ถาม :  จะถามเรื่องคาถาย่นระยะทาง เราจะใช้ภาวนาคาถาเงินล้านหรือว่าภาวนาพุทโธนี่ถือเป็นการย่นระยะทางได้หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ การย่นระยะทางมันต้องเป็นพื้นฐานของวาโยกสิณ แล้วโดยเฉพาะมันไม่ใช่วาโยกสิณตัวเดียว ลักษณะของการย่นระยะทางเป็นของผู้ชำนาญในกสิณ ๑๐ พอตั้งใจใช้กำลังของอภิญญา กำลังของกสิณอธิษฐานแล้วมันจะเป็นไป แต่ว่าเท่าที่เคยใช้ได้ผลน่ะ สัมปจิตฉามิ อาตมาเดินน่ะเขาควบมอเตอร์ไซค์ไล่ไม่ทัน เราไม่รู้หรอก เรารู้สึกว่าเราเดินปกติ
              สมัยที่ไปอยู่ทองผาภูมิใหม่ ๆ แล้วเดินบิณฑบาตไป ๕ กิโลกว่า กลับ ๕ กิโลกว่ารวมแล้ว ๑๐ กิโลเศษ ๆ น่ะ คราวนี้มันก็ขึ้นเขาขึ้นเนินตั้งหลายลูก พอไปบิณฑบาตได้พวกข้าวของมาเยอะ พอได้ข้าวของมาเยอะ ชาวบ้านเขาก็ถือมาส่ง ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมอญพวกทวายที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้นั่นล่ะ ไปอยู่กันแค้มป์ข้างบน เขาก็ถือของมาส่ง วันแรกวันสองวันสามก็มาส่ง พอท้าย ๆ มันหายกันหมด พอหายกันหมด ไอ้เราก็ไม่รู้
              พอจนกระทั่งวันหนึ่งหัวหน้าคนงานเขาบอกว่าหลวงพี่เดินเร็วจริง ๆ ครับ ถามว่าทำไมวะ ? เขาบอกปกติพวกคนงานมันเดิน ผมต้องวิ่งไล่ตาม แต่หลวงพี่เดินน่ะคนงานมันต้องวิ่งไล่ มันก็เล่นไล่กันไม่ไหว...มันเหนื่อยเขาว่างั้น เสร็จแล้วผมก็สงสัยหลวงพี่เดินยังไงผมเอามอเตอร์ไซด์ไล่ตามดูไล่ไม่ทันจริง ๆ ครับ มันว่างั้น เราไม่รู้เรื่องอะไรเลย รู้อยู่อย่างเดียวว่าเราเดินปกติ
      ถาม :  ภาวนาอะไรคะ ?
      ตอบสัมปจิตฉามิ เพราะว่าหลววงพ่อท่านสั่งไว้ตั้งแต่บวชพรรษาแรกบอกว่าให้ภาวนาบทนี้ให้เป็นปกติ เพราะว่าบทนี้จะเป็นคาถาสำหรับสร้างอภิญญา ถ้าใครทำทรงตัวจะเหมือนกับได้กสิณ ๑๐
              ท่านบอกว่านานไปข้างหน้าบรรดาเดียรถีย์จะโจมตีศาสนาพุทธมาก โดยเฉพาะเรื่องของอภิญญาสมาบัติเขาจะกล่าวว่าเป็นเรื่องหลอกลวงกัน เมื่อถึงเวลานั้นแล้วพวกแกจะต้องไปแสดงให้เขาดูว่าเรื่องของอภิญญาเป็นเรื่องจริง ท่านสั่งให้ทำตั้งแต่พรรษาแรกเลย
