ถาม :  ที่หลวงพ่อท่านบอกว่าให้ดูระหว่างพระศรีอริยเมตตรัยกับหลวงพ่อปานนี่หมายความว่าอย่างไร ?
      ตอบ :  เปรียบเทียบให้ดูว่าเนื้อท่านใกล้เคียงกันน่ะ เพราะว่าพระศรีอริยะเมตตรัยกับหลวงปู่ปานก็เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็มเหมือนกัน ให้ดูว่าความสวยใกล้เคียงกันแบบนั้นแหล่ะ คือตอนที่จะหล่อรูปนี่ หลวงพ่อก็กราบอัญเชิญพระศรีอริยเมตตรัยมาให้เป็นแบบเลย เสร็จแล้วจะได้จำไปบอกช่างเขา ท่านเองท่านก็ทำให้ดูแบบนี้ ๆ จนกระทั่งมาแย่อีตรงที่ว่าเนื้อแก้วนี่จะให้ทำอย่างไร ท่านก็บอกให้ปิดเงินซิ
      ถาม :  มีคนทักผมว่าผมมีเจ้ากรรมนายเวรทำให้ผมทำอะไรทุกอย่างติด ๆ ขัด ๆ ?
      ตอบ :  คนทุกคนมีหมด ไม่มีใครหรอกที่ไม่เคยทำความชั่วมา เพราะฉะนั้นมันก็เป็นทุกคนล่ะ
      ถาม :  แล้วจะทำอย่างไรให้มันบางเบาลงได้ ?
      ตอบ :  อุทิศไปบ่อย ๆ ตื๊อเท่านั้นที่จะครองโลก ถึงเวลาเขาทนไม่ได้ก็อโหสิให้เอง พยายามทำบุญใหญ่ บุญใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะ บุญในสังฆทาน วิหารทาน สร้างพระชำระหนี้สงฆ์อย่างนี้เป็นต้น มีโอกาสร่วมกับเขาบุญใหญ่พวกนี้ก็เหมือนประเภทข้าวของราคาสูง ต่อให้คุณตงฉินขนาดไหนยื่นให้บ่อย ๆ เดี๋ยวมันเผลอรับเอง เพราะเจ้ากรรมนายเวรมันกลัวลูกตื๊อ ให้บ่อย ๆ มันใจอ่อน
      ถาม :  มีตรัสรู้ในจักรวาลอื่นมั้ยครับ ?
      ตอบ :  จักรวาลอื่นต้องใช้ว่า ส่วนมากนะ คนจะมีความสุขไปบอกเขาว่าโลกนี้มีความทุกข์ เขาไม่รู้เรื่องหรอก บางโลกเขาอายุเป็นหมื่น ๆ ปี ดูหน้าแล้วแก่น้อยกว่าเราตั้งเยอะ บอกว่าไม่เที่ยงก็ไม่รู้ก็หมื่นกว่าปีมาดูก็ยังอยู่อย่างนี้ จะทำให้การเข้าถึงธรรมลำบาก การเผยแพร่ธรรมลำบาก ในเมื่อเผยแพร่ไปแล้วมีผลน้อยได้ประโยชน์กับคนน้อย แทนที่จะได้เยอะ ๆ ก็ไปเกิดในที่ ๆ มันสมควรมากกว่า
      ถาม :  แล้วเวลาที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์นี่ ที่ตรัสรู้นี้ไม่ทราบว่าในจักรวาลนี้มีพระพุทธเจ้าเกิดซ้อนกันหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ไม่มี มีที่นี่ที่เดียว เขาจึงเรียก มงคลจักรวาล คือมีที่ชมภูทวีปที่เดียว แต่ถึงเวลาเมื่อตรัสรู้แล้ว เวลาพระองค์จะทรงเสด็จไปโปรดที่อื่นเป็นเรื่องง่าย ของที่อื่นที่เขามีมนุษย์ก็มี แต่บุคคลที่เขาเข้าถึงธรรมได้ง่ายแล้วโอกาสมันน้อย ก็เลยเอาคนหมู่มากเป็นหลักก่อน แล้วที่เหลือคนอื่นก็ค่อยไปสงเคราะห์เขา พวกมนุษย์ตามจักรวาลต่าง ๆ ก็เกิดสลับกันไปสลับกันมา ไปนรกไปสวรรค์ ไปนิพพานได้เหมือนของเรานั่นแหละ
