ถาม :  แล้วการโคลนนิ่งคนขึ้นมานี่ ?
      ตอบ :  มันได้แต่เปลือก สภาพจิตที่มาปฎิสนธิมันต่างกัน หน้าตาเหมือนกันความประพฤติก็ต่างกัน
      ถาม :  แล้วจิตที่มาปฎิสนธินี่เป็นยังไงครับ เป็นตัว...?
      ตอบ :  ก็คือที่รอเกิดอยู่นั่นล่ะ ?
      ถาม :  รอเกิดเหมือนกับเด็กในท้องเหรอ ?
      ตอบ :  ใช่ มันมาถึงมันก็มีที่เกิด เพียงแต่ว่าเกิดมามีหน้าตาเหมือนกัน แต่รับประกันซ่อมฟรีไอ้ที่จะประพฤติเหมือนกันนี่ร้อยละสิบก็หายาก
      ถาม :  แต่ที่มาเกิดแบบนี้นี่จะเป็นวิญญาณที่ดีหรือเปล่าครับ ?
      ตอบก็ต้องดูด้วยว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน ถ้าเป็นสิ่งแวดล้อมที่ดีดวงวิญญาณจิตที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลก็มาเกิด ถ้าเป็นดวงวิญญาณที่สถานที่ไม่ดี ก็อันที่เขาทำความชั่วไว้เยอะ ถึงเวลาก็ชดใช้หนี้กรรมอันนั้นเศษกรรมยังเหลืออยู่เขาก็มาเกิด ดูสิ่งแวดล้อมด้วย ไม่ใช่หมายความว่าจะหมือน ๆ กันหมด โคลนนิ่งเด็กขึ้นมา... สมมุติว่าคู่หนึ่งอย่างนี้ คนหนึ่งขอไปเลี้ยงภาคเหนือ อีกคนขอไปเลี้ยงภาคใต้ มันคนละโลกกันแล้ว สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ มันก็ต่างกันไปลิบโลก
      ถาม :  ในอนาคตนี่เด็กโคลนนิ่งเยอะมั้ย ?
      ตอบ :  ก็ไม่รู้เหมือนกัน เคยได้ยินมั้ยที่เขาบอกสมัย พระศีรอารียเมตไตรย์ คนเราจะสวยเหมือน ๆ กัน ถ้าลงจากเรือนไปจำสามีภรรยาไม่ได้จนกว่าจะกลับบ้านตัวเอง ลักษณะนี้มันโคลนนิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ เพราะมันเหมือนกันไปหมด (หัวเราะ) น่าสงสัยมั้ย ? อีกตั้งเป็นล้านปีนี่ เทคโนโลยี่มันน่าคิดเหมือนกันนะ
      ถาม :  คนสวยเหมือนกันหมด ?
      ตอบ :  สวยเหมือนกันหมด ลงจากบ้านนี่จำคู่สามีภรรยาตัวเองไม่ได้จนกว่าจะกลับขึ้นบ้านแล้ว
      ถาม :  เพราะอย่างนั้นทางวิทยาศาสตร์ถึงบอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ต่างดาวรึเปล่า
      ตอบ :  (หัวเราะ) จริง ๆ แล้วมีส่วนเหมือนกันนะ อัจฉริยบุคคลไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นได้ง่าย ๆ จนป่านนี้ไอสไตน์คนที่ ๒ ยังไม่มาเลยนี่ มันไอซะตายเลย
      ถาม :  แล้วอย่างไอสไตน์นี่ท่านคิดระเบิดปรมาณูมานี่ท่านบาปมั้ยครับ ?
