราเองไม่ได้เป็นคนทำ เป็นการชักนำของกิเลส ตัณหา อุปาทานและอกุศลกรรม แต่ว่าในเมื่อมันชักนำผ่านการคิด การพูด การทำของเรา เราก็ตั้งใจขอขมาพระรัตนตรัย ให้คิดว่าถ้าขณะจิตใด ที่สติสัมปชัญญะเราสมบูรณ์ เรื่องของสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ เราไม่คิดไม่พูด ไม่ทำแน่นอน แต่ในเมื่อมันคิด มันพูด มันทำไปแล้ว เราก็ตั้งใจขอขมาซะ
              บอกได้เลยว่าเรื่องของพระรัตนตรัย ไม่มีมาถือโทษโกรธเคืองใครหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างใครทำใครได้ ในเมื่อเราทำ เราตั้งใจ ขอขมา ปลดจิตออกจากกรรมตรงจุดนั้น แล้วตั้งหน้าทำดีต่อไป ถ้าเขาติดสินใจตามนี้ได้ ก็จะผ่านไปได้ในระยะเวลาอันไม่นาน เรื่องของมารนี่ เขากลัวคนรู้ทัน ถ้ารู้เท่าทัน แล้วเราประเภทตื้อ หน้าด้าน ขอขมาไปเรื่อย มันรู้ว่า ท่านี้ใช้กับเราไม่ได้ มันก็เลิกไปหาท่าอื่นต่อเดี๋ยวก็มีปัญหามาให้แก้ต่อไปอีก แปลกไหม ทำความดียังต้องหน้าด้านเลยนะ หน้าไม่ด้าน ทำไม่ทน อยู่รอบ ๆ ข้าง ก็ช่วยกันพอเขาเห็นว่า เราเป็นตัวช่วยที่ดี เขาก็เล่นเราด้วย (หัวเราะ)
              ทุกสิ่งทุึกอย่างรอบตัวเรา มารเขาสามารถใช้เป็นเครื่องมือได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งเพื่อนที่รักกันมากที่สุด เขาก็จะทำให้เราคิดว่า คาดว่ามันน่าจะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ จนกระทั่งเข้าใจผิดกันไปได้ ทั้ง ๆ ที่ถ้าหากถามแค่ประโยคเดียว เรื่องก็อาจจะคลายใจไปได้ เก็บเอาไปโกรธมันซะ ๓ วัน ๗ วัน กว่าจะเคลียร์กันได้ บางที ประเภทที่ไม่มองหน้ากันไปตลอดชีวิตก็มี ข้องใจนี่ ต่อยถามเลย จำไว้ สมัยทหารนี่เขาต่อยถามสมัยนี้เอาแค่ไต่ถาม
      ถาม :  อยากจะฟังเทศน์เกี่ยวกับเรื่องของธรรมชาติของจิต ?
      ตอบ :  ธรรมชาติของจิต ?
      ถาม :  แบ่งประเภท แบ่งอะไรกันยังไงครับ ?
      ตอบ :  โอ๊ย ตาย ๆ ๆ ๆ จริง ๆ แล้วมันเรื่องไม่เป็นเรื่อง ดูเอาแค่ว่ามันมีความดีไหม ? ถ้าไม่มีทำมันขึ้นมา มีอยู่แล้วก็ทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดูมันว่ามันมีความชั่วอยู่ไหม ? ถ้ามีก็ไล่มันออกไประวังอย่าให้มันเข้ามาแค่นั้น ไปแบ่งประเภทมันมาก ๆ เดี๋ยวประสาทกิน ถ้าเป็นไปตามตำราที่เขาว่า จิตของเรามีเป็นร้อย ๆ ดวง บ้ากันไปข้างหนึ่ง
      ถาม :  แล้วเรื่องของจริตนี่มันไม่ใช่ลักษณะ ประเภทของจิต ?