      ถาม :  มีคนเขาบอกว่า การสวดอาการวัฏฏสูตรเป็นการเร่งเจ้ากรรมนายเวรจริงหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันนะ เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี่ โอกาสที่คุณจะไปเร่งรัดไปอะไรมันไม่มีทั้งนั้น เรื่องของกรรมมันแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ๑๒ ประเภท ให้ผลตามวาระ ให้ผลตามลักษณะ ให้ผลตามเวลา จะแบ่งกันออกไปเป็นระยะ ๆ อันนี้มาอันโน้นไปอะไรอย่างนี้ของเขาก็จะจัดลำดับกันตามหนักเบาของเขากันเอง คุณไม่ีมีสิทธิ์จะไปนั่งเร่งเขาหรอก ยกเว้นอย่างเดียวเร่งความดี เพื่อหนีให้เยอะ ๆ ถ้ามีบทสวดประเภทชุมนุมเจ้ากรรมนายเวรได้ก็ดีนะ ว่าอะไรนะ อาการวัฏฏสูตรใช่มั้ย ? ถ้าเป็นไปได้ก็ดี จะได้ตกลงกันไปเสียทีเดียวเลย แน่จริงก็ทวงไปซิให้มันตาย ๆ ไป จะได้หมดเรื่องไม่ต้องเสียเวลามาทนอยู่
              เขาว่าพยายามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือของหลวงพ่อเข้าไปจับซิ สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ตามพระไตรปิฎกนั่นก็คือหลักเลย ตามหลักการนั่นแต่ว่าส่วนใหญ่พวกเรามันขี้เกียจค้นคว้าใช่มั้ย ? มันก็เดือดร้อนพระทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ให้ผลในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นครุกรรมฝ่ายกุศลคือฝ่ายดี กับครุกรรมฝ่ายอกุศลคือฝ่ายชั่ว อุึปปัชชเวทนียกรรมให้ผลในชาติที่ ๒ อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ มันไล่ไปเรื่อย จนท้าย ๆ อโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน
              ฉะนั้นวาระเวลาของการให้ผลมันมีอยู่ จะไปเร่งรัดอะไรของเขาไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเป็นไปตามหนักเบาของการกระทำ แต่อัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่ง กรรมที่เรารู้สึกว่าหนัก ให้ผลแล้ว ๆ กัน แต่กรรมที่เรารู้สึกว่าเบา ให้ผลแล้วให้ไปเรื่อย ตลกดี
              แต่ว่าสมมติว่าครุกรรมฝ่ายกุศลเราได้ถวายทานกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติเราจะรวยวันนั้นเลย แต่ว่าได้ตอนนั้นทีเดียวได้แล้วเลิกกันเลยไม่มีผลต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกันถ้าหากว่าคุณถวายสังฆทานมันไม่หนักเท่านั้น แต่ว่าชาตินี้คุณรวย ชาติต่อไปคุณรวย เป็นพระเจ้ามหาจักรพรรดิ เป็นมหากษัตริย์ เป็นมหาเศรษฐีตามหลังยาวไปเรื่อย กลายเป็นว่าของหนักให้ผลครั้งเดียว
              ถ้าเปรียบเหมือนกับพวกพืชผัก ให้ผลเร็วมากแต่เก็บทีเดียวหมด แต่ขณะเดียวกันถ้าเจอผลไม้ยืนต้นนี่มันให้ผลช้า อาจจะชาติที่ ๒ ๓ ๔ ๕ แต่ถ้าให้ผลมันให้ยาวไปเรื่อย ๆ เหมือนกับผลไม้ยืนต้น ผลของกรรมนี่ต้องศึกษายถากัมมุตาญาณให้ดี แล้วถึงเวลาแล้วจะรู้ว่ามันน่ากลัวขนาดไหน ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เราจะไปคิดว่าความชั่วมันนิดเดียวแล้วทำพลาดเมื่อไหร่เดี้ยงเมื่อนั้น ขนาดความดีความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรียกว่า กตัตตากรรมคือกรรมที่ทำโดยไม่เจตนา