              แล้วอีกครั้งหนึ่งก็เดินทางไปเยี่ยมสถานีวิจัยลุ่มน้ำแม่กลอง ก็เดินขึ้นไปดูพื้นที่การจัดการลุ่มน้ำของเขาน่ะ เดินไปเรื่อย ๆ มันก็ ๑๑ โมงครึ่งแล้ว ๑๑ โมงครึ่ง ห่างจากสถานีประมาณ ๔ กิโลเมตรเศษ หัวหน้าเขาบอกว่านิมนต์ฉันเพลด้วยครับ เพราะว่าสั่งเขาจัดของไว้แล้ว เราก็มองนาฬิกาตายห่า ! ๔ กิโลครึ่งชั่วโมง.....ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้วใช่ไหม ? ก็เลยต้องใช้วิธีนี้ บอกเออ.....ถ้าอย่างนั้นขอเดินล่วงหน้าไปก่อนแล้วกันนะ พวกโยมตามมาทีหลังก็แล้วกัน แล้วก็เดินของเรา ตั้งใจเสร็จเดินมา มาถึงข้างสถานีรถมันออกมาบอกว่ากำลังจะไปรับพอดีเออ.....ไปรับหัวหน้ากับคนอื่นเขามาก็แล้วกัน ไอ้ของฉันแค่นี้มาถึงแล้ว ก็...ลงไปนั่งฉันดูนาฬิกามันเพิ่งจะ ๑๑ โมง ๔๐ นาทีเท่านั้น ปรากฎว่าเขาตามมาถึงก็โน่นน่ะ แม่จุ๊บเขาบอกว่าท่านเดินยังไงเร็วขนาดนั้น จุ๊บมันวิ่งตามซะจนเลือดกำเดาไหลไล่ไม่ทัน บอกไม่รู้เหมือนกัน เราเดินปกตินี่แหละ รู้สึกว่าระยะทางมันไกลเท่าเดิม แต่ว่ามันถึงเร็ว เท่าที่ใช้ดูก็ใช้บทนี้แหละ แต่ว่าถ้าหากว่าอย่างหลวงปู่จงพาหลวงพ่อไปสุวรรณวิหารอย่างนี้ อันนั้นเป็นอำนาจของกสิณ ๑๐ ไม่ใช่ประเภทคาถงคาถาอย่างนี้หรอก
      ถาม :  แล้วเวลาถ้าเราจะบวงสรวงแบบชุดใหญ่น่ะค่ะ เราจะทำในบ้านได้ไหมคะ ไม่ต้องทำกลางแจ้ง ?
      ตอบ :  ต้องดูว่าเรามุ่งหมายเรื่องอะไร ถ้าหากว่าเป็นการไหว้พระบูชาพระในร่มก็ได้ แต่ถ้าหากว่าต้องการสังเวยเทวดาเขานิยมกลางแจ้งก็ต้องกลางแจ้ง
      ถาม :  ทำวันเกิดของเราค่ะ ?
      ตอบ :  วันเกิดของเราต้องการเทวดาช่วยไหมล่ะ (หัวเราะ) งานของหลวงพ่อวันเกิดเมื่อไหร่นี่ท่านเชิญพรหม เชิญเทวดามาหมดน่ะนะ เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วก็เป็นผู้มีคุณให้การสงเคราะห์มาโดยตลอดของเราเอง ถ้าเราจะทำก็เอากลางแจ้งดีกว่า ถ้าคนอื่นมาสงสัยก็บอกไปเลยบนเอาไว้ แก้บนน่ะ....หมดเรื่อง
      ถาม :  คือ....ไม่อยากให้บ้านอื่นเขาเข้าใจผิดน่ะค่ะ ?
      ตอบ :  จ้ะ ก็ลักษณะนั้นแหละ ถึงได้บอกไงถ้าเขาสงสัยบอกว่าแก้บนจ้ะ บนไว้รางวัลที่ ๑ ถูกสองตัวเท่านั้นแหละ (หัวเราะ)
      ถาม :  คุณยายเพื่อนน่ะเขาให้ผีด้วยค่ะ ?
      ตอบ :  ก็ไม่ผิดอะไรนี่ เลี้ยงผีด้วยก็ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าอย่า เอาแบบแม่ชีกายสิทธิ์ยายชีผ่องศรีแล้วกัน ยัยนั่นไปไหนผีตามไปเป็นกองทัพเลย เพราะว่าเขานอกจากให้กินด้วย แล้วยังอนุญาตให้ตามด้วย ยัยนั่นไปไหนที คนอื่นจะเดือดร้อนกันไปหมดนะ เพราะถ้าคุมไม่อยู่นี่มันเอาจริง ๆ ใครที่ดวงตก คือช่วงจังหวะอกุศลกรรมเข้า เจ้าพวกนี้มันจะช่วยซ้ำ
      ถาม :  เอาลูกน้องเกเรติดตัวไปด้วยหรือคะ ?
