ถาม :  ในบางครั้งที่เราไม่พร้อม แล้วเราเกิดสภาวะจิตที่อ่อนล้า และอ่อนเพลียมาก เขาก็ยังมาขอความช่วยเหลือและเราก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ เราจะมีวิธีไหนมั้ยเจ้าคะที่เราไม่ต้องไปช่วย ?
      ตอบ :  ช่วย แต่ว่าขณะเดียวกันว่าให้มีเวลาเฉพาะของตัวเองด้วย อย่างที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้ของอาตมาเองจะมีเวลาส่วนตัวที่ว่าเมื่อถึงเวลา อย่างเช่นเดือนมกราทั้งเดือนจะไม่รับกิจนิมนต์ที่ไหน จะตั้งหน้าตั้งตาใช้เวลาที่เหลือนี่ มันเหมือนกับอย่างเช่นชาร์จแบตเตอรี่ตัวเอง เพราะว่าถ้าเราไม่ทำในลักษณะนี้แล้ว ช่วยเขามาก ๆ กำลังของตัวเองมันน้อยลงมันแย่อยู่เหมือนกัน แล้วอีกทีถ้ากำลังใจมันข่มกิเลสได้ เผลอไปฟุ้งซ่านกับคนอื่นมาก ๆ กิเลสมันตีกลับอีก
              เพราะฉะนั้นเราประมาทไม่ได้ ต้องมีเวลาเฉพาะของตนเอง อย่างเช่นว่าเราตั้งใจว่าครึ่งวันแรกนี่จะช่วยแล้ว ครึ่งวันหลังนี่ฉันจะเอาเฉพาะเรื่องของฉันเอง ครึ่งวันหลังนี่ใครมาก็เรื่องของเอ็ง ไม่เกี่ยวกันแต่ต้องมีเวลาเฉพาะของตนเองเพื่อรักษาใจเราให้ได้
      ถาม :  ต้องกำหนดเวลาไว้ด้วยใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  กำหนดเวลาไว้ด้วย ไม่ใช่ช่วยเขาเรื่อยไปอย่างนั้นเรามันจะแย่
      ถาม :  ก็ไม่กล้าปฏิเสธคนที่เขามาขอความช่วยเหลือ ?
      ตอบ :  อาตมาเองไม่ปฏิเสธหรอกจ้า ถึงเวลาล็อคประตูเลย
      ถาม :  อ๋อ ต้องป้องกันตัวเองใช่มั้ยเจ้าคะ มีมือถือก็ปิดมือถือใช่มั้ยเจ้าคะ ?
      ตอบ :  จ้า ของเราเองเราต้องป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะป้องกันจากกิเลส เผลอเมื่อไหร่มันกินเราเมื่อนั้น เผลอได้ที่ไหนล่ะ ?
      ถาม :  เราต้องคอยระวังจิตตลอดเวลาใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  จ้า นั่นแหละคำนี้แหละที่สมควรที่ทุกคนจะทราบไว้ได้เลย ส่วนใหญ่มันก็รู้แล้วล่ะ แต่มันคลำไม่ถูกจุด ต้องระวังใจตัวเองไว้ตลอดเวลาอย่าให้เผลอได้ เผลอเมื่อไหร่กิเลสมันฟัดตาย แรก ๆ ก็ปิดมือถือซะก่อน พอต่อ ๆ เขาถามก็บอกมีเวลาส่วนตัวช่วงนี้ ๆ ไม่ต้องโทรถึงเวลาฉันปิดแน่นอน
      ถาม :  คาถาที่ภาวนาแล้วเห็นผีนี่ แล้วจะคุยกับเขาได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่มันจะเห็นเฉย ๆ แต่คราวนี้พวกได้มโนมยิทธิคุยได้อยู่แล้วนี่ อันนี้สำหรับคนที่เขาไม่รู้จักผีเลย อยากจะเห็นอย่างนี้ภาวนาแล้วจะเห็น แต่ตอนที่ภาวนาอยู่อยากมากเกินไป มันจะไม่เห็นจะไปเห็นตอนหลับ คราวนี้วิ่งกันเหนื่อย
      ถาม :  เขาเข้าฝันยังไงเจ้าคะ ?
