สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤศจิกายน ๒๕๔๖ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ
ถาม: อย่างนี้สามารถที่จะท่องคาถาได้ครั้งละหลาย ๆ บทพร้อมกันเลยใช่ไหม ?
ตอบ : ส่วนใหญ่คาถานี่อาตมาเอง บางครั้งก็ว่าทีละสองบทสามบท แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่น ๆ อย่างนี้ บางครั้งปากเรา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ แต่ใจเราไปคิดอะไรอีกเรื่องก็ไม่รู้
ถาม : ถ้าอย่างนี้พลังต้อง....?
ตอบ : ถ้าทำเป็นจริง ๆ กำลังพอจ้ะ แต่ถ้าทำไม่เป็นจริง ๆ เอาเรื่องเดียวเพื่อความแน่นอนดีกว่า
ถาม : เป็นไปได้ไหมคะที่คนบางคนมีสติแต่ไม่มีสัมปชัญญะ หรือมีสัมปชัญญะแต่ไม่มีสติ ?
ตอบ : เป็นได้จ้ะ
ถาม : ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : สิตสัมปชัญญะ จริง ๆ ต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สตินี่นึกได้สัมปชัญญะรู้ คนมีสติอย่างเช่นนึกได้ว่าเราจะทำอะไร สัมปชัญญะจะควบคุมสิ่งที่ทำนั้นไม่ให้ผิดพลาด เพราะฉะนั้น...ถ้ามีแต่สติระลึกได้ว่าจะทำ แต่ขาดสัมปชัญญะคอยควบคุม สิ่งนั้นอาจจะผิดได้พลาดได้ อย่างประเภทเดินจงกรมยก ย่าง เหยียบอย่างนี้ถ้าขาดสัมปชัญญะอาจลงไปในหลุม แทนที่จะไปหลีกหลุม หรือไม่ก็เดินลงบันไดก็หัวทิ่มไปเลย
ถาม : ถวายสังฆทานแล้วต้องกรวดน้ำ ?
ตอบ : แค่นึกว่า เราได้ถวายสังฆทานแล้ว ขอให้คุณตามาโมทนาด้วยนะจ๊ะ หนูจะได้รับประโยชน์ได้รับความสุขเท่าไร ก็ขอให้คุณตาได้รับด้วย แค่นั้นแหละจ้ะ ไม่ต้องไปกรวดน้ำให้เสียเวลาหรอก กรวดน้ำเป็นรูปแบบของพราหมณ์
สมัยก่อนพรามหณ์จะให้อะไรใครนี่ เขาจะเอาน้ำรดมือคนนั้น แสดงสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอแล้ว คราวนี้พระเจ้าพิมพิสารท่านทำบุญ จะอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติของท่านเป็นคนแรกในพุทธศาสนา พอพระพุทธเจ้าบอกให้อุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้ ความที่เคยชินว่าตัวเองเป็นพราหมณ์มาก่อน ก็ต้องเอาน้ำรดมือ คราวนี้ผีไม่ยื่นมือมาให้รด ท่านก็เลยรดมือตัวเอง คราวนี้พอรดมือตัวเองไป คนเห็นเลยถือตามแบบมาเรื่อย ๆ เลย กลายเป็นว่าเปียกแล้วก็ต้องไปเช็ดกันอีก จริง ๆ ไม่ต้องก็ได้จ้ะ แค่ตั้งใจแค่ขอให้เขามาโมทนาก็ได้แล้ว ผีฉลาดทั้งนั้นแหละจ้ะ
ถาม : บอกหลายครั้งแล้วที่โรงพยาบาลค่ะ พอมีคนมาขอก็ให้ ๆ เขาไป ?
ตอบ : ให้ตอนนั้นเลย ไม่ต้องทำใหม่ด้วย ถ้าเขามาหาเราแปลว่าบุญเราเพียงพอให้ตั้งใจว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขอให้เธอโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าไร ขอให้เธอได้รับด้วย แค่นั้นแหละจ้ะ
ถาม : นึกว่ามาก่อกวน ?
