ถาม : ระยะหลังนี่พอนั่งแล้วหลับตาแป๊บหนึ่ง จะมีเหมือนแสงพุ่งขึ้นมาแล้วจะเป็นรูปเหมือนกับเม็ดข้าวสารใหญ่ ๆ ปะทะหน้าผาก บางทีก็จะสะดุ้งเหมือนกับจะหงายหลังเลย หรือบางทีก็ไม่หงายหลัง คือเรารู้แล้วเราก็จะเฉยแล้ว แต่มันเหมือนกับแสงที่เราจุดไม้ขีดแล้วพุ่งใส่หน้า ทีนี้ไปเรียนถามคนที่นั่งกรรมฐานแล้วเขาบอกว่าไม่ดี หนูก็เลยใจไม่ดีค่ะ ?
ตอบ : ใครบอกว่าไม่ดี คือลักษณะของแสงที่เราอธิบายมา เป็นไปได้ ๒ อย่าง ๆหนึ่งเขาเรียกว่า โอภาส มันจะเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่จิตของเราจะเข้าอุปจารสมาธิ ส่วนอีกอย่างหนึ่งเป็นกำลังของอภิญญา กำลังขออภิญญานี่ถ้าเราเปลี่ยนมาภาวนาว่า สัมปจิตฉามิ หรือว่าโสตัตตะภิญญา ถ้าเห็นแสงสว่างลักษณะแบบนี้ ให้ดึงเข้ามารวมกันอยู่ในอกของเรา พอมันรวมขึ้น ๆ กลายเป็นวงกลมโตสีทองเจิดจ้าอยู่ในอกของเรา ตัวเราจะเริ่มลอยได้ พอเริ่มลอยได้ตอนนี้ต้องพยายามระมัดระวังคุมสตินิดหนึ่ง เพราะมันอาจจะฟู คือปีติมาก หรือไม่ก็อาจจะประเภทสนุกลอยพรวดพราดไปเลย ค่อย ๆ นึกว่าเราจะไปตรงไหนวนรอบห้องก่อนก็ได้ จนชำนาญคล่องตัวนึกเมื่อไหร่ก็ลอยได้ ทีนี้เราค่อยขยับพื้นที่ออกไปอย่าไกลนัก เอาสักกิโลหนึ่งเผื่อหล่นตุ้บตั้บไปเรายังได้เดินกลับทัน ไม่งั้นถ้าไปไกล ๆ เดี๋ยวเดินอานเลย
ถาม : ตอนประมาณตี ๓ มีเสียงผู้ชายมาที่หูข้างซ้ายมาปลุกให้ไปจดคาถา ให้มา ๓ คำ เราก็ไม่สนใจ ท่านก็ดุแล้วก็ดีดหูเรา บอกให้ลุกขึ้นมา บอกให้ไปจดเดี๋ยวนี้เลย ?
ตอบ : มันน่าเขกกะบาลด้วย เรื่องของพระหรือเทวดาที่ให้มา ถ้าท่านสั่งห้ามมันจะมีผลเฉพาะตน ถ้าเราทำตามนั้นมันจะมีผลเร็วมาก แล้วต้องรีบจดด้วยเพราะว่าถ้าทิ้งไว้ให้สว่างเมื่อไหร่ มันจะลืมหมด ลืมชนิดที่ว่าไม่เคยนึกได้เลย อาตมาเคยเจอมากับตัวเอง หลวงพ่อท่านถึงได้เตือนไว้ว่า นักปฏิบัติที่ดี กระดาษกับปากกาจะต้องอยู่ใกล้มือเสมอ ถึงเวลาพระหรือเทวดาท่านบอกเรื่องสำคัญอะไรให้รีบจดไว้
ถาม : จดในที่มืด ๆ หลับหูหลับตาอย่างนั้นหรือคะ ?
ตอบ : นั่นล่ะ เขี่ยให้มันมีเลา ๆ อาตมาก็ทำอย่างนั้นแหละ พลิกตัวได้พลิกเอากระดาษมาเขี่ย ๆ ไว้ก่อน
ถาม : มันง่วงมากเลยค่ะ ก็เลยเขี่ย ๆ ?
