ถาม :  ทำไมการขโมยของนี่ถึงมีโทษมากครับ ?
      ตอบ :  อันนี้เกิดจากเดี๋ยวใครหว่า...จำไม่ได้แล้วจะเป็นพระโลลุทายีหรือเปล่าไม่ทราบเหมือนกัน คือว่าท่านจะสร้างกุฏิขี้เกียจไปตัดไม้ ขี้เกียจไปหาหญ้า ก็ไปที่ท้องพระคลังหลวง แล้วบอกว่าขอไม้ขอหญ้าไปสร้างกุฏิ เจ้าหน้าที่คลังก็บอกว่าให้ไม่ได้เพราะพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้อนุญาต ท่านก็บอกว่าอนุญาตแล้ว ในเมื่อบอกว่าอนุญาตแล้วเขาก็ยกให้ไป
              คราวนี้พอจะใช้งานจริง ๆ ของมันก็ขาด พระเจ้าแผ่นดินสอบสวนเสร็จทราบว่าพระท่านเอาไป ท่านก็แปลกใจบอกว่าในเมื่อไม่ได้อนุญาตแล้วพระท่านเอาไปได้ยังไง ท่านบอกว่าพระบอกว่าอนุญาตแล้ว ท่านเองท่านก็ดีนะอุตส่าห์เรียกตัวมาสอบสวนบอกว่า โยมเป็นคนที่มีพระราชภารกิจมากอาจจะอนุญาตแล้วลืมไป ช่วยบอกหน่อยเถอะว่า อนุญาตเมื่อไหร่ ? พระไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นพระโลลุทายีหรือเปล่า บอกว่ามหาบพิตรจำได้มั้ยว่าวันที่ขึ้นครองราชย์พระองค์ตรัสเอาไว้ว่า ไม้ หญ้า น้ำ หรือว่าผ้าผ่อนสไบอะไรก็ดีที่เป็นสมบัติของพระองค์ พระองค์ท่านมอบให้เป็นสมบัติของนักบวชที่มาจากทิศทั้ง ๔ ผู้ใดต้องการก็ให้ถือเอา
              พระราชาท่านก็นึกขึ้นมาได้ว่า เออ จริงเคยบอกเอาไว้อย่างนั้น ท่านก็บอกว่าอันนั้นที่ท่านกล่าวหมายถึงผู้ที่เป็นลัชชีคือมีความละอายอยู่ในใจ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นต้องการก็จะต้องมาบอกโยมก่อน แล้วโยมก็จะมอบให้ ไม่ใช่ฉวยเอาดื้อ ๆ อย่างของท่าน ถ้าหากว่าอย่างของท่านถ้าหากว่าเป็นคนทั่ว ๆ ไปโยมก็ประหารชีวิตไปแล้ว แต่ว่าบังเอิญเป็นพระก็จะยกให้สักครั้งหนึ่ง แต่ว่าต่อไปอย่าทำอีก
              เสร็จแล้วเรื่องนี้พอโจทย์ไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสถามกับพระเจ้าปเสนทิโกศลหรือว่าพระเจ้าพิมพิสารก็ไม่ทราบ จำเรื่องไม่ถนัด ถามว่าโทษทางโลกที่พระองค์ท่านสั่งประหารชีวิตของพวกขโมยนี่ เขาจะขโมยทรัพย์สินมีราคาเท่าไหร่ ? พระเจ้าแผ่นดินท่านก็บอกว่าถ้าหากว่าทรัพย์ตั้งแต่ ๕ มาสกเขาจะประหารชีวิต ๕ มาสกนี่มันลักลั่นกัน
              สมัยนี้เขาบอกว่าบาทหนึ่งใช่มั้ย ? แต่ของพม่านี่เขาเปรียบเท่ากับทองสลึงหนึ่ง ฉะนั้นพระพม่าขโมยได้เยอะกว่าพระไทย (หัวเราะ) คือว่ามาตราโบราณเขาบอกว่า ๔ เมล็ดข้าวเปลือก เท่ากับ ๑ กุญชา ๒ กุญชาเท่ากับ ๑ มาสก เพราะฉะนั้น ๑ มาสก จะเท่ากับ ๘ เมล็ดข้าวเปลือก ๕ มาสกเท่ากับ ๔๐ เมล็ดข้าวเปลือก ทางพม่าเขาคงเอาข้าวเปลือก ๔๐ เมล็ดมาชั่งแล้วก็ตีเป็นราคาทองคำ แต่ของไทยเราเล่นตรงไปตรงมาว่ากันเป็นตัวเงินเลยก็ประมาณบาทหนึ่ง เพราะฉะนั้นของไทยเราขาดความเป็นพระง่ายกว่า
