ถาม : แบบผีถึงป่าช้าแล้วไม่เผาก็ต้องฝังล่ะค่ะ
ตอบ : ไล่ให้ไปฝังที่อื่น ส่วนใหญ่จะทำอย่างนั้น มีคนเขาทอดผ้าป่าทุนการศึกษาเราก็พาไปทอดที่โรงเรียนให้ผู้อำนวยการหรืออาจารย์ใหญ่รับไปเลย หมดเรื่องไป เรามีหน้าที่เป็นแค่ทางผ่านไปเฉย ๆ
เรื่องเงินเรื่องทองมันเป็นของบาดใจสำหรับคนอื่น แต่มันเป็นเรื่องน่าเบื่อสำหรับอาตมา เมื่อกลางวันคณะของป้าตุ๋ยบอกว่ามีแต่คนถามว่าทำไมหาเงินง่ายจัง บอกกับเขาว่าไม่ได้หาเอง ทุกสิ่งทุกอย่างงานที่เราทำเป็นเรื่องของพระท่าน ถ้ามันจำเป็นท่านจะเป็นผู้หามาเอง เพราะฉะนั้นเรานั่งอยู่ตรงนี้ได้เงินหรือไม่ได้เงินดีเหมือนกัน ได้เงินก็คือดีได้ทำงาน ไม่ได้เงินก็คือดีได้พักนอน ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ก็หลวงตาโทรมา เล็กโว๊ย ช่วยบอกทีซิเอ็งทำใจยังไงวะข้าหัวจะหงอกหมดแล้ว บอก ก็ทำใจอย่างเงี้ย หลวงตาบอก ฟังแล้วมันง่ายดีแต่ทำยากจัง ดิ้นรนจนเกินไปไม่มีสำหรับพ่อเรา เราต้องย้อน ๆ หลังไป หลวงพ่อก่อสร้างทุกอย่างท่านเป็นหนี้อย่างเดียว คือ ร้านค้า เพราะว่าร้านค้าเขาไว้ใจเขาให้ของมาก่อนไม่ได้ไปเรียกไปร้องอะไรเขาหรอก เขารู้ว่าให้มาแล้วหลวงพ่อมีเงินหลวงพ่อให้เขาแน่เพียงแต่ว่าเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ถึงขนาดต้องไปกู้คนอื่นมา ต้องไปอะไรมาดิ้นรนมากจนเกินไป สร้างความทุกข์ให้เกิดแก่ตัวเองและคนรอบข้าง หลวงพ่อไม่ได้ประพฤติอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นใครจะดิ้นก็ดิ้นเถอะแต่อาตมาไม่เอาด้วยหรอก ทำแค่ที่มี มีแล้วถึงทำ และก็มีอยู่ในลักษณะไม่ได้ขอใคร ที่วัดจะมีระเบียบวัดชัดเจนเลยนะ ระเบียบวัดข้อที่ ๑๓ ห้ามบอกบุญห้ามเรี่ยไรใด ๆ ทั้งสิ้น ใครจะทำบุญที่วัดต้องมาง้อให้ทั้งน้ำตาถึงจะรับไว้ (หัวเราะ) น่าอิจฉาเนอะ มันดีอยู่อย่างก็คือว่าไม่ต้องไปเป็นขี้ปากใคร ใครมาแปลว่าเขาเต็มใจให้จริง ๆ ถ้าไปขอเขาแบบคนอื่นจะทำให้ญาติโยมลำบากใจ
หลวงพ่อท่านแนะนำให้ตั้งแต่สมัยบวชใหม่ ๆ ว่า ภิกษุถึงแปลว่าผู้ขอ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าขอ แต่ถึงจำเป็นก็ไม่ควรขอ ถ้าเราปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนแล้วโดยมเขาไม่เมตตาสงเคราะห์เราก็ยอมอดตายไปเลย แต่ปรากฏว่าปฏิบัติตามไปได้แค่ไม่ถึงส่วนเสี้ยวเดียว มันก็กลายเป็นว่าโยมเขาแย่งกันสงเคราะห์ ต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาเพราะเมื่อทำไป ๆ ถึงระดับหนึ่งมันเหมือนกับ...กุศลมันส่ง ต้องการอะไรจะได้อย่างนั้น อย่าเอ่ยปากนะ เอ่ยปากเมื่อไหร่มาเลย แค่คิดต้องการก็จะมาเลย คราวนี้มันลำบากตรงที่ว่าเราต้องคอยควบคุมกำลังใจของเรา อย่าให้คิดอยากไอ้สิ่งที่มันเกินความเป็นสมณะไป