ตอบ : นั่นแหละ พอตอนเช้าจะได้มีเค้าเอาไว้ดูว่าอะไรเป็นอะไร
ถาม : ทีนี้ตรงที่ว่าคาถานี่เราจะใช้ยังไง ?
ตอบ : ก็ไม่ถามท่านล่ะ ?
ถาม : ท่านไม่ได้บอก ?
ตอบ : จุดธูปบอกท่านด้วยบอกว่ามาบอกทั้งทีว่าใช้ยังไงมาบอกด้วย บอกใหม่อีกที ลืมถามไปว่างั้น
ถาม : จุดกี่ดอกคะ ?
ตอบ : เอาซักกำใหญ่ ๆ ก็ได้ หมดเยอะดี กลับไปจุดธูปบอกท่านใหม่ นึกถึงท่านเจ้าของเสียงที่ให้คาถาว่าคาถาที่ท่านเมตตาให้นั้น ตอนนี้นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะใช้อย่างไร ? ช่วยมาบอกใหม่อีกที มาบอกอีตอนสติดี ๆ หน่อยอย่ามาตอนง่วงนอนมาก ๆ เดี๋ยวลืม
ถาม : แล้วถ้าเราอยากรู้ล่ะคะว่าท่านเป็นใคร ?
ตอบ : ก็ถามได้เลย แหม ! มาขนาดดีดหูเราเล่นแล้วน่าจะถามก็ไม่ถาม แล้วมาถามอาตมา ไม่ได้มาหาอาตมานี่หว่า
ถาม : พอดีแล้วเราตกใจ มองหาไม่มีคน เลยเปิดไฟในห้อง ?
ตอบ : ถ้าเป็นหลวงพ่อถ้าดื้อกับท่าน ไม้เท้าลงหัวนี่ดาวกระจายว่อนเลย โยมอาจจะเห็นว่าหัวอาตมาเป็นสัน ๆ อยู่หน่อยนึง โดนประจำโดนตีซะจนหัวแหลม
ถาม : อย่างเวลาเรานั่งสมาธิแล้วเราต้องอัญเชิญท่าน เราจะอัญเชิญท่านอย่างไรคะ ?
ตอบ : เปิดเทปหลวงพ่อ เทปบวงสรวงให้ตั้งใจว่าสิ่งที่เราทำนี่เป็นความดีทั้งหมด ขอให้เทวดา พรหม ตลอดพระบนนิพพานก็ดีหรือเหล่าสัมภเวสี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานใด ๆ ก็ดี ถ้าท่านมาโมทนากุศลนี้ได้ก็ขอให้มาโมทนา ถ้าหากว่ามีสิ่งใดที่จะไม่ดีเข้ามาในระยะนั้น ก็ขอให้ขัดขวางป้องกันให้ด้วย อธิษฐานตอนที่หลวงพ่อท่านขึ้น ปุริมันจะทิสังราชา
ถาม : ตอนที่นั่งระยะหลังนี่นอกจากแสงแล้วนะคะ เป็นบางครั้งมันเหมือนกับกระสือจะถอดร่างอย่างนั้นน่ะ เหมือนกับมีอะไรอยู่บริเวณนี้มันจะหลุดอย่างนี้น่ะค่ะ ตรงบริเวณนี้ ?
ตอบ : อาการนี้จะเป็นปีติของอาการตัวที่ ๕ เรียกผรณาปีติ บางทีรู้สึกตัวพองตัวใหญ่ บางทีรู้สึกเหมือนอะไรในตัวจะลอยออกไป บางทีเหมือนกับมีแต่หน้าตัวเอง บางทีรู้สึกว่ามันระเบิดตูมตาม กลายเป็นผงไปเลยเหล่านี้เป็นต้น
อันนั้นเป็นอาการของปีติ แต่ไม่ต้องไปสนใจ การภาวนาเขาไม่ให้ใส่ใจกับร่างกายอยู่แล้ว เขาแกล้งให้เราไปสนใจกับร่างกายแล้วเราไปสนใจผลการ ภาวนาก็เสีย ไม่ต้องกลัวถ้าเราหลุดออกไปก็เราจะกินอะไร เราก็ลอยไปเลย (หัวเราะ)
ถาม : ขอบพระคุณมากค่ะ ?
