ถาม: พระเถระทั้ง ๗ รูปใดบวชก่อน ?
ตอบ : พระอุบาลี ตอนนั้นเจ้าชาย ๖ องค์ มีพระภัททิยศากยราชา พระภัคคุ พระกิมพิละ พระเทวทัต พระอนุรุทธ พระอานนท์ แล้วก็พระอุบาลีซึ่งเป็นนายภูษามาลา คือเป็นช่างตัดผมของเจ้าชายตระกูลของศากยะ คราวนี้เจ้าชายทั้งหกท่านให้ช่างตัดผมบวชก่อน ถึงเวลาใครบวชก่อนเป็นพี่ เราต้องไหว้คนนั้น เพื่อเป็นการตัดมานะตัวเอง คนตั้งใจจะทำดีเขาเอาอย่างนี้กันตั้งแต่แรกเลย เพราะฉะนั้น...พระอุบาลีจึงบวชก่อน
ถาม : ใครได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของผู้มีความกตัญญูกตเวที ?
ตอบ : พระสารีบุตร ราธพราหมณ์ท่านเคยใส่บาตรทัพพีเดียวเท่านั้น พอถึงเวลาต้องการบวช หาคนรับรองการบวชไม่ได้ พระสารีบุตรจึงรับรองและจัดการบวชให้
ถาม : พระราธะอุปสมบทด้วยวิธีใด ?
ตอบ : พระราธะอุปสมบทด้วยติสรณคมนูปสัมปทา ท่านบอกว่าให้ไปนั่งกระโหย่ง ก็คือนั่งคุกเข่า ไหว้เท้าภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์ แล้วก็รับสรณาคมณ์ คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ พระราธะท่านเป็นสุดยอดของการว่านอนสอนง่าย เป็นพระหลวงตาที่ว่าง่ายจริง ๆ ใครว่าอะไรเชื่อหมด นั่นแหละ...พระพุทธเจ้าท่านยังออกปากเลยว่า พระหลวงตาที่ว่าง่ายหายาก พระหลวงตาที่บวชแล้วจะเอาดีหายาก ท่านบอกขนาดนั้นเลย แต่พระราธพราหมณ์ท่านทำลายสถิติยับเยินเลย
ถาม : พระอานนท์ได้บรรลุโสดาปฏิผลเพราะได้ฟังธรรมจากใคร ?
ตอบ : พระปุณณมันตานีบุตร
ถาม : พระธรรมเทศนาใดกล่าวเรื่องขันธ์ห้า ?
ก. อนัตตลักขณะสูตร ข. เวสสันดรชาดก ค. อนุปุพพิกคาถา ง. นะมะการะสิทธิคาถา
ตอบ : อนัตตลักขณะสูตร รูปังอนัตตา เวทนาอนัตตา ขันธ์ห้าทั้งนั้นแหละ
ถาม : พระสาวกรูปใดบวชด้วยศรัทธา ?
ตอบ : พระรัฐบาลเถระ...มีไหม ? ท่านเป็นเลิศทางผู้บวชด้วยศรัทธา ไม่ให้บวชนี่ยอมอดข้าวตายเลย
ถาม : ธรรมุเทศ ๔ ใครแสดงแก่ใคร ?
ตอบ : พระรัฐบาลแสดงแด่พระเจ้าโกรัพยะ ท่านบอกว่า
๑. โลกคือหมู่สัตว์ ...อันชรรามนำไปไม่ยั่งยืน
๒. โลกคือหมู่สัตว์ ...ไม่มีผู้ป้องกันไม่เป็นใหญ่ในเฉพาะตน
๓. โลกคือหมู่สัตว์...ไม่มีสิ่งใดเป็นของตน จำต้องละในสิ่งทั้งปวง
๔. โลกคือหมู่สัตว์...พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา
ถาม : ข้อใดชื่อว่าอารยธรรม ?
ก. ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ข. ศีล สมาธิ ปัญญา
ค. วิมุตติ ศีล สมาธิ ปัญญา ง. สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ
ตอบ : อารยธรรม หมายถึง ธรรมอันนำไปสู่ความเจริญ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
ถาม : พระพุทธเจ้าทรงแสดงอภิญญาเทสิตธรรมที่ไหน ?