      ตอบ :  ก็...เกเรไม่เกเรเขาไม่รู้ เขาเองเขาตั้งใจสงเคราะห์อย่างเดียว แล้วอนุญาตให้ตามได้ด้วย ถึงเวลากินเรียกกินด้วย
      ถาม :  เวลาเราบวงสรวงที่บ้านเรากลางแจ้งเสร็จแล้วนี่นะคะ เราต้องจัดของอีกชุดหนึ่งน่ะ ไปไหว้ที่พระพรหมประจำหมู่บ้าน แต่ไม่ได้เปิดเทปบวงสรวง ตอนที่เราไปบูชาท่าน อย่างนี้....?
      ตอบ :  เอาอย่างนี้สิ ตั้งใจเสร็จพร้อมกัน พอตั้งให้เสร็จพร้อมกันแล้วเราก็มาเปิดเทปในบ้านเรา ตั้งใจนึกถึงท่านด้วย ถ้าหากว่าเราตั้งในบ้านเรา เปิดเทปบวงสรวงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปตั้งที่โน่น อันโน้นผลมันจะน้อยไปหน่อย เพราะงั้นเอามันตั้งพร้อมกันไปเลย เพราะของพรรค์นี้บางทีทำผลมันกระทบกับคนรอบข้างมันมี เลี่ยง ๆ เขาได้ก็ดี
      ถาม :  เหมือนกันทั้ง ๒ ชุดเลยใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ
      ถาม :  ของที่เราใช้เวลาพิธีบวงสรวงแล้วนี่ เป็นถั่วเขียว งา ข้าวตอก ดอกไม้ ดอกไม้ที่ในชามบายศรี เก็บไว้จนแห้งแล้วเราไม่ทิ้งนี่ เวลาจะตั้งเมื่อคืนแล้วไปไว้ใต้ถุงนี่ ....?
      ตอบ :  ได้จ้ะได้
      ถาม :  ไม่บาปใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราเจตนาบรรจุอะไรไปในลักษณะนั้นได้
      ถาม :  ที่เกาะฯ ให้ใครดูล่ะคะ ?
      ตอบ :  มีพระลูกศิษย์อยู่ ตอนนี้มีแต่จะแย่งกันจะอยู่ ไอ้ที่ ๆ มันดีทำไว้เรียบร้อยแล้ว มันแย่งกันไป ที่ไหนลำบาก มันปล่อยเราทำให้เสร็จก่อนเดี๋ยวมันถึงจะตามไป
      ถาม :  ยังสงสัยนิดหนึ่งค่ะ ที่บอกว่าภาวนาคาถาสัมปจิตฉามิเนี่ย เรานั่งรถคนอื่นขับให้เราเี่นี่ย แล้วเรา่ภาวนาคาถานี้ จะช่วยทั้งคันเลยใช่ไหมคะ หมายถึงว่าไปถึงเร็ว ?
      ตอบ :  ช่วยได้ แต่ว่า...ถ้ารู้สึกว่ามันเร็วกว่าปกตินะ ตอนนั้นเราอย่าเพิ่งพูด เราปล่อยมันไปก่อน คนอื่นน่ะถ้าหากว่าอำนาจของคาถามันแสดงผลน่ะ เขาจะไม่รู้สึกถึงความผิดปกติ จะไปรู้อีกที เอ๊ะ ! ทำไมมัน ถึงเร็วแต่ว่าตัวเราถ้าตั้งใจจับอยู่นี่บางทีระยะทางมันสั้นไปเฉย ๆ
              สมัยก่อนไปทองผาภูมิ พอรู้สึกก็บอกให้คนอื่นเขาช่วยเป็นพยาน เอ้า ดูสิ ตอนนี้มัน หลักกิโลเมตรที่เท่าไหร่แล้ว บอกเขาเขียนอีก ๒๐ กิโลถึงทองผาภูมิ บอกจ้องไว้เลยนะว่าหลักกิโลต่อไปเป็นหลักกิโลที่เท่าไหร่ ทั้ง ๆ ที่จ้อง นั่นแหละ กิโลต่อไปคือ ๘ กิโลถึงทองผาภูมิ หายไป ๑๒ กิโล...วึ๊บเดียว
      ถาม :  คาถากันหมากัดนี่ คือ....พวกหนูน่ะค่ะ โดนหมากัดไปแล้ว เราใช้คาถานี้ก่อนที่จะโดนหมากัดหรือภาวนาให้เป็นประจำคะ ?
