ถาม :  เมื่อ ๒-๓ วันก่อนนี่ผมฝันว่าท่านสวรรคตครับ
      ตอบ :   ฝันให้แปลตรงกันข้าม ถ้าฝันว่าคนป่วยหายโอกาสตายเกิน ๙๐% แต่ถ้าฝันว่าคนป่วยตายโอกาสรอดมากกว่า ๙๐%
      ถาม :  ฝันมาจากไหนครับ?
      ตอบ :   มีหลายอย่างด้วยกัน มันจะเก็บความฟุ้งซ่านกลางวันไปฝันอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องของบุญกรรมที่เราทำเอาไว้แสดงเหตุนิมิตให้รู้ล่วงหน้าอย่างหนึ่ง เรื่องของเทวดาท่านจะสงเคราะห์ให้รู้อย่างหนึ่ง แล้วก็ธาตุไม่ปกติคือท้องไส้ไม่ดีอีกอย่างหนึ่ง ๔ แบบด้วยกัน เขาเรียกธาตุวิปิริต ไอ้พวกนี้ท้องไส้ไม่ดี กินมากไม่ได้ขี้ฝันเละเทะไม่เป็นเรื่องเลย อีกอย่างก็กรรมนิมิตบุญบาปที่เราทำไว้ในอดีตแสดงเหตุให้รู้ว่าผลอะไรจะเกิดขึ้นจะไม่มีต้นไม่มีปลาย มาเฉย ๆ
      ถาม :  คนไม่มีโชคนี่มันไม่มีจริง ๆ นะครับ ขนาดแบบตรงเป๊ะยังซื้อไม่ได้เลย
      ตอบ :   ของเรานี่มันยัง มันต้องกำนันเถา กำนันเถานี่อยู่ยุคหลวงปู่ปาน หลวงปู่จง หลวงปู่ปานเรียกไอ้เถากระเพาะยาง มันแดกข้าวทีละกาละมังแน่ะ ท่านบอกกระเพาะมันยืดได้เหมือนยาง นั่นแหละ กำนันเถาไปหาหลวงปู่จง ขอหวย หลวงปู่จงบอกว่าอย่าเอาเล้ยให้ไปเอ็งก็ไม่ได้เล่นหรอก กำนันเถาเขาก็ยืนยันหลวงพ่อผมเล่นครับเล่นแน่ หลวงพ่อจงบอกไม่ได้เล่นหรอกอย่าเอาเลยมันก็จะเอาให้ได้ หลวงพ่อจงท่านก็เขียนให้มัน ๓ ตัว มันก็ใส่กระเป๋าเสื้อไป วันหวยออกปรากฏว่าไปตรวจโพยไปดูปรากฏว่าซื้อทุกรายที่มาขอยกเว้นของหลวงปู่จง คว้าปืนจะยิงกะบาลตัวเองลูกเมียห้ามแทบไม่ทัน คนเราถ้าหากว่าผลของทานบารมีไม่ส่งผล ลาภพวกนี้ไม่มีหรอก แล้วท่านรู้นี่ พระระดับหลวงปู่จง หลวงปู่ปาน นี่ไอ้เรื่องของยถากัมมุตาญาณ ท่านจะรู้ละเอียดมาก มันจะต้องเป็นทานที่ทำโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ คล้าย ๆ กับว่าเห็นการบุญการงานอะไรที่มันเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมที่ไหนเราก็ทำมันเดี๋ยวนั้นเลย ถ้าเจตนาทำไว้ไม่ต้องไปรอหวยหรอก เป็นเศรษฐีไปแล้ว
      ถาม :  แล้วอย่างตอนปัจจุบันนี้ ตั้งใจไว้เลยว่าเจอที่ไหนเราจะทำอย่างนี้ล่ะครับ มันก็เหมือนว่าเราตั้งใจไว้ก่อนใช่ไหมครับ?