              ในเมื่อกำหนดอย่างนั้นเสร็จพระพุทธเจ้าท่านก็เลยประกาศให้พระทั้งหลายทราบว่าขโมยของตั้งแต่ ๕ มาสกขึ้นไปจะต้องปาราชิก ขาดความเป็นพระไปเลย ก็มีพวกหัวหมอตะแบงข้างไปอีกเล่นทีละมาสก พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องมาบัญญัติใหม่ว่า ถ้าหากว่าขโมยของครั้งละมาสกถึงจะคนละวาระกัน แต่ถ้ารวมกันได้ ๕ มาสกก็ขาดจากความเป็นพระอย่างนี้
              พอบัญญัติเสร็จประเภทที่เรียกว่า...ถือว่าเออขโมยของในบ้านท่านก็ไปขโมยของชาวบ้านพวกที่อยู่ในป่านะ พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องบัญญัติว่าห้ามขโมยในบ้าน ห้ามขโมยในป่า พวกก็ไปเอาในลานตากผ้า ลานตากผ้านี่ส่วนใหญ่เขาก็ต้องเป็นที่กว้างมากใช่มั้ย อยู่ในบ้านก็ลำบากเกะกะเขาเดี๋ยวสัตว์หรืออะไรไปทำให้ผ้าเสียหายก็ต้องเข้าไปในพื้นที่ป่าแล้วก่นถางให้มันเป็นพื้นที่กว้างใหญ่เพื่อให้ได้รับแสงแดด เขาถือว่าไม่ใช่ทั้งบ้าน ไม่ใช่ทั้งป่า เพราะว่ามันพ้นบ้านไปแล้ว แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ป่าด้วย เพราะถางราบไปแล้ว
              โอ้โห....สมัยก่อนร้ายกาจจริง ๆ เขาถึงบอกเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน (หัวเราะ) เขาไปของเขาได้เรื่อยล่ะ บางข้อนี่ พอตั้งมูลบัีญญัติคือ ข้อแรกหัวข้อแรกขึ้นมาแล้วมันตะแบงข้างไป ๒๐๐ กว่าอย่างน่ะ โห...อ่าน ๆ เสร็จนั่งหัวเราะเลยบอกจริง ๆ
      ถาม :  อย่างนี้ก็ปาราชิกเลยใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  เรียกว่าถ้าหากว่าโดนก็โดนปาราชิก เสร็จแล้วก็อะไรนะ ขโมยของที่ไม่มีชีวิตเขาก็ไปเอาของที่มีชีวิต ไปไล่ต้อนวัวชาวบ้านเขา พระพุทธเจ้าท่านก็ต้องมาบัญญัติว่า ถ้าหากว่าเป็นสัตว์เลี้ยงไล่ต้อนไปก้าวเท้าออกจากที่ ๑ เท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ก้าว ๒ เท้าขึ้นไปต้องถุลลัจจัย ถ้า ๔ เท้าพ้นจากที่ต้องปาราชิก อย่างนี้ มันต้องในป่าก็ไม่ได้ ในบ้านก็ไม่ได้ สัตว์เลี้ยงก็ไม่ได้ไปเจอของเขาอยู่ในเรือก็เข็นเรือไป (หัวเราะ) โอ้โห...มันไปของมันเรื่อย (หัวเราะ) นั่นน่ะอย่าลืมนั่นนักบวชนะ เอากันขนาดนั้น มานึกถึงท่านทั้งหลายเหล่านั้น ท่านมีคุณมหาศาลจริง ๆ เลย ทำให้เกิดบัญญัติศีลขึ้นมาชนิดที่เรียกว่ารอบคอบมาก
              แต่ว่ามันมีคนประเภทหนึ่งว่า เขาบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูไม่ใช่เหรอ ? รู้อยู่แล้วว่า เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ต้องเกิดขึ้น ทำไมไม่บัญญัติกันไว้ก่อน ต้องให้เรื่องเกิดแล้วมาบัญญัติทีละข้อ ๆ เสียเวลาเปล่า ถ้าพระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาก่อนจะไม่มีใครเชื่อว่าคนมันตะบี้ตะบันนอกคอกไปได้เยอะขนาดนั้น ถึงได้มาตามแก้ไปทีละจุด ๆ ถ้าเกิดเราบอกไว้ก่อนกันอย่างนี้ ๆ คนที่ไม่คิดจะทำมันก็นั่งหัวเราะใช่มั้ย ? แต่คนที่คิดจะทำมันทำได้ขนาดนั้นจริง ๆ
      ถาม :  แล้วคนที่ออกนอกแนวอย่างนี้ .....?