              ขนาดพระพุทธเจ้ามันยังสนองเลย วาระสุดท้าย หลังจากปลงอายุสังขารแล้ว พระองค์เดินจากปาวาลเจดีย์ไปยังกุสินารา ระหว่างทางเกิดเหน็ดเหนื่อยกระหายน้ำขึ้นมา ก็บอกพระอานนท์ ให้ปูผ้าสังฆาฏิใต้ต้นไม้แล้วไปตักน้ำมา พระอานนท์ก็เพิ่งเดินผ่านลำธารไปอยู่ก็รู้ ๆ อยู่ว่าใกล้แค่นั้นเองก็ย้อนกลับไปตัก ปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่มเพิ่งจะลุยผ่านไป ขุ่นคลั่กเลยกรองยังไงก็ไม่ใส เดินกลับมารายงานพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีน้ำเพราะเกวียนเพิ่งจะลุยผ่านไป พระพุทธเจ้าบอกกลับไปเถอะ ตถาคตกระหายน้ำ ๆ นั่นมีอยู่ พระอานนท์สงสัย แต่ว่าด้วยความเชื่อมั่นก็ย้อนกลับไปอีกทีปรากฏว่าน้ำใส
              เกิดจากกรรมนิดเดียวว่า ในสมัยชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นเด็กชาวนา ถึงเวลาปลดวัวออกจากไถก็รีบเอาไปกินน้ำ วัวมันหิวมาทัุ้้งวันนี่ ถึงเวลาก็พรวดพราดไปกินน้ำ มันไม่ได้สังเกต แต่ว่าพระพุทธเจ้าชาตินั้นท่านสังเกตเห็นแล้วว่า วัวมันจะกินน้ำขุ่นก็สงสารมันว่าน้ำมันขุ่นอย่ากินเลย ก็ดึงมันมาย้ายมากินน้ำใส ใกล้กันอยู่นิดเดียวนั่น กรรมที่ทำโดยเจตนาดี แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งอะไรแท้ ๆ วาระสุดท้ายยังตามมาสนอง ขนาดพระพุทธเจ้ายังเล่นขนาดนั้น ของเรานั่นรอดยาก
              ยิ่งศึกษาไปจะยิ่งเห็นความน่ากลัวของมัน ตราบใดที่ยังมีกรรมคือการกระทำตราบนั้นการเวียนตายเวียนเกิดยังมีอยู่ จนกว่าเราจะหยุดการกระทำนั่นลงได้อย่างสิ้นเชิง เป็นอรหันต์ถึงจะหยุดการเวียนตายเวียนเกิดได้ กรรมมันน่ากลัว พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า อย่าประมาทว่าเห็นความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ แล้วอย่าประมาทว่าเห็นความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ทุกอย่างที่ทำให้ผลทั้งนั้น ต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั่นก็เกิด เราลงมือเมื่อไหร่ได้เรื่องเมื่อนั้น ฉะนั้นเราก็ต้องหยุดให้ได้
              ของพระอรหันต์จะเห็นได้ว่าท่านก็มีการกระทำ แล้กระแสกรรมมันขาดอย่างไร ? ชักมึนเรื่องไกล ท่านเป็นการกระทำที่เหลือเพียงกิริยาเท่านั้น ตัวมายาไม่มี ขนาดศีลของพระ พระพุทธเจ้าท่านยังให้สติวินัยกับพระอรหันต์ว่าเป็นปาปมุึติ คือพ้นจากบาปแล้ว เจตนาที่จะล่วงศีลใหญ่ของท่านไม่มี แต่จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความเคยชินเดิมของท่านมีอยู่ ก็เลยต้องให้สงฆ์สวดประกาศกับผู้เป็นอรหันต์ว่า ให้เป็นผู้ทรงสติวินัย จะได้ไม่ต้องให้ใครไปโจทก์ว่าท่านต้องอาบัติ ทำโดยกิริยาเฉย ๆ ตัวจิตที่จะปรุงแต่งให้เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นบุญเป็นบาปมันไม่มีแล้ว มันเหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว ฟังดูเหมือนเข้าใจมั้ย ? ถึงเวลาไปคลำเองหาไม่เจอหรอก