      ตอบ :   ไม่ใช่ คนละอย่างกัน ไอ้บุญตั้งใจไว้มันมีการเตรียมการ อันนี้ไปถึงชนเมื่อไหร่ก็ให้เดี๋ยวนั้น
      ถาม :  เดี๋ยวนี้ผมก็ทำอย่างนั้นบ่อยนะครับ ไม่เห็นถูกหวยเลย
      ตอบ :   ชาติก่อนได้ทำไหมล่ะ (หัวเราะ) ผลของปัจจุบันมาจากอดีต แต่ว่าอย่าลืมว่าวินาทีข้างหน้าวินาทีนี้มันก็เป็นอดีตแล้วนะ ทำ ๆ ไว้ เผื่อฟลุค ๆ แก่ ๆ อาจจะถูกหวยบ่อย
      ถาม :  ถึงตอนนั้นก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรแล้วมั้ง
      ตอบ :   เอาไว้ซื้อตะบัน (หัวเราะ) เอาไว้ตะบันน้ำกิน ไอ้เรื่องของการทำแล้วหวังมันขาดตัวอุเบกขา พอขาดตัวอุเบกขาผลมันจะส่งช้า กำลังใจไม่มั่นคง จำไว้ว่าตัวอุเบกขาต้องมีอยู่ในทุกอารมณ์กรรมฐาน ทานบารมี อย่าลืมว่าบารมี ๑๐ ตัวไหนตัวหนึ่งนำขึ้นมาอีก ๙ ตัว มันได้ด้วยตัวท้ายสุดคือตัวอุเบกขาบารมี
      ถาม :  มันเหมือนกับว่าตอนนี้มันรู้แล้วนะครับ เรามั่นใจแล้วว่าทำแล้วเราต้องได้ มันกลายเป็นว่าทุกครั้งที่เราทำปั๊บเนี่ยเราจะรู้็สึกขึ้นมาเลยว่าเราต้องได้แน่
      ตอบ :   มันได้แน่ อันนี้ไม่เถียงหรอกแต่เมื่อไหร่ล่ะ?
      ถาม :  ทำยังไงถึงจะรู้ได้ด้วยและอุเบกขาได้ด้วยล่ะครับ ?
      ตอบ :   ต้องทำให้ได้ถึงระดับนั้น คือทำเสร็จเรียบร้อยแล้วรู้ว่าเรามีหน้าที่ทำเขาต้องการเราให้ หลังจากที่เราให้แล้ว เขาจะเอาไปทำอย่างไรเราไม่เกี่ยว นั่นน่ะอุเบกขาแน่ ๆ แขนก็เบกด้วย
      ถาม :  การที่มีอุเบกขามากไปทำให้เป็นคนไม่ยอมคนหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :   มันต้องดู คนที่เข้าถึงธรรมจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่เขารู้ว่าอะไรมันเหมาะมันควรกับวาระกับเวลาอย่างไร โบราณเรียกว่ากาลเทศะ เรื่องที่ดิ้นรนไปแล้วไร้ประโยชน์เขาก็นอน มันเสียเวลาไปดิ้นทำไม รถชนกันตูมพังกระจายจะเสียเวลาไปเข็นรถเหรอ ก็โทรเรียกประกันมาแล้วก็นอนรอมันสิ
              อุเบกขา เป็นอุเบกขาที่ประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ใช่ปล่อยวางแบบลูกศิษย์หลวงพ่อชา ลูกศิษย์หลวงพ่อชา เป็นพระด้วยนะ โดนลมตีหลังคากุฏิเปิดไปหลังคามุงด้วยแฝก ท่านเองท่านก็ปล่อยมันไปเรื่อยแหละ ฝนจะตกแดดจะออกก็ช่างกูจะนั่งกรรมฐานของกู หลวงพ่อชาทนไม่ได้ไปถึงก็ คุ้ณ ซ่อมหลังคาสักหน่อยสิ ท่านบอกผมปล่อยวางซะแล้วครับ หลวงพ่อชาบอกว่าไอ้ปล่อยวางแบบนี้มันปล่อยวางแบบควาย (หัวเราะ) ควายมันตากแดดตากฝนทนกว่าคุณอีก คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฎของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียวก็ต้องทำก่อน ไอ้ปล่อยวางแบบนั้นเดี๋ยวก็นั่นล่ะ ควายอึดกว่าเราเยอะเลย
      ถาม :  เมื่อตะกี้ผมเล่าให้น้องเขาฟังครับ เรื่องดารา ถ้าเกิดไม่เคยทำบุญอย่างอื่นตกนรกหมด เพราะทำให้คนยึดติดก็รู้สึกเอ๊ะ ในเมื่อดารามันทำสัมมาอาชีวะแล้วทำไมต้องไปตกนรกด้วยในเมื่อเถ้าเขาไม่ทำเขาก็ไม่มีกิน ?