ตอบ : อ๋อ...ไม่ได้กวนหรอก พวกนี้ถ้าเราให้เขาไป เราใช้เขาได้ด้วย คือเขาจะมีความกตัญญูเป็นปกติ เขาได้ดีเพราะเรา ถึงเวลาบอกเขาด้วย มีเรื่องอะไรฉุกเฉินให้ปลุกเราก่อนห้านาที ให้เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พร้อมที่จะแก้ไขเหตุการณ์ด้วย อาตมานี่เจอประจำเลย
สมัยก่อนอยู่หน้าตึกหลวงพ่อวัดท่าซุง แล้วมาลาเรียกำเริบอยู่เรื่อย เพราะพักไม่พอ พอถึงเวลาต้องขอท่านแม่ว่า ท่านแม่ครับ ก่อนหลวงพ่อจะออกมา ๑๕ นาทีบอกผมด้วยนะครับ พอถึงเวลาอยู่ ๆ ก็หายป่วยหายไข้ ลุกพรวดพราดขึ้มาได้เหมือนคนแข็งแรงเป็นปกติ อย่างนั้นจับเวลาได้เลย ๑๕ นาทีหลวงพ่อท่านจะโทรศัพท์มา แล้วก็จริง ๆ ด้วย พอถึงเวลาโทรศัพท์กริ๊งงง เฮ้ย...เล็กโว้ย บอกทหารเตรียมตัว พ่อจะลงรับแขก กราบเรียนไปว่า เตรียมพร้อมแล้วครับ ก็ท่านแม่ปลุกก่อนตั้ง ๑๕ นาที เราก็เตรียมพร้อมกันหมดแล้ว
ถาม : ดิฉันทำการเกษตร จะรุ่งไหมคะ ?
ตอบ : ต้องทุ่มเทจ้ะ การเกษตรพอ ๆ กับเลี้ยงลูกอ่อน ถ้าเราไม่ทุ่มเทดูแลนี่จะไม่ค่อยได้ผลเท่าไรหรอก เผลอนิดเดียวโดนเชื้อรากินไปทั้งไร่แล้ว
ถาม : จะไปปลูกกล้วยกันไว้ก่อน ?
ตอบ : เอาอย่างนี้สิ มีที่ไร่ครึ่ง...ใช่ไหม ? แบ่งเอามาสักครึ่งไร่ ทำเป็นปลุกผักกางมุ้ง ผักปลอดสารพิษนั่นแหละ พวกผักปลอดสารพิษนี่มีแหล่งรับซื้อแล้วราคาสูงด้วย เราลงทุนกางมุ้งให้ จะได้กันพวกแมลงได้ แต่พวกเชื้อรานี่ต้องระวังให้ดี
ถาม : ตอนแรกจะทำเป็นเหมือนกับว่า พอต้นไม้โตแล้วจะทำบ้านเช่าให้ฝรั่งเช่า คือแบบว่าปลูกสวนไปด้วย แล้วก็บ้านนี่เป็นเหมือนกับผลพลอยได้ คือผลไม้ก็มีกิน ?
ตอบ : ลองดู ...ถ้าไม่รุ่งแล้วค่อยว่ากันใหม่
ถาม : ขอให้เหมือน ๆ กับเวลาทำงานเถอะ เวลาอยู่เวรงานนี่เยอะสุด ๆ ทุกครั้งเลย ?
ตอบ : คงไม่มีปัญหา เพราะทำบุญไว้ดี ถึงเวลาทำอะไรก็ได้เยอะ ๆ เหมือนกัน แล้วอย่าบ่นว่าเหนื่อยแล้วกัน
ถาม : ยังข้องใจเรื่องสติกับสัมปชัญญะอยู่ ข้องใจว่าบางครั้งจริง ๆ หนูรู้ตัวตลอดว่าหนูทำอะไร หนูจะชอบหลงวันหลงเวลาอะไรอย่างนี้ ?