              (เล่าเรื่ืองไปพม่า) ....สำหรับคนอื่นอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับเราแล้วมันสนุก สนุกอยู่ตรงว่า เราได้พิสูจน์กำลังใจของเราอยู่ตลอด ดูอยู่ตลอดเวลา ข้ามไปทางฝั่งโน้นต้องอาศัยพระท่านตลอดเวลาเพราะเราเข้าไปในลักษณะเหมือนกับหลบหนีเข้าเมือง ถึงเวลาจะผ่านได้ผ่่านไม่ได้ต้องถามท่านก่อน ถ้าท่านบอกผ่านได้ลุยเข้าไปเถอะ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
              ตอนที่สำคัญที่สุดก็ไปติดด่านใหญ่ที่ข้ามแม่น้ำสาละวินตรงเมืองพะอาง เมืองหลวงของรัฐกะเหรี่ยงเขา จีนฮ่อมันขึ้นรถมาทั้งฝูงเลย เขาก็เลยต้องตรวจค้นเป็นพิเศษหน่อย ก็พวกนี้มันทำยาเสพติดขายนี่ ค้นไปค้นมาก็มาถึงเราไม่รู้จะทำยังไง นึกขึ้นมาได้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ คาถานารายณ์แปลงรูป ก็เลยตั้งใจนึกภาวนาคาถานึกถึงหน้าหลวงปู่องค์หนึ่งที่เมืองมุด่งของรัฐมอญเขา ชอบใจตรงที่ท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ยืมหน้าท่านมาใช้
              พอยืมหน้าท่านมาใช้ ขำก็ขำมันสัมภาษณ์ท่านนาวิน มันถามว่าพูดพม่าได้มั้ย ? ท่านนาวินนึกว่าถามเรา ก็บอกได้นิดหน่อย ถามว่ามาทำอะไร มาธุระอะไร จนท่านนาวินนึกได้ว่า เอ้ย ....นี่มันถามกูนี่หว่า ก็เลยบอกไปเลยว่าเป็นพระที่นี่เอง เป็นเจ้าอาวาสด้วยมันถึงได้เลิกถาม ตัวเราเองต่างชาติแท้ ๆ เลยมันเห็นเป็นพวกของมัน ๆ ไม่ถามสักคำ คนพม่าแท้ ๆ โดนสอบซะแทบตาย อยู่ในคาถายันต์เกราะเพชรนั่นน่ะ ยันต์เกราะเพชรมี ๘ บท เขาเรียกอิติปิโส ๘ ทิศ จะมี กระทู้ ๗ แบกฝนแสนห่า นารายณ์เคลื่อนสมุทร นารายณ์ถอดจักร นารายณ์ขว้างจักร ตรึงไตรภพ ตวาดป่าหิมพานต์ นารยณ์พลิกแผ่นดิน แล้วก็นารายณ์แปลงรูป แต่ละบทจะมีการใช้แตกต่างกันไป แต่จริง ๆ ก็อยู่ในบทอิติปิโส
              ไปเที่ยวนี้เจอพม่าคนหนึ่งเป็นอิสลามมาบวช น่าสนใจมั้ย เขามีอดีตเป็นนักกอล์ฟทีมชาติพม่า ทีนี้ตัวเองเป็นอิสลามดันเก่งขึ้นมา มันก็หลุดไปอยู่้กลางวงพุทธ ทางรัฐบาลก็เลยบังคับให้เปลี่ยนศาสนา เจ้าพระคุณก็เลยแหกค่ายเผ่นแน่บไปทางตะนาวศรีไปถึงเมืองเย ทีนี้มันต่างบ้านต่างเมืองไม่รู้จักใคร ถึงจะเป็นอิสลามมันก็ต้องหาที่พักก่อน ก็เข้าวัด ปรากฏไปเจอความอัศจรรย์ของเทวดา พอปฏิบัติเข้านุ่งขาวห่มขาวกลับย่างกุ้ง มาบอกเจ้านายช่วยบวชให้หน่อยได้มั้ย ? เจ้านายก็เซ่อรับประทาน ครั้งแรกบอกให้เปลี่ยนศาสนาเลยคราวนี้มาขอบวชก็เลยบวชชื่อท่านเตชะ ทางด้านพม่านี่ถ้าบวชเขาไม่เรียกชื่อ เขาใช้ฉายา เตชะนี่ ถ้าภาษาไทยก็เตโช...