ตอบ : กูฎาคารศาลา ป่ามหาวัน มีไหม ? อภิญญาเทสิตธรรม คือ ธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงด้วยปัญญาอันยิ่ง ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปทาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทร์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรค ๘
ถาม : ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ผู้มีสติหลงลืม ?
ตอบ : อันนี้เรียกว่า มหาปุริสวิตก เป็นของพระอนุรุทธ ท่านว่า ธรรมนี้เป็นของผู้มีสติตั้งมั่น ธรรมนี้เป็นของผู้มีใจตั้งมั่น ธรรมนี้เป็นของผู้ไม่ยินดีในธรรมอันเนิ่นช้า
ถาม : ใครทำหน้าที่วินิจฉัยอธิกรณ์เรื่องมารดาของพระกุมารกัสสปะ ?
ตอบ : พระอุบาลีเถระ ฝ่ายหญิงนี่คือนางวิสาขามหาอุบาสิกา เรื่องเกิดจากมารดาของพระกุมารกัสสปเถระ ท่าบวชเข้ามาโดยไม่รู้ว่าตัวเองท้องอยู่ คือประเภทที่เรียกว่ายังไม่ถึงเวลาประจำเดือนมา ก็เลยไม่รู้ว่าประจำเดือนจะขาด ประเภทว่ายังท้องได้ไม่ครบเดือนอย่างนั้น คราวนี้พอบวชไปท้องโตขึ้น เขาก็กล่าวหาว่าท่านเทสพเมถุนธรรม ก็เลยต้องมาแก้อธิกรณ์ (ข้อกล่าวหา) กัน ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา มีพระอุบาลีเถระเป็นประธาน มานั่งนับวันไล่วันกัน ท้ายสุดท่านบริสุทธิ์จึงบวชต่อได้ จนคลอดพระกุมารกัสสปะออกมา
ถาม : พระโสณโกฬิวิสะเถระ ได้รับเอตทัคคะด้านใด ?
ตอบ : ปรารภความเพียร ท่านเดินจงกรมจนเท้าแตก
ถาม : ใครบรรพชาเป็นสามเณรถึงสามปีถึงได้การอุปสมบท ?
ก. พระโสณกุฎืกัณณะ ข. พระโสณโกฬิวสะ ค. พระวังคีสะ ง. พระมหากัจจายนะ
ตอบ : พระโสณกุฎิกัณณะเถระ ผู้เป็นเลิศในการแสดงธรรมด้วยเสียงอันไพเราะ ท่านบวชในปัจจันตชนบท รออยู่ ๓ ปี จึงหาพระได้ครบ ๑๐ รูป (ทสวรรค) มาบวชให้ พระพุทธเจ้าจึงต้องหย่อนพระวินัยลงว่า ในปัจจันตชนบท มีพระเพียง ๕ รูป (ปัญจวรรค) ก็ให้อุปสมบทกุลบุตรได้
ถาม : พระเถระรูปใดนำธรรมไปเผยแผ่ในกรุงอุชเชนี ?
ตอบ : พระมหากัจจัยนะ พระมหากัจจยนะเป็นมหาอำมาตย์ของพระเจ้าจัณฑปัชโชติผู้ครองกรุงอุชเชนี ท่านขออนุญาตบวช พอบวชแล้วก็กลับไปเผยแพร่ธรรมะในแว่นแคว้นเดิมของตัวเอง เสร็จแล้วเหตุที่ทำให้ลูกศิษย์ต้องทนบวชเณรอยู่ตั้ง ๓ ปี เพราะพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าถ้าการบวชต้องให้มีสงฆ์ทสวรรค คือมีสงฆ์ ๑๐ รูปร่วมกันเพื่อที่จะรับรองการบวชนัน คราวนี้ปัจจันตประเทศคือชายแดนในตอนนั้นนี่ หาพระยากเย็นมากเลย พระมหากัจจายนะเลยให้พระโสณกุฏิกัณณะมาทูลขอพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตพิเศษ พระพุทธเจ้าท่านจึงอนุญาตว่า ถ้าเป็นมัธยมประเทศนี่ใช้สงฆ์ ทสวรคค คือ ๑๐ รูปขึ้นไป แต่ถ้าเป็นปัจจันตประทศใช้ปัญจวรรค คือ ๕ รูปก็พอ เพราะฉะนั้น...พวกเราถือเป็นปัจจันตประเทศ ถ้ามีในที่ประชุมสงฆ์ ๕ รูปเห็นพร้อมกันว่าสมควรบวชเป็นพระก็บวชได้
ถาม : ใครกล่าวว่า พราหมณ์ถือตัวว่าประเสริฐบริสุทธิ์เกิดจากพรหม ?