      ตอบ :  ถ้าเป็นอาทิกัมมิกะ คือผู้ที่ทำเป็นคนแรกอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านยกให้ถือว่าไม่มีโทษ แต่ถ้าหลังจากประกาศออกไปแล้วนี่คนที่ทำถือว่า ขาดจากความเป็นพระ
      ถาม :  แล้วจริง ๆ แล้วเป็นเรื่องของพุทธวาจา ?
      ตอบ :  อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า ถ้ายังไม่ประมวลขึ้นมาเป็นข้อห้าม ถือว่ายังไม่ผิด แต่ถ้าห้ามปุ๊บทำก็ถือว่าเสร็จเรียบร้อยตรงนั้นแหละ
      ถาม :  พวกที่โดนปาราชิกนี่อยู่ถึงอเวจี ?
      ตอบปาราชิกนี่จริง ๆ คือขาดความเป็นพระไปเลย ถึงห่มผ้าอยู่ก็ไม่เป็นพระ บวชใหม่ก็ไม่เป็นพระ สำหรับของทางด้านศาสนามันเหมือนกับตาลยอดด้วน มันไม่สามารถงอกงามต่อได้แล้ว เขาเรียกว่า อสังวาโส หาสังวาสไม่ได้ คืออยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้แล้ว
      ถาม :  ถ้ารู้ตัวแล้วสึกออกไปนี่.....?
      ตอบ :  สึกออกไปมันแก้ไม่ได้ แต่ว่ามันเป็นการที่ว่า ห้ามมรรคผล แต่ไม่ได้ห้ามสวรรค์ ลักษณะที่ว่าห้ามมรรคผลคือ คุณเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เพราะละเมิดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้าม ในเมื่อละเมิดสิ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามก็ถือว่า คุณไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คนที่ไม่เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่แค่โสดาบันต้นก็เป็นไม่ได้แล้ว เพราะขาดคุณสมบัติข้อนี้้ไป
              แต่ว่าเขาใช้คำว่า ห้ามมรรคผล แต่ไม่ได้ห้ามสวรรค์ คือหมายความว่า ถ้าหากคุณสามารถรักษากำลังใจทรงกำลังใจได้ดีตลอดก็ยังมีสุคติเป็นที่ไปได้
      ถาม :  ไม่ใช่หมายความว่าพอเราสิ้นแล้วเราต้องลงอเวจีใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คือถ้ากำลังใจเกาะความดีอยู่สามารถไปรับความดีได้ แต่ขณะเดียวกันคนที่ประเภทตะแบงข้างไปได้ถึงขนาดนั้นจิตต้องหยาบมาก โอกาสที่จะเกาะความดีให้ทรงตัวได้นี่มันลำบากมาก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก็เลยลงอเวจีไป
      ถาม :  การลงอเวจีนี่ลงไปด้วยพุทธวาจาหรือว่า....?