ตอบ : อันนั้นไม่มีปัญหาอะไรหรอก บางคนจดจ่อกับงานบางอย่าง จะลืมเรื่องอื่นไป ไม่ต้องใครหรอก โน่นแน่ะโทมัส อัลวาเอดิสัน ต้องมาถามคนอื่นว่าผมชื่ออะไร ?
ถาม : อย่างนี้เขาเรียกว่ามีสติสัมปชัญญะไหมคะ ?
ตอบ : มีอยู่ แต่น้อยไปหน่อย ไปทุ่มเทอยู่กับงานจนนึกไม่ออก ลืมแม้กระทั่งชื่อตัวเอง
ถาม : ยังถือว่าเขามีสติสัมปชัญญะ ?
ตอบ : ยังมีอยู่ มีอย่างยอดเยี่ยมเลยด้วย ค้นคว้าถึงขนาดนั้น แต่เล่นเทไปด้านเดียว ด้านอื่นไม่เอาเลย
ถาม : อย่างนี้เขาต้องปรับปรุงตัวเองใช่ไหม ?
ตอบ : ไม่ต้องหรอกจ้ะ ของเขาแค่เลิกสนใจกับงานตรงนั้น ประเภทถอนสติสมาธิคืนจากตรงนั้นมา เขาก็รับรู้ทุกอย่างได้ตามปกติ
ถาม : บางครั้งเพื่อน ๆ ต้องโทรศัทพ์มาเตือนประจำ วันนี้มีงานที่นั่นนะ เพราะบางครั้งจะเป็นคนที่ว่า ....?
ตอบ : อย่างนี้หาเลขานุการส่วนตัว หรือไม่ก็จดโน๊ตไว้
ถาม : คือจะเป็นคนแบบว่าลืมวันค่ะ คือเวลาทำอะไรแล้ว เราจะไม่รู้ว่าวั้นนั้นวันที่เท่าไร ?
ตอบ : ทำ planner เล่มเล็ก ๆ ไว้สิ ถึงเวลาก็เปิดดู วันนี้เราต้องไปไหนบ้าง เช็คดูตั้งแต่เช้าเลย
ถาม : เพื่อน ๆ จะเหมือนกับว่าขึ้นชื่อเลยว่าแกอีกแล้ว หนูก็ว่ามีสติสัมปชัญญะหรือเปล่านี่ เวลาทำงานก็เหมือนมี ทำไมเรื่องวันเรื่องปีอะไร ?
ตอบ : มีจ้ะ แต่ค่อนข้างจะขี้ลืม
ถาม : หนูไม่รู้ว่าจะปรับปรุงตัวอย่างไร มีบางครั้งก็ลืมเปิดดู ที่เขวก็จิตกับใจ ?
ตอบ : ไม่ต้องไปสนใจหรอก ไปสนใจฟังเขามาก ๆ แล้วจะเพี้ยนตามเขา ไม่มีประโยชน์ที่จะไปเถียงกัน ของพวกนี้เขาเถียงกันตั้งแต่ก่อนพระพุทธเจ้าจะเกิดอีก แล้วก็ตกลงกันไม่ได้ ไม่ต้องอะไรหรอก แค่เรื่องมงคลอย่างเดียวเถียงกันจนพรหมจนเทวดาเดือดร้อนไปหมด อะไรที่เป็นสิ่งที่เป็นมงคลอย่างแท้จริงอย่างนี้ กินอิ่มนอนหลับถือว่าเป็นมงคลไหม ?
ถาม : ที่จริงต้องแยกเป็นทฤษีฎีกับปฏิบัติ ?