      ตอบ :   มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ สิ่งที่เขาทำมันค้านกับธรรมะที่แท้จริง เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นมายา มันทำให้คนหลงยึดติดอยู่ สังเกตไหมล่ะว่านางอิจฉาเข้าไปในตลาดดีไม่ดีเจอเปลือกทุเรียนก็รองเท้าขว้างเอานั่นน่ะ คนมันยึดขนาดนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ละ ไอ้พวกนี้ทำให้ยึด มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิ โทษของมิจฉาทิฏฐินี่มันหนักมากนะ อเวจีทีเดียว น่าสงสารมากเลย ในพระไตรปิฎกมีอยู่คือ พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับการอบรมมาจากวงการนักแสดงเขาบอกไว้ว่า บุคคลที่สร้างความรื่นเริงให้แก่ผู้อื่นจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็คือว่าจะได้ไปเกิดที่นั่น ภาษาบาลีฟังยากมันต้องแปลเป็นไทยอีกทีหนึ่ง ท่านเองท่านก็ยึดมั่นในจุดนั้นมา
              คราวนี้พอไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินมาว่าสมณโคดมทราบเรื่องทุกอย่าง ได้โอกาสก็เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งที่ท่านทำจะให้ท่านได้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริงไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อน มายาการ อย่าเพิ่งให้เราพยากรณ์เลย ท่านเองตื้อถามถึง ๓ วาระ พอถึงครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่าลงอเวจีมหานรก คราวนี้ดีตรงที่ว่าท่านเชื่อ นั่งร้องไห้เลยถามว่าทำยังไงถึงจะรอดได้ พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วปฏิบัติ ไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์รอดไป ถ้าไม่เชื่อก็ซวย คราวนี้มันมีตัวอย่างอยู่ ไอ้ดาราวัยรุ่นธรรม์โทณวนิก น่ะ ไอ้ที่มันตายดูคนไปงานศพมันกี่หมื่น ถ่ายหนังสือพิมพ์ออกมาเห็นแล้วตกใจมันทำให้คนติดได้ขนาดนั้นแล้วไอ้ดาราเพลงร็อคของญี่ปุ่น มันมากันทีคนแห่กันไปดอนเมืองรถติดบรรลัยวายวอดเลย คนติดมันขนาดไหน แต่มันเป็นการยึดในทางที่ผิด จริง ๆ แล้วการปฏิบัติมันต้องปล่อย ยึดเมื่อไหร่ก็อยู่แค่นั้นแหละ
      ถาม :  แต่มันเป็นเรื่องทางโลกนะครับ ไม่มีก็ไม่ได้
      ตอบ :   ก็มันไม่มีก็ได้ถ้าหากว่าคนเราพอใจมีธรรมะประกอบอยู่แต่ บังเอิญว่าคนเรามันไม่สนใจจะหันมาหาธรรมะ มันสนใจแต่ทางด้านโน้นจริง ๆ แล้วพวกนี้น่าสงสารมาก การแสดงแสง สี เสียง อะไรต่าง ๆ ก็ดี ที่มันเกิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้มันทำให้ปีติเกิดขึ้นในใจชั่วคราว ทำให้จิตมันฟูขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่ามีความสุข แต่มันเป็นความสุขที่เกิดจากการกระตุ้นภายนอก มันไม่เหมือนกับการรักษาศีลเจิรญภาวนาที่เป็นความสุข ที่เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากภายใน มันอยู่ยั้งยืนยงกว่าเพราะมันเพาะสร้างขึ้นมาเอง แต่ว่าอันโน้นมันเกิดจากการกระตุ้นภายนอก
              เมื่อขาดสิ่งกระตุ้นนั้นมันก็ขาดไป พวกนี้ก็จะเกิดอาการทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ตรงที่ว่า เอ๊ะ ทำไมไอ้ความสุขที่เคยมีมันหายไปก็ตะเกียกตะกายไปหาอีก ก็ต้องไปกินเหล้าเมายา ไปเต้นรำ ไปเข้าคลับ เข้าบาร์กัน เข้าโรงหนัง ฟังเพลง ไปกรี๊ดกันมันถึงจะมันส์
      ถาม :  พวกนักร้องก็เหมือนกันเหรอครับ
      ตอบ :   เหมือนกันหมด พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วทำให้คนยึดติด ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นมาในลักษณะที่เรียกว่ากำลังใจทรงตัวน่ะนะ โอกาสรอดอเวจีน้อยเต็มที น่าสงสาร
      ถาม :  อย่างนี้พวกนักฟุตบลมันก็เกี่ยวเนื่องไหมครับ ?
