ถาม : เราจะทราบได้ยังไงว่าเราต้องฝึกกรรมฐานแบบไหนถึงจะตรงกับเรามากที่สุด ?
ตอบ : เอาคู่มือปฏิบัติกรรมฐานบูชาหน้าหิ้งพระเลย จุดธูปอธิษฐานชอบอันไหนเอาอันนั้น ถ้าชอบเยอะก็เอาอันที่ชอบที่สุด เพราะอันที่ชอบที่สุดก็คือ เราเคยทำมามากที่สุดแล้วก็เริ่มลุยเลย
ถาม : ตอนนี้ที่ทำอยู่ก็คือวาโยกสิณ ?
ตอบ : วาโยกสิณ ก็ง่ายดีจับลมหายใจเข้าออกตัวเอง เพียงแต่นึกภาพให้เห็นเท่านั้น
ถาม : แล้วภาพนี่ต้องเป็นภาพเดียวกันตลอดมั้ยคะ ?
ตอบ : ไม่จำเป็น เพราะว่าขึ้นอยู่กับกำลังใจของเรา บางทีมันก็ชัดเจน บางทีมันก็ไม่ชัด บางทีก็มัว บางทีก็ใส ตอนไหนกำลังใจกิเลสเกาะเยอะ มัว ๆ ก็ช่างมัน เรามีหน้าที่ประคับประคองไว้ มันจะมั่วก็เอาทั้งมั่ว ๆ นั่นแหละ พอกำลังใจทรงตัวมันก็ดีขึ้นเอง
เรื่องของกสิณเรื่องเป็นเรื่องของคนที่ฝึกแรกเริ่ม มโนมยิทธิข้ามมาถึงตรงจุดนี้ใช้ผลของกสิณแล้ว กสิณทั้งหมดมันก็กลายเป็นของเด็กเล่นไปคือ เรารู้จักนิพพานแล้วมันก็ผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว ไม่ต้องไปเล่นของเด็ก ๆ เกาะนิพพานเอาไว้ดีกว่า
ถาม : จะไปฝึกเขาบอกว่าไม่ต้องฝึก ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอก อาตมาก็ยืนยันว่าไม่ต้อง ถ้าหากว่าเราทำกำลังใจของเราในด้านมโนมยิทธิไปเรื่อย เกาะพระไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวพอเวลากำลังใจมันทรงตัวของเก่ามันมาทั้งหมดเอง ตอนนี้ที่เราไม่สามารถจะใช้อภิญญาเต็มที่ได้ทั้ง ๆ ที่อดีตเราเคยทำมาแล้วเพราะว่า เรายังไม่ยอมรับกฎของกรรมอย่างจริงจัง อภิญญานี่ถ้าเต็มสภาพเต็มกำลังของมันนี่มันฝืนกฎของกรรมได้ เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาคิดให้เขาหายเขาก็หาย เห็นคนเป็นง่อยมา แขนขาดขาขาด คิดให้เขามีแขนมีขาให้มันหายง่อยมันหายเดี๋ยวนั้นเลย เพราะเป็นการอธิษฐานอำนาจของกสิณโดยเฉพาะธาตุ ๔
คราวนี้พวกเราถ้าไม่ยอมรับกฎของกรรม เห็นปั๊บสงสารช่วยเขา จะทำเอากฎของกรรมอลเวงไปหมด เพราะว่าเราลืมดูไปว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพราะอดีตทำอะไรมา เขาก็มีกรรมที่จำเป็นที่เขาจะต้องรับ ดังนั้นว่า ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับกฎของกรรมอย่างจริงจังนี่ โอกาสจะใช้อำนาจอภิญญาได้เต็มที่อย่างอภิญญาใหญ่นั้นอย่าหวังเลย โดนล๊อคหมด จะได้โล่งใจซะที ไม่งั้นมัวจะคิดอยู่นั่นล่ะ เอ๊ะ...