      ตอบ :  ไม่ใช่ คือความผิดที่ตัวเองทำมันรุนแรงถึงขนาดนั้นจริง ๆ เพราะว่าหลายอย่างเอาแค่ว่า กินเหล้าอย่างนี้ กินเหล้านี่จริง ๆ โทษทางพระเขาปาจิตตีย์ เขาปลงอาบัติได้แสดงคืนได้แต่ว่า โทษทางธรรมก็คือว่า อันดับแรก คือคุณละเมิดพระวินัย อันดับที่ ๒ ถ้าหากว่าปรับอีกก็คือ ไม่เอื้อเฟื้อพระวินัยศีลขาดอีกข้อหนึ่ง อันดับที่ ๓ คือว่าไม่เคารพครูบาอาจารย์ของตัวเองคือไม่เคารพพระพุทธเจ้า อย่างนี้ผิดเข้าไปอีกมันผิดซ้ำผิดซ้อนผิดไปเรื่อย มาเจอหลาย ๆ ข้อ รวมกันกำลังใจของตนเองหยาบถึงขนาดนั้นก็เลยโทษหนักไปด้วย สรุปว่า โทษที่ทางพระเขาปรับไว้นิดเดียวแต่ถ้าเวลาตายลงอเวจีเหมือนกัน
      ถาม :  แล้วอย่างที่พม่าเขาคิดว่าเป็นทอง ๑ สลึงแต่ของเราเป็นเงินบาท แล้วพม่าถ้าหากว่าขโมยเงินเท่ากับราคา ?
      ตอบ :  คือคนเราถ้าหากว่าตั้งใจจะขโมยมันไม่ใช่พระแล้วล่ะ ทางพม่ามีศีลหลายข้อที่ลักลั่นกับไทยเรา ตีความไม่เหมือนกัน ข้อนี้ข้อหนึ่งที่เขาตีความเท่ากับทองสลึงหนึ่ง คงเอาข้าวเปลือก ๔๐ เม็ดไปชั่งกันเลย แล้วก็มีศีลอีกข้อที่ว่าห้ามเข้าในบ้านเวลาวิกาล โดยไม่ได้บอกลา ทางไทยเราวิกาลหมายถึงตะวันตกดินไป พม่าก็ตะวันตกดินเหมือนกัน
              อีกข้อหนึ่งก็คือห้ามฉันอาหารเวลาวิกาล ของเราตีเอาหลังเที่ยงไปแล้ว แต่พม่าเขาถือวิกาลตัวเดียวกันก็คือตะวันตกดินไปแล้ว เพราะฉะนั้นบ่าย ๆ ถ้าเห็นเขานั่งร้านอาหารโซ้ยอาหารกันอยู่นี่ว่าเขาไม่ได้นะ เขาตีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ขณะเดียวกันของเราไปตีความผิดหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ทีนี้มันกลายเป็นนิยม ในเมื่อกลายเป็นนิยมว่าถ้าหากว่าหลังเที่ยงไปแล้วฉันถือว่าผิด ถ้าเราทำก็จะโดนคนตำหนิติเตียนเรียกว่าทำก็จะโดนคนตำหนิติเตียนเรียกว่า โลกะวัชชะคือโลกติเตียนก็จะเกิดโทษขึ้น
              แต่ว่าอีกอันหนึ่งเขาเรียกว่า ปัณณัตติกวัชชะ ก็คือผิดเพราะบัญญัติ คือพระพุทธเจ้าห้ามเอาไว้ยังทำอันนั้นถือว่าผิด แล้วยังมีอีกข้อหนึ่งผิดเพราะโลกติเตียน อย่างเช่นว่า ภิกษุตัดต้นไม้ ภิกษุขุดดิน อย่างนี้คนนี้รู้แล้วว่าต้นไม้เป็นของเขียวมันมีชีวิตอยู่ ภิกษุไปตัดต้นไม้ถือว่าไม่เมตตาอย่างนี้ ภิกษุไปขุดดิน ดินมันมีสัตว์เล็ก ๆ มันอาจจะลำบาก อาจจะเดือดร้อน อาจจะโดนขุดตายไปเลยก็มี พระพุทธเจ้าก็ต้องบัญญัติตามคนในยุคนั้นไป เพื่อว่าศาสนาสมัยนั้นมันมีการแข่งขันกันมาก ถ้าหากคนเขาเห็นว่าของเรามันไม่เคร่งครัด มันหย่อนยาน เขาอาจจะไม่สนใจที่จะมา เรียกง่าย ๆ ว่า หันเข้ามาปฏิบัติตามหลักของศาสนานี้จะทำให้เสียประโยชน์กับเขาไป
              พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้หวังประโยชน์ตน แต่หวังประโยชน์คนอื่นเป็นใหญ่ บุคคลที่ควรจะได้มรรคผลถ้าหากเห็นว่าข้อปฏิบัติมันหลวมแล้วเขาเองไม่สนใจที่จะเข้ามามันทำให้เขาเสียผล ท่านเองท่านเกรงตรงนั้นก็เอาบัญญัติตามเอาใจชาวโลกเขาหน่อยหนึ่ง
              เพราะฉะนั้นอย่างที่หลวงปู่บุดดา ท่านบอกว่าเป็นฆราวาสรักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือว่าถ้าหากว่าเป็นพระเป็นเณรรักษาศีล ๑๐ เราเองก็เอ๊ะ ! พระศีลตั้งสองร้อยกว่าข้อยังไม่ทันจะถามเลย ท่านบอกว่านั่นศีลเอาใจชาวโลกเขา เณรมีศีลแค่ ๑๐ ข้อเป็นพระอรหันต์ตั้งเยอะแยะไป เราก็เออจริงไม่อย่างนั้นสามเณรจะเป็นอรหันต์ได้ยังไงถ้าหากว่าต้องรักษาตั้ง ๒๒๗ เท่ากับพระ เพราะเณรมีแค่ ๑๐ ข้อเท่านั้นเอง อันอื่นเอาใจชาวบ้านซะตั้งเยอะ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าพระพม่าขโมยต่ำกว่าทอง ๑ สลึงก็ไม่เป็นไรซิครับ ?
      ตอบ :  ลักษณะเดียวกันว่า ถ้าหากว่าขโมยจะมีกำหนดว่าแค่นี้โดนทุกกฎ แค่นี้โดนถุลลัจจัย แค่นี้โดนปาราชิก มันจะมีโทษหนัก โทษเบาต่างกัน
      ถาม :  แต่เขาจะไม่ถือว่าเป็นปาราชิก ?
      ตอบถ้าหากว่าของเขา ๆ ไม่ถือ แต่ถ้าหากว่าเรารู้นี่เราต้องว่าไม่ให้ร่วมสังฆกรรมกับเราแน่นอน ของเรา ๆ ถือมันไม่เหมือนกัน ตอนนี้ทางวัดท่าขนุน พวกขโมยหายไปแล้ว เพราะว่าประชุมพระครั้งก่อนบอกเขาเลยบอกว่าถ้าใครขโมยอนุญาตให้อัดให้น่วมไปเลย ถ้าหากว่าจะมีโทษทางกฏหมายทางอะไรจะไปประกันตัวให้ บอกเอาให้น่วมไปเลย ล่อให้ช่ำเลย เสร็จแล้วจะเอาไปส่งตำรวจเอง มันจะฟ้องร้องข้อหาทำร้ายร่างกายยังไงก็จะไปประกันตัวให้ คือคนเราส่วนใหญ่ที่ปล่อย ๆ ไว้ที่มันเละเทะก็เพราะว่ามันไม่มีใครรับรองให้
              ทำไปอันดับแรกไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นที่ชอบใจใครหรือเปล่า ดีไม่ดีตนเองไปทำร้ายคนอื่นเขาจะถูกไล่ออกจากวัดด้วยซ้ำอย่างนี้ อันดับที่ ๒ ถ้าทำไปอย่างนั้นแล้วมันมีผลมีโทษผิดกฏหมายขึ้นมาใครจะช่วยกู อย่างนี้เขาก็เลยไม่กล้าแตะ ไม่กล้าต้อง