      ตอบ :  มันไม่ใช่เข้าฝันหรอก ของผีนั่นอาจจะเป็นอำนาจของพระหรือของเจ้าของคาถาเขาช่วยทำให้ ลักษณะของการเข้าฝันนั่น เขาจูนคลืนให้ตรงเท่านั้นเอง ที่รับไม่ได้เพราะตั้งคลื่นผิด อยากมากเกินไป พออยากมากเกินไปมันไม่ได้ ถึงเวลาเขาแอบจูนคลื่นตรงกัน พอช่องเดียวกันก็รับกันได้แล้วเขาอยู่คนละความถี่กับเรา
      ถาม :  แล้วแสงออกจากกายเทพ เทวดาแต่ละระดับนี่แสงเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ :  กำลังความดีไง กำลังความดีพอสะสมเข้ามาก ๆ ความสว่างไสวของจิตมันก็มากขึ้นยิ่งมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีศักดานุภาพมากขึ้นเท่านั้น คือบุญที่ตัวเองสร้างสะสมโดยเฉพาะที่ใครสร้างพระพุทธรูป แหม...สว่างดีแท้เลย พุทธบูชา มหาเตชะวันโต นี่ไงถึงได้ว่าเวลาถวายสังฆทานให้มีพระพุทธรูปด้วย ที่เมื่อกี้บอกหนูว่ายิ่งองค์ใหญ่ยิ่งดี เผลอไปเป็นนางฟ้าอีก คราวนี้สวยกว่าคนอื่นเขาบุญเยอะเท่าไหร่ก็สวยมากเท่านั้น
      ถาม :  แล้วทำบุญอะไรเจ้าคะ พูดแล้วถึงจะมีพาวเวอร์มีพลังเป็นผู้นำได้ ?
      ตอบห้ามผิดศีลข้อ ๓ ถ้าเราไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ เราจะเป็นบุคคลที่มีอำนาจปกครองใครเขาก็เชื่อฟังหมด ถ้าไปละเมิดคนใต้ปกครองของคนอื่นเขา ก็ปกครองคนอื่นไม่ได้
      ถาม :  แล้วพูดยังไงถึงจะให้คนรักเจ้าคะ ?
      ตอบ :  พูดยังไงถึงจะให้คนรัก ปิยะวาจา พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ชัดแล้วใช่มั้ย ? พูดแต่วาจาอันเป็นที่รักที่ชอบใจของคนอื่นเขา รู้ว่าเขาชอบยังไงก็พูดอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ว่าเขาชอบฟังเรื่องโกหก แล้วไปโกหกให้เขานะ อันไหนที่มันละเมิดศีลละเมิดธรรมเราก็หลบซะ บ้าตามเขาไปแค่กรอบของศีลเท่านั้น
      ถาม :  แล้วพวกที่ชอบพูดส่อเสียดนี่กรรมของเขาจะเป็นยังไงเจ้าคะ ?
      ตอบ :  กรรมเป็นยังไง ? อย่างนางปิสุณาวาที ครอบครัวนี้คงเป็นประเภทที่พ่อแม่สร้างกรรมไว้สาหัสสากรรจ์เลย ลูกแต่ละคนไม่เหมือนกันสักอย่าง นางปิสุณาวาทีชอบยุคนให้แตกกัน เห็นใครที่ไหนเขาทะเลาะกันด้วยความสามารถตัวเองจะมีความสุขมากทีเดียว อีกคนหนึ่งก็ชอบลักชอบขโมย มีอะไรก็หยิบฉวยมันไปเรื่อย อีกคนนึงก็กินสารพัดจะกินเจออะไรฟาดกระจายหมด