      ตอบจริต นี่มันเป็นรากเหง้านิสัยของเราที่ฝังลึกมา ใช้คำว่า สันดานแทนก็ได้ จะเป็นการรัก ชอบ เกลียด ชัง เป็นการส่วนตัวของเราไปเลย จริง ๆ แล้วจริต ๖ ประการนั่น มีครบทุกคน แต่เพียงแต่ว่าตัวใดตัวหนึ่งมันจะเด่นอกมา ก็จะเป็นลักษณะจริตอย่างนั้น เป็นคนขี้โมโห จะเป็นทางโทสะจริต เป็นคนที่เด่นออกมาทางรักสวยรักงาม ก็เป็นราคะจริต เป็นประเภทขี้วิตกกังวล ตัดสินใจไม่เด็ดขาดก็จะเป็นโมหะจริต วิตกจริต อะไรพวกนี้ ทุกอย่างมีแต่ว่าอย่างไหนมันจะมากก็จัดเป็นจริตนั้น ๆ
      ถาม :  แล้วก็มีแค่ ๖ หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  มีเยอะกว่านั้น อย่างพวกวิกลจริต อะไรอย่างเนี่ยนะ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้จัดเอาไว้
      ถาม :  คือผมสงสัย อย่างสมมุติว่า คนที่รักสันโดษนี่เราจะรู้ว่าเขาเป็นคนจริตอย่างไร จากอะไรครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ตรงนี้เราไม่จำเป็นจะต้องไปรู้เขาก็ได้นี่ แล้วที่รู้นี่ เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษาและปฏิบัติในความดีของเขา ตัวของเขา เขาต้องมีความเข้าใจเองว่าเขามีจริตอะไร เพื่อเลือกกรรมฐานให้เหมาะกับตัวเองได้ ของเราจะไปรู้เขา ไปเสียเวลาทำไม มันตัองรู้ตัวเอง อยากรู้ก็ฝึกเจโตปริยญาณ
      ถาม :  มีวิธีเดียวหรือเปล่าครับ ? คือที่ผมสงสัยน่ะครับ ?
      ตอบ :  จะมีลักษณะการสังเกตหยาบ ๆ อยู่เหมือนกัน อย่างเช่นว่า โทสะจริตกับพุทธิจริต อาการแสดงออกเหมือน ๆ กันหมด คือ ทำอะไรทำแรง ทำเร็ว แต่ขณะเดียกวันอย่างเช่นว่า ถ้าหากให้กวาดบ้าน พวกโทสะจริต พุทธจริต มันก็ลากโครม ๆ ไม่กี่ที ฝุ่นตลบไปทั้งบ้าน ไม่กวาดซะยังจะดีกว่าอย่างนั้น เวลาเดินก็ลงส้นโครม ๆ ไปเลยอย่างนั้น
              แต่ว่าจะไปต่างกันตรงจุดสุดท้าย พุทธจริตจะประกอบไปด้วยปัญญามากกว่า เวลาทำอะไรก็รู้สึกว่ามันมีเหตุมีผล มันเหมาะมันสมไปหมด แต่ว่าโทสะจริตนี่ ของเขาจะไม่มีตัวนี้ จะเป็นประเภทขี้โมโห แล้วก็โง่ดักดาน (หัวเราะ) มันต่างกัน อาการภายนอกมันคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีจุดแยกให้เราเลือกได้ ให้เราคิดได้
              อย่างพวกโมหะจริต กับ วิตกจริต ก็คล้ายคลึงกัน แต่ว่าอันหนึ่งมันก็อาจจะติดประเภทโง่ เซ่อ เซื่องซึมไปเลย อีกอันหนึ่งก็อยู่แค่ว่า ตัดสินใจอะไรไม่เด็ดขาด มัวแต่เงอะงะอยุ่นั่นเอง อาการมันใกล้เคียงกันมันมี แต่ว่าก็มีจุดแยกให้ ซึ่งเป็นส่วนหยาบ โอกาสผิดมีเยอะ ขนาดพระสารีบุตรยังให้กรรมฐานผิดเลย นั่นอัครสาวกเบื้องขวานะ กระทั่งไปเจอพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้ว่า พระลูกนายช่างทอง จริง ๆ แล้วเป็นโทสะจริต ก็ให้ไปฝึกสิณสีแดงแทน แล้วก็เป็นพระอรหันต์ภายในที่นั่งเดียว เสียเวลาไปพรรษาหนึ่งเต็ม ๆ
      ถาม :  พระสารีบุตรท่านใช้เจโตปริยญาณ หรือท่านใช้อะไรครับ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าท่านให้ผิด ท่านเห็นว่าเป็นคนหนุ่มรูปหล่อด้วย พ่อรวยด้วย สาวเยอะด้วย น่าจะหนักไปทางราคะจริต ก็เน้นพวกอสุภกรรมฐานแทน ล่อไปหนึ่งพรรษา ไม่ได้ผล ออกพรรษาไปกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าขึ้นชื่ิอว่ากุลบุตรที่ประกอบไปด้วยศรัทธาแล้ว ตถาคตจะสงเคราะห์ไม่ได้นั้นไม่มี อย่าลืมคำว่าประกอบด้วยศรัทธานะ ถ้าไม่มีศรัทธาท่านก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ในเมื่อเขามีศรัทธาขนาดเป็นลูกเศรษฐี ทิ้งบ้านทิ้งทรัพย์สมบัติมาบวช ท่านก็ลองสงเคราะห์ดู พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นโทสะจริต ก็ให้ไปเพ่งดอกบัวสีแดงแทน เป็นยังไง ห่วงเพื่อน ห่วงตัวเองด้วยนะ ถึงตัวเองจะมีเพื่อนดี ๆ อย่างนี้ไหมหนอ มาคอยช่วย
