ถาม :  พอดีดูดแล้วถ่ายได้ด้วยเจ้าค่ะ มีพี่อยู่คนหนึ่งเขาจะเดินทางไปกับเรา พอเราเจออะไรก็นึกอยู่ในใจ เธอจะพูดแทนเลย ไม่ทราบว่าทำไมส่งสัญญาณได้อย่างนั้นล่ะเจ้าคะ ?
      ตอบ :  โทรศัพท์เบอร์เดียวกันจ้ะ ถ้าต่อผิดคลื่นก็ไม่ติด
      ถาม :  อันนี้ก็สงสัยว่าทำไมพี่เขารักได้ พอเราจะพูดอะไรเธอก็พูด ?
      ตอบ :  ไม่ต้องสงสัยจ้ะ ทีเรายังรับได้เลย
      ถาม :  แล้วมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งน่ะคะ เขาก็มานั่งใกล้ ๆ เรา พอนั่งไปนั่งมา เธอจะเห็นภาพล่วงหน้าเหมืือนกับที่เราเห็น ทำไมไม่ทราบไปถ่ายทอดกันอีท่าไหนเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ก็บางทีของเขาเองกำลังใจเขาก็เหมือนกัน แล้วก็อยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน ก็สามารถเห็นได้ แต่ว่าในขณะเดียวกันอาจจะเป็นตัวเจโตปริยญาณก็ได้ เรานึก เรารู้ เราเห็นอะไร เขาเองเขาอ่านใจเรากำหนดความรู้สึกของเรา เขาก็นึกได้เห็นได้ รู้ได้เหมือนกัน
      ถาม :  อย่างนี้ก็สื่อกันได้ใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ อย่างไง ๆ ก็หมุนโทรศัพท์หน่อยนะ ไม่งั้นนายกจะเจ๊งซะก่อน ไม่มีใครใช้เลย
      ถาม :  แล้วมีคาถาอะไรที่จะแนะนำมั้ยคะ ?
      ตอบ :  จะแนะนำเยอะเลย เจ็ดตำนานทั้งเล่มน่ะ ท่องไปเหอะ ใช้ได้ทั้งนั้นแหละจ้ะ
      ถาม :  เอาสั้น ๆ กระทัดรัดน่ะเจ้าค่ะ เอาแบบครอบจักรวาล ?
      ตอบ :  พุทโธจ้ะ คาถาทุกบทเป็นเครื่องโยงจิตให้เป็นสมาธิ แล้วพอจิตเป็นสมาธิ กำลังของมันมี เราตั้งใจให้เป็นอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าสมาธิระดับของเราแล้วอะไรก็ได้จ้ะ
              แบบเดียวกับสมัยเด็ก ๆ หลวงพ่อสมชายวัดเขาสุกิมไปวัดใช่มั้ย ? แล้วโยมพ่อก็มัวแต่ไปคุยกับเจ้าอาวาสอยู่ ทิ้งลูกให้อยู่ที่ศาลาคนเดียว มันก็มืดลงทุกที ๆ ท่านก็กลัวหลับหูหลับตานั่งกอดเข่า กลัวแล้วไม่เอาแล้ว ๆ ถอดจิตไปได้เฉยเลย ลักษณะเดียวกันแหละจ้ะ คือพอกำลังใจมันมั่นใจเป็นหนึ่งเดียวแล้วมันก็ใช้งานได้เลย
      ถาม :  ยาว ๆ อย่างอิติปิโส ?
      ตอบ :  เอาเหอะ ยิ่งยาวยิ่งดี ชินบัณชรก็ได้ ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกก็ดี หรือไม่ก็มหาสติปัฏฐานสูตร (หัวเราะ)
      ถาม :  อ่านเจอใน ........(ไม่ชัด)..........หลวงพ่อท่านพูดถึงเรื่องของการก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม ว่าต้องมีมุมให้ถูกต้อง มุมมหาทุกขตะ มุม........(ไม่ชัด).........มุมมหาเศรษฐี ขอถามเป็นอย่างไงครับ ?