ตอบ : นั่นแหละ คราวนี้สิ่งที่เขาว่ามานั้นดี แต่ดีเฉพาะส่วน ไม่ดีสำหรับทุก ๆ คน พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสมงคล ๓๘ ประการที่ดีสำหรับทุกคน ที่ท่านบอก อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญ จะ เสวนา อย่าคบคนพาลให้คบบัณฑิต ปูชา จะ ปูชะนียานัง ให้บูชาบุคคลที่ควรบูชา ปฏิรูปะเทสะวาโส ให้อยู่ในถิ่นที่เหมาะสม ปุพเพ จะ กะตะปุญญะตา มีบุญอันทำดีมาแต่ปางก่อน อัตตะ สัมมาปะนิธิจะ ตั้งตนเอาไว้ทางที่ชอบ
ถาม : การจัดการกับคนชั่วของผู้ที่มาจากพุทธภูมิล่ะคะ ?
ตอบ : อ๋อ...ก็คงตายเกินครึ่งแหละจ้ะ
ถาม : พุทธภูมิที่มีกำลังใจเท่าพระโสดาบัน ยังเกินครึ่งอีกหรือเปล่า ?
ตอบ : ของพุทธภูมินี่ท่านยอมสละตัวเองจ้ะ ถ้าเพื่อความสุขของคนส่วนรวมนี่ท่านยอมลำบากลงนรกคนเดียว
ถาม : กำลังใจเทียบเท่ากับก็ยังทำชั่วได้อยู่ ?
ตอบ : จริง ๆ ของท่านนี่เรื่องละเมิดศีลไม่มีแล้ว ถ้ากำลังใจเท่าพระโสดาบัน เพราะท่านละเอียดกว่าด้วย เพียงแต่ว่าถ้าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่จะต้องทำเพื่อความสุขของส่วนรวม ท่านก็ยอมละเมิด ไม่เหมือนพระโสดาบันที่ตัวตายดีกว่าศีลขาด
ถาม : กำลังใจตรงนั้นนี่ กำลังใจดีปกติใช่ไหมคะ ถ้าไม่ใช่เจอคนชั่วก็พระโสดาบันธรรมดา ถ้าเกิดของขึ้น ๆ มาก็ ?
ตอบ : ถ้าพูดง่าย ๆ ถ้าแก้ไขจนหมดวิธีแล้ว มึงก็ตายซะเถอะ ...(หัวเราะ) ...โหดร้ายไปหน่อย
ถาม : ............................
ตอบ : มีอยู่เที่ยวหนึ่ง อาตมาไปผ่าฝีที่ร้านหมอเหลือง อยู่ที่อู่ทองโน่น หมอฉีดยาชาให้ก็นอนคว่ำให้เขาผ่า เพราะเป็นฝีลูกเบ้อเร่อที่ก้น เกิดจากไปตกเขากระแทกหินมา แล้วเนื้อช้ำจนกลายเป็นฝี หมอผ่าไปอาตมาก็คุยกับหมอไป พอคุย ๆ ไปพักหนึ่ง หมอ...รู้สึกว่ายาชาหมดฤทธิ์แล้ว...เจ็บฉิบหายเลย เพราะหมอบอกว่าเนื้อข้างในโดนกระทบแล้วยุ่ยหมด เขาต้องคว้านให้หมด อาจจะเป็นว่าหมอคว้านจนกระทั่งพ้นที่ฉีดยาไว้ หมอเลยบอกว่า ขอโทษครับ เดี๋ยวผมฉีดยาให้ใหม่ พอฉีดยาก็ เออ...ผ่าต่อได้แล้ว ก็คุยกับหมอต่อ หมอผ่าเสร็จบอกว่า ไม่เคยเจอใครเลยที่ผ่านแล้วเป็นอย่างนี้ คือประเภทผ่าไปคุยไปอย่างนั้น เจ็บก็บอกเฉย ๆ ว่าเจ็บ ไม่มีโอ๊ยกับใคร
ถาม : แล้วที่หมอต้องเอาผ้าเขียว ๆ มาปิดก่อน ?