      ถาม :  มีอะไรแนะนำไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่มี อยากจะแนะนำเหมือนกันว่า ตั้งหน้าตั้งตาทำ เข้านิพพานไปเลยก็ได้ เวลายิ่งเยอะโอกาสจะโดนเขาเล่นงานมันยิ่งมาก
      ถาม :  ทำไมเขาทำวิชา ของต่าง ๆ นี่เขาต้องเข้าองค์ฌานหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ก็จำเป็นต้องใช้สมาธิระดับสูงเหมือนกัน แต่คราวนี้ของเขาเนื่องจากว่าเขาใช้สมาธิเพื่อเบียดเบียนคนอื่นเขา มันก็เลยกลายเป็น มิจฉาสมาธิ
      ถาม :  ในเมื่อเขาไม่มีศีลบริสุทธิ์ เขาจะเข้า-ออกฌานได้ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่า ตอนที่เขากำลังทำสมาธิอยู่ศีลเขาไม่บกพร่องนะ เรื่องของโลกียอภิญญารวบรวมกำลังใจแป๊บเดียวมันก็ได้ พอไปทำผิดทำพลาดก็เสื่อมไป พอรวบรวมกำลังใจใหม่ ก็ทำได้อีก มันขึ้น ๆ ลง ๆ
      ถาม :  อย่างสมมุติ เขาทำเสน่ห์ยาแฝดอย่างนี้ เขาเอาเส้นผมของคนมา เอาขี้ไคลมา เป็นของที่ทิ้งแล้ว มันไม่น่าจะมีผล ?
      ตอบมันมีผลก็เพราะว่า เขาสามารถที่จะโยงถึงตัวคนได้ง่ายกว่าปกติ ถ้าหากว่ากำหนดใจอย่างเดียวมันไม่มีอะไรเป็นวัตถุส่งผ่าน ของใช้ทุกอย่างที่ผ่านมือของเรา กระทั่งหนังสือเล่มหนึ่ง พอจับปุ๊บจะมีพลังงานของเราตกค้างอยู่ อย่าว่าแต่ไอ้นั่นมันเป็นสิ่งที่ออกจากตัวเราไป ยิ่งง่ายใหญ่เลย
      ถาม :  แต่อย่างเส้นผมเราลงไป เรายังรังเกียจตัวเราเองเลย ?
      ตอบ :  แต่คราวนี้อย่าลืมว่า พลังงานตกค้าง ยังไง ๆ มันก็ยังมีของมันอยู่
      ถาม :  ..................
      ตอบ :  (หนังสือโอวาทหลวงพ่อ) เล่ม ๑๖ เปิดหน้า ๒๒๕ จ๊ะ วรรคที่ ๒ บรรทัดที่ ๘ กับ ๑๐ อ่านจนจำได้ทุกหน้าเลย ๒๒๕ ย่อหน้าที่ ๒ บรรทัดที่ ๘ กับบรรทัดที่ ๑๐ นั่นแหละ คาถากันปืน สัตถา ธะนุง อากัตถิตุง อะเทสะยิ เป็นไง อ่านหนังสือให้มันจำหน้าจำบรรทัดอย่างนี้บ้าง ทำได้ไหม (หัวเราะ) ไหวไหมโยม ไอ้บางที ฉันอ้างหนังสือ อ้างตำรา บอกหน้านั่น บรรทัดนี้ คนมันไม่เชื่อหรอก มันต้องเปิดพิสูจน์อย่างนี้ หนังสือเพิ่งหยิบมา มันต้องอ่านแล้วจำได้ให้ได้ขนาดนี้ แล้วจำได้อย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาไปทำด้วย
              ถ้าเราฟังเทปหรืออ่านหนังสือหลวงพ่อท่านจะย้ำเสมอว่า ฟังแล้วจำ จำแล้วคิด คิดแล้วเอาไปปฏิบัติด้วย ฉะนั้น ถ้าหากว่าเราสมาธิดี ความจำมันเป็นเรื่องเล็ก จำง่ายมาก นั่นแหละลูก ไอ้ตัวเล็ก เอาไปท่องประจำ ๆ ต่อไปใครยิงเรานะยืนยิ้มเลย ไม่ต้องกลัวมัน
      ถาม :  ถ้าเราห้อยพระ ห้อยอะไรอย่างนี้ กันได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่ได้อาราธนาก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน จะต้องมีการอาราธนา ขอให้ท่านช่วยอยู่ทุกวัน เรื่องของเทวดาเขายอมรับกฎของกรรม ถ้าหากว่าเราไม่เรียกให้ท่านช่วย ท่านก็นั่งมองเหมือนกัน
      ถาม :  พี่ชายเสียแล้วค่ะ เขาเห็นสังฆทานยาวสุดลุกหูลูกตานี่ เลยอยากจะทราบว่าจะไปถึงไหนเจ้าค่ะ ?