      ตอบคิดไม่บาป ทำก็ไม่บาป เอาไปใช้น่ะบาป ยกเว้นว่าท่านคิดขึ้นมาโดยเจตนาว่าจะให้ไปฆ่ากัน คุณมีส่วนแน่นอน แต่ว่านั่นคิดขึ้นมาในลักษณะที่ว่าสูตรสัมพันธภาพของเขา ลักษณะอย่างนี้มันต้องให้พลังงานอย่างนี้ พอปฎิกิริยาลูกโซ่อย่างนี้ มันต้องมีพลังงานเท่านี้ อะไรมันเหมือนอย่างกับลับสมองตัวเองดี ๆ นี่เองเพียงแต่มันไปได้ประโยชน์สำหรับคนส่วนหลังเท่านั้นเอง
      ถาม :  แล้วอย่างที่บอกว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญู ท่านจะรู้เรื่องสูตรพวกนี้หรือเปล่า ?
      ตอบ :  รู้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ท่านไม่ได้สอน ที่มันมีพระสูตรอยู่พระสูตรหนึ่งที่กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเสด็จออกจากป่าประดู่ลายมา กำใบประดู่ลายมา ๑ กำมือ แล้วตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใบประดู่ในป่ากับใบประดู่ในมือของตถาคตอันไหนมากกว่ากัน พระท่านก็ทูลตอบว่า ใบประดู่ในป่านั้นมากกว่าจนประมาณมิได้พระพุทธเจ้าข้า
              พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ตถาคตสอนต่อพวกเธอคือใบประดู่ ๑ กำมือแต่สิ่งที่ตถาคตรู้คือใบประดู่ในป่า ท่านรู้ทุกเรื่องจริง ๆ ดร. อาจอง ออกแบบยานลูน่าโมดุล ลงดวงจันทร์ได้ในชนิดที่ฝรั่งเขายอมรับประสิทธิภาพ เขานั่งสมาธิถามจากพระ (หัวเราะ) ง่ายดีมั้ย ? เพราะฉะนั้นคำว่า สัพพัญญู แปลว่า รู้รอบ นี่รู้จริง ๆ รู้ทุกเรื่อง
      ถาม :  แล้วพระพุทธเจ้าที่ต่างกัน .....(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  อันนั้นอยู่ที่บริวารท่าน คือพระพุทธเจ้าที่เป็นปัจเจกพุทธ คือว่าเป็นผู้ที่ต้องการรู้เอง ท่านจะสร้างบารมีอย่างน้อย ๒ อสงไขยกับแสนมหากัป มีความสามารถคล้ายพระพุทธเจ้าทุกอย่างยกเว้นขาดสัพพัญญุตญาณอย่างเดียว แล้วพระพุทธเจ้าที่เป็นปัญญาธิกะ ต้องสร้างบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารของท่านจะประเภทมีดี มีเลว มีรวย มีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ปนเปกันไปหมด พระพุทธเจ้าที่เป็นศรัทธาธิกะสร้างบารมี ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป อันนี้บริวารท่านจะดี สวย รวยเสมอกันหมด ในเขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วจะเข้ามาไม่ได้ ส่วนพระพุทธเจ้าที่เป็นวิริยาธิกะ สร้างบารมี ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปเป็นอย่างน้อยนั้น บริวารท่านนอกจากจะดี สวย รวยเสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วเกิดไม่ได้ ท่านทำเพื่อบริวารตัวเองถึงได้ยอมลำบากขนาดนั้นจริง ๆ ถ้าสำหรับตัวท่านเอง ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปก็สบายมาก ๆ แล้ว
      ถาม :  แล้วถ้าเป็นสมัยพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะคนเหมือนกับเทวดามั้ยครับ
      ตอบ :  ก็คล้าย ๆ กันเลยตามที่เขากล่าวในอนาคตวงศ์ที่สมัย พระศรีอาริยเมตไตรย์ คนจะเดินทาง ถ้าไปทางน้ำจะไม่มีทางทวนน้ำนะ พอลงเรือปั๊บคว้าพายน้ำมันก็พาไหลไปเลย พอถึงเวลาจะกลับมันก็พาไหลกลับ เพราะปกติแล้วมันต้องทวนกลับใช่มั้ย ? อันนี้ไม่หรอก น้ำมันพาไหลกลับอันนั้นมันเป็นกำลังบุญของเขา อยากได้อะไรไปสอยเอาจากต้นกัลปพฤกษ์ ๔ มุมเมืองก็ไม่ต้องเสียเวลาไปหากิน ขาดเสื้อก็ไปสอยเอา ขาดอาหารก็ไปสอยเอา
      ถาม :  พออย่างนี้ผมนึกถึงยานอวกาศนึกถึงอะไรเครื่องจักรคอมพิวเตอร์ ทีมีตรงกลางขึ้นมา ?