              จนกระทั่งพ่อแม่ทนไม่ไหวแต่ว่าด้วยความรักลูกก็ยังเลี้ยงอยู่แต่คนร่วมหมู่บ้านเขาทนไม่ไหวด้วย เขาเล่นจับลอยแพลงทะเลไป ก็ยังบุญดีไปเจอเรือโจรสลัดเข้ารับขึ้นเรือมา นายโจรเขาเห็นผู้หญิงสวย สงสัยว่าทำไมถึงโดนลอยแพมา พอสอบถามเรื่องราวเข้าก็คิดว่า เออ....นิสัยคนเรามันต้องแก้ไขกันได้ นายโจรเขามีความสามารถปกครองพวกลูกน้องตั้งเยอะตั้งแยะก็ลองแก้ไขดู คนช่างกินก็ให้ไปเป็นแม่ครัว เคยเห็นแม่ครัวช่างกินมั้ยล่ะ ? ทำไปทำมามันหมดอารมณ์ไปเองน่ะใช่มั้ย ? เออ...รอดไปรายหนึ่ง คนช่างขโมยยกกุญแจคลังสมบัติให้มันเลย ให้มันเฝ้าคลังเอาไว้อะไร ๆ ก็เป็นของตัวเองแล้วไม่รู้จะขโมยอะไรมันก็เลยเลิกนิสัยขโมยได้ ทีนี้มาปิสุณาวาทีแก้ไม่ตก ไปเที่ยวยุลูกเรือคนโน้นยุคนนี้ทะเลาะเบาะแว้งกันยุ่งไปหมดทั้งเรือ เขาจะตีกันตาย นายโจรเขาทนไม่ไหวเขาเลยจับใส่แพลอยต่อไป ลอยเท้งเต้งไปคนเดียว
              พอลอยต่อไป เออ....บุญแกก็ยังดีอยู่ไปเจอนกอินทรีใหญ่ ๒ ตัวผัวเมียบินมาหากินในทะเลหรือว่าจะบินกลับฝั่งก็ไม่รู้ เห็นเข้าสงสารก็เลยตั้งใจจะช่วย มันก็แปลกอยู่ตอนนั้นคนกับสัตว์พูดภาษาเดียวกันได้ ตั้งใจจะช่วยก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นอินทรี ๒ ผัวเมียก็แกะเอาไม้แพมาอันหนึ่งแล้วก็ให้นางสุณาวาทีเกาะอยู่ตรงกลางแล้วก็จะพาเข้าฝั่งก็ตกลง
              ระหว่างที่อินทรีใช้กรงเล็บขยุ้มไม้อยู่แม่นางนี่เขาเกาะตรงกลางก็พาไป ยายนี่ทนปากคันไม่ไหวไต่ ๆ ไปตรงอินทรีที่เป็นผัวทำกระซิบกระซาบไปอยู่พักหนึ่ง ซักพักหนึ่งก็ไต่ไปทางเมียบอกว่าผัวแกน่ะเจ้าชู้เหลือเกินนะ เผลอแป๊บเดียวเกี้ยวฉันซะแล้ว นางเมียก็ยัวะขึ้นมา แทนที่จะหิ้วนางปิสุณาวาทีก็เลิกหันไปตีผัวแทน ผัวก็จำเป็นจะต้องป้องกันตัวก็ปล่อย ยายนั่นเลยตกน้ำตาแหงแก๋ ยัง ๆ ไม่หมดฤทธิ์ ศพโดนซัดลอยไปติดที่ชายฝั่งอยู่ที่โน่น ที่หน้าวัดพอดี พระเห็นเข้าก็เวทนาน้อ สัตว์โลกตายก็เอามาเผาใช่มั้ย ? พอเผาเสร็จเรียบร้อย ปรากฏว่าซากศพพออยู่ในวัดพระทั้งวัดก็ทะเลาะเบาะแว้งกัน
              ทีนี้คิดไปคิดมาก็อะไรมันจะฤทธิ์เยอะขนาดนี้ พอสำรวจได้ว่าคงจะเป็นศพนี้แน่ก็เลยเอาไปทิ้งที่ป่าช้า เพราะว่าเผาจนเหลือแต่เศษกระดูกเศษกะโหลกหน่อยเดียว พอไปทิ้งอยู่ในป่าช้าพวกนักเลงเหล้าก็ไปต้มเหล้ากินกันในป่า หาหินมาทำเชิงตะกอนหาได้ไม่ครบ คว้าได้กะโหลกมาก็ยัดเข้าไป
              ปรากฏว่า ทุกวันกินเหล้ามันก็ไม่มีอะไรอย่างเก่งก็เมาคลานกลับบ้านไปหลับ วันนั้นตีกันหัวร้างข้างแตกหมด แล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาใครกินเหล้าออกอาการเดียวกัน
