ถาม :  ปัจจุบัน เรื่องของวิญญาณ...?
      ตอบ :  มีอยู่ คำว่า วิญญาณของเรานี่มันหมายถึงจิต การเกิดของจิตนี่มันยากมันลำบากเต็มที เพราะว่ามันจะต้องประกอบไปด้วยธาตุต่าง ๆ โดยเฉพาะจุดสำคัญที่สุดคือธาตุรู้ ถ้าธาตุรู้จับเข้าไปเมื่อไหร่ มันถึงปรากฏเป็นจิตขึ้นมา โอกาสเกิดได้แต่ว่าเกิดได้ยากเต็มทีประมาณระยะเวลาไม่ถูก
              แต่ว่าขนาดเดียวกันที่อยู่ข้างล่างคือเป็นสัตว์นรกอยู่แต่ละขุม เอาโลกเราทั้งโลกหย่อนลงไปในนรกขุมหนึ่งก็ประมาณส้มลูกหนึ่งในแข่งขุมเดียวนะ แล้วส้มทั้งแข่งที่เหลือมันเยอะเท่าไหร่ มันมากกว่าถึงขนาดนั้นมันก็เกิดขึ้นมาได้เรื่อย ๆ พอเขาพ้นกรรมขึ้นมาเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมนุษย์อีกที มนุษย์จะมีการเกิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะเดียวกันว่าทั้งหมดนี้เมื่อเกิดมาแล้วก็ทำดี ทำชั่ว กันบ้างไปเรื่อย ๆ จนวาระสุดท้ายก็ทำดีมากกว่าชั่ว ในที่สุดก็หลุดพ้นเข้านิพพานไป
              แต่ว่าที่ไปแล้วทั้งที่เข้านิพพานไปแล้ว ทั้งที่เป็นเทวดา พรหม ถึงมนุษย์รวมกันยังไม่เท่ากับในนรก อันนี้เขาเยอะกว่ามาก แล้วการเกิดของจิตก็เกิดยากเกิดเย็นเหลือขนาด แต่ว่า มันมีโอกาสเป็นไปได้เหมือนกัน มันเหมือนกับว่าแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีส่วนผสมต่างกัน เอาเป็นว่าทองก็แล้วกัน ทองนี่หลวงพ่อท่านบอกว่าประกอบไปด้วย ตะกั่วเถื่อน ๆ นี่ก็คือดีบุกนะ ตะกั่วเถื่อนตะกั่วป่านั่นแหละ ทองแดง สารปากนกแก้ว แร่เพียงไฟ ๔ อย่างนี้ถ้ามาผสมกันในอันตราส่วนที่เหมาะสมจะเป็นทองคำ
              คนเราก็เหมือนกัน ในสภาพของจิตนี่มันก็จะมีแร่ธาตุต่าง ๆ ในจักรวาลที่มันหมุนเวียนไปมาตามแรงโคจรต่าง ๆ ของมันจะผสมกันไปผสมกันมา สำคัญที่สุดธาตุรู้มันจับปั๊บเข้าไปมันก็เกิดเป็นจิตขึ้นมา พอเกิดเป็นจิตขึ้นมามันก็ต้องแสวงหาที่อยู่มันก็ต้องประกอบไปด้วยกายที่มีดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณนี้รองรับมัน แต่ว่าโอกาสที่มันจะเกิดในลักษณะนี้มันยากเต็มที
      ถาม :  แล้วอย่างต้นไม้?