ทำได้ขนาดนี้อภิญญาไม่เกิดซะที เกิดเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้นล่ะ โดยเฉพาะพวกเรา พวกเรามันเชื้อสายพุทธภูมิเก่า พุทธภูมิคือผู้ที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า คนที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ คนอื่นลำบากแค่ไหนตัวเองก็ยอมช่วยเขา ช่วยเขาโดยไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง
ในเมื่อทำในลักษณะนั้นมันจะเผลอไปฝืนกฎของกรรม ลองดูซิพอได้แล้วลองไปช่วยใครเข้าซักยกหนึ่งซิเดี๋ยวมันก็เสื่อม นี่ไม่ใช่กำลังใจเราเสียเอง บางทีท่านตัดผลมันไปดื้อ ๆ ต่อให้จับภาพกสิณได้ชัดเจนแจ่มใสโตเต็มฟ้าเลย ขยายให้ใหญ่ก็ได้ ให้เล็กก็ได้ ให้มาเมื่อไหร่ก็ได้ ให้หายไปเมื่อไหร่ก็ได้ ใช้อะไรไม่ได้หรอก ถ้าหากไปฝืนกฎของกรรม
ถาม : หมายความว่าต้องมีกำลังใจมั่นคงใช่มั้ยคะ ?
ตอบ : ถ้ากำลังใจไม่มั่นคงนี่ไม่ได้รับประทานหรอก ถ้ายิ่งปฏิสัมภิทาญาณ นี่ยิ่งหนักเลย เพราะว่าอำนาจของปฏิสัมภิทาญาณนี่ สามารถคุมได้ทั้งสุกขวิปัสสโก คือผู้ที่ปฏิบัติเรียบ ๆ แล้วบรรลุมรรคผลไป เตวิชโช คืิอผู้ที่ปฏิบัติแล้วมีความสามารถพิเศษ ๓ อย่าง ฉฬภิญโญ คือผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้อภิญญา ๖ ปฏิสัมภิทาญาณจะคลุมได้หมด ความสามารถเหมือนเขาหมด เก่งกว่าเขาด้วย แล้วมีความสามารถเหนือขึ้นไปอีก ๔ อย่างคือ ธัมมาปฏิปทาสัมภิทา คือรู้เหตุทุกอย่าง อัตถปฏิสัมภิทา รู้ผลทุกอย่าง แล้วก็ ปฏิภาณปฏิสัมภิทามีปฏิภาณว่องไวมากไม่ว่าใครเขาจะไล่ต้อนจะถามท่าไหนไม่เคยจนแต้ม นิรุกติปฏิสัมภิทา รู้ทุกภาษาทั้งในโลกนี้และโลกอื่น
เพราะฉะนั้นว่ายิ่งมาก็ยิ่งใช้ยากขึ้น ๆ น่ะ แต่ถ้าเรารู้จักควบคุมกำลังใจของเราให้ยอมรับกฎของกรรมมันก็จะใช้ได้บ้างไม่มาก สมัยที่อยู่วัดท่าซุง ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าโดยเฉพาะพระอรหันต์วัดท่าซุงนี่ตั้งแต่ตั้งวัดมาสมัยหลวงปู่ใหญ่จนกระทั่งถึงปัจจุบัน สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้ ยังไม่นับหลวงพ่อของเรามีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมา ๗๒ องค์ด้วยกัน ระยะเวลา ๒๐๐ กว่าปีมีพระอรหันต์ต่อเนื่องกันมา ๗๒ องค์ไม่เคยขาดเลย
