ถาม:  ...................................
      ตอบ :  ไปพม่ามาหลายปี จดบันทึกเอาไว้ กำลังให้เขาแกะออกมาเป็นเล่ม ๆ ก่อน เดี๋ยวเล่าเรื่องไม่ไหว แล้วจะพิมพ์ขาย ข้างในจะไม่เหลือแล้ว ยิ่งช่วยคนมากเท่าไร กรรมยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมมากเท่านั้นพอซ้ำมากอาตมาไม่แก่ก็ต้องแก่ วันก่อนคุณโยมบุกไปทำบุญถึงวัด เขาบอกว่า หลวงพ่อยังไม่แก่ อือ...สายตาเอ็งว่ะ ข้ายังไม่แก่ คนสี่สิบกว่าใกล้ ๆ ห้าสิบ แล้วยังว่าไม่แก่ แต่อาตมารู้ว่าตัวเองแก่เต็มที
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  อย่างหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ พุทธสรมหาเถระ ฉายาท่านพุทธสโร เดิมชื่อ นวม เหตุที่ท่านต้องปิดกั้นตัวเอง เพราะตำแหน่งหน้าที่ท่านใหญ่โตมโหฬาร ขืนทำอะไรให้คนเห็นความสามารถตายแน่เลย คราวนี้ท่านปิดตัวเองแต่หลวงพ่อท่านรู้ เพราะช่วงที่อยู่วัดอนงค์ ทีมของหลวงพ่อจะมีตัวหลวงพ่อเอง เจ้าคุณเทพ คือเจ้าคุณไสว ตอนนั้นเป็นสามเณร มีเจ้าคุณยิ้ม เจ้าคุณกวีวงศ์ แล้วก็มีเจ้าคุณสรภาณกวี ทีมร่วมกินน้ำปลาพริกป่นตอนสงครามโลกมาด้วยกัน ท่านทั้งหลายเหล่านี้พอเลิกเรียนแล้ว ตอนเย็น ๆ มานั่งธรรมาสากัจฉา นั่งคุยธรรมกัน คุยไปคุยมาหลวงพ่ออยู่คณะ ๑๐ ปี ห่างกันลิบโลก พอรุ่งเข้าเจอกันท่านบอก “เออ...คุณ ที่เมื่อคืนคุณคุยกันตรงนั้นน่ะ ไม่ใช่ ต้องเป็นอย่างนี้” หลวงพ่อก็แปลกใจ หลวงพ่อสมเด็จฯ ก็แก่แล้ว จะไปไหนถือไม้เท้าเดินตัวสั่นตัวโคลง บางครั้งพระเณรต้องประคองไป คงเดินไม่ถึงคณะ ๔ แน่เลย ถามดื้อ ๆ ว่า “ทำไมหลวงพ่อรู้ครับ ?” ท่านบอก “คนแก่แล้วไม่ยาวแต่ตาหูก็ยาวด้วย” คราวนี้วันนั้น เรียกว่าไม่รู้จักเสือเอาเรือมาจอด หลวงพ่อสี่องค์ก็อยู่ในกุฏิ คือตำหนักสมเด็จพอดี คือหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ท่านพักอยู่ชั้นบน หลวงพ่อสี่องค์คุยกันอยู่ชั้นล่าง คุยไปคุยมาก็ปรากฏว่าปรารภถึงเรื่องนี้ “เฮ้ย...ไม่ใช่อภิญญาหรอก” อีกองค์ก็ถามว่า “ทำไมถึงไม่ใช่” “อภิญญาต้องตั้งท่า ไม่ต้องตั้งท่าแล้วรู้นี่ต้องปฏิสัมภิทาญาณ” พูดไม่ทันขาดคำ ไม่รู้ไม้เท้ามาทางไหน ลงหัวสี่คนเกือบจะโป๊กเดียวกัน เสียงแทบจะดังพร้อม ๆ กัน เงยขึ้นมาหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์ วัดอนงค์ หยุดยืนค้ำหัวอยู่ ไม้เท้าชี้หน้า ถ้าข้ายังไม่ตาย อย่าเสือกพูดเรื่องนี้ให้ใครได้ยิน เสร็จแล้วถาม “หลวงพ่อมาตอนไหนครับ ?” “เดินลงมา พวกเอ็งไม่ได้ยินเอง” “แล้วจะไปไหนครับ ?” “ไม่ล่ะ จะกลับขึ้นไปทำงานใหม่ ช่วยประคองที” ซ้ายคน ขวาคน ช่วยกันประคองกลับขึ้นชั้นบน ตอนลงมาอย่างไรก็ไม่รู้ ลักษณะนี้เห็นครั้งหนึ่ง