      ตอบ :  พอรู้อยู่ ก็เอาโบสถ์เป็นหลักตามตำราของหลวงพ่อ แล้วโบสถ์ต้องหันหน้าทิศตะวันออก จะมีแต่ละทิศอย่างเช่นว่า ทิศด้านตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของพระโมคคัลลาน์ ตะวันออกเฉียงใต้เป็นมุมของพระสารีบุตร แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือจะเป็นมุมของมหาเศรษฐี ตะวันตกเฉียงใต้จะเป็นมุมมหาทุกขตะ
              ก็จำแค่ ๓ ทิศน่ะ ถ้าหากว่าหันเหนือปุ๊บ หน้าตรงก็คือตะวันออก มุมทะแยงคือตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงใต้ แล้วก็ตะวันตกเฉียงเหนือนะใช้ได้ มุมเหลือนอกนั้นใช้ไม่ได้เท่านั้น เพราะว่าจะเป็นมุมโจร มุมมหาทุกขตะ มุมกาลกิณี มุมมรณะ มุมปาราชิก
      ถาม :  คือว่าสถานปฏิบัติธรรมที่ต้องสร้าง หรือว่าเป็นบ้านก็ได้ ?
      ตอบ :  จำเพาะวัด แล้วก็ที่มีผลก็คือมีผลต่อตัวเจ้าอาวาสไม่ได้มีผลต่อพระลูกวัด มีผลต่อเจ้าอาวาส อย่างเช่นว่าถ้าอยู่มุมมหาทุกขตะจนตายชักเลย เงินทองไม่เข้าวัด และขณะดียวกันถ้าหากอยู่มุมปาราชิกก็มีสิทธิเจ๊งได้เลย อยู่มุมมรณะก็ตายเร็ว อยู่มุมโจรนี่โจรเข้าวัดแน่นอน
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าจะสร้างสถานปฏิบัติธรรมก็ต้อง .....?
      ตอบ :  ก็กำหนดเอาเลยว่า เราคิดจะสร้างโบสถ์ตรงจุดไหน แล้วตัวคนเป็นเจ้าอาวาสก็เตรียมกุฏิเอาไว้ด้านที่ดี ๆ เอาไว้ อย่างถ้าตำราหลวงพ่อส่วนใหญ่ท่านนิยมมุมมหาเศรษฐี
      ถาม :  ตะวันตกเฉียงเหนือ
      ตอบ :  ก็จะเป็นตะวันตกเฉียงเหนือ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าจะไปสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรมในบ้านต้องสนใจหน่อยมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ก็สนใจในเรื่องของการตั้งหิ้งบูชาพระให้หันเหนือหรือว่าตะวันออก ถ้าหากว่าหันทิศอื่นก็หมดเร็ว
      ถาม :  ด้านหน้าโบสถ์นี่คือพระประธานหันหน้าไปทางตะวันออกนั่นคือหน้าโบสถ์ ?
      ตอบ :  ด้านหน้าโบสถ์เลยจ้า ด้านหน้าโบสถ์นั่นมุมโจร หลังโบสถ์เป็นปาราชิก คือว่าตะวันออกเป็นโจร ตะวันตกเป็นปาราชิก ถ้าหากว่าใต้เป็นกาลกิณี เหนือเป็นมรณะ ที่เหลือบอกไปแล้ว
      ถาม :  พระโมคคัลลาน์ แปลว่าไงครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าอยู่ก็ฝึกฤทธิ์ ฝึกอภิญญาได้ง่ายมุมพระสารีบุตรก็เข้าถึงธรรมได้ง่ายอย่างนี้
      ถาม :  แล้วถ้าอยากได้ทั้งสองอย่าง สร้างตรงไหนดี ?
      ตอบ :  ก็สลับกันอยู่ (หัวเราะ) อยู่ตรงนี้ ๓ เดือน แล้วย้ายไปอยู่นู้น ๓ เดือน
      ถาม :  วัดจากกึ่งกลางที่ดินหรือวัดจากกึ่งกลางโบสถ์ครับ ?
      ตอบ :  เอาโบสถ์เป็นหลัก ให้อยู่ทิศนั้น ๙๐ องศา ทิศนั้น ถ้าอยู่ในเขต ๙๐ องศานั้นก็ใช้ได้เลย
      ถาม :  แต่ต้องเป็นเจ้าอาวาส ?