ตอบ : แหม ! อยู่ ๆ ไปได้ไม่ต้องเอาตัวไปสบายออกนะ เอามั้ยมีแต่หัวลอยออกไป อีตอนนั้นสวยแค่ไหนก็วิ่งตับแลบเลย แต่อย่าเผลอไปผ่านร้านตือฮวนนะรับรองได้มันจับสับลงหม้อแน่เลย ด้วยความเคยชินเห็นไส้เมื่อไหร่จับสับลงหม้อไว้ก่อน (หัวเราะ) ทำอารมณ์ใจ สบาย ๆ ทำเหมือนกับไม่มีอะไร อาการอย่างนี้มันเป็น ๒ อย่าง ๆ หนึ่งเป็นสังขารุเบกขาญาณ อีกอย่างหนึ่งเป็นอรูปฌาน ทำตัวสบาย ๆ ลักษณะอย่างนี้อะไรเกิดขึ้นมันก็ไม่รับ ในเมื่อเราไม่รับ คนถ้าหากว่าทำอะไรเรามันกลับไปหาเขาเอง ลำบากเขาเอง
ถาม : .............................
ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะของภาพพระถ้าเราทำในลักษณะของพุทธานุสสติภาพพระอะไรเกิดขึ้นเอาทั้งนั้น ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตของพุทธานุสสติอยู่ แต่ถ้าหากว่าสมมติว่าเราจับกสิณดินแล้วภาพพระปรากฎขึ้นก็ต้องเพิกภาพพระไปซะก่อน เอาแต่กสิณดินเท่านั้นอย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะที่ว่าเราเคารพองค์นี้ แต่ว่าอีกองค์หนึ่งมาจับได้ง่ายเหลือเกิน ก็เอาที่ง่ายไว้ก่อน พอที่ง่ายทรงตัวแล้ว เราย้อนไปที่องค์ที่เราเคารพมันก็ง่ายไปด้วย
ถาม : แล้วเวลาฝึกนี่จะรู้สึกปวด ๆ รู้สึกหนัก ๆ ตาหนักหัวไปหมดเลย แล้วรู้สึกเครียดค่ะ ?
ตอบ : อันนั้นอาจเป็นเพราะว่าเราเผลอไปใช้สายตาแทน พอไม่ชัดเราไปเอาตาเพ่งเข้า เพ่งมาก ๆ มันก็เครียด ปวดหัวบ้าง ตึงขมับบ้าง ต่อไปอย่าใช้ตา มโนมยิทธิไม่เกี่ยวกับตาเลย เป็นความรู้สึกทางใจล้วน ๆ เรานึกถึงบ้านตอนนี้ภาพบ้านปรากฏชัดเจนตาเห็นหรือเปล่า ? ไม่ได้เห็นหรอก ถามว่าอะไรเห็น ? ใจเห็น ถามว่าทำไมถึงชัดเจน ? คุณเคยอยู่ที่นั่นมาคุณจำได้ แต่ถ้าหากว่าเรื่องของสวรรค์ พรหม นิพพานเราไม่เคยชิน ทำความรู้สึกในลักษณะนั้นปุ๊บ ความรู้สึกบอกว่าอย่างไรครูฝึกถามให้อธิบายไปตามนั้น
ถ้าเราเชื่อความรู้สึกแรกจะแม่น แต่ถ้าเอ๊ะ ! ควรจะเป็นอย่างนั้นมั้ง ? เอ๊ะ ! ควรจะเป็นอย่างนี้มั้ง ? ก็เตรียมเจ๊งได้เลย อุปาทานจะกินเอา โดยเฉพาะบรรดาท่านที่เมื่อถึงเวลาเสร็จแล้วก็ไปยึดเอาของเก่า ที่เขาเล่าให้ฟังว่าพระอินทร์ต้องเป็นอย่างนั้น เทวดาต้องเป็นอย่างนี้ นางฟ้าไม่มีเสื้อใส่อะไรอย่างนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็โดนท่านหลอก
อาตมาเองขึ้นไปบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ครั้งแรกไม่ได้เห็นพระอินทร์หรอก เห็นแต่ลุงกำนันแก่ ๆ นุ่งกางเกงสามส่วนผ้าขาวม้าพาดไหล่ สูบบุหรี่มวนเบ้อเริ่ม กราบ ๆ เสร็จก็ เอ๊ะ! นี่น่ะเหรอพระอินทร์ ? ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรง ถามว่าเอ็งจะดูแบบไหนล่ะ ไม่ถึงวินาที ท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ ในที่สุดแบบสุดท้ายก็เป็นแบบเขียว ๆ ที่เราต้องการ เพราะฉะนั้นเราต้องเชื่อความรู้สึกแรกไม่อย่างนั้นโดนหลอกแน่เลย
ถาม : รู้สึกว่าไม่อยากคุยกับใคร เพราะรู้สึกว่าเรารักษาศีล ๕ ได้ไม่ครบทุกวันเลย มันก็เลยไม่อยากพูดกับใคร ?