ในเมื่อเป็นในลักษณะดังนี้เวลาพระปฏิบัติก็จะมีท่านทั้งหลายเหล่านี้มาช่วย อย่างของอาตมานี่ หลวงปู่ขนมจีน ท่านคุมแจเลย เพราะว่าโดนท่านเฉ่งก่อนถือว่าเป็นลูกคนโต ท่านเลยตามเฆี่ยนตามตีตลอด เมื่อฝึกมโนมยิทธิก็ดี ฝึกกรรมฐานอื่น ๆ ก็ดี เสร็จแล้วเราจะไปคุยผลกัน
มีอยู่วันหนึ่งข้องใจกันว่า ในขอบเขตของความเป็นพระ เราจะใช้อภิญญาได้เท่าไหร่ ปรากฏว่าเมื่อถึงตอนกลางคืนก็มีหลวงปู่องค์หนึ่ง มรณภาพตอนอายุ ๙๐ กว่า ท่านมาปรากฎตัวให้ บอกว่าลูกอยากรู้เรื่องนี้เหรอ พระก็กราบ เรียนท่านว่าใช่ครับ ท่านก็บอกว่าลูกคอยดูนะ แล้วท่านก็เดินข้ามถนนให้ดู คนแก่อายุ ๙๐ กว่าตัวก็สั่น หลังก็โกงถือไม้เท้าก๊อก ๆ เดินข้ามถนนสะดุดขาตัวเองล้ม ปากแตกข้ามไปฝั่งโน้นหันกลับมาให้ดู นี่แหละลูก เราเป็นพระเราต้องยอมรับกฎของกรรม
แต่ถ้าเรื่องมันจำเป็น พ่อจะทำอย่างนี้ ท่านพูดจบนี่มายืนจมูกชนกับเราเลย มาตอนไหนไม่รู้นั่นแหละ เสร็จแล้วท่านก็ทำภาพให้ดูว่า มีบ้านที่เขาจัดงานนิมนต์พระไปฉันเช้าฉันเพลก็นิมนต์หลวงปู่ด้วย มันสายแล้วหลวงปู่อายุมากแล้วต้องพักมากหน่อย ก็สายไปนิดหนึ่งยังไม่ถึงเวลาของเขาหรอก แต่มันก็สายแล้่วล่ะ ญาติโยมเขาก็เริ่มบ่นกัน หลวงปู่เป็นอะไรไปหรือเปล่าหนอ อายุปานนั้นแล้ว เป็นลมเป็นแล้งไปหรือเปล่า ? ป่านนี้ยังไม่มาซักที ท่านคว้าไม้เท้้าเดินก๊อก ๆ ๆ ก๊อกที่ ๓ โผล่อยู่ตีนบันได ดูไม่ทันด้วยว่าไปตอนไหน คนคิดว่าท่านมาแล้ว ก็ยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ก็ล้างเท้าให้คนนั้นก็ประคองขึ้นไปข้างบน เป็นไงหลวงปู่ ทำไมถึงมาช้านักล่ะครับ ท่านก็บอกเออ...คนแก่มันก็เดินช้าหน่อยล่ะูลูก นั่นน่ะเดินช้านะ ไม่ถึง ๓ วินาทีเดินถึงน่ะ แล้วท่านก็บอกนี่แหละลูก ถ้าหากว่าเพื่อกำลังใจของคนหมู่มาก โดยเฉพาะในลักษณะของบุญกุศล ถ้ากำลังใจเขาขุ่นมัว เพราะมีวิตกมีกังวลอะไร ทำให้กระแสบุญเขาลดลง เราก็ใช้ได้ แต่ถ้าหากว่าโดยทั่ว ๆ ไป เจ้าต้องยอมรับกฎของกรรม