      ตอบ :  นั่นน่ะ ลักษณะนั้นเพราะว่าอย่างมนุษย์ต่างดาวบางดวงสมัยเด็ก ๆ อาตมานึกถึงวัว ก็แหม มันเสียเวลาให้วัวมันกินหญ้าเข้าไปแล้วก็ไปย่อยสลายกว่าจะออกมาเป็นนม ทำไมเราไม่คิดเครื่องมือบางอย่างที่มันสลายหญ้าให้เป็นนมไปเลย อย่างเช่นว่า พอถึงเวลาบดหน้าให้ละเอียดแล้วเอาเข้าไปตีผสมในห้องหนึ่ง ซึ่งมันจะมีเชื้อจุลินทรีย์มีอะไรที่มันจะย่อยสลายเสร็จเรียบร้อย
      ถาม :  พอกลั่นผ่านมาอีกห้องหนึ่งก็ออกมาเป็นนมเลย ต่างกับมนุษย์ต่างดาวมันทำได้จริง ๆ มันทำได้มากกว่าที่อาตมาคิดอีก มันสามารถจะเปลี่ยนโมเลกุลจากพืชผักกลายเป็นโมเลกุลของโปรตีนไปเลย พอถึงเวลามันตั้งโปรแกรมไว้ใส่เข้าไป จะกินไก่ก็กดโปรแกรมไก่ก็ออกมาแล้ว ถึงเวลาจะกินหมูใส่เข้าไปกดโปรแกรมหมูก็ออกมาเป็นหมู เราก็นึกว่าเราคิดบ้า ๆ อยู่คนเดียว แต่ว่ามันทำได้จริง ๆ ต่างดาวบางดวงเขาทำได้ เพราะฉะนั้นมันอาจจะลักษณะนั้นก็ได้
      ถาม :  งั้นพวกต่างดาวเขาก็มีบุญน่ะซิครับ ?
      ตอบ :  ใช่ เขาประกอบไปด้วยบุญมาก เพราะว่าบางดวงดาวเขาไม่ต้องใช้พาหนะเลย ไปไหนเขาไปในลักษณะลอยไปเหมือนกับเหาะไปแล้วเรื่องของข้าวปลาอาหารก็ไม่ต้องเสียเวลาไปกักไปตุนไปอะไร มันจะมีข้าวที่งอกขึ้นมาเป็นต้นแล้วมีเมล็ดเลยไม่มีเปลือก ถึงเวลาก็ไปรูดมาใส่หม้อเฉย ๆ เทน้ำใส่ไป ไม่ต้องหุงต้องต้ม ไปตั้งบนก้อนแก้วรัตนมณีมันก็สุกของมันเอง ลำบากแค่หาข้าวอย่างเดียว กับข้าวนึกอยากจะกินอะไรแค่นึกมันก็โผล่มา
      ถาม :  คล้าย ๆ เทวดา ?
      ตอบ :  คล้าย ๆ เลยล่ะ เพียงแต่ไม่ดีพอที่จะเป็นเทวดา แต่ก็ดีเกินว่าที่จะมาอยู่กับพวกเรา
      ถาม :  แต่ก็ไม่ใช่เทวดา ?
      ตอบ :  ไม่ใช่เทวดา เป็นมนุษย์นี่แหละแต่ว่าเรื่องของบุญของเขามันบุญจริง ๆ ใช้คำว่ายังไงล่ะ บุญญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากบุญ
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดวิทยาการก้าวหน้า เขาสามารถข้ามมิติเข้าไปอยู่เมืองเทวดาจะได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  มันยังไม่ปรากฏ แต่ไปดาวอื่นนี่มาที่เราหรือไปที่ไหนนี่ไปได้สบาย
      ถาม :  เพราะว่าผมอ่านพระไตรปิฎกจะมีว่าพระพุทธเจ้าในชาติที่เป็นพระมหาจักรพรรดิบางชาติที่สามารถขึ้นลงสวรรค์ได้ ?