      ตอบ :  ต้นไม้มีแต่ประสาทที่เรียกว่าวิญญาณไม่มีจิต มันเป็นแค่ประสาทรับรู้เฉย ๆ คือรู้ว่าจะต้องหาอาหารยังไง แล้วก็รับรู้ในแสงสว่างได้มีประสาทสัมผัสแต่จิตไม่มี ในเมื่อต้นไม้ไม่มีจิตเราก็รู้อยู่ว่าการตัดต้นไม้การตัดหญ้ามันไม่เป็นบาป
              แต่คนสมัยโบราณเขาคิดมากเขาคิดว่า มันมีชีวิตอยู่ ภูตคาม คือสิ่งที่มีชีวิต แผ่นดินก็มีชีวิตเหมือนกัน เขายกว่าต้นไม้มีชีวิต แผ่นดินมีชีวิต ดังนั้นเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติศีลเกี่ยวกับพวกนี้ท่านบัญญัติเพื่อเอาใจคนในยุคนั้นว่าถ้าภิกษุขุดแผ่นดินต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุพรากของเขียวที่อยู่กับที่ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะว่านักบวชศาสนาอื่นลัทธิอื่นเขาเชื่ออย่างนั้น ถ้าเราไปขัดเขาการเผยแพร่ศาสนาจะลำบาก
              ท่านก็เลยบัญญัติเพื่อเอาใจเขาเอาใจชาวโลกเพื่อให้เข้ากับลัทธิความเชื่อของเขาโดยการไม่ใช้ภิกษุขุดแผ่นดิน เพื่อเขาจะได้ไม่ตำหนิโทษ แล้วก็ไม่ให้ภิกษุพรากของเขียว เพื่อไม่ให้เขาตำหนิ ถ้าเขาตำหนิโดยไม่รู้แล้วบังเอิญเป็นพระดีเจ้านั่นซวยไป เลยกันเอาไว้สำหรับพวกเขาด้วยกับคนนอกศาสนาด้วย ต้นไม้มีเพียงประสาท รับความรู้สึกเท่านั้นเขาเรียกว่าวิญญาณในภาษาบาลีไม่ใช่จิต
      ถาม :  แล้วอย่างศาสนาอื่นล่ะครับ คนที่นับถือศาสนาอื่น?
      ตอบจะนับถือศาสนาไหนก็ตามนรกเดียวกันสวรรค์เดียวกัน ถึงเวลาก็ขึ้นสวรรค์ลงนรกในสถานที่เหมือน ๆ กัน เพียงแต่ว่า อุปทานความยึดมั่นในแต่ละศาสนาในแต่ละระเบียบประเพณีของเขาไม่เหมือนกันก็เลยทำให้เขาเห็นนรกสวรรค์ต่างกันไป แต่มันมีความเหมือนอยู่อย่างหนึ่งก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ
              ขณะเดียวกัน สวรรค์เป็นสถานที่เสวยความดีที่ตัวเองทำมา ถ้าเทวดาฝรั่งไปแต่ตัวเหมือนลิเกนุ่งชฎาแหลมเปี๊ยบฝรั่งมันไม่รู้จักหรอก ฝรั่งมันนึกว่าละครหลงโรงมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ทว่าไปชุดขาวรุ่มร่าม ๆ มีวงแสงบนหัวมีปีก เล็ก ๆ ซะหน่อยละก็รู้ว่าอันนี้คือเทวดา เทวดา เขาเลยต้องแสดงให้เห็นในลักษณะนั้น ถ้าแสดงลักษณะอื่นเขาจะไม่รู้ มันเป็นความยึดมั่นตามประเพณี ตามความเชื่อถือของเขา เขาต้องทำอย่างนั้น
      ถาม :  เป็นที่มา...?
      ตอบ :  ส่วนของเราถ้าไปทำอย่างนี้เรารู้แล้วใช่มั้ยเทวดาฝรั่ง ขึ้นข้างบนแล้วมันไม่มีเชื้อชาติหรอก มันเป็นเทวดาเหมือน ๆ กัน บอกเขาว่าขอรู้ขอเห็นตามความเป็นจริงเขาก็จะแสดงเต็มบุญเต็มบารมีให้เรารู้ หลวงพ่อท่านบอกเคยขึ้นไปเจอพระเยซูใส่ชุดแบบฝรั่งรุ่มร่าม ๆ ที่มันใช้ผ้าขาวพันตัวมา หลวงพ่อก็บอก เฮ้ย ! ข้างบนนี้ไม่มีนะโว้ยฝรั่ง พระเยซูท่านบอกถ้าผมไม่ทำแบบนี้ท่านก็ไม่รู้จักผมนะซิครับ
      ถาม :  แล้วคนที่นับถือศาสนาอื่น โอกาสที่จะทำบุญต้องก็น้อยกว่า?