              แต่ไม่ได้เห็นกับหลวงพ่อสมเด็จพุฒาจารย์นะ เกิดไม่ทันท่านหรอก หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง คือเห็นหลวงพ่อเอง ที่พักของหลวงพ่อที่หน้าตึกริมน้ำ หลวงพ่อเวลานอน ท่านจะนอนที่ศาลากลางน้ำ ตึกสงวนจิตรและเพื่อน พอมาระยะหลังสร้างวิหารร้อยเมตรเสร็จ ท่านไปนอนที่ตึกหลังวิหารร้อยเมตร แต่เวลาทำงาน พอตอนเช้าประมาณ ๗ โมงเศษ ๆ ท่านจะนั่งรถมาที่ตึกริมน้ำ คือตึกสุวิมล-นนทาสงเคราะห์ ซึ่งจะเป็นตึกติดกับตึกอินทราพงษ์ ใครมักจะคิดว่าเป็นตึกเดียวกัน แต่จริง ๆ ไม่ใช่ ความจริงเป็นตึกสองหลังแต่ว่าติดกัน หลวงพ่อท่านทำบันไดสามขั้น ถอดหน้าต่างของตึกอินทราพงษ์ออกแล้วเดินมุดเข้าหน้าต่าง แล้วไปเข้าประตูตึกอินทราพงษ์ เพราะฉะนั้น...ณ เวลาจะเข้าต้องเข้าประตูตึกริมน้ำที่เขาเรียกหน้าตึก หน้าตึก คือตึกนนทา แล้วอ้อมไปเข้าหน้าต่าง แล้วค่อยไปเข้าประตูของตึกอินทราพงษ์ แล้วไปห้องชั้นในที่มีประตูอีกชั้นหนึ่ง หลวงพ่อจะทำงานในนั้น วันนั้นอาตมาอยู่เวรหน้าตึกหลวงพ่อตามปกติ อยู่เวรหน้าตึกมีหน้าที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือถ้าเวรครัวเขาไม่ว่าง เวรหน้าตึกต้องขึ้นไปตีกลองเพล แล้วเรื่องตรงเวลาของหลวงพ่อนี่เป๊ะแน่นอน อย่าพลาดเป็นอันขาดเชียว ใครพลาดเรื่องเวลานี่หลวงพ่อตีอ่อมกันตรงนั้น
              ปรากฏว่าปีนั้นจำไม่ได้ว่าปี ๒๕๓๐ หรือ ๒๕๓๑ มีพระใหม่บวชหลายองค์ มีอยู่คนหนึ่งเป็นครู เป็นครูสอนอยู่พิษณุโลก ชื่อครูเปรื่อง รอดเทศ ชื่อนี้ต้องคุ้น ๆ ตาแหละ เวลาแกทำบุญ ชื่อในโมทนาของธรรมวิโมกข์ ตาเปรื่องพอบวชมามันเก่ง บวชปั๊บเป็นพระครูเลย เขาเป็นครูอยู่แล้ว คราวนี้บวชเป็นพระ บวชปั๊บเป็นพระครูเลย ของเราบวชแทบตายยังไม่ได้เป็นพระครูเลย ครูเปรื่องของเรา พูดง่าย ๆ ว่าอัจฉริยะทุกเรื่อง อะไรเขาทำได้กูทำได้ วันนั้นแกเป็นเวรครัวอยู่พอดี ร่วมกับรุ่นพี่สองสามองค์ คราวนี้รุ่นพี่เห็นว่า เออ...มันยังหนุ่มอยู่ ให้ปีนหอกลองขึ้นไปตีกลอง แก่ ๆ แล้วอย่าไปปีนเลย เพระว่าบันไดเล็กนิดเดียวและก็ชันมากเลย เราพอเห็นหน้าก็ถาม “เป็นอย่างไรท่านเปรื่อง จะตีกลองเองหรือ ?” บอก “ครับหลวงพี่ ผมตีเองครับ” “เอ็งตีได้แน่นะ ?” “ได้แน่นอนเลยครับ” “ถ้าอย่างนั้นเอ็งขึ้นไป” เรานั่งรอเมื่อไรมันจะตี นาฬิกาหลวงพ่อจะดังทุก ๑๕ นาที ดังครบจังหวะ จะดังสี่ครั้ง เพราะ ๑๕ นาทีครั้งหนึ่ง ๓๐ นาทีสองครั้ง ๔๕ นาที ๓ ครั้ง ถ้าหากว่าครบชั่วโมงดัง ๔ ครั้ง ถ้าดังครั้งแรกต้องเงื้อไม้ตีกลองรอแล้ว ปรากฏว่า พอดังครั้งที่ ๔ เริ่มตี พระครูเปรื่องพอดังครั้งที่ ๔ ก็รัวเลย จังหวะอะไรรู้ไหม จังหวะเชิดกลองสิงโต ไม่ใช่กลองเพล มันตีกลองสิงโตจริง ๆ เสียงรัว ตึ้ง ๆ ๆ มันของมัน ได้ยินเสียงหลวงพ่อเปิดประตูแอ๊ดเดียว เราเล็งแล้วว่าหลวงพ่อจะทำธุระอะไร เพราะถึงเวลาจะได้รีบสนองงานได้ทัน ปรากฏได้ยินเสียงประตูแอ๊ดเดียวเท่านั้นแหละ แล้วเสียงหลวงพ่อด่าอยู่ใต้หอกลอง โคตรแม่มึง คราวหน้าจะตีนะดูคนอื่นเขาซะบ้างสิ เราหันไปหลวงพ่อท้าวเอวอยู่ใต้หอกลองจริง ๆ ประตูสี่บานได้ยินเสียงแอ๊ดเดียว ออกไปตอนไหนไม่รู้ แล้วผ่านหน้าเราไปตอนไหนไม่รู้ เหมือนกับท่านเปิดประตูตึกด้านในยังไม่ทันจะออกประตูตึกอินทราพงษ์เลย อย่าว่าแต่ข้ามหน้าต่างมาออกประตูของตึกนนทา ได้ยินแอ๊ดเดียวจริง ๆ ไม่รู้ท่านเดินทะลุไปตอนไหน ไปยืนท้าวเอวด่าอยู่ใต้ตึก
              ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ถาม “เป็นอย่างไรท่านเปรื่องตีกลอง เอาไหม ?” “ไม่เอาแล้วคับ เข็ดจนวันตาย” “ผมว่าแล้ว ถามว่าตีได้ไหม ท่านก็ยืนยัน เวลาคนอื่นตีจังหวะประมาณไหน ไม่ฟัง ตีกลองเชิดสิงโตเป็นก็เล่นจังหวะเชิดสิงโต กลองเพลกับเชิดสิงโตคนละเรื่องกัน นั่นแหละเห็นแบบคาตา
              อีกองค์หนึ่งหลวงปู่น้อย ตายแล้วนะ บอกได้ หลวงปู่น้อยอยู่แม่แตง หลวงปู่น้อย ชัยวังโส วัดอะไรจำไม่ได้แล้ว ใกล้ ๆ วัดครูบาเทือง ตอนที่ไปหาท่านก็ ๙๙ ปี ไปถึงก็ถามลูกศิษย์ “หลวงปู่อยู่ไหม ?” “อยู่ จำวัดอยู่” “เออ...ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวเข้าไปหาเอง” ก็เข้าไปข้างใน อ้าวมีแต่เตียง มองซ้ายมองขวาเห็นประตูหลังแง้มอยู่เลยเปิดประตูหลังออกไป อ้าว...ข้างหลังกุฏิก็ไม่มี เงยขึ้นไปบนหอกลอง บันได ๒๐-๓๐ ขั้น เออ...ดีสูงดี เดี๋ยวขึ้นไปดูสักหน่อย หลวงปู่อยู่เปล่า เพราะว่ามองจากหอกลองลงมาจะได้เห็นทั่ว ปราฏว่าเดินขึ้นไปถึงข้างบน หลวงปู่นอนอยู่ เราก็กราบ กราบ ท่านหันกลับมาเออ ๆ มาแล้วหรือ ไปข้างล่างไปคุยกัน ถามว่า “หลวงปู่มาถึงนี่ทำไมครับ ?” “ข้างบนเย็นดี ข้างล่างร้อน” ในห้องทึบอึดอัด ค่อย ๆ ประคองท่านลงบันได บันไดสิบกว่าขั้น พอลงมาโยมเข้าเห็นเราเดินเข้าไป ก็กรูกันตามเข้าไป แต่ไม่ได้ตามด้านหลัง นั่งเฝ้าหน้าเตียงหลวงปู่ พอเปิดประตูแอ๊ด ธรณีประตูสูงประมาณฝ่ามือ หลวงปู่อายุ ๙๙ อุ้มที ต้องอุ้มท่านข้ามธรณีประตูไปวางไว้บนเตียง แค่นี้นะอุ้ม แต่บันไดเกือบยี่สิบขั้นไปตอนไหน ถ้าหากว่าอยู่ต่อหน้าชาวบ้าน ขันธ์ ๕ มันแก่ยังไงก็ต้องยอมแก่ แต่ถ้าหากว่าลับหลังเออนอนข้างบนมันเย็นกว่าก็ไปเหอะ ง่ายดีไหม ท่านเล่นอย่างนั้น แค่นี้นะอุ้มนะ แต่ ๒๐ ขั้น ขึ้นไปอย่างไรก็ไม่รู้ อยู่ต่อหน้าโยมต้องยอมแก่ แต่ลับหลังโยมของทำได้ก็ไปซะหน่อย ถ้าท่านยังไม่ตายเรื่องนี้ไม่เล่าให้ฟัง เดี๋ยวไปกวนท่าน องค์นั้นตายตอนอายุ ๑๐๐ พอดี
              ช่วงตอนที่ท่านอยู่พวกแถวนั้นถือว่าโชคดีมากเลย เพราะจะมีหลวงปู่น้อย ครูบาเทือง และก็อาจารย์เปลี่ยน อยู่บนถนนสายเดียวกันหมดเลย ริมเขื่อนแม่งัดเข้าไป มุ่งตรงไล่เข้าไปได้เลย ตอนนี้ยังมีอาจารย์เปลี่ยน ครูบาเทืองอยู่ หลวงปู่น้อยสิ้นไปองค์แล้ว ปากทางเข้าคือวัดหลวงปู่ธรรมชัย ตรงกันข้ามอยู่จากวัดหลวงปู่ธรรมชัย พอข้ามถนนก็เลาะริมเขื่อนไปเลย ยังมีเหลือให้อยู่แวะไปได้จ้ะ อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เชียงใหม่ยังมีประเภทสุดยอดวิทยายุทธอยู่ และหลวงปู่ขันธ์ สำนักสุสานไตรลักษณ์ อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ ไปเถอะ ใกล้มรณภาพแล้ว คือความจริง พระแบบนี้ไม่อยากบอก เพราะบอกแล้วพวกเราไปกวนท่านเยอะ เดี๋ยวเวรกรรมมาถึงอาตมาด้วย เดี๋ยวเกิดกัดฟันอยู่ไปได้ ๙๙ ปี ๑๐๐ ปีอย่างท่าน แล้วคนมากวนไม่รู้จบ แย่เหมือนกัน ที่เพิ่งมรณภาพไม่นานก็หลวงปู่ครูบาอินทร์ วัดฟ้าหลั่ง แต่หลวงปู่ครูบาอินทร์ยังอยู่ สององค์นี้พอลุ้นกัน หลวงปู่ครูบาอินทร์ หลวงปู่ขันธ์ไปเถอะ พระอย่างนั้นไปกราบไปเห็นให้เป็นบุญตา สมณานัญจะ ทัสสะนัง เอตัมมังคะละ มุตตะมัง การได้เห็นสมณะ คือพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ถือเป็นอุดมมงคลแล้ว พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้ในมงคล ๓๘ ยิ่งถ้าได้รับคำสอนจากท่านยิ่งเป็นมงคลใหญ่ ถ้ายิ่งทำตามคำที่ท่านพูดท่านสอนได้ยิ่งเป็นมงคล
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  วัดหน้าพระเมรุสำคัญมาก หลวงพ่อพระพุทธวิชิตมาร พระประธานหน้าวัดพระเมรุ เป็นวัดเดียวที่พม่าตั้งกองรบอยู่ในวัดด้วยซ้ำไป แต่ไม่ได้แตะต้องเลย สังเกตไหม วัดรอบ ๆ กลายเป็นซากหมด แต่วัดหน้าพระเมรุสมบูรณ์อยู่วัดเดียว พระประธานไม่ได้โดนเผาลอกทองไปเหมือนกับวัดอื่น ทั้ง ๆ ที่พระเจ้าอลองพญามาตั้งกองรบบัญชาการอยู่ในวัดหน้าพระเมรุ แล้วศาลาข้างวัดหน้าพระเมรุมีพระสำคัญอีกองค์ หลวงพ่อศิลาเขียว หลวงพ่อศิลาเขียวเป็นพระสมัยทวาราวดีคืออยู่ในลักษณะนั่งแสดงธรรมจักร แต่นั่งห้อยพระบาทอย่างนี้ พระองค์นั้นเป็นพระประธานแต่เดิมอยู่ที่วัดมหาธาตุ แต่วัดมหาธาตุโดนพม่าเผาทำลาย ปรักหักพังหมด หลวงพ่อศิลาเขียวหลุดเป็นชิ้น ๆ ไปด้วย คราวนี้พอคนไปขุดเจอ คิดว่าชำรุดแล้วก็กอง ๆ ไว้ ปราฏว่ามีนักเลงดีสังเกตเห็นลักษณะนี้ไม่ใช่พระหัก รอยหักเรียบกริบขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ ขัดล้างทำความสะอาดดู ปราฏว่าเป็นลิ่มเป็นสลักมาใส่ประกอบติดกันได้ ก็ต่อเป็นองค์ขึ้นมาใหม่ ส่วนที่เป็นเปลวรัศมีอยู่ด้านหลังได้มาหลังสุด คือเป็นพระไม่มีเปลวรัศมีตั้งนานเนกาเล กว่าจะมีพวกไปขุดหาของเก่าของโบราณขุดได้ ขุดเจอเข้าก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่คนที่เขาเคยเห็นหลวงพ่อศิลาเขียวว่าเป็นหินแบบเดียวกัน ก็เอาไปลองต่อดู ได้กันเป๊ะ ศิลปะการแกะสลักพระแบบนั้นเห็นมีอยู่ ๕ องค์เท่านั้น จะอยู่ที่วัดพระปฐมเจดีย์ ๒ องค์ คือหลวงพ่อศิลาขาว หลังองค์พระปฐมเจดีย์องค์หนึ่ง อีกองค์หนึ่งอยู่ในโบสถ์วัดพระปฐมเจดีย์ องค์ที่ ๓ อยู่พิพิธภัณฑ์กรุงเทพฯ องค์ที่ ๔ อยู่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา อยุธยา อีกองค์หนึ่งเล็ก สูงประมาณศอกครึ่งเอง อยู่หน้าพระศาสดาในวัดบวรฯ สี่องค์นั้นใหญ่มโหฬาร เพราะว่าเป็นพระประจำทิศของวัดมหาธาตุ สมัยทวาราวดี องค์ที่สมบูรณ์ที่สุดอยู่ในพระอุโบสถของวัดพระปฐมเจดีย์