ตอบ : ที่ปิดจริง ๆ คือป้องกันเชื้อ คือเขาจะจำกัดบริเวณที่สัมผัสเชื้อให้เหลือน้อยที่สุด ก็เลยต้องปิด เหลือไว้แต่ตรงแผลหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง
ถาม : เราก็เหล่ ๆ ดูเวลาลงมีด ?
ตอบ : ของอาตมานอนเอาคางหนุนหมอนแล้วคุยกับหมอไปเลย ขำอะไรไม่ขำ ขำตอนที่พยาบาลฉีดยาชา จิ้มผิดที่...ไปจิ้มลงไปกลางฝี พอชักเข็มขึ้นมา หนองก็พุ่งปรี๊ดตามมาเลย ...(หัวเราะ)....
ถาม : ยาหญ้าแพรกตำกับขมิ้น แก้ซีสต์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : เขาเอาไว้แก้อักเสบภายใน ซีสต์จริ งๆ ยังไม่อักเสบนะ แค่เป็นการสะสมของไขมัน ลักษณะเป็นต่อมไขมันอุดตันแบบสิวนั่นแหละ แต่ไปอุดตันใต้ผิวหนัง
ถาม : นี่คืออะไรคะ ?
ตอบ : เขาว่าเป็นไข่พญานาค แต่อาตมาว่าน่าจะเป็นมรกต ถ้าเป็นมรกตจริง ๆ น่าเอาไปเลี่ยมห้อยคอ อันนี้ถ้าเป็นมรกตจริง ๆ นี่อาตมากำเงินเป็นร้อยล้านอยู่ในมือเลยนะนี่ จริง ๆ แล้วดูเหมือนกับไม้มากกว่า ลายไม้ลายอะไรยังชัดแจ๋วอยู่เลย ต้องยกส่องไฟดูถึงจะเห็นว่าเขียวใสหมดทั้งลูก จับส่องขึ้นอย่างนี้จะเห็นเขียวใสทะลุอีกฝั่งเลย ถ้าใสขนาดนี้แล้วก้อนขนาดนี้ เป็นมรกตจริง ๆ นี่เอาไปเปิดประมูลได้ เปิดราคาไว้ที่ร้อยล้านจะได้สร้างวัดให้สะใจไปเลย ถ้าวางแปะอยู่กับพื้นก็ไม้ก้อนหนึ่งดี ๆ นี่เอง เพราะลายไม้ลายอะไรยังอยู่ แต่ถ้าส่องไฟจะเขียวปี๋เลย
ถาม : ได้มาจากไหนคะ มีคนมาถวาย ?
ตอบ : มีผีไปบอกว่าให้ไปเอามา เขาบอกว่าต้องคนที่มีบารมีดีหน่อย ว่าอย่างนั้น จะได้รักษาได้ ถ้าอยู่กับอาตมานี่บารมีไม่ดีหรอก พร้อมที่จะขายไปสร้างวัดเลย
ถาม : ทำไมทรงแบบได้รูปขนาดนี้ ?
ตอบ : คงกลิ้งมากับน้ำ ไปได้มาจากใต้กอไผ่ริมน้ำ ผีมาบอกว่าให้เอาเก็บไว้หน่อย ขอให้คนที่บารมีดีหน่อย เขาจะได้รักษาเอาไว้ได้ มาถึงตรงนี้กำลังจะไปหาคนบารมีดีอยู่นี่
ถาม : ขายให้บริษัทฯ ?