      ตอบ :  น้อยกว่า แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลยก็ไม่ใช่ อย่างศาสนาพราหมณ์เขาได้ถึงสมาบัติ ๘ เพราะฉะนั้น ทาน ศีล ภาวนาของเขา โดยเฉพาะภาวนาถือว่าเลิศมาก เพียงแต่เขาขาดปัญญาในจุดสุดท้ายคือไม่รู้จักนิพพาน ไม่เห็นอริยสัจเลย ไม่รู้จักพระนิพพาน มันเหมือนกับว่าถ้าเป็นสิ่งประกอบสักอย่าง เอาเป็นอันว่าของสูงที่สุดคือมงกุฎแล้วกัน พระพุทธเจ้าท่านหาเพชรยอดมงกุฎได้ในขณะที่ศาสนาอื่นเขาหาไม่เจอเมื่อเอาเพชรยอดมงกุฎประดับลงไปความสวยงามสมบูรณ์พร้อมทุกอย่างก็เกิดขึ้น
              แต่ตราบใดที่ยังไม่มีเพชรยอดมงกุฎคือ อริยสัจ ๔ ที่ท่านตรัสรู้มันก็สามารถที่จะสมบูรณ์แบบได้ อย่าดูถูกศาสนาอื่น ในสัตกนิบาตอังคุตรนิกาย พระพุทธเจ้าตรัสถึงศาสดานอกศาสนาคนหนึ่งคือ อารกะ อารกะศาสดานี้สอนลูกศิษย์เกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตท่านบอกว่าชีวิตเหมือนกับต่อมน้ำคือ เหมือนฟองน้ำผุดขึ้นมาแล้วก็แตก เหมือนรอยไม้ที่ขีดลงในน้ำ ปรากฏวูบเดียวก็หายเลย เหมือนลำธารที่ไหลลงมาจากภูเขา พรวดมาแล้วก็ผ่านไปเลย เหมือนชิ้นเนื้อนาบไฟคือ ไหม้หมดแน่ ๆ ในระยะเวลาอันไม่นาน เหมือนโคที่เขานำไปฆ่าตายแหง ๆ หมดทางเลี่ยง นั่นศาสดานอกศาสนาสอนศิษย์ขนาดนั้น เพราะฉะนั้นดูถูกเขาไม่ได้ ศาสดาเจ้าลัทธิต่าง ๆ
              สมัยนั้นที่มีชื่อเสียงเยอะต่อเยอะด้วยกัน เพียงแต่ว่าพอถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ไปหลงติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หลงในความยึดถือ เชื่อถือ ของคนอื่นเขา เลยคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ไปทั้งที่ไม่ใช่ของจริง สมัยนั้นที่เขาเรียกคณาจารย์ทั้ง ๖ มี สัญชัยเวลัฏบุตร ที่เป็นอาจารย์ของพระโมคคัลลาน์พระสารีบุตรมาก่อน ปกุธกัจจายนะ อชิตะเกสะกำพล มักขลิโคสาละ นิครนถนาฏบุตร เหล่านี้จะมีชื่อเสียงมหาศาลมากเป็นที่นับถือของคนเป็นหมื่นเป็นแสนเลย เพียงแต่ว่าลัทธิที่เขาสอนมันเข้าไม่ถึงจริงเท่านั้นเอง นักคิดมันเยอะ

      ถาม :  แล้วเพราะอะไร ทำไมเขาถึงไม่ลักษณะที่ว่าทำไมคนเกิดมาเขาถึงไม่นับถือศาสนาเดียวกัน?
      ตอบมันแล้วแต่สิ่งแวดล้อมและการยึดถือของครอบครัวตัวเอง ครอบครัวตัวเองเชื่อถืออย่างไรก็ทำตามนั้นมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นอย่างนั้น ตรงนี้มีทั้งคริสต์มีทั้งอิสลามต้องถืออิสลาม
              ถ้าเขาเคยบำเพ็ญบารมีมาในระดับหนึ่งเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำมันยังไม่ตรงกับใจของตนเองเลย มันเหมือนกับคนหาอาหารกินนะ ได้อาหารที่รสชาติไม่ถูกใจตัวเองก็หาไปเรื่อยจนกระทั่งมาเจอศาสนาพุทธก็เอ้าใช่เลย อาหารรสนี้ที่เราต้องการเขาก็มาเรื่อยเป็นอย่างนี้ ที่มันนับถือแตกต่างกันไป เกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมและระเบียบประเพณีที่ยึดถือกันมาในครอบครัวของตน ขณะเดียวกันฝรั่งน่ะอย่าคิดว่ามันถือคริสต์นะ ตอนนี้อิสลามในอเมริกามีมากพอ ๆ กับคริสต์เลย
              ส่วนใหญ่แล้วตรงจุดที่ว่าแต่ละศาสนา นรกสวรรค์ต่างกัน คนมันจะข้องใจตรงจุดนี้ ที่ต่างกันมันต่างกันตรงที่ความเชื่อถือการยึดถือตามแบบของเขา แต่จริง ๆ ถ้าเราสังเกตจะมีเนื้อหาเดียวกันก็คือ นรกเป็นสถานที่ลงโทษ สวรรค์เป็นสถานที่ตอบแทนผลของความดีที่เราทำเอาไว้ที่เห็นต่าง ๆ กันไปมันตามความเชื่อถือของเขา ถ้าไม่เห็นอย่างนั้นเขาก็ไม่เชื่อว่าเป็นสวรรค์ ก็เลยทำให้เห็นแตกต่างไปคนละทิศคนละทาง
              แต่จริง ๆ แล้วทั้งหมดไม่ว่าจะศาสนาไหน นรกเดียวกันสวรรค์เดียวกัน สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ถ้าคนไม่ทำความดี ความชั่ว นรกก็ไม่มี สวรรค์ก็ไม่มี ผลการกระทำที่เรียกว่ากรรมนั้นแหละส่งผลมหาศาลอย่างมาก เมื่อทำชั่วก็มีนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานขึ้นมารองรับ เมื่อทำความดีก็มีมนุษย์ เทวดา พรหม พระนิพพานขึ้นมารองรับ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าไม่มีการกระทำ
      ถาม :  ยังไงที่เขาเรียกว่าหมดกรรมครับ?