      ถาม :  คนที่สั่งเผาหนักไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ค่อยได้สั่งหรอก ทุกคนอยากได้เหมือนกัน ตอนช่วงชะตากรรมประเทศชาติตกต่ำสุดขีดจริง ๆ มังมหานรธา กับเนเมียวสีหบดี ไม่ได้คิดจะตีเมืองไทยเลย สมัยก่อนบรรดาแม่ทัพนายกองต้องดูแลลูกน้องตัวเองของใครของมัน คราวนี้เห็นลูกน้องลำบาก เพราะว่าทำไร่ทำนาไม่ได้ มาเป็นทหาร ตอนนั้นมะริด ทวาย ตะนาวศรีเป็นของไทย “เออ...เดี๋ยวไปตีมะริด ทวาย ตะนาวศรี เมืองใดเมืองหนึ่ง ได้ทรัพย์สมบัติมาก็มาแบ่งกัน ลูกน้องจะได้มีกำลังใจบ้าง มาอยู่ทางนี้ลูกเมียจะอดตายหรือเปล่า” ปรากฏว่าตีมะริดได้มะริด ตีทวายได้ทวาย ตีตะนาวศรีได้ตะนาวศรี เฮ้ย...ไม่ยากเลยนี่หว่า เพราะช่วงนั้นขวัญและกำลังใจของทางฝ่ายไทยไม่เหลือ เพราะรู้ว่านายใหญ่อ่อนแอ อะไร ๆ ก็เอาใจแต่สนมกำนัล ขนาดยิงปืนใหญ่ก็ยิงไม่ได้ ไม่มีกำลังใจจะป้องกัน ตีสามเมืองได้ง่าย ๆ เออ...พอได้แล้วอยากได้มากขึ้น เอาเมืองกาญจน์ซะอีกเมืองหนึ่ง อยู่ติดกันนี่ ตีกาญจนบุรีก็ได้ เอาสุพรรณซะอีกเมืองหนึ่ง ก็ได้อีก สุพรรณกับอยุธยาติดกัน ลุยเมืองหลวงซะเลย เจตนาแต่แรกเริ่มไม่คิดมาตี ขนาดตีเมืองหลวงดันตีได้อีก ในเมื่อของเขาไม่ได้มาอย่างเป็นทางการ ไม่ได้มาอย่างทัพกษัตริย์ และจุดมุ่งหมายที่แท้จริงคือหาประโยชน์ให้กับกองทัพ เขาต้องกอบโกยให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ต้องไว้ฟอร์ม ถ้าทัพกษัตริย์เขาต้องไว้ฟอร์ม มาอย่างไรก็ยังแหม...ขัตติยะมานะ อดให้ตายต้องไม่ช่วงชิงเขา คราวนี้เขาว่าของเขาเต็มที่ มีอะไรที่กอบโกยได้ก็กอบโกยไป เขาบอกว่า “พวกขบวนเกวียนที่ขนของมีค่าออกจากอยุธยา เริ่มตั้งแต่พระตีกองเพลจนพระอาทิตย์ตกดินยังไม่เสร็จ” เอาไปเยอะแค่ไหนไม่รู้
              ช่วงธุดงค์ไปเจออยู่สองสามแห่งที่เกวียนพัง แล้วขุดหลุมฝัง ๆ เอาไว้ พวกทรัพย์สมบัติก็ฝัง ๆ ไว้ตรงนั้น กะว่าคราวหน้ามาแล้วค่อยมาขนกลับ มีอยู่หลายที่ แล้วเจอมือดีอาจารย์โมเช่ขุดมาขายซะหลายครั้งเหมือนกัน อาจารย์โมเช่ข้ามจากฝั่งพม่ามาหากินเมืองไทย แกไปขุดพลอย ขุดแล้วเหนื่อย แกเป็นคนฉลาดช่างสังเกต อยู่ ๆ เนินดินโผล่ขึ้นมากลางป่าเฉย ๆ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต้องมีอะไรผิดปกติ แกลองขุดดูกลายเป็นทรัพย์สมบัติโบราณ
              คราวนี้แกทำมาหากินพวกขุดพลอยขายพลอย สนิทกับแม่ค้าเมืองจันทร์ก็เอาของไปให้ดู แกฉลาด เอาไปให้ดูทีละชิ้น พอเขาตีราคาก็ขาย ได้สตางค์มาก็ใช้ พอสตางค์หมดก็ไปเอาใหม่ จนกระทั่งแม่ค้าแกลงทุนยอมแต่งงานด้วย เพราะคิดว่าแกก็เก็บเอาไว้เยอะ ปรากฏว่าอาจารย์โมเช่เป็นคนมีสัจจะ ถ้าลำบากถึงจะเอา ถ้ามีกินไม่แตะ เมียรอแล้วรออีกไม่ไปเอาสักที เลยเซ็งเลิกกัน ตอนธุดงค์แกชี้ให้ดูสองสามที่ บอกว่า “อาจารย์ถ้ามีคนลำบาก ให้เขามาขุดได้นะ ผมไม่หวง” เขาว่าอย่างนั้นจะลองไหม...!
      ถาม :  เดินป่าไหมครับ ?