อะไรก็ตามที่สภาพร่างกายมันสามารถใช้ได้ตามปกติ ก็ตะเกียกตะกายเหนื่อยยากไป เพราะว่าถ้าเราไม่ยอมรับกฎของกรรมจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ก็เลยสรุปว่า อภิญญาถ้าพระได้หรือไม่ได้ก็เหมือนกัน เขาไม่ให้ใช้
พระพุทธเจ้าปรับเอาไว้ชัดเลย ผู้ใดใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาท่านปรับเป็นโทษแล้วไม่ได้บอกว่าด้วยปรับขั้นไหน ของพระนี่ปรับโทษ ๗ ชั้นด้วยกัน ชั้นแรกเรียกว่า ปาราชิก ปรับขาดจากพระไปเลย ถือว่าเหมือนกับโทษประหารของทางโลก ชั้นที่ ๒ นี่เรียกสังฆาทิเสส อันนี้ขาดความเป็นพระชั่วคราวจนกว่าจะยอมไปอยู่จำกัดเขต จำกัดบริเวณประพฤติมานัดตามแบบแล้วออกมาให้สงฆ์ ๒๐ รูปขึ้นไปสวดคืนความเป็นพระให้ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้ง หลังจากนั้นมาก็มีถุลลัจจัย มีปาจิตตีย์ มีปาฏิเทสนียะ มีทุกกฎ มีทุกภาษิต รวมแล้ว ๗ อย่างโทษมันก็ ลดหลั่นกันลงไป
แต่เรื่องการปรับผู้ใช้อภิญญาพระพุทธเจ้าท่านละเอาไว้เฉย ๆ ไม่บอกว่าปรับระดับไหน เพียงแต่บอกว่าถ้าใครใช้ปรับโทษบรรลัยเลย ก็รออยู่อย่างเดียว พอบวชใหม่ ๆ หลวงพ่อท่านก็ให้ ภาวนา สัมปจิตฉามิ บอกว่าสร้างกำลังใจให้มันคุ้นเคยกับสภาพของอภิญญาไว้ นานไปข้างหน้าในแวดวงของพระภิกษุสงฆ์จะมีเดียรถีย์เกิดขึ้นมาก พวกคนเหล่านี้จาบจ้วงพระพุทธศาสนา ถึงกับกล่าวว่า อภิญญาสมาบัติเป็นของปลอม เป็นของหลอกลวงกัน ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นแล้วพวกแกต้องไปแสดงให้เขาดู
ก็กราบเรียนหลวงพ่อว่า แล้วจะไปแสดงให้เขาดูได้เหรอครับ ? หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าพระท่านสั่งก็ทำได้นะ เจ้าของกฎหมายสั่งเองใช่มั้ย ? ถ้าเจ้าของกฎหมายสั่งเองก็ทำได้
ถาม : ถ้าพูดให้จับใจคนเยอะ ๆ นี่ต้องใช้คาถาแบบไหน ?
ตอบ : ใช้ จิตตะ มหาจิตตัง ปิยัง มะมะ คาถานี้มันจะดึงความสนใจของเขามาที่เราทั้งหมด ภาวนาให้กำลังใจทรงตัวซักครึ่งชั่วโมงก่อนจะไป เสร็จแล้วก่อนขึ้นพูดก็ว่า สหัสสเนตโตฯไปเลย รับรองได้ว่าลื่น อันนี้สำหรับพระนักเทศน์เขาใช้กัน บางทีคนฟังมันมัวแต่จะคุยกันแล้วใช้คาถาบทนี้แล้วนั่งฟังกันเงียบเลย แล้วถ้าอยากสนุกพูดอะไรแล้วให้คนฮาตลอดนี่ อันนี้หลวงพ่อบอกว่า ให้ใช้ อิติปิโสถอยหลังทั้งบท แล้วเวลาว่าให้เอามือขวาลูบหน้าแข้งข้างซ้าย เวลาเราพูดอะไรมันจะกลายเป็นเรื่องสนุกทั้งหมด อาตมาไม่เคยใช้หรอก เพราะตัวเองตะแบงข้างเก่งอยู่แล้ว ขืนไปใช้ เดี๋ยวชาวบ้านขากรรไกรค้างกันพอดี อิติปิโสถอยหลังนี่จัดเป็นชุด ๆ มันจะได้ท่องง่ายว่า ติวาคะภะ โธพุทนังสานุสมะวะเทถาสัตถิระ สามะทัมสะ ริปุโรตะนุอะทูวิกะโลโตคะ สุโนปันสัมณะระจะชา วิโธพุทสัมมาสัมหังระอะวาคะกะโสปิติอิ จัดเป็นชุด ๆ อย่างนี้มันจะ่ท่องง่าย ถ้าไม่จัดเป็นชุดมันจะ่ท่องยาก ท่องแบบนี้แล้วพูดอะไรคนจะฮาได้ตลอด รับรองว่าอาจารย์จตุพลก็สู้ไม่ได้หรอก
สมัยก่อนนี่นักเทศน์จะมีการหักกันจะใช้คาถาข่มกัน ใช้กำลังใจข่มกัน ส่วนใหญ่พวกคาถา จะเป็นพวกตวาดป่าหิมพานต์ หรือหัวใจราชสีห์อะรไอย่างนี้ เวลาหลวงพ่อท่านจะเทศน์ ท่านก็จะเจอพวกคู่แข่งจะข่มกันด้วยคาถา หักกันด้วยคาถา ปรากฏว่าวันนั้นท่านเทศน์คู่กับคุณมหาคนหนึ่งปรากฏว่าคุณมหาเหงื่อแตกพลั่กเลย ตอบอะไรก็ไม่ค่อยได้ ผิด ๆ ถูก ๆ ชนิดที่เรียกว่า ถ้าหากตัดสินผลแพ้ชนะก็คือแพ้ราบไปเลย
พอเทศน์เสร็จคุณมหา มากราบหลวงพ่อว่า ท่านมหาครับ คือหลวงพ่อก็เป็นมหาเหมือนกันว่า ท่านมหาครับผมได้คาถาหัวใจราชสีห์มา เวลาผมเทศน์คู่กับใครผมจะว่าคาถานี้ก่อน แล้วทุกคนจะตกประหม่าเทศน์คู่กับผมก็ผิด ๆ ถูก ๆ ไม่สามารถทำอะไรได้แต่กับคุณมหา ผมกับใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะว่าผมเองผมกับมีอาการอย่างนั้นซะเอง คุณมหามีคาถาอะไรดีครับ ? หลวงพ่อบอกของผมก็หัวใจราชสีห์ครับ ท่านมหาองค์นั้นท่านก็ถามบอกว่า แล้วท่านมหาใช้อย่างไรล่ะครับ ? ผมว่าตอนขึ้นธรรมาสน์ตามครูบาอาจารย์สั่ง หลวงพ่อท่านบอกว่าครูบาอาจารย์ผมก็สั่งให้ว่าตอนขึ้นธรรมาสน์ แต่ว่าผมเล่นมาซะตั้งแต่ตอนอยู่ในห้องแล้ว เอาก่อนได้เปรียบ เพราะฉะนั้นว่าก่อนได้เปรียบ กำลังใจอีกฝ่ายโดนควบคุมไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ว่าถ้าเป็นทางใต้นี่น่ากลัวมาก ทางใต้เขาจะใช้คุณผีคุณคน คุณผีเขาจะใช้ผีทำ คุณคนเขาจะใช้คนทำ มีหลวงพ่ออะไรจำไม่ได้ท่านไปเทศน์ เสร็จแล้วก็ได้กลิ่นธูปเหมือนเหมือนศพแล้วก็หน้ามืดหมดสติไป แล้วหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาจมูกก็จะบวมแดงแล้วก็เน่าลามไปเรื่อยจนจมูกแหว่งเลย