ตอบ : ถ้ามีใครพิสูจน์ได้นี่บอกด้วย ตีราคามาเลย อาตมาพร้อมที่จะขายกะว่าน้ำหนักน่าจะอยู่ประมาณสองพันกะรัต ถ้าเป็นมรกตนี่กะรัตละ ๘๐,๐๐๐ บาท ถ้าพันกะรัตเท่าไหร่ ? ๘๐ ล้านบาท สองพันกะรัตอาตมาคิดแค่ ๑๐๐ ล้านบาทเท่านั้น บางคนบอกไข่จระเข้ บางคนบอกไข่พญานาค ถ้านิ่ม ๆ หน่อยอาตมาคงกินไปแล้ว ไม่เหลือไว้หรอก
ถาม : นั่งสมาธิแล้วปวดหัว เกี่ยวกับการจับลมหายใจหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ได้เกี่ยวกันเลย การจับลมหายใจคือตัวอานาปานสติ ถ้าเริ่มมั่นคง จิตกับกายแยกเป็นคนละส่วนกัน ไม่รับรู้อาการทางร่างกายเสียด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น...ประเภทปวดหัวน่าจะเกี่ยวกับการเพ่งสายตาหรือเปล่า ? ต้องสังเกตอาการตัวเองอีกครั้ง อานาปานสตินี่ ต้องใช้คำว่า ไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าทำคล่อง ๆ แล้วจะไม่ค่อยจะรู้เรื่องร่างกายเท่าไรหรอก เพราะจิตจะมีความสุขอยู่ เลยลืมนึกถึงเรื่องร่างกายไป
ถาม : ช่วงนี้จะมีผู้มาสงเคราะห์ค่ะ จะเกิดอาการเวียนหัวคล้ายจ้าวเข้าอย่างนี้ แต่ว่าหนูเองจะมีอาการเวียนหัวไม่สบายอย่างนี้ค่ะ หนูเคยถามหลวงตาเหมือนกัน ท่านบอกว่าต้องบวชชีพราหมณ์ หลังจากท่านมาถือศีล ๘ สามวันเวลาที่ท่านมา แต่หนูเองก็มีปัญหาเหมือนกัน ? ไม่แน่ใจว่าจะมาจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ ?
ตอบ : จะไปยากอะไร บอกว่าก่อนไปบอกหวยด้วยจ้ะ เฮ้ย ๆ อย่าเล่นเดี๋ยวอาตมาจะซวยเอง เรื่องท่านที่มา ถ้าเราสามารถรักษาความดีไว้ได้ ท่านที่เคยสงเคราะห์เป็นปกติจะสงเคราะห์ต่อ แต่ถ้าเรารักษาความดีไม่ได้ เริ่มโลภในลาภ อยากเด่นอยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากมีลาภมาก ๆ อะไรอย่างนี้ เจตนาพอแปรปุ๊บท่านจะไม่มา แต่จะมีตัวคอยเสียบแทนอยู่ ถึงเวลานั้นถ้ามามักจะอ้างชื่อเดิม แต่ให้สังเกตถ้าเราเป็นคนช่างสังเกตจะเห็นว่า สิ่งต่าง ๆ ที่เขาบอกกล่าวก็ดีหรือว่าอะไรก็ดี จะเริ่มเป๋อออกนอกลู่นอกทางเยอะขึ้นไปเรื่อย ๆ
ถาม : ต้องระมัดระวังตัวเอง ?
ตอบ : ระวังตัวเองจ้ะ ถ้ารักษาความดีเอาไว้ได้ ท่านยังคงสงเคราะห์ต่อได้ แต่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย พอท่านไปแล้วนี่บางครั้งหมดแรงแผ่ไป ๓-๔ วันเลย
ถาม : ต้องถือศีลแปด ?
ตอบ : ศีลห้าก็พอ แต่จะเอาแปดไปเลยก็ได้
ถาม : หนูแปดสามวันค่ะ คือหนูเองยังมีปัญหาตรงที่ ถ้าบางครั้งศีลแปดหนูติดตรงที่ว่ากิน คือหนูจะรู้สึก...?
ตอบ : ของกินได้เยอะแยะนี่ จะกินนม กินกาแฟ กินโอวัลตินอะไรก็ว่าไป
ถาม : ความอยากมากกว่าค่ะ เป็นลักษณะอย่างนั้น ?