ก. พระเจ้าจันทปัตตโชติ ข. พระเจ้ามธุรราช ค. พระเจ้าโกลพยะ ง. ปุณณกมาณพ
ตอบ : พระจเมธุรราชอวันตีบุตร ท่านถามกับพระมหากัจจายนะ
ถาม : ใครตั้งสำนักอยู่ที่แม่น้ำโคธาวารี ?
ก. ชฎิลสามพี่น้อง ข. สัญชัยปริพาชก ค. อาฬารดาบส ง. พราหมณ์พาวรี
ตอบ : พราหมณ์พาวรี
ถาม : ข้อใดเรียกว่า ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ?
ตอบ : ตอบด้วยการย้อนถาม
ถาม : ย้อนถามแล้วจึงแก้ปัญหาใช่ไหมคะ ?
ตอบ : การพยากรณ์หรือตอบคำถาม จะมีเอกังสพยากรณ์ ถามมาตอบได้ตรง ๆ เลย วิภัชชพยากรณ์ แยกปัญหาเป็นส่วน ๆ ตอบทีละส่วน ปฏิปุจฉาพยากรณ์ ตอบด้วยการย้อนถาม ฐาปนพยากรณ์ คือไม่ต้องตอบหรอก ไม่มีประโยชน์ นั่งนิ่งเสียดีกว่า
ถาม : ในมาณพ ๑๖ คน ศิษย์พราหมณ์พาวรีนั้น ใครได้เอตทัคคะ ?
ตอบ : พระโมฆราชเถระ มีองค์เดียวจริง ๆ ที่ได้เอตทัคคะ แต่ว่าทั้ง ๑๖ องค์นั่นท่านเป็นพระอรหันต์ไป ๑๕ องค์ เหลือพระอชิตองค์เดียวที่ท่านจะมาเกิดเป็นพระศรีอาริยเมตไตร แต่มีพระโมฆราชเถระองค์เดียวที่ท่านได้เอตทัคคะ คือความสามารถยอดเยี่ยมเหนือผู้อื่นทางด้านครองจีวรเศร้าหมอง แสดงว่าท่านชอบของปอน ๆ เป็นปกติ ไม่ชอบประเภท หลุยส์ วิตตอง อาร์มานี่ ไม่เอาเลย
ถาม : รถวินีตสูตร กล่าวถึงธรรมข้อใด ?
ตอบ : วิสุทธิ ๗ มีไหม ? ที่ท่านเปรียบเหมือนกับรถ ๗ ผลัด นำไปถึงจุดหมายปลายทาง
ถาม : ใครเป็นผู้ถวายผ้าสิงคิวรรณ ?
ตอบ : สิงคิวรรณ คือ มีสีเหมือนทอง
ถาม : คนถวายเป็นใครคะ ?
ตอบ : ปุกกุสสมัลลบุตร
ถาม : พระสุภัททะเป็นพระปัจฉิมสาวกอุปสมบทด้วยวิธีใด ?
ตอบ : ญัตติจตุตถกรรม
ถาม : พระฉันนะฟังธรรมจากใครจึงได้สำเร็จมรรคผล ?