วันก่อนท่านเต่า ท่านเต่าเขาอยู่วัดท่าซุงน้องเพิ่งได้ ๖ พรรษา ถึงจะห่างกันระดับพ่อกับลูกก็เถอะ ท่านไปดู ๆ รอบวัดแล้วก็บอกว่า ทำไมหลวงพี่ไม่มีไอ้นั่น ทำไมหลวงพี่ไม่มีไอ้นี่บ้าง เพราะว่าที่วัดนี่สั่งห้ามไว้เลย มีระเบียบวัดว่าห้ามมีเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดยกเว้นเทปสำหรับฟังธรรมะอย่างเดียว ก็บอกกับท่านว่า เราเป็นพระ เราต้องระวังตัวอยู่เสมอ ถ้าเราเผลอเมื่อไหร่บางทีจุดมุ่งหมายมันแปรโดยที่เราไม่รู้ตัว แทนที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เพื่อประโยชน์ของสงฆ์ จะกลายเป็นบำรุงความสุขของตัวเอง ใช่ไหม ? เดี๋ยวก็ไปติดแอร์กุฏิ ไปหาที่นอนดี ๆ มีเครื่องเสียงดี ๆ มีคอมพิวเตอร์ มีวีดิโอ มันจำเป็นตรงไหนล่ะ เป็นพระมีผ้า ๓ ผืน บาตรอีกใบหนึ่งเหลือเฟือแล้ว ยัง ๆ ก็ไม่อดแน่ ถ้าบาตรใบนั้นไม่หายซะก่อน (หัวเราะ)
ถาม : ตรงนี้หรือเปล่าคะ บางทีพระบางองค์ที่ปฏิบัติพอมาถึงดีในระดับขั้นหนึ่งแล้วเนี่ย แล้วก็พอหลังจากนั้นเนี่ย ?
ตอบ : พัง เหตุที่พังเพราะขาดสติ ไม่ได้ระมัดระวังตัวเอง โดยเฉพาะพระที่ยังเป็นโลกียฌานอยู่ ยังต้องใช้การข่มกลั้นกำลังใจอยู่ ถ้าหากว่าท่านไม่มีเวลาทำให้ต่อเนื่องจะพังได้ง่าย ๆ น่าเสียดายมาก อย่างเช่น ท่านอาจารย์นิกร ท่านอาจารย์ยันตระ หลวงพ่อภาวนาพุทโธ ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจริง ๆ แล้วเป็นพระนักปฏิบัติที่ดีนะ
แต่เนื่องจากว่าเมื่อถึงเวลาที่ความดีเริ่มแสดงผลมันเหมือนยังกับดอกไม้เริ่มผลิดอกออกผล คนโน้นก็มาทึ้งไป คนนี้ก็มาทึ้งไป รับกิจนิมนต์หัวไม่วางหางไม่เว้นจนไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ก็ไม่ได้ปฏิบัติจิตอย่างต่อเนื่อง การไม่ได้ปฎิบัติจิตอย่างต่อเนื่องถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้ายังเป็นโลกียฌานอยู่มันกำเริบได้ทุกเวลา ถ้ากิเลสมันตีกลับนี่สาหัสเลย เพราะว่ามันเหมือนกับเก็บกดไว้นาน ก็เลยพังไปอย่างที่เห็น น่าเสียดายมากทั้ง ๆ ที่รู้จักมักคุ้นท่านดีทุกองค์เลย บางองค์อย่างท่านอาจารย์ยันตระนี่เรารู้ว่าท่านเป็นอย่างไร เคยพาท่านวิ่งมาแล้วน่ะ พระอาจารย์ยันตระเรียบร้อยจะตายใครจะเชื่อว่าพาท่านวิ่งมาแล้ว