      ตอบ :  เดินป่าประมาณ ๑๑ วันถึง
      ถาม :  ถ้าจะเอาให้คุ้มงวดเดียว เอามาเป็นกอง
      ตอบ :  ยังไม่รู้ว่า ๑๑ วันนั้นเป็นอย่างไร ถึงตอนนั้นไม้ขีดกล่องเดียวยังอยากโยนทิ้งเลย ขึ้นป่าขึ้นเขาไป ๑๑ วัน วันสองวันแรกระบมจนแทบไม่อยากจะขยับตัว แล้วคิดจะไปแบกของ แล้วคราวนี้เวลาเข้าไปเข้ามือเปล่าที่ไหน พวกจอบเสียมบุ้งกี๋ต้องเอาไปใช่ไหม ยิ่งตายหนักเข้าไปอีก เพียงแต่ว่าแนวจำได้ง่าย สมัยก่อนเขาเดินจะไม่ทิ้งลำห้วย ถ้าทิ้งแล้วอดน้ำ
      ถาม :  อยู่ป่าไหนครับ ?
      ตอบ :  ช่วงป่าทุ่งใหญ่
      ถาม :  ทุ่งใหญ่นเรศวรหรือครับ ?
      ตอบ :  ใช่
      ถาม :  ป่ากว้างบานเลยครับ ?
      ตอบ :  จะไปบานอะไรล่ะ บอกแล้วว่าเลาะลำห้วยไป
      ถาม :  ลำห้วยไหนครับ ?
      ตอบ :  เส้นนั้นจะทะลุสายที่เรียกว่าแม่น้ำกษัตริย์ แม่กะสะ ภาษากะเหรี่ยง แล้วจะข้ามแม่น้ำสุริยะเข้าพม่า สมัยก่อนพม่ายกทัพมาเส้นนั้นประจำ แค่ได้ฟังหมดอยากเลยใช่ไหม ของเราไม่ต้องอะไรหรอก ขึ้นบันไดลงบันไดสักสิบเที่ยวก็แย่แล้ว ขึ้นป่าขึ้นเขาทั้งวันสาหัสกว่านั้นเยอะ
              ท่านป๊อบ ท่านตู่ ตอนนั้นไปพม่าด้วยกัน ไปถึงจ้ำพรวด ๆ เป็นตามควาย บอกเดินช้า ๆ ก็ได ถ้าหากเดินแบบนั้นประเดี๋ยวจะไปไม่ไกล เขาไม่ฟังกำลังหนุ่ม เห็น ๆ รำคาญตา บอก “เบาหน่อยโว้ย...!” แรงหนุ่มสู้เดินนานไม่ได้ มันก็จ้ำ ๆ ไป พอสามสี่ชั่วโมงหอบแฮก ๆ ลิ้นห้อยเป็นศอก เราเดินเอ้อระเหยรอยชายยิ่งเดินยิ่งไกล แรก ๆ มันนำเราไปลิบเลย คราวนี้พอเขาเหนื่อยก้าวสั้น ๆ ของเราก้าวแรกจนก้าวสุดท้ายของวันเท่ากัน กลายเป็นว่าเราเดินเร็ว จริ งๆ ไม่เร็วหรอกเท่าเดิม แต่ของเขาขาสั้นลงไปเรื่อย ๆ เดินไม่ไหว เดินป่าใหม่ ๆ สังเกตดู ถ้ามีคนนำพวกชาวบ้าน ศิลปะการเดินป่าสุดยอดเลย ที่ลำบากไม่ไป ขึ้นสูงไม่จำเป็นไม่ขึ้น เห็นภูเขาอยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นเราก็ตัดข้ามเขา มันไม่ขึ้นหรอก ตัดเลาะหาร่องเขา ช่วงที่เว้าต่ำสุดค่อยข้ามตรงนั้น พยายามถนอมกำลังไว้ ไม่รู้จะรีบไปไหน
      ถาม :  (ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  พระรัฐบาลเถระ บอกกับพระเจ้าโกรัพพยะว่า “โลกคือหมู่สัตว์ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่เฉพาะตน” เพราะฉะนั้น....บุคลลที่ไม่กลัวเกรงอาชญาไม่มี อาชญาไม่ได้หมายถึงประหาร แค่ลงโทษ
      ถาม :  โหดจังเลยครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้นะ สายหลวงพ่อจริง ๆ เอาอย่างนั้น ของเราพอไปที่อื่นขนาดประเภทผิดศีลชัด ๆ เลย เขาถือว่าปลงอาบัติได้ ในเมื่อปลงอาบัติได้ เขาให้อภัยกันไปเรื่อย ความชั่วสะสมไปเรื่อย ส่วนของเราไม่บิณฑบาต ไม่ทำวัตร ไม่กรรมฐาน ไล่กระจายหมดแล้ว อาจารย์อุทัยเขายั๊วะ อาจารย์สมพงษ์ ลูกน้องแกดมกาว แล้วตำรวจจับ อาจารย์สมพงษ์จับสึก เขาก็เออ...อย่างนั้นกินข้าวเย็นก็สึกหมดสิ อาจารย์สมพงษ์บอกว่า “วัดผมสึกหมดจริง ๆ” แกอึ้งไปเลย ไม่นึกว่าจะมี คือสมัยนี้กลายเป็นว่าหาทางเลี่ยง ถือว่าเป็นอาบัติเบา พระพุทธเจ้าอนุญาตให้แสดง คือสารภาพท่ามกลางสงฆ์แล้วเป็นอันว่าพ้น แต่ความจริงไม่ได้พ้น เรื่องของอาบัติคือากรผิดศีลพระ เหมือนกับเนื้อเป็นแผล พอแสดงอาบัติคือหยุดการลุกลามของแผล แต่แผลนั้นยังอยู่ พร้อมจะให้โทษตลอดเวลา หมายความว่าตายเมื่อไร ถ้าจิตไม่เกาะความดี โทษอันนี้ใส่คุณแน่ ๆ เลยเขามักจะไปเข้าใจว่าแสดงอาบัติแล้วพ้น ก็กินข้าวเย็นกันเป็นปกติ พอถึงเวลา สัพพาตา อาปัตติโย อาโรเจมิ ผมจะไม่คิดอย่างนี้อีก กระทั่งคิดจะกินข้าวเย็นยังห้ามคิดเลย มันกินเรียบร้อยแล้วไปปลงอาบัติ