      ตอบ :  ตัวเจ้าอาวาสจ้ะ สำคัญ นี่เขาไม่รู้ตำราแล้วก็อยู่ผิดอยู่อะไรนี่ อย่างของอาตมาตอนนี้ถ้าย้ายไปอยู่ท่าขนุน มันก็จะเป็นมุมมหาทุกขตะ แต่ว่าบังเอิญว่าเราไม่ใช่เจ้าอาวาส
      ถาม :  คือว่าตอนนี้กำลังศึกษาพลังจักระอยู่น่ะค่ะ แล้วทดสอบแล้วว่ามันสามารถได้ผลจริง คือ มีพี่คนหนึ่งเขาปวดท้องมากแล้วไม่รู้จะทำยังไง ทำยังไงก็ไม่หาย ก็เลยเอาหินไปวางที่ท้อง พอวางแล้วหินมันแผ่พลังยังไงไม่ทราบค่ะพี่เขาหายปวด แล้วเอาพลังของหินที่มันผลิตรังสีบางอย่างเพื่อปรับสภาพรักษาโรคก็มีคนรักษาหายหลายรายแล้ว ทีนี้สงสัยว่าหินนี่ทำไมมันมีพลังช่วยปรับสภาพได้ ?
      ตอบวัตถุธาตุทุกอย่างเขามีพลังงานของเขาอยู่โดยเฉพาะพวกหินก็คือ ธาตุดินแน่นอนอยู่แล้วใช้ได้ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ส่วนใหญ่มันเกิดจากธาตุใดธาตุหนึ่งบกพร่อง เพราะฉะนั้นะถ้าหากว่ามีธาตุนั้นเสริมเข้าไปก็จะหายจากอาการป่วยอันนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะรักษาได้ทุกคน
              โบราณเขาบอกว่าลางเนื้อชอบลางยา คือเนื้อบางชนิดต้องใช้ยาบางอย่าง ไม่ใช่ว่าป่วยแบบเดียวกันรักษาแบบเดียวกัน แล้วอีกอย่างก็คือว่าการรักษาคนป่วย โรคบางอย่างต้องรักษาถึงหายถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าเจอประเภทรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย ขนหินลงไปสักคันรถหนึ่งจะได้กลบไปเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  แสดงว่าพลังของหินมีจริงใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ วัตถุทุกอย่างมีพลังอยู่แล้ว อย่าลืมตำราวิทยาศาสตร์ไอสไตน์เขาบอกว่าแกนกลางของวัตถุทุกอย่างเป็นพลังงาน พวกวิทยาศาสตร์เขาก็ตามทันในจุดนี้แล้ว เพราะฉะนั้นก็เชื่อเขาไว้หน่อยหนึ่ง
              คาถาขอลาภมันเป็นคำแปลก ๆ หน่อยนะฟังทันมั้ย ? จดก็ได้นะ คาถาขอลาภเขาว่าอย่างนี้ ให้กลั้นใจท่องคาถาในใจว่า ฮัดนิกุดกัดกา กากิกูสูจิ กลั้นใจว่า ๙ จบ คาถานี้เป็นของหลวงพ่อซ่วน เขาใช้แล้วได้ผลอัศจรรย์ดีก็เห็นคนเอาไปใช้กันหลายคน ส่วนคาถาป้องกันภัยหรือว่าคาถาขับมารของหลวงปู่ชุ่มนั้น ท่านให้ว่าคาถาพร้อมทั้งโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศเพื่อความปลอดภัยไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม หรือว่าเวลาจะเจิรญกรรมฐานท่านให้ว่าคาถานี้แล้วโบกมือไล่ทั้ง ๔ ทิศ ท่านบอกว่าป้องกันมารเข้ามาแทรกทำให้เราไขว้เขว เสียผลในการปฏิบัติ
              เพราะฉะนั้นถ้าใครใช้คาถาก็มีผลป้องกันอันตรายและก็ขับไล่สิ่งที่ไม่ดีที่จะเข้ามาก่อกวนเราด้วย คาถาว่า ตะรังเมยาจามิ ว่าเสร็จก็โบกมือไปทีหนึ่งจนครบ ๔ ทิศ คำว่าทิศไม่จำเป็นต้องเหนือ ใต้ ออก ตก แต่ให้ใช้ ซ้าย ขวา หน้า หลัง ของเราเอง

      ถาม :  มีคนเสนอให้ยกเลิกการประหารชีวิตของนักโทษโดยให้เหตุผลว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ?