              ไปอยู่ที่นั้น ๓๔ เดือน สึกพระไปจะ ๒๐ องค์แล้วล่ะ บางองค์ไม่ได้ผิดแต่มันมีแววว่าจะผิดก็ขอให้ท่านสึกไป อย่างบางองค์มันจะมีประวัติยาเสพติดมาอย่างนี้ เข้ามาบวชท่านก็ไม่ได้เสพไม่ได้อะไร แต่พวกเก่ามันเวียนมาหา ในเมื่อพวกเก่ามันเวียนมาหาเดี๋ยวไม่นานก็เสร็จเขา ในเมื่อมันเป็นแบบนี้คุณอยู่ไปก็ทำให้คนอื่นเขาเสียหายเปล่า ๆ ก็ดีนะเขาก็ยอม
      ถาม :  มีพระวินัยที่บอกว่าห้ามเสพยาเสพติด้วยเหรอครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วที่ท่านบอกอะระตี วิระตี ปาปา มัชฌะปานา จะสัญญะโม บอกเอาไว้ชัดแล้วนี่อาจจะไม่ได้ห้ามเอาไว้ชัดเจนเลย แต่ว่าอย่างศีลอย่างนี้ สุราเมระยะมัชชะปะมา อย่างนี้ สุราสิ่งที่ต้องกลั่นขึ้นมาประกอบด้วยแอลกอฮอล์ เมรัย สิ่งที่หมักดองประกอบด้วยแอลกอฮอล์ มัชชะ ของที่เสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ มันเยอะเลยนะ แต่คราวนี้คนเรามันยึดแต่สุราคำเดียวน่ะซิ อีก ๒ คำมันไม่แปล
      ถาม :  ไวน์กินได้อะไรประมาณนี้ครับ ?
      ตอบ :  มันก็ล่อซะอ่วมไป พระสาคตะเถระ ไงเป็นผู้ที่เลิศในฌานสมาบัติ ก็คือเก่งทางเตโชกสิณ มีพญานาคอยู่ตัวหนึ่งหวงท่าน้ำมากเลย ใครลงไปใช้ท่าน้ำอาละวาดกระจาย พระสาคตะก็ไปปราบเข้าเตโชกสิณเผาซะพญานาคกระเจิดเจิงอยู่ไม่ได้ใช่มั้ย ? ชาวบ้านเขาก็สรรเสริญความสามารถของท่านก็เที่ยวไปสอบถามลูกศิษย์ของท่านว่าพระเถระท่านชอบอะไร ? ลูกศิษย์ก็แนะนำเลย สุรารสอ่อนที่สีเหมือนเท้านกพิราบ ไวน์แดงแหง ๆ เลย
              คราวนี้ออกบิณฑบาตก็คนโน้นแก้วหนึ่ง คนนี้แก้วหนึ่ง ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่ือย ทีนี้เดินกลับไม่ถึงกุฏิหรอก หมอบอยู่กลางทางนั่นแหละ พระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาพอเห็นเข้า ก็ถามว่านั่นใคร พระอานนท์ เข้าไปดูบอกว่าพระสาคตะเถระพระพุทธเจ้าข้า ก็อ๋อ ผู้ที่ปราบพญานาคได้ที่ถือว่ามีความสามารถมากเลยใช่มั้ย ? ตอนนี้งูน้อยตัวหนึ่งปราบได้หรือเปล่า ? บอกไม่ได้พระเจ้าข้า ท่านก็เลยตรัสให้รู้ว่าโทษของสุราเป้นยังไงแล้วก็บัญญัติห้ามไม่อย่างงั้นนี่ก็ยังกินเหล้าได้อยู่นะ ได้พระสาคตะมาเริ่มต้นให้ ลูกศิษย์ก็เหลือเกินนะ อันนี้ยังดีลูกศิษย์เห็นว่าไม่ผิดใช่มั้ย ?