แล้วอยู่ ๆ วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังจะฉันเช้า ท่านก็ลุกขึ้นนั่งตัวตรงปุ๊บปั๊บขึงขังกลายเป็นอีกคนหนึ่งไปเลย บอกว่าลูกกูป่วยแค่นี้พวกมึงรักษาไม่ได้หรือ คนเขาก็แปลกใจ แต่คนแถวนั้นเขาเชื่อเรื่องอย่างนี้อยู่แล้ว ก็ถามว่าท่านเป็นใคร ท่านก็บอกว่ากูเป็นพระอินทร์ ลูกกูไปโดนเขาทำมา มันใช้น้ำเหลืองผีตายโหงผสมกับผงธูปปั้นเป็นธูปแล้วจุดในพิธี
เพราะฉะนั้นใครเทศน์คู่อยู่โดนผีมันคุมหมด แล้วนั่นมันไม่อย่างเดียว ใครหายใจเข้าไปจมูกเน่าไปด้วย ก็ถามบอกว่าในเมื่อรักษาไม่ได้แล้ว พ่อปู่จะรักษาอย่างไร ท่านบอกไปเอาน้ำมาเดี๋ยวเสกน้ำมนต์ให้ พอท่านเสกน้ำมนต์ให้ ๆ ทั้งกินทั้งอาบก็หายแต่จมูกยังแหว่งอยู่ ทางใต้นี่เล่นกันหนัก ยิ่งทางอิสานออกไปทางด้านเขมรต่ำอย่างพวกสระแก้ว บุรีรัมย์นั่นยิ่งสาหัสเลยสมัยหลัง ๆ นี่อาตมาไปยังโดนเลย
ถาม : สระแก้วนี่เหรอคะ ?
ตอบ : โดยเฉพาะตาพระยา พื้นที่ของสระแก้ว ทางด้านตาพระยาอรัญประเทศ นี่พื้นที่จะติดเขมรเยอะ บุรีรัมย์ก็เหมือนกันแถวละหานทรายเล่นพวกนี้มหาศาลเลย พวกนี้จะสู้คุณพระไม่ได้ ถ้าหากว่าเราภาวนานึกถึงพระเป็นปกติจนอารมณ์ใจทรงตัว ไสยศาสตร์ทุกอย่างทำอะไรไม่ไำด้ ในเมื่อไสยศาสตร์ทุกอย่างทำอะไรเราไม่ได้ มันมีข้อแม้อยู่อย่างหนึ่งคือว่าเราห้ามเผลอ ถ้าเราเผลอสติเมื่อไหร่ เขาจะทำเอาได้ ช่วงที่เผลอก็คือ ช่วงที่เคลิ้มใกล้จะหลับอย่างหนึ่ง ตอนกำลังกินอย่างหนึ่ง ตอนกำลังเข้าส้วมอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าเผลอสติหลุดเมื่อไหร่บางทีมันจ้องอยู่มันจะเล่นเราได้
ดังนั้นหลวงพ่อท่านถึงได้บอกว่าให้หาพระเครื่องที่เรามั่นใจของครูบาอาจารย์อาราธนาพระไว้ทุกวันจะป้องกันได้ โดยเฉพาะยันต์เกราะเพชรอย่างนี้ เป็นคู่ปรับของไสยศาสตร์โดยตรง
วันก่อนที่เป่ายันต์เกราะเพชรมีอยู่รายหนึ่งมันดื้อ โดนไสยศาสตร์มา รายนี้ซวยจริง ๆ ไปมีศัตรูเป็นหมอไสยศาสตร์ ปกติมีศัตรูแล้วศัตรูไปจ้างหมอไสยศาสตร์ นี่ดันมีศัตรูเป็นหมอไสยศาสตร์รับเละอยู่คนเดียว มาตรงนี้ก็บอกเขาบอกว่าช่วยเต็มที่ไม่ไ่ด้นะ ช่วยได้แค่ว่าให้หายกลับบ้านได้เท่านั้น เขาบอกครับไม่เป็นไร แล้วผมจะหายยังไง ก็บอกเขาว่าต้องไปงานเป่ายันต์เกราะเพชร พอดีเราจะทำพอดี มาตอนกำลังจะมีงานพอดีแสดงว่าคนจะหมดกรรม