      ตอบภาวนาให้อารมณ์ใจทรงตัว เพราะว่าถ้าหากว่าสมาธิไม่ทรงตัว...ให้มันขึ้นเต็มที่ไปสักครั้งหนึ่งก่อน ได้ตามอารมณ์ของสมาธิสูงสุดครั้งหนึ่งก่อน อย่างที่เขาเรียกว่าทำให้คาถามันขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็ภาวนาเป็นปกติ
              เช่น ถึงเวลาก็นึกถึงบ้าง หรือว่าแบ่งเวลาไปเลยว่าภาวนาคาถานี้กี่นาทีโน้นกี่นาทีไล่ไปเลย หรือว่าภาวนาคาถานี้กี่จบคาถาโน้นกี่จบ ซ้อมเอาไว้ไม่งั้นสนิมมันจะกิน ไม่ใช่ว่าถึงเวลาปึ๊บหมาวิ่งมาค่อยไปภาวนา ตอนตกใจกลัวเข้าสมาธิหายเกลี้ยงเลย เดี๋ยวก็โดนงับกระจายอยู่ตรงนั้น นี่...ตรงท่ารถตู้นี่จะมีหมาดำ ๆ อยู่ ๒ ตัว ลองเดินไปดูสิ มันกัดเอาจริง ๆ นะนั่นน่ะ นี่เดินไป ๒ วันแล้วมันวิ่งมาเอาปากไล่ชน...นั่งหัวเราะมันอยู่
      ถาม :  ภาวนาอะไรคะ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ภาวนาอะไรหรอก จับภาพพระเป็นปกติอยู่เท่านั้นเอง ถึงเวลาจะชนก็ให้มันชนไป เราก็เดินเอ้อระเหยลอยชายของเราไปเรื่อย มันคงอยากจะกัดแต่มันอ้าปากไม่ได้มันก็เลยชนเอา ลองไปดูเหอะ ดูสิว่าคนอื่นไปมันจะชนหรือมันจะกัด มันหวงที่มัน...เดินผ่านที่มัน ๆ ไล่นชนเอา ตัวดำ ๆ ๒ ตัวน่ะจ้อนเจอบ้างไหม ?
      ถาม :  เจอครับ ?
      ตอบ :  นั่นล่ะ ลองดู ว่ามันจะมาชนบ้างไหม ? แต่อย่าลืมจับภาพพระให้ดีก่อนนะ ถ้าจับไม่อยู่ก็น่องแหว่ง อยู่ ๆ หมาเอาปากไล่ชนแปลกไหมล่ะ ? มันอยากจะกัดแต่มันอ้าปากไม่ขึ้น (หัวเราะ) สำคัญที่สุดตรงสมาธิอย่าไปตกแล้วกัน...เวลาตกใจ
              ไปพม่ามาคราวที่แล้ว พวกกะเหรี่ยงคริสต์มันบังคับให้รถหยุด ซ้อมคนขับซะเกือบตาย เสร็จแล้วมันก็ยิงด้วย เราเองก็เฉย ๆ กำลังใจไม่ได้ลดไม่ได้สะทกสะท้าน มันยิ่งโกรธใหญ่ ครูบาน้อยเขาบอกอีตอนมันหันปืนมาทางอาจารย์นั่นน่ะมันเหนี่ยวไกแล้วนะครับ แต่มันไม่ลั่นบอกไม่รู้เหมือนกัน ผมรออยู่อย่างเดียวว่าถ้ามันตีคุณด้วยปืนน่ะผมจะอัดมัน คราวนี้พอมันทิ่มลงดินมันลั่นดินกระจายเต็มเท้าเลย เวลาฉุกเฉินกำลังใจสำคัญมาก อย่าไปสมาธิตก