      ตอบ :  มีข้อคิดเห็นเป็นยังไง ? จริง ๆ มันต้องประหารให้หนักกว่าเดิม สังเกตุมั้ยสมัยโบราณเวลาประหารชีวิต อย่างเช่นว่า ตัดหัวนักโทษ เขาจะไปแห่ประจานก่อนแล้วก็ไปประหารในที่สาธารณะให้คนจำนวนมากเห็น เพื่อที่มันจะได้เกรงกลัว ทีนี้คนเราจิตสำนึกมันไม่มีความเกรงกลัว ไม่ละอายชั่ว กลัวบาป มันก็จะทำชั่วมากขึ้นไปเรื่อยแบบเดียวกับนักโทษค้ายาบ้า เขาบอกว่าสองพันเม็ดขึ้นไปโทษประหาร แล้วมันไม่ประหารซะทีมันก็ค้าหนักขึ้นไปเรื่อย ๆ ระยะหลังจับได้เป็นล้าน ๆ เม็ดเลย พอโดนประหารไป ๔-๕ รายมันก็จะซาไปแต่พอโดนโทษประหารไปที ๑๕ ราย ๑๗ รายมันก็ชักจะเงียบไป
              เพราะฉะนั้นโทษเหล่านี้ความจริงม้ันจำเป็นต้องมีอยู่ การจัดระเบียบของสังคมบางทีผู้นำก็จเป็นต้องเสียสละ แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วผู้นำท่านจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อความสุขของส่วนรวมตัวท่านเองจะตกนรกท่านก็ยอม เพราะฉะนั้นถามว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธสมควรจะยกเลิกโทษประหารชีวิตมั้ย ? คนอื่นว่าอย่างไรไม่รู้ อาตมาทั้ง ๆ ที่เป็นพระเห็นว่าไม่สมควรยกเลิก แล้วมันต้องประหารให้หนักขึ้นด้วย โทษยาเสพติด โทษข่มขืนแล้วฆ่าอะไรพวกนี้ว่ามันให้หนัก ๆ ไปเลย มันเข็ดไปเอง
              สมัยจอมพลสฤษดิ์ ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เห็นมั้ย....จับได้ตรงไหนยิงทิ้งตรงนั้นไม่กี่รายเ่ท่านั้น กระทั่งไฟยังไม่กล้าไหม้ไม่กล้าช็อต ไฟยังกลัวเลย ไม่งั้นเดี๋ยวตรงนั้นก็ไฟช็อตตรงนี้ก็ไฟช็อต
      ถาม :  การค้ายาบ้าหรือการเสพมีโทษและอานิสงส์อย่างไร เมื่อตกนรกแล้วต้องรับกรรมอย่างไรแล้ว เกิดมาชาติหน้าจะมีลักษณะอย่างไร ?
      ตอบ :  เอาทีละประเด็นนะ อานิสงส์หายากหน่อย ถ้ามันพอดีมันเป็นตัวกระตุ้น แต่ว่าการกระตุ้นในร่างกายมันจะทำงานเกินปกติ พอหมดฤทธิ์ยามันจะประเภทนอนแผ่ กระดิกกระเดี้ยไม่ได้
              สมัยอยู่วัดท่าซุงเวลามีงานของหลวงพ่อ พระบางองค์ท่านก็จะเล่นกาแฟ บางองค์ก็กระทิงแดงผสมกาแฟ ถ้าพวกอยู่เวรยามฆราวาสบางคนถ้าไม่ไหวจริง ๆ มันก็เรียกหายาม้าเลย สมัยนั้นยาบ้ามันไม่มีมันมีแต่ยาม้า ปรากฏว่าพอเลิกงานของเราเองไม่ได้กินอย่างเขาอาศัยกำลังตัวเองเฉย ๆ พอนอนพักคืนหนึ่งรุ่งขึ้นเราออกบิณฑบาตได้ แต่ว่าคนอื่นแผ่หราหมด