วันงานเขาก็ไป ทีนี้เขาอยู่รอบ ๒ รอบแรกมาไม่กล้ากระดิกกระเดี้ยเพราะเป็นงานใหญ่ที่สุดในชีวิต กลัวผิดพลาด ก็ต้องเอาใจจับพระแล้วก็ทำตามพระท่านบอก พอผ่านไปรอบหนึ่ง รอบ ๒ นี่ชักจะเคยชิน เราก็เริ่มดูฟ้าดูดิน เห็นว่าเวลาที่บารมีพระท่านคลุมลงมาลักษณะเป็นพุทธนิมิต ลักษณะคลุมลงมา สิ่งที่ไม่ได้ต่าง ๆ ที่เป็นสีดำมันกระจายออกรอบข้าง เหมือนกับที่เราโยนถ่านที่ร้อน ๆ ออกไปกลางฝูงมดน่ะ แล้วเจ้าพวกนี้ก็ทั้งเต้นทั้งร้อง เขาร้องว่าไงรู้มั้่ย บอกกูไม่ไป ๆ อย่าเอากูไป คือว่าก่อนที่จะทำพิธีจะมีการอาราธนาบารมีพระ โดยเฉพาะถึงท้าวมหาราชและบริวารเป็นที่สุด ถ้าหากว่ามีสิ่งไม่ดีให้ขับไล่ออกไป นี่มันดื้อจนกระทั่งเทวดาท่านต้องหิ้วคอไป
เมื่อวานนี้คุณวิทูรย์มาเล่าหัวเราะกันแทบตาย เราเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เขาบอกครับ นั่งอยู่ข้างผม ผมเองกลัวก็กลัวไม่มีสมาธิเลย สงสัยจะไม่ได้รับยันต์ (หัวเราะ) บอกว่าถ้าตั้งใจมันได้อยู่แล้ว เพียงแต่สมาธิเราไม่ดีมันถึงไม่เกิดอาการ
ถาม : ทำให้เห็นเลยเหรอ ?
ตอบ : อาตมาน่ะเห็น แต่ว่าคนอื่นจะเห็นแค่เขาดิ้นแล้วร้อง แต่ว่าเวลาที่พระมา ถ้าเราใช้ทิพจักขุญาณกำหนดตามจะเห็นเป็นปกติอยู่แล้ว
ถาม : อย่างนี้เขาถูกอาจารย์คนที่เป็นหมอนั่นใช้เขาให้คนนี้มาเหรอ ?
ตอบ : แต่ว่าตั้งแต่บัดนี้ไปถ้าเขาตั้งใจภาวนา อิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน ทุกวันพอกำลังใจตั้งมั่นแล้วกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง อธิษฐานขอให้บารมีพระช่วยคลุมเอาไว้ คนทำซวยแน่ ๆ เลยเพราะว่ายันต์เกราะเพชรนี่มันจะสะท้อนกลับไสยศาสตร์ทุกประเภท ถ้ารับยันต์ไปให้ปลุกด้วยอิติปิโส แต่ว่าของเรานี่ถ้าหากไม่ใช่อย่างนั้นก็นึกถึงภาพพระให้คลุมตัวเราลงมาเลย แล้วก็ภาวนาอิติปิโส ให้กำลังใจทรงตัวกลืนน้ำลาย ๓ ครั้ง เอาแบบเดียวกันเลย เราไม่ได้รับยัั้นต์เราก็อาศัยภาพพระเป็นหลักไปเลย
เรื่องของยันต์เกราะเพชรเป็นปฏิปักษ์กับไสยศาสตร์โดยตรง ใครทำมาเท่าไหร่มันคืนไปเท่านั้น รอบแรกมีแค่ ๒ คน รอบหลังนี่เยอะหน่อย นัดกันมาสงสัยเทวดาท่านเบื่อต้องไปไล่มันหลายรอบ ก็เลยเอามันมาไว้รอบเดียวกัน
ถาม : ถ้าเราสวดอิติปิโสนี่ก็ทำอะไรเราไม่ได้ ?