ตอบ : ตอนฝึกตรงนั้นศีลมันไม่ขาด เรานั่งอยู่ตรงนั้นจะไปฆ่าใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปขโมยใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปแย่งคนรักของใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปโกหกใคร นั่งอยู่ตรงนั้นจะไปกินเหล้าได้อย่างไร
ตอนช่วงนั้นเวลานั้นเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราก็คือ โลกียอภิญญา ถ้าเรารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น มันก็ได้ตอนนั้น มันก็ได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องเมื่อไหร่มันก็เสื่อม มันก็คลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้อีกเมื่อนั้น
เรื่องของอภิญญาโลกีย์ มันก็เป็นอย่างนี้ ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปนิพพานได้ เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่หรอก
เพราะฉะนั้น ทำเอาไว้เถอะ เพราะถ้าหากว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด รู้สึกว่าจะโกรธใครวิ่งเข้าไปกราบพระบนนิพพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพพาน ถ้าหากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตไปปรุงแต่ง มันเจริญงอกงามไม่ได้ มันจะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อย ๆ จะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้ามันเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอน จุดสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงจุดหนี้ อย่าไปใช้ผิดจุด
ส่วนใหญ่เที่ยวดูอดีต ระลึกชาติเสร็จแล้ว ก็ไปฟื้นความหลัง เขาให้ดูแล้วใช้ปัญญาว่าเข็ดหรือยัง แต่ละชาติที่เกิดมามันทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก ปัจจุบันที่ทุกข์อยู่ในเมื่อถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราก็เกาะนิพพานเอาไว้อย่างเดียว หมดกิเลสเอาเฉย ๆ ของที่หลวงพ่อสอนให้นั่นราคามหาศาล เอาไปใช่แค่บาทหนึ่ง สลึงหนึ่งยังไม่พอ ยังเอาไปใช้ผิดอีกต่างหาก จำไว้ว่าอย่างทิ้ง ขอยืนยันว่าตั้งแต่ทำมาไม่มีกรรมฐานที่ไหนหรือของใคร สอนได้ง่ายกว่านี้อีกแล้ว
อาตมาตั้งแต่เด็กมาช่างค้นคว้า ครูบาอาจารย์สายไหนก็ตาม บอกว่าดีลุยไป ไปขลุกอยูกับครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นตั้งหลายปีนะ หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่เทสก์ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ประเภทเรียกใช้สอยมาทั้งนั้น เพราะว่าของเราเป็นเด็ก ๆ มันวิ่งคล่อง