              กิจการของพระศาสนา งานที่เขาช่วยก็คือว่า ถ้าหากว่าเจอพระหรือว่าเจดีย์เก่าที่ไหนเขาก็จะบูรณะให้ใหม่ขึ้นมา เขาก็ทำมาเรื่อยจนปีนี้ ๘ พรรษาของเขา ๘ พรรษาเต็มขึ้นปีที่ ๙ มาถึงวัดกำมะไซ วัดกำมะไซนี่จะอยู่ห่างจากหนองบัวประมาณ ๔ ไมล์ ปรากฏว่าเจอเจดีย์โบราณปรักหัก พังอยู่ก็จะบูรณะ ทำยังไงก็ไม่สำเร็จจนท้อเลย ปกติทำอะไรมันก็จะสำเร็จทุกอย่าง มีคนสนับสนุนเยอะด้วย เพราะเห็นว่าท่านเป็นอิสลามอุตส่าห์มาบวชก็เลยศรัทธา
              คราวนี้ท่านทำเท่าไหร่ก็ไม่สำเร็จเลยท้ัอ ก็นั่งทำกรรมฐานของท่านตามแบบ เทวดาท่านมาบอกให้ไปหาคนไทยคนหนึ่ง ถ้าคนไทยคนนี้มาเหยียบพื้นที่เมื่อไหร่นี่งานมันจะสำเร็จลุล่วงไปเลย ทีนี้พอได้ยินว่าคนไทยก็เลยแวะมาทางหนองบัว จ๊ะเอ๋กันเข้าพอดี เจอหน้าเขาถามเลยว่า ท่านอาจารย์เป็นพระไทยหรือเปล่า ? บอกว่าใช่ เขาก็เลยกราบขอร้องว่าช่วยไปเหยียบพื้นที่ให้เขาหน่อยเถอะ ไม่ต้องช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น เดินไปเหยียบอย่างเดียวเท่านั้นก็พอ ก็เลยตกลงไปเหยียบให้เขาหน่อย ถึงเห็นก็เออ สถานที่มันดี มันน่าจะบูรณะก็เลยช่วยถวายเงินท่านไป ๓ หมื่นให้ไปบูรณะเจดีย์ แล้วบรรดาญาติโยมที่ตามไปกันก็ทำกันอีกเยอะ
              เทวดาฉลาดรู้อยู่แล้วว่าถ้าเราไปนี่ได้ตังค์แน่ ใช้วิธีง่าย ต่อไปถ้าตามหาว่าให้ไปเหยียบที่นั่น ไปเหยียบที่นี่ ตายเลยเหนื่อยตาย ไปถึงก็ไปอธิษฐาน พระธาตุเสด็จนี่สว่างโร่เลย ขนาดพระอาทิตย์กำลังเที่ยง ๆ นี่นะสักประมาณ ๑๑ โมงครึ่ง นั่นน่ะพระธาตุเสด็จ สว่างกว่าดวงอาทิตย์อีก แสงอาทิตย์กลายเป็นไม่ร้อนเลย เราก็นั่งสวดมนต์สบายใจ คนอื่นเขาคงจะแปลกใจ มานั่งตากแดดทำไมวะ คือตอนนั้นมันไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว มันไม่ร้อนไม่อะไรทั้งนั้นแหละ เสร็จแล้วก็เลยขอบารมีพระว่าขอให้ท่านเตชะทำงานได้สำเร็จด้วยเพราะว่า ท่านชักท้อ ประเภทไม่เคยเจออุปสรรค พอมาเจอเข้าหน่อยหมดกำลังใจ ท่านปรารภว่า พวกคุณยังดี ยังมีพ่อแม่พี่น้องคอยหนุนหลังอยู่ ของผมนี่เขาตัดขาดเลย เขาถือว่าคนทรยศ เป็นอิสลามแล้วบวช
      ถาม :  (เรื่องการฝึกกสิน)
      ตอบ :  การฝึกกสินนี่มันจะมีนิมิตคำว่า นิมิตก็คือ ภาพที่ปรากฏอยู่นะมันจะเริ่มตั้งแต่ อุคคหนิมิต นิมิตเริ่มติดตา ถ้าหากว่าฝึกอะไรมันก็จะเห็นตามภาพนั้น จนกระทั่งว่า นิมิตนั้นทรงตัวอยู่ไม่ว่าเราจะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่งอย่างไร ต้องรักษาสภาพนิมิตนั้นไว้ให้ได้ แล้วมันจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ถึงปฏิภาคนิมิต นี่จากสีเดิมของมัน ๆ จะเปลี่ยนเป็นสีขาวสดใสจ้าสว่างไสวให้ใหญ่ได้ ให้เล็กได้ ให้มาได้ ให้หายไปเลยได้ ปรากฏขึ้นใหม่ก็ได้
      ถาม :  ที่ผมเห็นนี่ยังไม่เป็นภาพพระพุทธรูปนี่เป็นแค่อากาศเฉย ๆ ?