      ตอบ :  อันนั้นก็อย่าง พระเนมิราช อันนั้นอย่าลืมว่านั่นเป็นเทวานุภาพคือ เทวดาเขามารับไปหรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ฤทธิ์ใช้อภิญญาอย่างพระภิกษุหรือผู้ปฎิบัติที่ได้อภิญญา สามารถยกกายเนื้อขึ้นไปบนโน้นได้เลย มันเป็นกำลังของอภิญญาที่ค้ำเอาไว้ ถ้าเป็นคนทั่ว ๆ ไปไม่ถึงหรอกตายซะก่อน
      ถาม :  ถ้าอภิญญามีผลใหญ่อย่างนี้นะครับ ทำไมเวลาเกิดสงครามทำไมพระอรหันต์ท่านไม่ห้ามล่ะครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องพูดถึงพระอรหันต์หรอก แค่ฌานโลกีย์ธรรมดา ๆ เขายังไม่ยุ่งด้วยเลย บุคคลที่จะใช้อำนาจของอภิญญาได้เต็มที่ต้องเป็นผู้ที่ยอมรับกฏของกรรม ถ้าไม่ยอมรับกฏของกรรมไปฝืนเมื่อไหร่ มันได้ครั้งเดียวแล้ววิชามันก็เสื่อม เพราะฉะนั้นที่ฝึกไปแทบเป็นแทบตาย ได้มันก็เหมือนกับไม่ได้ อะไรก็ตามที่คุณจำเป็นต้องรับกฏของกรรมจำเป็นต้องทำสภาพร่างกายมนุษย์ทั่ว ๆ ไปคุณต้องทำไปก่อน ไม่ใช่ว่าได้แล้วกูจะเอาสบายนึกไปตรงโน้นปึ๊บเดี๋ยวกูก็ไปอย่างนั้น ยิ่งไปทำอวดเขาก็เจ๊งในยกแรกเท่านั้น
      ถาม :  อย่างเวลาสมมุตที่เราอธิษฐานจิตแล้วเราจะได้สิ่งของตามปรารถนาอย่างที่เราอธิษฐานจิต หรือไม่ตามบุญที่เราเคยได้มาก่อนครับ ?
      ตอบบุญที่เรามีอยู่นั่นแหละทำให้เราอธิษฐานเป็น แล้วผลของบุญขะทำให้เราได้ในสิ่งนั้น อันนี้เขาเรียกอธิษฐานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากการอธิษฐานคือ ตั้งใจมั่นเพื่อจะให้เป็นอย่างนี้ มันได้ของอย่างนั้นเราต้องเคยสร้างไว้อย่างน้อยต้องมีทานบารมีอยู่
      ถาม :  แต่ถ้าไม่อธิษฐานก็ไม่ได้ซิครับ ?
      ตอบ :  มันอาจจะได้เหมือนกันแต่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ เพราะว่าตัวอธิษฐานนี่มันเป็นการเล็งเป้าแล้วว่าจะเอาตอนนี้ แต่ถ้าหากไม่ได้บอกตอนนี้ มันอาจจะประเภท เราตายไปแล้วค่อยมาก็ไม่รู้จะให้ใครใช้แล้ว
      ถาม :  แล้วอย่างที่ว่า ถ้าเราจะอธิษฐานเราจะต้องนั่งสมาธิก่อนใช่มั้ยครับ ? นั่งสมาธิแล้วก็ไม่ต้องนึกถึงใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ไม่ต้อง เราอยากจะทำอะไรก็ทำไป มีหน้าที่ภาวนาอย่างเดียวจบแล้วอธิษฐานซ้ำซะอีกที
      ถาม :  ทำ ๒ ช่วงเหรอครับ ?
      ตอบ :  ใช่ ขอก่อนทำ ทำแล้วขอซ้ำ