ตอบ : ตั้งใจเอาพระคลุมเราลงมานึกง่าย ๆ นึกสบาย ๆ ชอบพระองค์ไหนก็นึกถึงภาพพระองค์นั้นโต ๆ หน่อยคลุมตัวเราลงมาแล้วก็อธิษฐานขอให้ท่านคุ้มครองทั้งวัน
ถาม : เห็นทุกข์ก็คือว่าเห็นธรรมคู่กันเลยนะคะ ?
ตอบ : ใช่ โยธัมมังปัสสะติ โสณังปัสสะติ พระพุทธเจ้าบอกผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ธรรมะคือ ตัวทุกข์นั่นแหละ สมัยก่อนก็คิดเหมือนกันคิดว่า เป็นพระอนาคามีแล้วค่อยบวชถึงจะสบาย ปล้ำอยู่ ๑๑ ปีเต็ม ๆ แม้แต่คาก็ไม่คา มีก็ไม่มี หมดเกลี้ยง
เพราะฉะนั้นตอนหลวงพ่อชวนบวชก็ไปบวช ปรากฏว่าสิ่งที่อยากได้ตอนเป็นฆราวาสทำแทบเป็นแทบตายก็ไม่ได้ ไปได้มากตอนที่บวชแล้ว หลวงปู่ฝั้นท่านบอกว่าท่านมี คาถามหาละรวย คนก็ชอบซิ เมตตามหานิยม มหาละรวยใช่มั้ย ? ท่านบอกว่าไม่ใช่ ละ แล้วจะ รวย (หัวเราะ)
หลวงปู่มหาอำพัน ท่านก็บอกว่า คนไม่พอพาจนเป็นคนเข็ญ พอแล้วเป็นเศรษฐี มหาศาล คนเราถ้าพอซะอย่างมีอะไรมันก็แบ่งปันคนอื่นได้ก็เหมือนกับคนรวยนี่เอง จนทั้งนอก จนทั้งใน ไม่ได้การติดคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ ถ้าไม่พอยังไง ๆ มันก็ไม่รวยหรอก มีหมื่นล้านมันก็จะเอาแสนล้าน
ถาม : คนแซ่งก ?
ตอบ : แซ่นี้ว่าไม่ได้ ถ้าหามาถูกต้องตามทำนองครองธรรม เขาถือเป็นสัมมาอาชีวะ ตัวอย่างก็อย่าง อนาถบิณฑิกเศรษฐี อย่างนางวิสาขามหาอุบาสิกา ยิ่งนางวิสาขาตระกูลของคุณท่านนี่รวยจนนับเงินไม่ถูก ใช้เกวียนตวงเอาถึงจะรู้ว่าตัวเองมีเท่าไหร่ แล้วนับไม่ไหวด้วย นั่นน่ะรวยขนาดนั้น แต่ยังทำมาค้าขายด้วยเป็นปกติ ถือเป็นสัมมาอาชีพ
สมัยก่อนเขาถึงได้มีคำอธิษฐานว่า ขอให้รวยเหมือนนางวิสาขา ขอให้มีปัญญาเหมือนพระมโหสถ ขอให้มีน้ำใจอดเหมือนพระเตมีย์ ขอให้เป็นเศรษฐีเหมือนเจ้ากรุงสญชัย ขอให้มีศรัทธาเลื่อมใสเหมือนพระเวสสันดร เจ้ากรุงสญชัยนี่พ่อพระเวสสันดร พระเวสสันดรจะเอาเงินไปทำบุญเท่าไหร่มีให้เท่านั้นน่ะ รวยขนาดนันน่ะ ขอให้มีศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนาเหมือนพระเวสสันดร ใครขออะไรให้หมด
|