              เพราะฉะนั้นถ้าจะถามว่ามีอานิสงส์ยังไงก็คือ ว่ามันช่วยให้มีกำลังงานขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้นและการมีกำลังของมันนั้นมันไปกระตุ้นเอากำลังงานสำรองออกมาหมด ในเมื่อกระตุ้นออกมาหมดถึงเวลากำลังสำรองไม่มีเหลือเลยอย่างนี้มันก็จะทำให้ร่างกายแย่ ส่วนโทษมันมีสารพันอย่างที่เราเห็น เกิดคลุ้มคลั่งประสาทหลอนบ้างจับโน่นจับนี่เป็นตัวประกันให้ยุ่งไปหมด หรือไม่ก็เสพเข้าไปแล้วเกิดคึกขึ้นมาเที่ยวข่มขืนเที่ยวฆ่าเขาโทษมันก็จะมี คราวนี้ว่าตัวโทษตรงนี้จริง ๆ แล้วในศีล ๕ ก็มีบัญญัติไว้พระพุทธเจ้าว่า สุราเมรยะมัชชะปมา สุราก็คือน้ำเมาที่เกิดจากการกลั่น เมรัยน้ำเมาที่เกิดจากการหมักดอง มัชชะของมึนเมาทั้งปวงทำให้ขาดสติ
              เพราะฉะนั้น พวกยาเสพติดต่าง ๆ มันน่าจะอยู่ในประเภทมัชชะคือของมึนเมาทำให้ขาดสติ ตายแล้วจะตกนรกยังไงล่ะ ก็คงไปขุมพวกยมโลกีย์นรก เพราะยมโลกีย์นรกนี่เขาก็จะแยกละเอียดว่าจะลงโทษเกี่ยวกับอะไร ๆ พวกนี้มันลักษณะของมันใช้เสพอะไรก็คงเจอตามโพทกนรก เอาน้ำทองแดงกรอกปากอยากมากใช่มั้ยใสลงไปเลย (หัวเราะ) ตามโพทกนรก-นรากน้ำทองแดง ตามพะ-ทองแดง
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  มันสงเคราะห์เข้ากับของเก่าได้ พระพุทธเจ้าท่านอ้างเอาไว้ในมหาปเทส ๔ สิ่งที่ไม่สมควรสงเคราะห์แล้วเข้ากับสิ่งไม่สมควร สิ่งนั้นย่อมไม่สมควร ท่านจะมีข้ออ้างใหญ่ให้อ้างอยู่ได้ ๔ ข้อ สิ่งที่เห็นว่าไม่สมควรแต่สงเคราะห์แล้วเข้าสิ่งที่สมควร สิ่งนั้นก็สมควรทั้ง ๆ ที่คนทั่ว ๆ ไปเห็นว่าไม่ควรแต่ว่ามันเหมาะมันสมมัุนใช้ได้อย่างนี้ สิ่งนั้นก็สมควร
      ถาม :  ถ้าเราได้ไปนิพพานในชาตินี้ ก่อนตายเราจะอธิษฐานให้กระดูกของเราเป็นไปได้ตามที่เราต้องการ ?
      ตอบ :  ได้ คือการที่กระดูกเป็นพระธาตุมันเกิดอยู่ได้ ๒ สถานด้วยกัน สถานแรกคือ เจ้าของกระดูกอธิษฐานไว้เองให้เป็น สถานที่ ๒ เพื่อกำลังใจของคนหมู่มากลูกศิษย์ลูกหานับถือ พระท่านจะทำให้เป็น ถ้าพ้นจาก ๒ สถานนี้ไปแล้วยังไม่พบว่ามีใครที่ทำให้เป็นได้ หลวงปู่มั่นท่านมรณภาพไปแล้ว ๓๐ กว่าปีแล้วกระดูกถึงเป็นพระธาตุเพราะลูกศิษย์ลูกหาเคารพท่านมาก พระท่านก็เลยสงเคราะห์ให้เป็นไม่งั้นเดี๋ยวคนเขาจะไม่เชื่อว่าอาจารย์เขาดีจริง
      ถาม :  การทำกรรมฐานแบบพิจารณา เช่น การเดินจงกรม การกินข้าวในทุกอิริยาบทแบบช้า ๆ สโลโมชั่น แบบนั้นตรงตามความต้องการตามคำสอนแบบพระพุทธเจ้าหรือไม่ ?