              หลวงพ่อท่านเคยสอนว่า....ประเภทที่ว่าวิ่งอยู่ก็ต้องเข้าสมาธิได้ทันที จะทรงฌานไหนต้องทรงได้ กำลังเหนื่อย ๆ อยู่นั่งปุ๊บลงจะเอาฌานไหนต้องได้เลย สมัยของท่านก็...หาบน้ำ กลัวจะเหนื่อยน้อย หาบน้ำวิ่งรอบป่าช้า แต่ขีดเส้นไว้น่ะ มาถึงเส้นนี้ปุ๊บฉันจะเข้าฌานนี้ ถึงเส้นนี้ปุ๊บจะเข้าฌานนี้ ท่านซ้อมกันถึงขนาดนั้นนะ ๓-๔ องค์นั่นน่ะ แล้วเสร็จแล้วตากำนันเถา กำนันบางนมโค ตานี่กินสะบัดเลย มันไม่ได้กินอะไรหรอก กำนันเถาน่ะกินข้าวเก่ง ข้าวกาละมังนึงกินหมด หลวงปู่ปานเรียกไอ้เถากะเพาะยาง กะเพาะคงจะยืดได้นะ กำนันเถาไปฟ้องหลวงปู่ปาน หลวงพ่อครับ ๆ พระของหลวงพ่อไม่มีความสำรวมเลยวิ่งกันใหญ่เลยครับ หลวงปู่ปานถามเขาวิ่งกันที่ไหนล่ะ ? ในป่าช้าครับ เออ...เขาอุตส่าห์ไปหลบในป่าช้าแล้วมึงตามไปดูทำไม ? (หัวเราะ) จ๋อยไปเลย...(หัวเราะ) คนมันจะหาเรื่องซะอย่างใช่ไหม ? เขาอุตส่าห์ไปหลบในป่าช้าแล้วยังอุตส่าห์ตามฟ้องอีกเอากับมันสิ ไม่รู้หรอกว่าเขาวิ่งทำอะไรกันน่ะ เล่นหาบน้ำ...คือว่าร่างกายมันเหนื่อยมาก ๆ หิวมาก ๆ ร้อนมาก ๆ หนาวมาก ๆ เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนต้องทรงฌานได้ เอากันขนาดนั้น...ถึงได้ว่าพระสมัยก่อนทำไมถึงได้ดี ? ท่านฝึกกันชนิดว่าเอาชีวิตเข้าแลก รุ่นของเราก็อีเหละเขละขละ ทำบ้างไม่ทำบ้าง ไป ๆ มา ๆ ฟัง ๆ ดูไอ้รุ่นหลัง ๆ ของเรามันยิ่งเละหนักเข้าไปอีก เออ...รุ่นหนึ่งมันก็เสื่อมลงไปหน่อยหนึ่ง (หัวเราะ)
      ถาม :  อย่างนี้เวลาเข้าห้องน้ำต้องถอดไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่จำเป็นจ้ะ ยิ่งเข้าห้องน้ำยิ่งต้องใส่ไว้ จำไว้ว่า เวลาเราจะเผลอนั่นก็คือตอนกินข้าว ตอนเข้าห้องน้ำ ตอนใกล้จะหลับ เพราะฉะนั้นยิ่งอยู่ในห้องน้ำยิ่งต้องอาศัยพระหนักเข้าไปอีก
      ถาม :  แล้วใส่เข้าสถานเริงรมย์อย่างนี้บาปไหมครับ ?
      ตอบ :  บาปไหม ? .....ก็อย่าชวนพระเที่ยวก็แล้วกัน (หัวเราะ) ขอให้ท่านช่วยคุ้มครอง จะอยู่ในสถานที่ไหนก็ได้ แหม...ถ้าไปนรกเอาพระไปได้อาตมายังอยากจะพกไปเลย
      ถาม :  อานุภาพของพระกริ่งที่ทำเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบเจตนาจริง ๆ ก็คือท่านทำไว้ทุกด้าน แต่ว่าจะเป็นการป้องกันอันตรายโดยเฉพาะ เพราะว่าคำว่าพิชัยสงครามก็คือชนะในสงคราม แต่อย่าเอาไปตีกับใครนะ
      ถาม :  เพื่อนผมที่บูชาไปเขาเอาไปให้อาจารย์ที่วัดแห่งหนึ่งจับบอกว่าแรงจริง ๆ
      ตอบ :  บอกเขาว่าระวังจะตายเอา (หัวเราะ)
      ถาม :  เขาบอกว่าพุ่งปรี๊ดเลย พุทธคุณดีทางไหนครับ ?