              เพราะฉะนั้นโทษของการกล่าววาจาส่อเสียด ก็ลองนึกแล้วกันว่ามันรุนแรงขนาดไหน ขนาดตายเหลือแต่หัวกะโหลกมันยังมีฤทธิ์นะ ไง...ไปเจอใครเขาส่อเสียดมาหรือเปล่า ? ส่อเสียดจริง ๆ ความหมายคือ ยุคนอื่นให้เขาแตกกันนะ ปิสุณาวาทีเขาแปลว่า วาจาส่อเสียดผู้อื่น มันจะมี มุสาวาทา โกหก ผรุสวาทา กล่าวคำหยาบ สัมปลัปปรวาทา พูดเพ้อเจ้อ แล้วก็ ปิสุนาวาทา ส่อเสียดชาวบ้าน แหม....ชื่อเขาบอกตรงเลยนะ อะไรก็แก้ได้สันดานพูดส่อเสียดนี่แก้ไม่ได้ จับลอยแพต่อไป
      ถาม :  ไม่ทราบว่าจะต้องทำยังไงน่ะเจ้าค่ะ มีกะเทยแถวบ้านน่ะเจ้าค่ะ มายืนด่าอยู่ตลอดเวลา เราก็ยืนดูเขาด่าเสร็จเราก็ไป แล้วพอเขาเห็นเรา เขาก็ด่ามาอีกก็ไม่รู้จะช่วยเขายังไงดีเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ก็ไม่ต้องช่วยจ้ะ พอเขาด่าจบเราก็ไหว้เขางาม ๆ ขอบคุณค่ะ แล้วก็เข้าบ้านเรา เจอเข้าหลาย ๆ ยกเดี๋ยวมันก็เซ่อไปเอง
      ถาม :  เราไม่ต้องทำอะไรเหรอเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องทำอะไร ตอบแทนความไม่ดีด้วยความดี อสาธุง สาธุนาชิเน พึงชนะความไม่ดีด้วยความดี
      ถาม :  พระที่เข้าพิธี พอดีไปเจอองค์หนึ่งเจ้าค่ะ พอได้มาปุ๊บรถเมล์วิ่งเข้ามาหาเลยเจ้าค่ะ แล้วเราก็รอดมาแบบหวุดหวิด ท่านต้องการแสดงอะไรให้เรารู้เจ้าคะ ?
      ตอบ :  แสดงให้เรารู้ว่าเราลาภมากราชรถเข้ืามาเกย พอดีราชรถมันคันใหญ่ไปหน่อย คือบางทีเราอาจจะประเภทนึกอะไรไม่ดีเกี่ยวกับท่านก็ได้ อย่างเช่นนึกว่าจะมีอานุภาพจริงเหรอหรือว่าอะไร ท่านก็เลยแสดงให้เห็นซึ่ง ๆ หน้า อย่างเดียวกับว่าสมัยก่อนที่หลวงพ่อสด แจกพระของขวัญองค์นิดเดียว เท่านิ้วมืออย่างนี้แล้วเสร็จแล้วก็บอกว่า โอ้โห...องค์นิดเดียวอย่างนี้จะคุ้มครองได้ยังไง กลางคืนพระท่านมาโตเต็มจักรวาลเลย ถามคนนั้นบอกว่าพอหรือยังใหญ่แค่นี้ เอาให้เข็ด
      ถาม :  ก็จริงเจ้าค่ะ พอรับมาก็ดูว่าไม่น่าจะศักดิ์สิทธิ์เลย ?
      ตอบ :  ก็เลยทำให้เห็นซึ่งหน้าว่าศักดิ์สิทธิ์
      ถาม :  ตั้งแต่วันนั้นมาไม่กล้าพกติดตัวเลย ?
      ตอบ :  (หัวเราะ) รีบ ๆ ไปพกติดตัวได้แล้วจ้า ขอขมาท่านก่อนแล้วกัน บอกว่าไม่ได้เจตนาจะดูถูกดูแคลนอะไรหรอกเจ้าค่ะ
      ถาม :  ไม่กล้าพกแล้วค่ะ รถเมล์วิ่งอยู่ ๒ ข้างแล้วเราอยู่ตรกลางเจ้าค่ะ แล้วรอดมาแบบหวุดหวิด แล้วทุกคนเขาก็ยืนดูว่ารอดมาได้ยังไง ?
      ตอบ :  ไม่น่ารอดเลยใช่มั้ย ?