      ตอบ :  อะไรเรียกว่าหมดกรรม ยากเต็มที ยกเว้นจุดสุดท้ายก็คือเข้าพระนิพพาน ไม่ได้หมดกรรมหากแต่พ้นกรรม ต้องใช้คำว่าพ้นกรรม เพราะว่ากรรมเก่าที่ทำไว้ยังมีอยู่แต่ว่ากำลังบุญนั้นสูงมากส่งให้หลุดพ้นจากวงโคจรนั้นไปเสียได้ วงโคจรตัวนี้เขาเรียก วัฏฏะสงสาร คือการหมุนวนอยู่ สังสารวัฏที่เวียนวนอยู่ทำให้ตาย-เกิดไม่รู้จบ เมื่อกำลังบุญสูงพอดีดตัวเองพ้นไปได้เป็นอันว่าพ้นกรรมไม่ใช่หมดกรรม พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหมดที่เข้านิพพานไม่มีใครใช้กรรมหมด เพียงแต่ว่าสร้างกำลังความดีไว้จนกระทั่งสูงสุดสามารถหลุดพ้นออกไปเท่านั้น
      ถาม :  หลวงพี่เป็นลูกศิษย์ของใคร ?
      ตอบ :  อาตมาเป็นลูกศิษย์ของพระปิณโฑลภารัชทวาชะ พระปิณโฑลภารัชทวาชะท่านจะถามคนอยู่เสมอว่าใครข้องใจให้มาหาเรา ให้มาถามเรา ท่านเป็นเอตะทัคคะ คือเลิศในบรรลือสิงหนาท หมายความว่าเป็นผู้กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ กล้าพิสูจน์
              เหตุที่ท่านเป็นดังนี้เพราะว่าชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นพญาราชสีห์แล้วมีโอกาสได้รักษาสังขารของพระปัจเจกพุทธเจ้า คือท่านดูแลจนพระปัจเจกพุทธเจ้ามรณภาพไปนิพพาน ท่านเองก็ยังตกแต่งสถานที่คาบดอกไม้มาบูชาพระศพอยู่แล้วก็คำรามเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์อื่นเข้ามาทำลายศพของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าองค์นั้น อยู่ในลักษณะดูแลรักษาป้องกันอย่างดีตลอดมา แล้วมีโอกาสมาเกิดเป็นคนได้ทำความดีได้พบพระพุทธศาสนาได้พบพระพุทธเจ้าจนกระทั่งกลายเป็นพระอรหันต์ วิสัยเก่าเป็นราชสีห์ก็เลยชินกับการประกาศตนเอง ท่านเองก็เลยประกาศตนเองเป็นประจำว่าใครข้องใจอะไรให้มาถามเรา
              เป็นสมัยนี้นี่อาจารย์เคาะหัวลูกศิษย์แตกแน่เลย แต่พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ที่ไม่มีกิเลส ในเมื่ออาจารย์ไม่มีกิเลสก็เลยไม่อิจฉาลูกศิษย์ ลูกศิษย์แบ่งเบาภาระไปได้เท่าไหร่อาจารย์สบายเท่านั้น
      ถาม :  อยากจะเรียนถาม คือหนูยื่นเออรี่เอาไว้นะค่ะ ไม่ทราบว่าจะได้หรือเปล่า?