ตอบ : พระอานนท์ ท่านโดนลงพรหมทัณฑ์ ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย จึงไปขอร้องพระอานนท์ว่าอย่าทำให้ท่านต้องฉิบหายจากความดีเลย พระอานนท์เห็นว่าท่านสำนึกผิดแล้ว จึงแสดงมรรค ๘ และโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ให้ ท่านนำไปปฏิบัติไม่นานก็บรรลุอรหัตผล
ถาม : บิณฑบาตที่ตรัสว่ามีอานิสงส์มากมีกี่ครั้ง ?
ตอบ : สองครั้งเท่านั้น คือวันที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กับวันที่จะปรินิพพาน
ถาม : พระพุทธเจ้าทรงแสดงปัจฉิมโอวาทที่ไหน ?
ตอบ : สาลวโนทยาน เมืองกุสินารา ขะขะวะยะ ธัมมา สังขารา อัปมาเทนะ สัมปาเทถะ ให้ตั้งไว้ในความประมาทให้ถึงพร้อม
ถาม : พระเขมาเถรีได้รับเอตทัคคะในด้านใด ?
ตอบ : เป็นเลิศในทางมีปัญญามากฝ่ายภิกษุรี ถ้าฝ่ายมีฤทธิ์นี่ก็พระอุบลวรรณาเถรี
ถาม : พระเถรีรูปใดได้รับยกย่องว่าเป็นเลิศทางวินัย ?
ตอบ : พระปฏาจาราเถรี
ถาม : สังเวชนียสถานทั้ง ๔ จัดเป็นเจดีย์ประเภทใด ?
ตอบ : อุเทสิกเจดีย์ (เครื่องระลึกถึง)
ถาม : โทณพราหมณ์แบ่งพระบรมสารีริกธาตุเป็นกี่ส่วน ?
ตอบ : ๘ ส่วน
ถาม : อะไรเป็นมูลเหตุแห่งการทำปฐมสังคายนา ?
ตอบ : สุภัททภิกษุกล่าวจาบจ้วงพระธรรมวินัย ถ้าทุติยสังคายนา คือครั้งที่สองนั่นเกิดจากวัตถุ ๑๐ ประการ ภิกษุวัชชีบุตรคือพยายามอนุโลมศีล อนุโลมศีลอย่างเช่นว่า เกลือนี่ถือว่าเป็นเภสัช คือโลณเภสัช จัดว่าเกลือเป็นยา ประเคนครั้งเดียวฉันได้ตลอดชีวิต แต่ถ้าไปผสมกับเภสัชอื่น ต้องนับอายุตามเภสัชนั้น ๆ ที่อายุน้อยที่สุด อย่างเช่นว่าถ้าผสมอาหารก็กินได้ไม่เกินเที่ยง แต่พวกภิกษุวัชชีบุตรตีขลุมเอาว่า มีส่วนผสมของยาวชีวิก ฉันได้ตลอดชีวิต ข้ออื่นเช่น สุรารสอ่อนสีเหมือนเท้านกพิราบอย่างนี้ ให้ฉันได้ โอ้โฮ...คงล่อไวน์กันเพลินเลย แล้วก็มีเงาแดดเลยศีรษะยังไม่เกินสองนิ้วยังให้ฉันได้อย่างนี้ โอ้โฮ...ลองปักไม้ลงดูสิ ปักไม้ลงให้เงาแดดลงตรงกึ่งกลางพอดี เลยเที่ยงเยอะนะ เกินไปสองนิ้วนี่ประมาณบ่ายโมงครึ่ง ยังจะกินอยู่อีก ท่านจึงต้องสังคายนาใหม่
ส่วนตติยสังคายนา คือการสังคายนาครั้งที่สาม นั่นปรารภว่าเดียรถีย์ปลอมบวชมาเยอะเหลือเกิน เพราะศาสนาพุทธกำลังรุ่งเรืองมาก ใครบวชเข้ามานี่ชาวบ้านประเภทใส่บาตรบำรุงเลี้ยงดูอุตลุดไปหมด เขาเลยปลอมเข้ามากินกันอ้วนแล้วก็ทำชั่ว ต้องสังคายนาเพื่อจัดการให้เรียบร้อย
ถาม : ใครเป็นอัครศาสนูปถัมภ์การปฐมสังคายนา ?
ตอบ : พระเจ้าอชาตศัตรู
ถาม : ...........................