ตอบ : กลืนก้อนหินไปก้อนหนึ่ง อิ่มนานเลย ตัวนี้แหละที่เมื่อครู่ถามเรื่องอานาปานสติ ถ้าใจอยู่กับการภาวนาจะลืมเรื่องอื่น กระทั่งหิวก็ไม่ค่อยได้นึก วันไหนถ้าถือศีลแปดก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาจับลมหายใจเอาไว้
ถาม : ถ้ากินตุน ๆ ไว้เยอะ ๆ ก่อนไม่ได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีประโยชน์ ถ้ายิ่งกินตุนเอาไว้ตอนเย็นจะยิ่งหิวมาก เพราะเท่ากับว่าเราไปกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมาเยอะ พอมื้อต่อไปร่างกายกะว่าต้องได้ขนาดนั้นแน่ ก็ส่งน้ำย่อยมาเยอะ จะหิวหนักกว่าปกติ
ถาม : มีรุ่นน้องฝันเหมือนกับว่าเป็นวัวหรือควายค่ะ มาจ้องมองที่บ้านเขา แล้วก็มาทำลายข้าวของบริเวณรอบ ๆ บ้าน ตัวมืด ๆ ใหญ่ ๆ แล้วก็มีดวงตาสีแดง แล้วน้องเขาก็ตกใจ พอตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเป็นจริง พอมาอีกคืนเขาตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้เพื่อมาอ่านหนังสือ คราวนี้พอตื่นขึ้นมารู้สึกว่าเป็นญาติกับหลวงปู่ค่ะ มานั่งที่โซฟา แต่ด้วยความง่วงจึงนอนต่อ ก็เลยไม่ได้เห็น ?
ตอบ : แหม...ขนาดมาถึงบ้านแล้วนะ อารมณ์ใจตอนนั้นจริง ๆ น่าจะใช่เพราะอารมณ์ที่เราใกล้หลับหรือว่ากำลังตื่นจากหลับ กำลังงัวเงียอยู่ จริง ๆ แล้วเป็นตัวอุปจารสมาธิพอดี จะเห็นผีเห็นเทวดากันก็ช่วงนั้นแหละ ลักษณะอย่างนั้นอาจจะมีอันตรายบางอย่างที่จะเกิดขึ้น ท่านตั้งใจจะมาสงเคราะห์ แต่แหม...อุตส่าห์มาถึงบ้าน ยังไม่ขอให้ช่วยอีก ไม่เป็นไรจ้ะ ต่อไปเราสวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอบารมีพระช่วย ตั้งใจนึกถึงภาพพระครอบไปทั้งบ้านเลย
ถาม : มโนมยิทธิเต็มกำลังต้องทำอารมณ์ใจอย่างไรบ้าง ?
ตอบ : จริง ๆ มโนมยิทธิครึ่งกำลังไม่มี มีแต่เต็มกำลัง แต่เราไม่เข้าใจกันเอง ครึ่งกำลังของเราหมายถึงอุปจารสมาธิ จะแค่เห็นภาพเท่านั้น แต่คราวนี้ถ้าไปถึงสถานที่นั้นได้ เป็นกำลังของฌานสี่ทั้งหมด คราวนี้เต็มกำลังในความหมายของเราคือไปด้วยกำลังของฌานสี่ แต่เราจะไม่เข้าใจตรงจุดที่ว่าครึ่งกำลังกับเต็มกำลังต่างกันตรงไหน เลยไปคิดว่าตัวเองได้แค่ครึ่งกำลัง แต่ความจริงได้เต็มไปนานแล้ว
เพราะฉะนั้น...สังเกตได้ว่าคนที่ได้มโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ ไปฝึกเต็มกำลังจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย นอกจากคล่องตัวแจ่มใสกว่าเดิมหน่อยหนึ่งแค่นั้น ได้ไปตั้งนานแล้ว ถ้าเราซ้อมไว้บ่อย ๆ ยิ่งจิตละเอียดมากเท่าไร ความสะดวกกับคล่องตัวจะมีมากขึ้น ความชัดเจนมากขึ้นแค่นั้นเอง อย่างอื่นจะไม่เป็นกันหรอก เพราะได้ไปตั้งนานแล้ว
ถาม : เราไม่มีอาการ ?