      ตอบ :  อ๋อ อันนี้ถามได้แต่ตอบไม่ได้นะ ทำไมจะรีบออกไปไหนฮึ หนีราชการเหรอ
      ถาม :  เบื่อแล้วค่ะ ทำมาหลายปีแล้วเบื่อค่ะ
      ตอบ :  บนพระวิสุทธิเทพดู เรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ เกี่ยวกับบนให้ได้งาน บนให้ออกจากงานอะไรนี่ พระวิสุทธิเทพท่านเคยตรัสบอกกับหลวงพ่อเอาไว้ว่าถ้าเกี่ยวกับเรื่องงานให้บนฉันได้ แต่มีข้อแม้ว่าเมื่อสำเร็จแล้ว การแก้บนท่านเอาว่าต้องรักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐาน ๗ วัน อย่างอื่นไม่เอาเลย เน้นการทำความดีขนาดหนักล้วน ๆ
              ความจริงเดือนนี้นะ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านทำแบบเอาไว้อาตมาก็มารับสังฆทานไม่ทัน บังเอิญว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านทำแบบอย่างที่ดีไว้ ก็คือว่าพระวัดท่าซุงท่านให้อธิษฐานพรรษาในวันอาสาฬหบูชา แล้วก็ให้ปวารณาพรรษาในวันเทโว เข้าก่อนเขา ๑ วัน ออกทีหลัง ๑ วัน มันจะได้ ๙๐ วันถ้วน ๆ ส่วนใหญ่มันก็เกิน ๙๐ วันอยู่แล้ว
              แต่ว่าถ้าหากว่านับตามทางจันทรคติท่านถือว่า ๓ เดือนถ้วน ๆ ก็เลยกลายเป็นว่าพอวันอาสาฬหบูชาปุ๊บอาตมากับพระทั้งหมดก็อธิษฐานพรรษาอธิษฐานเสร็จเราก็ขออนุญาตลาต่อมาเลยคือขอสัตตาหะ ในขณะที่เข้าพรรษาอยู่ถ้ามีเหตุจำเป็นพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ไปได้แต่ต้องไม่เกิน ๗ วัน เรียกว่า “สัตตาหะกรณียะ” เหตุที่ท่านอนุญาตให้ก็คือ พ่อป่วย แม่ป่วย ครูบาอาจารย์ป่วยไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ วัดพังไปหาทัพพะสัมภาระมาซ่อมวัดได้ เพื่อนสหธรรมมิกที่อยู่ต่างวัดไกลๆ จะสึก ไปเพื่อห้ามปรามได้ ได้รับกิจนิมนต์เพื่อเจริญศรัทธาไปได้ ถ้าไม่ใช่ว่าตามแบบวัดท่าซุงมาอธิษฐานพรรษาในวันเข้าพรรษา เป็นอันว่าอาตมามาไม่ทันพวกเราก็ชะเง้อคอยาว
              ตั้งแต่มานั่งตรงนี้เขาถามเป็นสิบ ๆ ครั้งแล้ว ว่าเข้าพรรษามาได้ยังไง เลยบอกให้เข้าใจไว้แล้วก็จำไปบอกต่อด้วย ขี้เกียจอธิบายบ่อย ๆ อาตมาจะบอกเคล็ดลับให้อย่างหนึ่งนะ ถ้าอยากจะถามปัญหาทางโลกถามหมอเอ ถ้าอยากจะถามหวยไปถามหมอเพชร (หัวเราะ) ๒ คนนี่เขาถนัดกันคนละอย่าง ถ้าไปบวชอยู่ที่วัดเดียวกันเมื่อไหร่ละก็อาตมาจะสบายใจมาก ไม่ต้องเหนื่อย
              ถามปัญหาทางโลก ถามฆราวาสท่านตอบได้มากกว่า ของพระข้อจำกัดมันเยอะ โดยเฉพาะว่าหลายอย่างที่เราเป็นพระเราจำเป็นต้องยอมรับกฎของกรรม บางทีรู้ก็พูดไม่ได้อกจะแตกตายเหมือนกัน แต่ขณะเดียวกันว่าฆราวาสของเขาข้อจำกัดจะน้อยกว่า
              แต่มันก็มีเยอะต่อเยอะที่ว่ากฎของกรรมเขาแรงจริง ๆ เล่นเอาหมอดูปรุงคำพูดแทบแย่กว่าจะได้คำพูดในลักษณะที่เรียกว่าเป็นที่พอใจของคนฟังด้วย ขณะเดียวกันก็ไม่เกินกฎของกรรมด้วย ปางตายเหมือนกัน ถึงถามฆราวาสได้มากกว่าก็เถอะบางอย่างก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ปัญหาทางโลกถามหมอเอ ถามหวยถามหมอเพชรเจ็บไข้ได้ป่วยไปหาหมอต้านะ (หัวเราะ) หมดเรื่องไปเลย