บอกลูกศิษย์เขาตีให้ตายเขาก็ไม่เชื่อ เห็นท่านเครียดมากเพราะลูกศิษย์ท่านไปกำหนดคุณสมบัติพระอรหันต์นะ ต้องพูดเบา ๆ ต้องยิ้มอยู่ทั้งวัน นั่งนิ่ง ๆ ประสาทกินน่ะสิ พระอรหันต์ไม่ใช่ตอไม้นี่ เจอหน้าท่านรู้เลยว่าท่านเครียดขนาดหนัก ก็เลยบอกกับท่านบอกว่า ไปกับผมทางด้านโน้นได้ไหมครับ ท่านก็ตกลงไป ลูกศิษย์พรวดลงมาเป็นคันรถเลยจะตาม บอกว่าขึ้นรถไปซะนี่ไม่เกี่ยวแล้วเรื่องของพระกับพระ พอพ้นมุมตึกพาท่านวิ่งเลย (หัวเราะ) พระนี่เรียบร้อยมากเลยนะวิ่งจีวรปลิวเหมือนกัน
ถาม : เอาให้หายเครียดเลยเหรอคะ ?
ตอบ : เอาให้หายเครียดก่อน เพราะว่าท่านเองพอถึงเวลาก็ต้องประเภทเดินนิ่ม ๆ ใช่ไหม นั่งยิ้มอย่างเดียว ต้องพูดเบา ๆ เสียงดังก็ไม่ได้ เดี๋ยวคนจะว่าไม่ใช่พระอรหันต์ กลายเป็นไปกำหนดคุณสมบัติพระดีเข้าโดยที่ไม่รู้ว่าจริง ๆ พระดีเป็นอย่างไร พระดีหลวงปู่บอกว่าเหลือแต่กิริยาเท่านั้นมายาไม่มี กิริยาอาจจะโฉ่งฉ่างยังไงก็ปล่อยท่านเหอะวิสัยท่าน เดิมเป็นอย่างไรจะเป็นอย่างนั้น แต่มายาคือการหลอกกันไม่มี จิตของท่านมันสะอาดเสียแล้ว ก็ตรงไปตรงมาอย่างเดียว ของท่าน ๆ ต้องไปโดนปิดโดนกั้นอยู่ในลักษณะที่เขากำหนดคุณสมบัติให้ ไม่ใช่กำลังใจที่แท้จริง เครียดมาก พาท่านวิ่งเข้าท่านชอบใจมากเลย
ท่านบอกคุณไปอยู่กับผมเถอะ วัดของผมอนุญาตให้อยู่ได้เต็มที่ไม่เกิน ๒ เดือน แต่สำหรับคุณจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ แต่บอกท่านไปว่า หลวงพ่อยังต้องการใช้งานผมอยู่ ถ้าหากว่าหมดงานเมื่อไหร่แล้วจะไป โห งานวัดท่าซุงมีหรือจะหมด (หัวเราะ) หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีก็เจ๊ง บอกว่าเหลือ
ถาม : อย่างนี้ท่านมีสิทธิ์กลับมาได้ฌานเหมือนเดิมไหมครับ
ตอบ : ก็ไอ้เรื่องของอาบัติปาราชิกนี่มันปิดมรรคผลเท่านั้นนะ ปิดมรรคผลคือโอกาสที่จะได้เป็นพระอริยเจ้าไม่มีเพราะว่าล่วงศีลหนักในขณะที่เป็นพระ แต่ไม่ได้ปิดสวรรค์ ไม่ได้ปิดพรหม สุคติไม่ได้ปิดนี่ ถ้าหากท่านกำลังใจดีตีคืนมาได้เมื่อไหร่ทรงฌาน ทรงสมาบัติได้เหมือนเดิมแต่จะให้เป็นพระอริยเจ้าชาตินี้ไม่ได้แล้ว ต้องรอรับการลงโทษหรือไม่ก็เกิดใหม่อีกทีหนึ่ง ชาติใหม่เมื่อไหร่แล้วค่อยว่ากัน เสียดายพระดี ๆ พวกเรานี้ แหม เห็นต้นไม้ยังเล็กอยู่ทึ้งกินกระจายเลย ตายทีละต้น ๆ อย่ารีบนะอย่างน้อย ๆ เปิดโอกาสให้โตบ้าง
ถาม : ตรงนี้ใช่ไหมคะ ที่ว่าตอนที่ท่านยังทรงความดีอยู่ ที่คนเข้าไปมาก ๆ ๆ... ?