ตอนนั้นที่วัดธรรมมงคล ซอยปุณวิถี สุขุมวิท ๑๐๑ หลวงพ่อวิริยังค์ ท่านจะสร้างพระเจดีย์ใช่มั้ย ? ที่บ้านเป็นกรรมการร่วมสร้างกับท่านทุกคน พอถึงเวลาเดือนมกราทุกปีก็จะมีการชุมนุมครูบาอาจารย์ สายหลวงปู่มั่นของเราก็จะไปวิ่งรับใช้ท่านอยู่ เพราะว่าเป็นเด็ก ๆ วิ่งคล่องตัว ท่านก็บอกว่าอยากได้ความดีก็ทำเอานะ ภาวนาเอานะ แต่ท่านไม่ได้บอกว่าทำอย่างไร ภาวนาอย่างไร ไม่เหมือนหลวงพ่อของเรา บอกรายละเอียดเอาไว้ครบหมด แล้วอันโน้นนี่ทำกันประเภท ต้องทุ่มเททั้งชีวิตจริง ๆ แลกกันไปเลย ตายเป็นตายขอให้ได้ธรรมะก็แล้วกัน อาจจะอดข้าวทีหนึ่ง ๗ วัน ๑๕ วัน หรือไม่ก็ฉันวันละคำ สองคำ แล้วก็เดินจงกรม ภาวนามันทั้งวันตั้งแต่วันยันค่ำคืนยันรุ่ง นั่งมันตั้งแต่หัวค่ำยันสว่างอย่างนี้ ของเรากำลังใจของเรามันสู้ท่านไม่ได้ แต่ว่าก็มั่นใจว่า ถ้าทุกคนทำถึงแล้ว สภาพจิตของมันจะเข้าถึงธรรมเหมือนกันหมด
อย่างหลวงปู่บัว ใคร ๆ ก็ว่าท่านดุ ใคร ๆ ก็ว่าท่านเด็ดขาด เคยขอหวยท่านมาแล้ว ท่านให้แล้วก็ออกตามนั้นด้วย คือท่านรู้ว่าไอ้เด็กตัวกระเปี๊ยกนี่มันข้องใจว่า พระที่ปฏิบัติตามสายบริสุทธิ์คือ วิสุทธิมรรคแบบนั้น ถึงเวลาแล้วจะมีฤทิธิ์ มีเดช มีตาทิพย์ หูทิพย์อะไรมั้ย ? ก็ปรากฏว่าก็มีจริงตามนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ เป็นคนไม่ชอบเล่นการพนัน ท่านก็เลยให้ สมัยนี้ลองไปขอท่าน ดูซิหัวจะแตกมั้ย ? ท่านรู้ว่าเราขอเพื่อต้องการพิสูจน์ ท่านก็ให้พิสูจน์ของจริงเขาไม่กลัวการพิสูจน์ แต่ขณะเดียวกันว่าคนที่ขอแล้วเอาไปเล่นเผลอเมื่อไหร่บอกคนอื่น พวกนั้นไม่ได้รับประทานหรอก
ถาม : .....................................
ตอบ : โห...ไม่ต้องห่วง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคลที่ได้ฌาน ๔ เป็นแสนคนจะทรงทิพจักขุญาณสักคนก็แสนยาก บุคคลที่ได้ทิพจักขุญาณเป็นแสนคนจะทรงอภิญญาสักคนก็แสนยาก ไม่ใช่พ้น...มโนมยิทธิเป็นการฟื้นของเก่าล้วน ๆ ถ้าไม่มีพื้นฐานเก่าในชาติก่อน ในด้านทิพจักขุญาณไม่ได้รับประทาน
ถาม : ในขณะที่บางทีเวลานอนนี่ถ้า ๑. นอนเต็มอิ่มแล้วตื่นขึ้นมาตอนกลางวัน ๒. ไม่ได้เป็นการหลับเพื่อหลับตอนกลางวัน ๓. ไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ถ้ากรณีอย่างนี้คือว่า พอหลับปุ๊บมันก็จะตื่นขึ้นมาคล้าย ๆ กับว่าตัวมันจะแยกออกมันจะมีความรู้สึกว่าคล้าย ๆ ตัวจะแยกออก ตัวมันจะเจ็บเหมือนกับมันจะแตกออก พอตัวมันจะแตกออก ทำไมบางทีถ้ากำหนดเข้าไปมากๆมันยิ่งเจ็บ เหมือนกับว่าเราก็พุทโธ เพื่อให้จิตมันแยกจากความเจ็บมันก็ยิ่งเจ็บ ?