ตอบ : คือความเจิรญในพุทธศาสนานี่ ถ้าเรานับในแง่ของการได้มรรคผลแล้ว บ้านเรามีได้มรรคผลกันเยอะ แต่นับความพร้อมเพรียงในการทำนี่ ไทยสู้พม่าไม่ได้ พม่าทั้งประเทศพูดง่าย ๆ ก็คือ ๙๕% ขึ้นไปเข้าวัดเข้าวากันเป็นปกติ แต่คราวนี้เคยกราบขอความรู้จากหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านบอกว่า ท่านเล็ก จำเอาไว้เลยว่าที่ไหนก็ตามที่ชาวบ้านขาดที่พึ่ง ศาสนาจะเจริญ ท่านดูสิว่าชาวพม่าพึ่งรัฐบาลได้ไหม ? พึ่งข้าราชการได้ไหม ? ในเมื่อพึ่งรัฐบาลไม่ได้ พึ่งข้าราชการไม่ได้ ก็ต้องพึ่งพระศาสนา
อาตมาตอนแรก แหม...ไปแล้วชอบอกชอบใจว่า เออ...ของเขาเองเขาพร้อมเพรียงกันเข้าวัดเข้าวาดีเหลือเกิน แต่ปรากฏว่าจริง ๆ แล้วก็คือไม่มีที่ให้พึ่ง จึงต้องยึดพระเป็นที่พึ่ง แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าว่า ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง ถ้าคือไหนมีหวอทิ้งระเบิด รุ่งเช้า โอ้โฮ...ญาติโยมมาใส่บาตรกันชนิดกินไม่ไหวใช้ไม่หมด ก็ประเภทไม่มีอะไรแล้ว ต้องยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง
ถาม : จิตกับใจต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ตัวเดียวกันจ้ะ มีจิตกับการทำงานของจิต คราวนี้คนบางครั้งจิตก็เรียกว่าใจ ใจก็เรียกว่าจิต แต่ภาษาพระนี่จะมีจิตคือใจ แล้วก็ตัวเจตสิกคือการทำงานของใจ ที่เรียกว่าชวนะ คืออาการรับรู้การทำนั้น ๆ ครวนี้ถ้าจะเอาแต่ละขั้นตอนของนี่ อย่างเช่นว่าเราหลับอยู่ใต้ต้นไม้ ผลไม้ตกลงสู่พื้น ทันทีที่เสียงกระทบหูเรา จิตรับรู้ว่ามีเสียงมา แล้วจิตดวงต่อไปก็กำหนดว่าเสียงนั้นเป็นอะไร อันดับต่อไปคือสั่งให้ลืมตาดู อันดับต่อไปคือดูแล้วเห็นผลมะม่วง พอเห็นผลมะม่วงสุกก็อยากจะกิน ในเมื่ออยากจะกินเลยบอกให้ตัวเองขยับไปเพื่อหยิบผลมะม่วงนั้นมา เสร็จแล้วก็ใส่ปาก กัดแล้วก็เคี้ยว กลืน เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงไปเพื่อนอนต่อ อาการเคลื่อนไหวแต่ละอย่าง จริง ๆ มาจากจิตดวงเดียวกัน แต่มีเจตสิกคือการตั้งใจที่จะรับรู้ แล้วตัวชวนะคือการเคลื่อนไปเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ จริง ๆ แล้วอย่างเดียวกันจ้ะ
ถาม : ทำไมเขาเรียกจิตกับใจ ?
ตอบ : ปล่อยให้เขาแยกไปสิ ถ้าเขาแยกลักษณะนั้นจะมีจิตคือตัวรับรู้ กับใจคือการอาการที่ไปรับรู้ แค่นั้นเอง
ถาม : จิตตัวรับรู้ ?
ตอบ : ธรรมชาติที่มีปกติรับรู้ เขาไม่ได้แยกเยอะหรอก ก็แค่นั้นแหละ จริง ๆ แล้วไปเรียกให้ยุ่งมากกว่า
ถาม : ถ้าอย่างนั้นคำว่าจิตอยู่ที่ใจหรือใจอยู่ที่จิต ?