ตอบ : นั่นเรื่องของบารมีเก่าที่ท่านสร้างมาด้วย พอความดีเริ่มกลับมาทุกอย่างก็จะรวมตัว มันเหมือนยังกับว่าขุดบ่อเสร็จเรียบร้อยแล้วถึงเวลาฝนตกน้ำก็ไหลมาทุกทิศ แต่อีคราวนี้ว่าบ่อนั้นมันลึกไม่พอน้ำไหลมา ก็เลยล้นท่วมซะเดือดร้อนกันไปหมด สำคัญที่สุดตรงตัวนักบวชเองต้องรู้ตัวและระมัดระวังอยู่เสมอ
ถาม : ถ้าอย่างนี้นี่ถ้ารู้ตัวเราอาจต้องหนี หมายถึงว่าหนีกลุ่มนี้ไปเข้าป่าหรือไปไหนที่ห่างจากตรงนั้นก่อน
ตอบ : ต้องอย่างนั้น เพื่อให้มีเวลาของตัวเอง อาตมาพอมีเวลาเมื่อไหร่ก็พาพระออกป่า คนเห็นแปลกใจมาก เอ๊ะ กลุ่มนี้มันมาทำอะไรกัน ไม่มีกลด ไม่มีบาตร ไม่มีอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ เดินดุ่ย ๆ หายเข้าป่าไปเลย แล้วอยู่ได้นานกว่ามันด้วย (หัวเราะ) แปลกดีมั๊ย ไปเจอกันกลางทุ่งใหญ่ เขาถามว่าพวกคุณมาทำอะไร บอกก็เหมือนกับพวกคุณนั่นแหละ เฮ้ย พวกคุณธุดงค์กันได้ยังไงไม่มีอะไรเลย บอก อย่างนี้แหละอยู่ได้นานกว่าคุณอีก เขาติดรูปแบบกัน ประเภทออกธุงดงค์ที่ห่มพวกสังฆาฏิ สะพายกลด สะพายบาตรไป อย่างนั้นเดินได้วันละ ๑๐ กิโลเก่งตายชัก ของเรามันไปวันหนึ่ง ๕๐-๖๐ กิโลเป็นเรื่องเล็ก ๆ
ถาม : เวลาไปมีอะไรบ้างคะ ?