      ถาม :  พระพุทธรูปแต่ละองค์นี่ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ท่านคุมอยู่หรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ พระพุทธรูปนี่จะมีเทวดารักษา แล้วเทวดาแต่ละองค์อานุภาพท่านไม่เท่ากัน องค์ไหนที่บารมีมากก็สามารถสงเคราห์คนได้มาก คนก็จะนับถือมาก อย่างบ้านเราเมืองเราพระพุทธรูปมีเป็นแสนเป็นล้านแล้วทำไมมีที่ชาวบ้านเขาเลื่อมใสจริง ๆ อยู่นับองค์ได้
      ถาม :  แล้วก็ต้องพุทธาภิเษกก่อนซิครับ ?
      ตอบถึงไม่พุทธาภิเษก เทวดาท่านก็รักษาอยู่แล้ว ถ้าเป็นพระพุทธรูป แต่ว่าการพุทธาภิเษกจะเป็นลักษณะว่า จับตัววางตาย ว่าองค์ไหนมีหน้าที่รักษา เพราะว่าถึงเวลาพุทธาภิเษกพระท่านมาก็จะให้ ท้าวสหัมบดีพรหม กับพระอินทร์รับผิดชอบว่าจะจัดเทวดาองค์ไหนรักษา แต่ถ้าหากว่าท้าวสหัมบดีหรหมหรือพระอินทร์ท่านมาเองท่านก็จัดการเอง
      ถาม :  แล้วของที่อยู่ในพิธีด้วยเหรอครับ ?
      ตอบ :  เหมือนกัน ลักษณะเดียวกัน ถึงเวลาแล้วก็จะมีการเจาะจงว่าคุณรักษาชิ้นนี้ ของคุณรักษาชิ้นนี้ ไม่ต้องห่วงหรอกต่อให้ทำมา ๑๐ ล้านชิ้นเทวดายังได้ไม่ถึงครึ่งชั้นเลย
      ถาม :  แล้วพระพุทธรูปนี่มีทุกองค์เลยเหรอคะ เทวดาน่ะ ?
      ตอบ :  ถ้าเป็นพระพุทธรูปเทดวาเขารักษาอยู่แล้ว ถ้าหากว่าเป็นพวกพระเครื่องพวกอะไรติดตัวนี่ต้องทำพิธีต่างหาก เพราะว่าพระพุทธรูปถ้าหากว่าบูชาไว้อยู่กับบ้าน อานุภาพของการคุ้มครองปกปักรักษาจะอยู่เฉพาะแค่นั้น แต่ถ้าหากว่าเรื่องของพระเครื่องติดตัวนี่จะเป็นการตัดเคราะห์กรรมให้ด้วย เพราะจากเคราะห์หนักก็จะเป็นเบา จากเคราะห์เบา ก็จะหายมันต้องมีพิธีกรรมต่างหากออกไป
      ถาม :  ถ้าหากว่ามีเทวดารักษาแล้วทำไมผมถึงโดนตัด.....(ไม่ชัด)....ล่ะครับ ?
      ตอบ :  เทวดาเขามีหน้าที่รักษาพระนี่หว่า ไม่ได้มีหน้าที่ห้ามไม่ให้คนตัด คือถ้าหากว่ามันไม่เกินวิสัยจริง ๆ ท่านก็จะช่วย
      ถาม :  ที่จริงก็น่าจะสงเคราะห์นะครับ ?
      ตอบ :  ก็ขอไม่ถูกนี่ ขอไม่ถูกจะไปให้ทำไมเล่า
      ถาม :  แต่ว่าคนเขาเดือดร้อนอยู่ไม่ใช่เหรอครับ ?
      ตอบการสงเคราะห์มันก็มีการจำกัดเขตเหมือนกัน อย่างเช่นว่าถ้าหากว่าบุคคลที่มีบารมีอยู่ มีการหนุนเสริมกันอะไรกัน ก็พอจะช่วยลดกระแสกรรมของเขา เพิ่มความสุขของเขาได้ คราวนี้บุคคลที่ประกอบไปด้วยบารมีอย่างหลวงพ่ออกไปจากสถานที่นั้นซะแล้ว ก็เป็นอันว่าเลิกช่วย
      ถาม :  งั้นหมายถึงว่าในการที่เราขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ นี่จริง ๆ แล้วบุคคลที่ขอต้องมี...?