ตอบ : อยากมีหรือ ? ดิ้นเอาเองก็ได้
ถาม : ต่างกันตรงไหนล่ะคะ ?
ตอบ : ถ้าไปโดยกำลังของฌานสี่เลย ความชัดเจนจะเหมือนกับเรานั่งคุยกันอย่างนี้ แต่คราวนี้ความชัดเจนขึ้นอยู่กับวิปัสสนาญาณด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นกำลังของฌานสี่ออกไป แต่ถ้าไม่ได้ใช้วิปัสสนาญาณในการตัดร่างกายก่อนบางครั้งที่ออกไปเหมือนกับอยู่ในที่มืด มืดอย่างกับหลับตาอยู่แบบมืออย่างนี่จะมองไม่เห็นเลย เปะปะไปเปะปะมาพักหนึ่งก็กลับ เพราะไม่รู้จะไปไหน จะต่างกันอยู่นิดเดียว ถ้าการพิจารณาดีจะชัดเจนมาก การสัมผัสทุกอย่างจะเหมือนเอาตัวนี้ไปเลย ลมพัดถูกตัวก็รู้ว่าถูก ทั้ง ๆ ที่เป็นกายใน ได้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้วยังไม่รู้ว่าได้ ซ้อมบ่อย ๆ ก็พอ ใช้ทุกเวลาจะได้ไม่สนิมขึ้น
ถาม : เหมือนตัวเราเบาลอย ช่วงหนึ่งจะรู้สึกว่าตัวเราเองหนัก ?
ตอบ : ถ้าเราไปให้ความสนใจกับร่างกาย สมาธิจะตก ถ้าเราไม่ไปให้ความสนใจกับร่างกาย รับรู้ไว้เฉย ๆ จะก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้โดยสัญชาตญาณทั้งนั้นแหละ พออะไรเกิดขึ้นจะอยากรู้ พอไปให้ความสนใจอยู่ตรงจุดนั้น ไปไหนไม่ได้ก็จะถอยกลับ
ถาม : เวลาฝึกสมาธิหายใจเข้าหายใจออก จะไม่ค่อยหายใจ รู้สึกว่าจับลมหายใจสามฐาน ?
ตอบ : ทำไปบ่อย ๆ พอจิตละเอียดขึ้นจะได้ครบตลอด เข้าจมูกผ่านลงไปที่ท้อง จากท้องผ่านนอกมาจมูก บางครั้งเราไม่ทันจะออกจากท้อง ก็รู้สึกว่าสัมผัสจมูกแล้ว...ใช่ไหม ? ถ้าจิตละเอียดขึ้นจะรู้เลย เข้าออกเป็นอย่างไร พยายามทำบ่อย ๆ เข้าเดี๋ยวก็คล่องตัวเอง
ถาม : ถ้าตั้งใจว่าจะถือศีล ๘ เวลาตั้งใจอธิษฐาน ตั้งใจอย่างไรเพื่อให้ตัวเองสามารถปฏิบัติได้ด้วย ?
ตอบ : แค่คิดว่าเราจะทำให้ครบก็พอ ไม่ต้องตั้งใจมาก ถ้าเราตั้งใจมากการทดสอบจะแรง เดี๋ยวจะมีแต่คนเอาของอร่อย ๆ มากินยั่วกิเลส แค่เราตั้งใจว่าจะถือศีลแปดสักสิบวัน เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราไปก็พอ ถ้าจะตั้งใจให้เป็นการปฏิบัติให้ตั้งใจว่าผลบุญทั้งหมดที่เราทำปรารถนาพระนิพพานก็พอ ถ้าตั้งใจไม่ได้หรอก มารเขาเก่ง...ขยับท่าไหนเขารู้หมด เดี๋ยวก็โดนต้อนจนมุมจนได้
|