      ตอบ :  ก็ตั้งใจเอาใหม่ จับอันไหนก็ให้เอาอันนั้น เรื่องของกสินนี่สำคัญ
      ถาม :  มีส่วนได้บ้างหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ถ้าตราบใดที่เรายังไม่ประเภทที่ว่า นึกขึ้นเมื่อไหร่เห็นได้เมื่อนั้นก็อย่าไปหวังผล ไม่มีทางเลย กสินนี่เห็นว่าหมูก็หมูหน่อย เพราะว่ามันเป็นของหยาบ แต่ถ้าว่าเป็นหมูก็หมูเขี้ยวตัน เขี้ยวยาวเป็นบ้าเลย....
      ถาม :  เรื่องทิพจักขุญาณนี่ ผมกำหนดอะไรมันก็จะรู้ขึ้นมาก่อนล่วงหน้า ?
      ตอบ :  อันนั้นพื้นฐานเดิมของเราอาจจะมีอยู่
      ถาม :  ตอนที่ผมมีเวลาอยู่ที่บ้านควรจะฝึกอะไรครับ ?
      ตอบ :  ชอบอันไหนก็ทำอันนั้น สิ่งที่เราชอบถ้าเราทำมันจะได้ผลง่าย
      ถาม :  อยู่ที่ใจอย่างเดียวใช่มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่อยู่ที่ใจอย่างเดียว อิทธิบาท ๔ ต้องมีครบ ฉันทะ พอใจอย่างเดียวมันไม่ได้ มันต้องมีวิริยะ พากเพียรในการทำ มีจิตตะมีจิตใจปักแน่วแน่ในการทำ วิมังสา หมั่นไตร่ตรองทบทวนผลมันอยู่เสมอ
      ถาม :  พระพุทธรูปนี่ครับ ที่มีไฟส่องอยู่ข้างหลัง มีแก้วใส ?
      ตอบ :  ดูว่าเราจับอะไร ถ้าเป็นแก้วใสก็เป็นอาโลกสิณ ถ้าเราไปจับแสงไฟมันก็เป็นเตโชกสิน
      ถาม :  ถ้าแสงไฟนี่ พอหลับตานี่แสงไฟมันจะติดตามาด้วย ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นมันก็เป็นแค่อุคคหนิมิตธรรมดา ถ้าหากว่าเราเผลอหน่อยมันก็หายไป นิมิตที่จะใช้ได้นี่มันต้องเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มที่ มันจะเปลียนสีจากสีปกติเป็นสีขาวใสเจิดจ้าเลย เหมือนกับมองดวงอาทิตย์ก็ไม่ปานอย่างนั้น จะให้ใหญ่ก็ใหญ่ได้ จะให้เล็กก็เล็กได้ จะให้มาก็ได้จะให้ไปก็ได้ แล้วแต่เราสั่ง ถ้าเราบังคับได้อย่างนั้นก็เริ่มใช้ผลมันได้ ถ้ามันไม่สามารถจะทำได้ สั่งก็ไม่ได้ ไม่ต้องไปใช้ผลมันหรอก เสียเวลาเปล่าเพราะว่าผลมันยังไม่เกิดเต็มที่
      ถาม :  ....................
      ตอบ :  ขี้เกียจเหยียบ พระเขาไม่เหยียบผ้าขาวหาเรื่องให้พระโดนอาบัติน่ะซิ เขาไม่ให้เหยียบผ้าขาวจำเอาไว้ ที่ใครเหยียบน่ะ เขาอนุโลมให้เราแต่ศีลท่านขาดไปแล้ว มันเกิดจากพระโพธิราชกุมาร ปูผ้าขาวไว้แล้วอธิษฐานว่า ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าเหยียบแล้วเขาจะมีลูกได้ แต่เขาเองเขามีไม่ได้เพราะทำกรรมหนักเอาไว้ พระพุทธเจ้าสั่งรื้อผ้าขาวหมด แล้วสั่งห้ามพระภิกษุเหยียบผ้าขาวที่เขาปูลาดเอาไว้
      ถาม :  ถ้าผมสอบแล้วผมจะอธิษฐาน ถ้าได้แล้วผมจะขอช่วยพระศาสนาเต็มที่นี่จะได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  รอให้เรียนจบก่อน พอเราเรียนจบแล้วมีเวลาก็ค่อยมาทุ่มเทกันค่อย ๆ ทำค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป ใจเย็น ๆ เวลามันอีกเยอะ สำหรับพวกเราน่ะ ชีวิตฆราวาสนี่มันต้องคิดเสมอว่ามันไม่ตาย แต่ถ้าปฏิบัติทางธรรมนี่มันต้องคิดเสมอว่าเราต้องตาย
              เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าชีวิตฆราวาสแล้วของเรามันอีกเยอะ แต่ถ้าหากว่านับทางธรรมแล้วมันก็น้อยไปทุกที เอาทางโลกมันให้สำเร็จก่อนคนมันจะได้ไม่ว่า พอเราได้ประสบความสำเร็จทางโลกแล้วเลี้ยวมาทางธรรมมันเรื่องเล็ก

              (เรื่องธุดงค์)....การเดินทางจริง ๆ ในป่า มันไม่ต้องถ่ายทอดหรอก ที่เราจำเป็นต้องถ่ายทอดกันจริง ๆ คือประสบการณ์ในป่า แล้วก็ระยะทางใกล้ไกลที่ควรจะรู้ไว้ อาจารย์เป้าแกไม่รู้ว่า ทุ่งใหญ่ระยะทาง ๙๓ กิโลเมตร มันมีบ้านหัวท้ายกับตรงกลางกิโลเมตรที่ ๔๕ โน่น คราวนี้คนไม่รู้เวลากะออกเดินทางมันก็ผิดน่ะซิ ผ่านไปช่วงที่บิณฑบาตไม่ได้ แล้วก็อดไป ก็เดินไปอีก ๔๐ กว่ากิโลอย่างนี้ แกเองก็เดี้ยงน่ะซิ เราเิดินผ่านไปพอดี เจอแกปักกลดอยู่ไปสอบถามอะไรเสร็จเรียบร้อยก็แบ่งเสบียงให้
              หลังจากนั้นอีก ๑๐ กว่าปีไปเจอท่านอยู่ที่ไกรเกรียง เป็นเจ้าอาวาสไปแล้ว ก็ไปฟื้นความหลังให้ท่านว่า เราไปเจอกันที่นั่น เวลานั้นจำได้มั้ย ท่านเองก็บอกนึกไม่ออก ก็ถามว่า พระปี๊ดอยุ่มั้ย ก็บอกอ๋อ....พระปี๊ดสึกไปแล้วไปทำงานอยู่ภูเก็ต แล้วท่านก็บ่น ๆ ผมว่าความจำแม่นแล้วนะ เจอท่านนี่ผมกลัวเลยจำแม่นอะไรขนาดนั้น ๑๐ กว่าปีเจอครั้งเดียว จำได้อีกนี่มันคงไม่รู้ว่าวันก่อนยายคิ้มเขามา มันรอซะปีที่ ๑๗ ให้หลังแล้วมันถึงมา ปรากฏว่าเราทักมันตั้งแต่แรกที่เขามา ตอนนี้มันอ้วนขึ้นเยอะ แต่ก่อนเขาผอม ๑๐ กว่าปีค่อยมาเจอกันแล้วจำไ้ด้นี่มันน่ากลัว ทีนี้อาจารย์เป้าแกไปก็เลยเข้าไปทางเดียวกัน ปรากฏว่าอาจารย์เป้าแกประเภทที่ว่าดวงแกเฮงน่ะ ควายป่ามันนอนอยู่แกไม่เห็น บุก ๆ เข้าไปถึงโี่น่นก็พรวดเข้าไป มันขวิดอาจารย์เป้ากระเด็นจมหายไปในพงหญ้าเลย โชคดีของแกที่จมหายไปในกองหญ้าไม่งั้นมันซ้ำตายแน่ ปรากฏว่ามันขวิดโดนแขน แขนหักไปข้างหนึ่ง ก็ลองนึกดู ถ้ามันโดนตัวก็คงกลวงโบ๋เลย
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  คนเรากว่าจะถึงตรงนี้มันผ่านเวียนตาย เวียนเกิดมานับไม่ถ้วน สิ่งที่เราทำมาทั้งหมดเรียกว่ากรรม กรรมจะดีจะชั่วก็ตามมันเป็นกรรมทั้งนั้น ถ้ากรรมดีเรียก กุศลกรรม ถ้าหากว่ากรรมชั่วเรียกอกุศลกรรม
              แต่ส่วนใหญ่แล้วของเรา กรรมดีเขาเรียกว่า บุญ ถ้าหากกรรมชั่วเรียกว่า กรรม ไม่ต้องห่วงหรอกชั่วมาเยอะ แต่คราวนี้ในเมื่อเรามาเกิดเป็นคนได้เพราะต้นทุนความดีของเราต้องพออย่างน้อย ๆ เราต้องมีศีล ๕ บริสุทธิ์เราถึงได้เกิดมาเป็นคน คราวนี้ในเมื่อต้นทุนของเราเพียงพอแล้ว เมื่อสำคัญว่าเราสามารถต่อทุนได้มั้ย ? จะสามารถที่จะต่อยอดแตกดอกแตกผลของมันออกไปมากกว่านี้มั้ย หรือจะอยู่อย่างขาดทุนลงนรกไป เลือกเอาเอง
      ถาม :  ที่เมื่อกี้บอกว่า อุทิศส่วนกุศลให้กับคนเป็น ผมอ่านในหนังสือหลวงพ่อเหมือนอย่างคนที่เป็นศัตรูกับเรา เราก็ไม่ถูกกันอยู่ตลอดเวลา เราก็อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาก็จะดี ทีนี้เขาก็ไม่ได้มาโมทนาแล้ว ?