      ตอบ :   มันก็มีสิทธิ์เหมือนกัน
      ถาม :  อย่างพวกแมนยู ลิเวอร์พูล อาร์เซนอล
      ตอบ :   พวกนี้จริง ๆ มันไม่น่าโทษเขานะไอ้คนระยำดันไปติด
      ถาม :  เลยพาเขาซวยไปด้วย
      ตอบ :   ต้องดูเจตนาของเขา ถ้าเจตนาของเขาคือว่าวางลีลาจะมีท่าแปลก ๆ อะไรออกมาเพื่อดึงดูดใจคน ไอ้นี่เจตนาชัดเลย โทษ ๑๐๐%ถ้าหากว่าเป็นอาชีพของตัวเองทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดคนอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่เกี่ยว นี่โอกาสรอดยังมีเยอะ คราวนี้แบบแรกมันจะเยอะ เป็นแบบแรกซะเกือบหมด
      ถาม :  ตายแน่ เดวิด เบคแฮม (หัวเราะ) โห ทั้งสามีภรรยาเลย
      ตอบ :   เอาให้ถึงเวลาก็ไปดูแล้วกัน ถ้าคนไปติดเขาเองน่ะจริง ๆ แล้ว โทษเขาไม่มี แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่เจตนาหาจุดเด่นขึ้นมาเพื่อดึงดูดไง มันช่วยได้เยอะชื่อเสียงของตัวเองก็ได้เงินทองก็มากขึ้น
      ถาม :  คือว่าถ้าเป็นดาราก็คิดซะว่าเราทำหน้าที่ของเรา
      ตอบ :   คือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไป แล้วถึงเวลาเรื่องของบุญ ของบาปของอะไรบาปเราก็ละบุญเราก็ทำให้จิตใจมันเกาะบุญมากกว่าบาป โอกาสรอดมันก็มี
      ถาม :  เอาใจเป็นที่ตั้งเหรอครับ ?
      ตอบ :   ทุกอย่างมันเกิดที่ใจ มโนปุพพังคมาธัมมา – ธรรมทั้งหลายใจเป็นหัวหน้า, มโนเสทฏา – สูงสุดที่ใจ, มโนมยา – สำเร็จที่ใจ ถ้าใจเราบอกว่าไม่มันก็ไม่
      ถาม :  ครับแล้วคนที่แต่งตัวให้สวยเพื่อที่จะยั่วยวนก็บาปสิครับ ?
      ตอบ :   จริง ๆ แล้วก็คือว่า ถ้าในส่วนของธรรมะแล้วพร่อง อันนี้มันเกี่ยวกับศีลระดับสูงอย่างเช่นศีล ๘ เรื่องของการประดับตกแต่งร่างกายอะไรตนเองนี่ถ้าเจตนาที่จะไปดึงดูดเพศตรงข้ามมีโทษ แต่ถ้าหากว่าเก้อเขินออกสังคมไม่ได้จึงจำเป็นจะต้องแต่งตัวตามเขาเจตนาอันนั้นไม่มีอันนี้ไม่เป็นไร
      ถาม :  แต่ว่าผิดน้อยกว่าดาราใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :   อันนี้น้อยกว่าเยอะ ส่วนของธรรมะมันพร่องไป แต่ดารานั่น ถ้าหากเจตนาทำนี่ โทษหนักเลยเขาเป็นมิจฉาทิฏฐิหมด
      ถาม :  ผมนึกถึงพระเอกนางเอกเมืองไทยนี่ก็ล้วน ๆ เลย
      ตอบ :   ส่วนใหญ่ใจบุญนะ
      ถาม :  แล้วอย่างที่เขาแสดงละครสะท้อนสังคมอย่างเจ้ากรรมนายเวรนี่เขาได้กุศลไหมครับ ?
      ตอบ :   ดูเจตนาของเขาว่าตั้งใจจะสอนคนหรือเปล่า ถ้าเจตนาของเขาตั้งใจจะสอนคนให้เป็นคนดีจริง ๆ มันก็ได้ แต่ถ้าหากเขารู้แต่ว่าคนจ้างเขาเล่นแล้วเขาทำหน้าที่อันนั้นไปส่วนนี้มันก็น้อยลง ยังไงเจ้ากรรมนายเวรน่ากลัวไหม (หัวเราะ) จริง ๆ มันน่าจะเห็นอย่างงั้นนะ