      ตอบต้องมีทุนเดิมอยู่พอดี เพราะว่าอย่างนี้เปรียบเทียบให้ฟังเมื่อครู่นี้ว่า ถ้าหากว่ามีน้ำอยู่แค่นี้ช่วยไม่ไหวแล้ว แต่ถ้าขาดอยู่แค่นี้เติมนิดเดียวเต็มพอก็ช่วยสงเคราะห์กันได้
              เป็นพระเป็นเจ้ามันลำบากลูก ไม่ใช่รับของอะไรส่งเดชไปอย่างเดียวมันต้องให้แน่นอนก่อน บางคนเขาเอาของไปทิ้งไว้ในกุฏิมันก็กองอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะว่าเขาไม่ได้บอกว่าให้ ต้องมาไล่หาว่าคนไหนเป็นเจ้าของ แล้วไปถามเขาว่าเอามากองไว้ทำไม มันไปหยิบของเขาส่งเดชก็ไม่ได้ถ้าเกิดเขาไม่ได้ให้ เราตั้งใจเอาก็ซวยเลยน่ะซิ
      ถาม :  วิสาสะก็ไม่ได้เหรอครับ ?
      ตอบ :  เขามีไว้ว่า ๑. ต้องรู้จักกันมา
              ๒. เคยเห็นกันมา
              ๓. เคยพูดกันมา

              ข้อที่ ๔ หนักหน่อย รู้ว่าถ้าเราเอาแล้วเขาไม่ว่าอะไร ข้อสุดท้ายนี่แหละที่จะพาเราขาดความเป็นพระหรือเปล่า ? แต่ว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ให้วิสาสะ ท่านบอกทำอย่างนั้นเลวเกินไปโอกาสพลาดมันมี ไปวิสาสะเอาของที่เขาไม่เต็มใจให้ก็เรียบร้อยแล้ว ขาดความเป็นพระไปเลย
      ถาม :  แต่ถ้าเราอนุญาตให้แล้วแต่ว่าจะเอาอันไหนยังไงนี่ได้ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะได้ แต่ยังไงก็ควรจะให้บอกกันต้องดูตัวอย่างสมเด็จพระวันรัตน์วัดเทพศิรินทร์ สมัยท่านเป็นเจ้าคุณพระศาสนโสภณ มารับสังฆทานแต่ละที พอโยมประเคนเสร็จให้แน่นะ ? (หัวเราะ) แน่เจ้าค่ะ ไม่เอาคืนนะ ? ไม่ล่ะเจ้าค่ะ ให้แล้วจริง ๆ ใช่มั้ย ? ใช่เจ้าค่ะ เออ....แล้วค่อยเอา ท่านต้องย้ำแล้วย้ำอีกเพื่อความมั่นใจ เพราะถ้าเปลี่ยนใจเมื่อไหร่ ท่านพร้อมที่จะคืนนั่นแหละ น่ารักมากเลยองค์นั้นน่ะ แต่ว่าใครไปอยู่ใกล้ชิดอะไรเอาให้ดี ๆ นะ ถ้าคิดผิดจังหวะนี่ท่านใส่หงายท้องเลย คิดอะไรรู้หมดท่านรู้จริงนะองค์นั้นน่ะ ตอนนี้อายุมากแล้วไม่ค่อยสบายอยู่เรื่อย
              ในจำนวนพระสมเด็จพระราชาคณะที่เป็นธรรมยุติ สมัยก่อนก็จะสนิทสนมกับหลวงพ่อสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชผาติการาม เคยอยู่ใกล้รับใช้ท่านบ้าง แล้วก็มาสนิทกับท่านเจ้าคุณพระศาสนโสภณ ตอนนี้ขึ้นเป็นสมเด็จพระวันรัตน์ บางทีก็บอกกับคนบอกว่า สมเด็จ ๘ องค์ ถ้าเว้นสมเด็จพระสังฆราชนี่นิมนต์ได้ ๕ องค์ คนเขายังงง ๆ ว่าสมเด็จจะมีฝ่ายละ ๔ องค์ เราเป็นมหานิกายน่าจะนิมนต์ได้เฉพาะพระมหานิกายใช่มั้ย ? แต่เปล่าหรอกอาศัยความสนิทสนมส่วนตัวนี่นิมนต์ได้ ๕ องค์ คือเกินไปอีก ๑ คือที่สนิทชิดเชื้อกับท่านนี่ท่านเป็นธรรมยุติ