      ตอบ :  ลักษณะนั้นเขาเรียกว่าแผ่เมตตา แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศลมันคนละอย่างกัน อุทิศส่วนกุศลคือ เราทำอะไรเราตั้งใจให้เขามีส่วนด้วย ส่วนการแผ่เมตตาคือ การส่งกำลังใจที่ประกอบด้วยความดีถึงเขาอยู่ตลอดเวลา ขอให้อย่าได้มีเวรมีกรรมและเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย ลักษณะนี้มันเหมือนอย่างกับว่า เอาของเย็นไปดับของร้อน ดับไปเรื่อย ๆ ถ้าหากว่าของเย็นมีกำลังสูงของร้อนมันก็จะเย็นลงเอง เขาก็กลับมาตีกับเรา มันคนละอย่างกัน อุทิศส่วนกุศลคือทำอะไรแล้วอยากให้เขาได้ด้วย ส่วนแผ่เมตตาคือ ตั้งจิตที่ประกอบด้วยกรรมดีให้กับเขาไป
      ถาม :  พูดออกไปเลยใช่มั้ยคะ ว่าเราขอแผ่เมตตา ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ พูดมันแค่คล่อง ๆ ปาก มันต้องจากความรู้สึกที่แท้จริงจากใจของเรา นึกด้วยความหวังดี ปรารถนาดี ขอให้เขาอยู่เย็นเป็นสุข อย่าได้มีความทุกข์เลย อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ที่เขาท่องปาว ๆ ผลมันน้อยเพราะบางทีใจมันไม่คิด เรื่องของการแผ่เมตตาเป็นสิ่งที่เกิดจากกำลังใจที่แท้จริง
      ตอบ :  จ้า ตัวนั้นแหละ
      ถาม :  (ถามเรื่องการอุทิศส่วนกุศลให้พวกที่ตายโหง)
      ตอบ :  พวกตายโหงนี่ยังไม่ได้รับการตัดสินหรอกนะ เพราะว่ายังไม่ถึงอายุขัยของเขา เขาก็รับบุญรับบาปอะไรในลักษณะที่ว่า การตัดสินไม่ได้จนกว่าจะรอถึงครบอายุขัยของเขาก่อน คราวนี้อายุขัยในการเป็นมนุษย์เปรียบกับสัมภเวสี ของสัมภเวสีแป๊บเดียว สมมติว่าเขาจะอายุ ๕๐ ปี แต่เขาตายตั้งแต่อายุ ๒๐ เขาก็รอที่โน่นประมาณครึ่งวันแค่นั้นเอง แต่ช่วงที่รออยู่ไม่มีอะไรทำอย่างที่เขาว่าน่ะ ก็เร่ร่อนไปเรื่อย ถ้าเราทำบุญให้เขา ๆ ได้รับความสุขสบายเขาก็สบาย ไม่งั้นก็อดอยากหิวโหยเร่ร่อนไปก็โดนหมอผีเรียกไปใช้บ้างอะไรบ้าง
      ถาม :  เขาจะได้ตลอดไปเลย ?
      ตอบ :  เราทำความดีสูงแค่ไหน เขาก็จะได้เท่านั้น ถ้าเราเป็นผู้ทรงฌาน ตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลจากกรรมฐานให้เขา บางทีเขาจะไปเกิดเป็นพรหมเลย หลวงพ่อบอกมีหลายรายไปนั่งรอไปนิพพานเลย เพราะมันดันมาขอข้าไว้ อย่างนี้ว่าเขาไม่ได้นะ เพราะว่าของเขาต้องมีบุญเนื่องกันมาจริง ๆ เพราะโอกาสที่จะพบหลวงพ่อนี้ไม่มีหรอก