ตอบ : ย่ามใบหนึ่งใส่ชุดครองพระไปแล้วก็มีกระติกน้ำไป มีพวกไฟฉาย ไฟแช๊ค ยารักษาโรคนิดหน่อยแล้วก็ไป สนุกดี ไปเสี่ยงดวงเอาข้างหน้าว่าจะอดตายหรือเปล่า ไม่เคยอดหรอกมีแต่กินจนล้น พระวัดท่าซุงหลวงพี่นันต์ท่านบอกพวกคุณถ้าอยากธุดงค์แบบมีเสือมีช้างให้ไปหาท่านเล็กนะ ก็มีพระรุ่นน้องไป ๒ รุ่น
หลังจากนั้นเข็ดไม่มีใครไปอีกเลย มันเข็ดไอ้รุ่นที่ ๒ น่ะ เพราะรุ่นที่ ๒ นี่พวกท่านสหชาติท่านเป็ดเขาไปกัน ถามเขาว่าคุณจะฉันไหม ถ้าคุณจะฉันผมจะแบกอาหารไปเผื่อ เขาบอกว่าแล้วแต่หลวงพี่ อ้าว แล้วแต่ผม ๆ ขี้เกียจแบกมันหนักนี่ก็ไปกันอย่างนั้นแหละ ปรากฏว่าวันที่ ๓ เขาขอกลับบอกไม่มีแรงเดินแล้ว (หัวเราะ) กำลังใจเขาไม่ทรงตัว พอไม่ทรงตัวไปกังวลอยู่กับร่างกายมันแย่ ปรากฏว่าหมดแรงเอากลางทาง เราเดินออกมาข้างนอกเสร็จแล้วต้องขอให้ชาวบ้านเขาขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปรับ ทางป่านี่มอเตอร์ไซค์มันพอจะซอกแซกไปได้ กลับไปถึงวัดท่าซุงเขาลือกันให้หึ่งเลยว่าท่านเล็กพาน้องไปฝึกธรรมปีติอดซะแทบตาย
ถาม : เลยไม่มีใครมาเลย ?
ตอบ : ไม่มีใครมาอีกเลย ตอนนี้ท่านเต่าเพิ่งมา ไปใหม่อีกแล้ว รุ่นพี่ชักจะลืม ๆ เรื่องรุ่นน้องมันไม่ได้รับการบอกเล่าต่อเนื่องไปกันอีกแล้วเดี๋ยวเข็ดไปเองแหละ บอกแล้วว่าเห็นภาพน่ะอย่างที่ว่ามันน่าสนุก ไปเองแล้วจะรู้ เห็นชัด ๆ ว่าความตายอยู่แค่ลมหายใจเองน่ะไม่ได้ไกลไปกว่านั้นเลย มันจะขาดใจตายลงไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ห้ามแล้วไม่ฟัง เขาไม่รู้ว่าที่เราพูดน่ะเป็นเรื่องที่เบามาก จริง ๆ แล้วมันหนักกว่านั้นแต่เขามักจะคิดว่าเราขู่ ก็เลยไปกัน เดี้ยงกันเป็นแถวเลย
ถาม : ไปแล้วได้อะไรคะ ?
ตอบ : ก็ได้แบบเอไง มรณานุสติ ตายแน่ ๆ คำเดียวคำอื่นไม่มีเหลือเลย จริง ๆ หลวงพ่อท่านบอกว่าธุดงค์มี ๒ แบบ แบบหนึ่งคือเดินไปภาวนาไป แบบนี้มันจะได้ระยะทางเยอะมาก อีกแบบหนึ่งก็คือเมื่อพบที่ ๆ เราพอใจก็หยุดภาวนาที่นั้น เราขอดันไปถนัดแบบแรก โห เดินสะใจเลยทุ่งใหญ่ ๙๓ กิโล แสงชัยเขาถามว่า หลวงพี่เดินยังไงวันเดียวถึง บอกมา จะพาเดินให้ดู พาเขาเดินตั้งแต่ตี ๓ บ่าย ๓ ถึงแล้ว ตาแสงชัยหัวไถพื้นสลบไปเลย (หัวเราะ) เขาบอกว่าเห็นหลวงพี่เดินเหมือนกับว่าร่อแร่ ๆ จะตาย ๆ เผลอแพล็บเดียวไปไกลลิบ จริง ๆ แล้วไม่ใช่คนเดินเร็วนะ เพียงแต่ว่ากิโลแรกกับกิโลสุดท้ายเราก้าวยาวเท่ากัน ขณะที่คนอื่นนี่พอเดินไปแล้วมันจะก้าวสั้นลงไปเรื่อย ๆ บางทีก็ก้าวไม่ออกไปเลย จากที่ว่าไม่ใช่คนเดินเร็วจนคนต้องวิ่งตาม
ถาม : กำหนดใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : อย่าไปสนใจร่างกายอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวมันไม่เหนื่อย
|