ตอบ : ก็อย่างเดียวกัน
ถาม : ถ้าคนที่เขาแยกลักษณะจัดมาเป็นสองอันนี้ล่ะคะ เมื่อเขาเกิดอันหนึ่งจะเป็นอันนี้ หรือจะเป็นอะไร ?
ตอบ : ที่เราว่ามานี่ยังไม่ใช่ ถ้าเขาแยกจริง ๆ จะเป็นจิตดวงเดียว แต่สามารถรับรู้สิ่งอื่น ๆ ทำสิ่งอื่น ๆ ไปพร้อมกันได้หลาย ๆ อย่าง อย่างเช่นคุยไปก็นับลูกประคำไปได้ ภาวนาไปได้ คือาการที่เราแยกจิตออกเพื่อรับรู้สิ่งต่าง ๆ หลายอย่างได้พร้อม ๆ กัน
ถาม : อันนั้นคือลักษณะการแยกจิต เป็นขั้นตอนเดียวกันหรือว่าแยกจิตออกมาทำหลาย ๆ อย่าง ขั้นตอนอะไร ?
ตอบ : ขั้นตอนนี้ประเภทเก่งแล้วจ้ะ ถ้าเก่งแล้วคือสามารถที่จะรับรู้หลาย ๆ อย่างพร้อม ๆ กันในเวลาเดียวกันได้
ถาม : ถ้าเผื่อในเวลาเดียวกันคืออันนั้น ถ้าเก่งแล้วคือจิตที่เก่งแล้วใช่ไหม ?
ตอบ : คือจิตที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว
ถาม : ฝึกมาจากสมาธิ สมาธิได้ตรงนั้นแล้ว มาลงได้ตรงนี้หรือเปล่า ?
ตอบ : ได้จ้ะ
ถาม : อย่างนี้คนที่ทำสมาธิเก่ง ๆ นี่เขาฝึกที่จะรวมจิตเป็นหนึ่งเดียว แล้วถ้าสมมติเขาต้องการทำสองอย่าง เขาต้องตั้งต้นฝึกอีกครั้งหรือเปล่า ? หรือว่าเป็นผลพลอยได้ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วจะเป็นผลพลอยได้ แต่ต้องมีการฝึกเพื่อความคล่องตัว แรก ๆ ก็จะมีการ เอ๊ะ...ทำไมเรานึกเรื่องโน้นก็ได้ ในขณะเดียวกันเราก็ทำเรื่องนี้อยู่ อะไรอย่างนี้ แต่ต้องผ่านการฝึกถึงจะมีความคล่องตัว
ถาม : จริง ๆ ควรแยกหรือควรรวม ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วควรจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เพราะการที่เราแยกจิตหลาย ๆ จิตจะมีผลดีสำหรับบุคคลที่ควบคุมดูแลจิตอย่างใกล้ชิด ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วต่อไปจะกลายเป็นว่าเราภาวนาอยู่จิตสงบ แต่อีกจิตหนึ่งก็ฟุ้งซ่านได้
ถาม : ถ้าฟุ้งซ่านได้ล่ะคะ ?
ตอบ : วิธีแก้คือรวมกำลังทั้งหมด รวมความรู้สึกทั้งหมดให้มาอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก สนใจลมหายเข้าออกอย่างจริง ๆ จัง ๆ
ถาม : คนที่จิตแยกหลายอย่างคือมีแค่สองประเภท ?
ตอบ : คนที่เก่งแล้วกับคนที่ฟุ้งซ่านไปเลย
ถาม : ฟุ้งซ่านไปเลย คือคนที่ถ้าเก่งแล้วคือจะสามารถแยกรวมก็ได้ตลอด ท่านเคยแยกได้สามสี่บ้างไหม ?
ตอบ : เกินกว่านั้นอีกจ้ะ
ถาม : ถ้าแยกมาก ๆ จะเสียไหม ?
ตอบ : บอกแล้วว่าถ้าไม่ได้ดูแลอย่างใกล้ชิด ต่อไปขณะที่เราภาวนาอยู่ก็ฟุ้งซ่านได้
|