              ดังนั้นในเรื่องของการปกครองสงฆ์ ถ้าเราไม่เข้มข้นเข้าไว้ รุ่นหนึ่งหย่อนยานลงไป รุ่นต่อไปจะหย่อนยานลงไปเรื่อย ถึงได้ในปฐมสมโพธิคาถา ปริวัตรที่ ๒๙ อัตรธานปริวัรรต การเสื่อมสูญจะมี ปริยัติอันตรธาน ความเสื่อมสูญจากการเล่าเรียนธรรม ปฏิบัติอันตรธาน การเสื่อมสูญจากการปฏิบัติธรรม ปฏิเวธอัตรธาน การเสื่อมสูญจากผลของการเล่าเรียนและปฏิบัติธรรม ลิงคอัตรธาน การเสื่อมสูญจากเพศของพระภิกษุ ถึงในยามนั้นแล้วภิกษุจะมีสัญลักษณ์เพียงแค่ผ้าเหลืองพันข้อมือ หรือผ้าเหลืองน้อยห้อยหูไว้ พอเป็นสัญลักษณ์ไว้ว่าเป็นนักบวชเท่านั้น รักษาศีล ๒๒๗ ข้อได้พียงแค่ ๔ ข้อ คือปาราชิก ๔ ยังไม่ขาดเท่านั้น นอกนั้นขาดสะบั้นหั่นแหลกหมด และไปอันสุดท้าย ธาตุอันตรธาน การเสื่อมสูญซึ่งพระบรมสารีริกธาตุ เมื่อถึงเวลานั้นวาระนั้น พระบรมสารีริกธาตุทั้งหมดที่มีอยู่ จะรวมตัวกันเป็นรูปเหมือนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขณะยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ เทศน์สั่งสอนสัตว์โลกอยู่ ๗ วันต่อเนืองกันแล้วอันตรธานไป มาถึงวาระนั้นไฟบรรลัยกันต์จะล้างโลก
      ถาม :  อย่างนี้ยุคปลายศาสนาหรือครับ ระหว่างคนที่ไม่บวชกับคนที่บวช บวชได้บุญกว่า ?
      ตอบ :  บวชนี่ลงนรกง่าย เพราะว่าศีลขาดบรรลัยหมดแล้ว อรรถกถา ท่านเปรียบไว้ว่า พระอินทร์แปลงเป็นมนุษย์นำทองเท่าลูกฟักใส่รถเข็น เข็นไป ถามว่า “บุคคลสามารถจดจำคำสอนพระพุทธเจ้าหมวดใดหมวดหนึ่งได้ ขอให้แสดงธรรมหมวดนั้นมา เราจะมอบทองเท่าลูกฟักให้” ไม่มีใครจดจำได้ “บุคคลใดจดจำพระสูตรใดพระสูตรหนึ่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได สาธยายพระสูตรนั้นมาจะมอบทองเท่าลูกฟักให้” ไม่มีใครจำได้ “บุคคลใดสามารถจดจำพุทธวจนะ ประโยคใดประโยคหนึ่งได้ กล่าวถึงพุทธวจนะนั้นขึ้นมา เราจะมอบทองเท่าลูกฟักให้” ไม่มีใครจำได้ กระทั่งว่าแม้แต่ธรรมะเพียงคำเดียว ก็จะมอบทองเท่าลูกฟักให้ ไม่มีใครจำได้ อเนจอนาถปานนั้นแล้ว ท่านถึงประกาศว่า “ถึงวาระแล้วที่อันตรธานปริวัตรนี้จะเกิดขึ้น” ยังอีก ๒,๐๐๐ กว่าปี
      ถาม :  แดนดีทูบี นักร้องเป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  เรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วยทุกประการ เกิดจากกรรมปาณาติบาตทั้งนั้น นั่นคงไปทรมานเขาไว้สาหัสสากรรจ์เลยทีเดียว
      ถาม :  ไม่ทรมาน
      ตอบ :  ตอนที่ลูกอยู่ในท้อง อารมณ์ใจของแม่เนื่องถึงลูก แล้วจะเป็นพัฒนาการของลูกไปด้วย เพราะฉะนั้น...ถ้าอารมณ์เราไม่ดี ถ้าเด็กเกิดมาจะเป็นเด็กขี้งอแง บางครั้งร้องกันครึ่งค่อนปีไม่อยากจะเลิก ถึงเวลาก็ร้อง เพราะฉะนั้น...ถ้าอยากเลี้ยงลูกสบาย ๆ เราต้องอารมณ์ผ่องใสหน่อย ไม่อย่างนั้นได้เจอลูกขี้แงแน่ ๆ
      ถาม :  สังเกตว่า ถ้าหงุดหงิดจะไม่ดิ้นเลยค่ะ แต่ถ้าอารมณ์ดีจะดิ้น
      ตอบ :  นั่นไง เขารื่นเริงด้วย
      ถาม :  พ่อไม่ค่อยจะรื่นเริงเท่าไร ?