              ถ้าอย่างพระอุทายีนั่น ผู้หญิงเขาถามว่าถวายอะไรกับพระแล้วได้บุญมากที่สุด พระอุทายีหลอกเขาบอกว่าต้องบำเรอด้วยกามอย่างนี้ เสร็จแล้วผู้หญิงก็โอเค บอกอยากทำบุญด้วย พระอุทายีก็ประเภทไปแสดงอาการเหยียดหยามดูถูกเขาอีก เขาโกรธไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยบัญญัติว่าถ้าภิกษุหลอกล่อหญิงว่าต้องบำเรอตนด้วยกามต้องอาบัติสังฆาทิเทส อันนี้ขาดความเป็นพระชั่วคราว ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะแค่พูดบอกเขาเท่านั้นเอง ปรับขาดความเป็นพระชั่วคราวเลย
              สังฆาทิเสสนี่หนักรองจากปาราชิก ถ้าปาราชิกถูกประหาร สังฆาทิเสสก็จำคุกตลอดชีวิต เพราะว่าสังฆาทิเสสนี่ขาดความเป็นพระ พอขาดความเป็นพระเสร็จต้องอยู่กรรมชดใช้ก่อน เพราะว่าสังฆาทิเสสนี่ขาดความเป็นพระ ก็ต้องใช้หนี้เหมือนกับติดคุกที่เรียกว่าอยู่ปริวาส คืออยู่จำกัดเขตถ้าหากว่าโดนปุ๊บแล้วไม่ปกปิดคือ รีบบอกเลยก็อยู่ใช้หนี้ ๖ วันกับ ๖ คืน แล้วก็ให้พระสงฆ์ ๒๐ องค์ สวดคืนความเป็นพระให้ถึงจะกลับเป็นพระอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าของปาราชิกนี่ขาดความเป็นพระ ขาดแล้วขาดเลย บวชใหม่ไม่เป็นพระ อยู่ไปก็ไม่เป็นพระ
              ดังนั้นว่าอันหนึ่งจะขาดความเป็นพระเลยแก้ไขไม่ได้ อีกอันหนึ่งแก้ไขได้แต่ยาก ถึงได้ว่าหลวงพ่อท่านย้ำบอกว่า ครุกาบัติ คืออาบัติหนัก อาบัติหนัก คือการที่ศีลต้องขาดไป อาบัติหนัก ปาราชิก ๔ ข้อ สังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ รวมแล้ว ๑๗ ข้อ อย่าให้มันโดน มันโดนแล้วมันแก้ไขไม่ได้กับมันแก้ไขยาก อันอื่นมันโดนบ้างเป็นเรื่องปกติก็ให้รีบแสดงคืนซะ ที่เขาเรียกปลงอาบัติ คือสารภาพผิด พอสารภาพเสร็จแล้วก็ให้ระมัดระวังเอาไว้ ตอนนี้มีพยานแล้ว เพราะเราไปยืนยันแล้วว่า เราจะไม่พูดอีกไม่คิดไม่ทำอย่างนี้อีก
      ถาม :  พระที่ปาราชิกนี่ไปบวชที่อื่นเขาก็ไม่รู้ ?
      ตอบ :  สมัยก่อนเขามีดีอยู่อย่าง คือ เขาโดนสักหน้าใครโดนปาราชิกนี่ เขาสักตัวป.ปลา ตัวเบ้อเร่อไว้บนหน้าผาก สมัยนี้มันไม่มีนี่ ไปแอบบวชที่อื่น ถ้าหากว่าพระอุปัชฌาย์ไม่มีความคล่องตัวในด้านทิพจักขุญาณก็เรียบร้อยเลย ไปบวชให้เขาใหม่เขาไม่ใช่พระ ไปกินกับพระร่วมนอนกับพระ สังฆกรรมกับพระ มันนอกจากจะเกิดโทษกับตัวเองแล้ว สังฆกรรมนั่นยังเสียด้วยเพราะเรียกว่า เป็นอนุปสัมบัน คือมีศีลไม่เท่าเขา อุปสัมบัน คือมีศีลเสมอกัน สังฆกรรมนั้นจึงจะสมบูรณ์ สังฆกรรมมีอะไรล่ะ ลงปาติโมกข์ บวชพระ สวดกฐิน สวดอัพภาณ อะไรเหล่านี้ เข้าไปร่วมอยู่แม้แต่องค์เดียว สังฆกรรมเขาเจ๊งไม่เป็นท่ามันไม่สมบูรณ์