      ตอบกล่าวว่าตรงก็ได้แต่ไม่หมด เพราะว่าคนที่แรกฝึกหัดกำลังใจยังไม่ละเอียด ถ้าหากว่าทำอะไรเร็ว ๆ อย่างเช่นว่า เดินเร็ว กินเร็ว บางทีจะพิจารณาไม่ทัน เขาจึงต้องเริ่มจากช้าไปก่อน แต่พอมีความคล่องตัวแล้วก็ทำได้ดีขึ้นเร็วขึ้น
              อย่างหลวงพ่อชา วัดหนองป่าพงท่านบอกว่า ครูบาอาจารย์บอกว่าสอนผมว่าให้ผมฉันช้า ๆ ค่อย ๆ พิจารณาไป แต่พอไปร่วมวงฉันกับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ฉันเร็วมาก เสร็จแล้วท่านก็เลยนึกตำหนิท่านอาจารย์ในใจ ปรากฏว่าท่านอาจารย์หยุดฉัน หันมามองหน้าท่านแล้วบอกว่า คนที่ขับรถเร็วแล้วปลอดภัยน่ะมีอยู่ แต่ของท่านเพิ่งหัดขับเพราะฉะนั้นท่านต้องไปช้า ๆ ก่อน (หัวเราะ)
              ดังนั้นว่าที่ถ้าถามว่าตรงตามคำสอนพระพุทธเจ้ามั้ย ? ระยะแรกที่ยังไม่คล่องตัวก็ถือว่าตรงแต่มันยังตรงไม่หมด พอถึงเวลาคล่องตัวแล้ว เราอยู่อริยาบทไหนมันมีสติรู้อยู่พิจารณาได้ถ้าอย่างนั้นก็เร็วเท่าไหร่ก็ได้
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าใครทำอย่างนี้อย่าเพิ่งไปตำหนิเขา ?
      ตอบ :  อย่าเพิ่งไปติเขา เรารู้สึกว่ามันช้าเกินไปไม่เหมาะใจเรา ๆ ก็หลีกไปซะ
      ถาม :  ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งกล่าวว่า พระเจ้าตากสินได้ไปฝึกทำกรรมฐานจนเ้พ้อว่าตัวเองเหาะได้ เป็นบ้าแล้วได้ถูกประหารในที่สุดจริง ๆ แล้วทำกรรมฐานเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ท่านเป็นบ้าจริงหรือไม่ ?
      ตอบ :  อันนี้แยกเป็น ๒ ประเด็น ทำกรรมฐานแล้วเป็นบ้าได้หรือไม่ ? ถ้าทำถูกไม่เป็นแน่นอน ถ้าทำผิดนั่นเป็น ที่ผิดคือทำหามรุ่งหามค่ำไม่ยอมพักไม่ยอมผ่อนร่างกายมันทนไม่ไหว ประสาทมันเครียดก็เลยออกอาการวิปลาสไป อันนี้ส่วนใหญ่มันจะเป็นคนที่ทำถึงระดับปีติ พอปีติมันเกิดนี่ ทีนี้มันไม่รู้จักอิ่งไม่รู้จักเหนื่อยในการปฏิบัติ ขาดสติไม่รู้จักพักผ่อน พอร่างกายทนไม่ไหวก็พัง
              เพราะฉะนั้นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่าถ้าใครทำกรรมฐานแล้วบ้ามาให้ข้ารักษาข้าไล่ส่ง เพราะว่าข้าสอนใครไม่เคยบอกให้ใครบ้า เพราะฉะนั้นมันไปทำแล้วบ้าแปลว่ามันไปทำผิดที่ข้าสอน ส่วนพระเจ้าตากสินบ้าจริงหรือไม่ ? บ้าจริงตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่ว่าบ้าปลอมในความเป็นจริง เพราะว่าท่านเองท่านตัองการจะผลัดแผ่นดิน ถ้าไม่มีข้ออ้างแล้วรัชกาลที่ ๑ ไปผลัดแผ่นดินคน คนจะไม่ยอมรับนับถือ ท่านก็เลยต้องเสียสละตัวท่านเอง