ตอบ : ลักษณะอย่างนี้ มันเป็นการทดสอบเราว่า เราแน่จริงหรือเปล่า? อาจารย์ตัวที่สำคัญที่สุดของนักปฏิบัติมี ๓ ตัวคือ ๑. สติ ๒. ปัญญา ๓. ความทุกข์ อาจารย์ ๓ องค์นี่สำคัญที่สุดจะสอนเราอยู่ตลอดเวลาถึงเวลาท่านก็จะทดสอบเรา พอเจ็บปุ๊บก็ไปโอดครวญอยู่กับมัน อันนั้นผิดแล้ว เขาให้รับรู้อยู่เฉยๆ แล้วพิจารณาแยกแยะออกให้ได้ว่า
อาการเวทนาจากความเจ็บปวดนี้เป็นของเราหรือเป็นของร่างกาย ถ้ามันเป็นของร่างกายก็เรื่องของมันเถอะ เราไม่ใส่ใจกับมัน เราก็อยู่กับการภาวนา ถ้าสามารถแยกแยะออกลักษณะนี้ จิตจะรวมตัวเร็วมาก ให้ก้าวข้ามขั้นนั้นไปเลย แต่ถ้าหากว่าเราไปภาวนาเพื่อระงับกายสังขารลักษณะเหมือนกับยิ่งไปสู้มัน มันยิ่งเอาหนัก บางคนนี่เหงื่อไหลพลั่ก ๆ ออกมา คือเจ็บชนิดที่เรียกว่า ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปก็ไม่สามารถจะทนได้ แต่ว่าเนื่องจากว่าเราตั้งใจอยู่แล้ว ว่าสิ่งที่เราทำอยู่นี่เป็นสิ่งที่ดีเรามั่นใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าจะตายตอนนี้เราก็ขอไปอยู่กับท่าน ให้มันตาย ๆ ไป ถ้าเราตั้งกำลังใจอย่างนี้ได้มันก็จะทดสอบ เราอย่างชนิดว่าถึงใจเหมือนกัน พอถึงเวลาก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปแล้วจะไม่เป็นอีก
ถาม : ข้อที่ ๒ นี่พอนอนบางทีตัวเหมือนจะแตกแล้วบางทีพอขยับมือแล้วมันก็ขึ้นมาครึ่งตัว...(ไม่ชัด)...บางทีมันจะงง...(ไม่ชัด)...ไม่รู้ว่าอยู่ที่สภาพอากาศหรือเปล่า...(ไม่ชัด)...และบางทีมันจะเงียบ แล้วพอเดินก้าวออกมาก้าวหนึ่งปุ๊บมันเหมือนกับมีกระแสมาที่ตัว แล้วตัวมันเหมือนจะลอยเราต้องเกาะข้างฝากไว้ แล้วกระแสนี่คืออะไร?
ตอบ : จริง ๆ ลักษณะนั้นเหมือนกับมโนมยิทธิเต็มกำลัง มันสามารถที่จะแยกจิตกับกายออกเป็นคนละส่วนได้แล้ว แต่บังเอิญว่าถ้านับแล้วลึก ๆ ใจของเรายังกลัวอยู่ ในเมื่อลึก ๆ แล้วกำลังใจ ของเรายังกลัวอยู่เราจะต้องตัดตัวความกลัวนี้ให้ได้ โดยเฉพาะก่อนที่จะนอนให้พิจารณาวิปัสสนาญาณให้ชัดเจนก่อน อันนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรายังไง? แยกเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟออกเป็นส่วน ๆ แล้วประกอบมันเข้าไปใหม่ ประกอบเข้าไปแล้วก็แยกมันใหม่ เอาจนกระทั่งยืนยันกับตัวเองอย่างแน่แฟ้นเลย ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเรา จิตจะได้ไม่ต้องห่วง ถึงเวลามันจะออกไปได้อย่างชัดเจน แจ่มใส ส่วนที่ว่ามีกระแสอะไรบางอย่างดึงเราไป นั่นเป็นความตั้งใจเดิมของเรา เราตั้งใจไว้ว่าเราจะไปไหนถึงเวลามันจะไปที่นั่น แล้วส่วนใหญ่ ก็จะกลัว ถ้าเป็นไปตามที่หลวงพ่อท่านทำ ท่านให้อาราธนา พระพุทธเจ้า นึกถึงว่าจะไปไหนก็ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้ไปที่นั่น
|