      ตอบ :  ถ้าชื่อว่าสมเด็จองค์ปฐมเลิศแล้วในทุกที่ ถามว่าดีทางไหนตอบไม่ถูก
      ถาม :  เข้าสงครามได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ลองดูสิ ไม่ยาก อนุญาตให้ลอง
      ถาม :  กันรังสีปรมาณูได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ต้องถามท่าน (หัวเราะ) เรื่องของพุทธคุณ ถ้าหากว่าจิตใจยึดมั่นจริง ๆไม่ต้องมีพระเครื่องก็ได้ โดยเฉพาะพวกได้มโนมยิทธิ อาราธนาท่านคลุมตัวไปเลย
      ถาม :  ไปลงมาที่วัดท่าขนุนเจ้าค่ะ รอบแรก ?
      ตอบ :  รอบแรกไม่ค่อยสนุกเลย รอบสองเขาดิ้นกันมัน
      ถาม :  รอบแรกรู้สึกว่าดิ้นกัน ๒ คนค่ะ ?
      ตอบ :  รอบสองเยอะเลย
      ถาม :  เป่ายันต์เกราะเพชรแล้วบูชายังไง ?
      ตอบ :  ให้ตั้งใจสวดอิติปิโสตอนเช้า ๆ ๓ จบ ทุกวัน ถ้าหากว่าเป็นพระกริ่งพิชัยสงครามเขามีคาถากำกับ ถ้าอาราธนาปกติทั่ว ๆไปก็ใช้ อิทธิฤทธิ พุทธนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด
              แต่ถ้าหากว่า ประเภทที่ว่าจะใช้งานเฉพาะด้าน สมมติว่าไปตกอยู่กลางศึกกลางสงคราม อย่างนี้ ให้ใช้คาถาว่า มหาวิชชะ โยโหหิ อะสังวาโส สัมปะติจฉามิ ถ้าเขามีปืนมีระเบิดหนักที่สุด ทางด้านไหนก็อออกไปทางด้านนั้นแหละ อันนี้เป็นเรื่องแปลกมาก ตำรา หลวงพ่อนี่เขาห้ามกลัวจริง ๆ นะ
              สมัยก่อนที่ใช้ธงมหาพิชัยสงคราม ท่านก็บอก บอกพอภาวนากำลังใจตั้งมั่นแล้วเสียงปืนทางด้านไหน แน่นที่สุดให้ออกด้านนั้นแหละ แต่ว่าอย่าไปทำอันตรายเขา เขาจะเหมือนกับว่ามองเราไม่เห็นไปเฉย ๆ อันนี้ต้องถามผู้กองอรรณพ ผู้กองอรรณพตอนนี้รู้สึกว่าจะเป็นผู้การตรวจคนเข้าเมืองอยู่มั้ง ? ตอนนั้นแกเป็นแค่ร้อยตำรวจโท ต.ช.ด. ไปโดนเขาล้อมยิงแล้วใช้วิธีนั้นแหละออกมาได้
              สมัยก่อนตอนหลวงพ่อท่านทำธงมหาพิชัยสงคราม ท่านหวงมาก แจกเฉพาะทหารและจะต้องอยู่ชายแดนเท่านั้น ถ้าไม่ได้อยู่แนวหน้าไม่ให้ มีมาตอนหลังทำพิธีใหญ่ที่วัดบวรได้มาคันรถหนึ่งอันนั้นแหละถึงให้ทั่วไป ไม่อย่างนั้นนี่ธงมหาพิชัยสงคราม จะได้ก็แต่ทหารที่อยู่แนวหน้าเท่านั้น อาตมาบังเอิญอยู่หน้าแนวซะ...ก็เลยได้ (หัวเราะ)
      ถาม :  มีประสบการณ์ไหมครับ (พระกริ่งมหาพิชัยสงคราม) ?
      ตอบ :  บอกไม่ถูก เขารายงานมาเยอะจนเรางง ๆ คนก็ไปไม่มากรอบหนึ่งประมาณ ๒,๐๐๐ คนเท่านั้น ทำไมรายงานประสบการณ์มาเยอะกันจัง เจตนาเอาไปลองกันหรือเปล่าก็ไม่รู้