      ถาม :  ทำไมบางคนนอนถึง ๑๐ ถึง ๑๒ ชั่วโมงยังไม่รู้สึกอิ่ม บางคนรู้สึกว่านอน ๓-๔ ชั่วโมงเพียงพอแล้ว แพทย์บอกว่านอนวันละ ๘-๑๐ ชั่วโมง จริง ๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  พอดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน ตัวนี้โยมเข้ามาถึงมัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าได้ ตัวพอดีมันไม่ใช่ขีดเส้นเป๊ะ ๕๐% มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้รับได้ฝึกมา พระที่ได้รับการฝึกอบรมทางจิตมาดีนอนพักสัก ๒-๓ ชั่วโมงเท่ากับคนทั่ว ๆ ไป พัก ๘-๑๐ ชั่วโมงเพราะว่ากำลังใจท่านละเอียดถึงเวลาแล้วร่างกายมันได้พักผ่อนจริง ๆ ถ้ายิ่งท่านเข้าฌาน ๔ ก็เท่ากับว่าอวัยวะภายในท่านได้พักไปด้วย พวกที่ทำงานอัตโนมัติอย่างพวกกระเพาะ พวกปอด พวกหัวใจได้พักไปด้วย
              เพราะฉะนั้นพักน้อยก็เหมือนกับได้พักเยอะ ถามว่าอันไหนถึงจะพอเหมาะพอควร มันขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ได้ฝึกมาจะมากจะน้อยต่างกันอย่างไร แต่ว่าถึงเป็นพระปฏิบัติมาก็ตามถ้าว่าขาดการพิจารณา อย่างเช่นว่า ฉันอาหารโดยไม่บันยะบันยังหรือว่าฉันอาหารที่ก่อให้เกิดโทษ ทำให้มันมึนง่วงซึมอะไรอย่างนี้ บางทีก็ว่ายาวเป็น ๑๐ ชั่วโมงเหมือนกัน
              ฉะนั้นอยู่ที่วัดจะเตือนท่านบ่อยเรื่องนี้บอกพวกคุณพิจารณาอาหารเรปฏิกูลสัญญา คุณพิจารณาจนช่ำชองแล้ว คุณเชื่อมั่นแน่นอนแล้วว่าอาหารทุกอย่างสกปรก หลังจากนี้ไปคุณก็ไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาแล้ว เพราะว่าคุณรู้จนขึ้นใจช่ำใจแล้ว ก็พิจารณาแค่ว่าอาหารที่คุณจะฉันเข้าไปอันไหนมันจะเกิดโทษกับตัวคุณ อย่างเช่น มันเย็นเกินไปจนทำให้คุณเป็นไข้หรือเปล่า ? หรือว่าร้อนเกินไปมันจะทำให้คุณเสียงแหบแห้งจนสวดมนต์ไม่ได้หรือเปล่า ? หรือว่าฉันเข้าไปมันจะทำให้คุณเกิดกำหนัดหรือเปล่า ? คุณพิจารณาตรงนี้แล้วอันไหนเป็นโทษกับเรา ๆ ก็งดเว้นตรงนี้ซะ
      ถาม :  ปราสาทนครวัดนครธมและปิระมิด คนสร้างได้จริงหรือไม่ เพราะมีขนาดใหญ่โตมากหรือใช้ฤทธิ์อย่างอื่นสร้างครับ ?
      ตอบ :  ก็มันมีหลายอย่างรวมกันนะ ถ้าหากถามว่าคนสร้างจริงได้หรือไม่ ? ได้จริง ๆ ถามว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า ? มันเป็นฤทธิ์อยู่อย่างหนึ่งคือ ฐานาฐานะฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฐานะสูง บรรดาเจ้าพระยามหากษัตริย์ หรือว่าพระเจ้าจักรพรรดิราชท่านบัญชาลงไป เป็นตายยังไงคนมันก็ต้องทำให้ได้
              ส่วนลักษณะที่ว่าใช้ฤทธิ์หรือเปล่า....บางทีก็บอกว่าใช้ฤทธิ์ เขาเรียกว่า วิชชามัยฤทธิ์ อย่างพวกเครื่องกล เครื่องผ่อนแรง พวกรอก พวกคาน คานดีด คานงัด อย่างนี้มันก็ใช่อีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นพวกนี้มันมีหลายอย่่างอยู่เหมือนกัน จนกระทั่งถึงอันสุดท้ายใช้พลังจิต อย่างพวกวาโยกสิณ ของหนักอธิษฐานให้เบา ลักษณะนั้นก็ทำได้