      ตอบ :  เพราะฉะนั้น...จะไปโทษพ่อได้อย่างไร มันอยู่ที่เรา เรารักษาอารมณ์ใจเราให้ดีเอง ถ้าอารมณ์ดีสิ่งแวดล้อมกระทบเราไม่ได้หรอก ไม่มีอะไหรอก เตือนเอาไว้ ไม่อยากเห็นประเภทลูกร้องไห้แล้วแม่ร้องด้วย อย่างนี้หมอฝรั่งเขาถือว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง เรียกว่า “โคลิก” บางครั้งชาวบ้านเรียกว่า โรคร้อง ๖ เดือน ร้อง ๘ เดือน ร้อง ๓ เดือน ข้อกำหนดไม่เลิกจริง ๆ ขึ้นอยู่กับอารมณ์ใจของแม่ตอนที่ท้อง หงุดหงิดอารมณ์เสียเท่าไรจะไปอยู่ที่ลูกเท่านั้น
      ถาม :  ถ้าเรามีความปรารถนาบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ต้องตั้งความปรารถนาเนิ่นนานมาก่อนชาตินี้ หรือเราตั้งชาตินี้น่าจะได้ครับ ?
      ตอบ :  การสร้างบารมีของเรา เรามีมาเท่าไร ขึ้นอยู่กับผลบุญที่เราทำมา ถ้าสิ่งที่เราทำมาเพียงพอแล้ว ตั้งความปรารถนาชาตินี้ก็ได้ชาตินี้ แต่ถ้ายังไม่เพียงพอต้องสร้างไปเรื่อยจนกว่าจะพอ
      ถาม :  สมมติว่าเรามีบุญมากพอ แต่เราไม่เคยตั้งปรารถนาสิ่งนี้ไว้ มาชาตินี้เราคิดเราอยากจะได้ เราจะได้ในชาตินี้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าพอได้เลย
      ถาม :  อ้าว...แล้วคิวละครับ ?
      ตอบ :  อ้าว...ทุนคุณพอแล้ว ไม่ไปกระเทือนคิวใครหรอก ถ้าทุนพอก็คิวคุณนั่นแหละ
      ถาม :  อาจจะทุนเท่ากัน แต่เขาอาจจะตั้งความปรารถนามาก่อน ?
      ตอบ :  อย่างหลวงปู่ธรรมชัย ท่านไม่ได้ตั้งความปรารถนาจะเป็นพระอัครสาวกสักหน่อย ท่านตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าเลย คราวนี้เซ็งแล้วท่านตัดปุ๊บท่านได้คิวเลย
      ถาม :  แล้วคนที่เขาตั้งความปรารถนามาแล้ว ?
      ตอบ :  การตั้งความปรารถนาเหมือนตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณ ทุกคนมีสิทธิตั้งความปรารถนานั้นได้ แต่ใครที่จะถึง
      ถาม :  อย่างคนที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระอัครสาวกของพระศรีอาริย์ เขาตั้งมาก่อนแล้ว อยู่ ๆ ผมไปแซงคิวเขา ?
      ตอบ :  ไม่ใช่แซงคิว หลวงปู่ท่านอาจตั้งไว้อย่างนั้นแล้ว แต่คราวนี้ว่าลืมอดีต ?
      ถาม :  อ๋อ...พระศรีอารย์ ?
      ตอบ :  พระศรีอารย์ วัดไลย์ ตอนยกจากเรือเขายกกัน ๘ คน
      ถาม :  ผมคงยกไม่ขึ้น ?
      ตอบ :  หลวงพ่อยกคนเดียว ถามว่า “จะตายอายุเท่าไรให้ยกขึ้น ?” ไล่ไปเรื่อย ยี่สิบสาม ไม่ขึ้น ยี่สิบสี่ ไม่ขึ้น ยี่สิบห้า ไม่ขึ้น ยี่สิบหก ไม่ขึ้น พอยี่สิบเจ็ดติดมือมาเบาอย่างกับกระดาษ ลักษณะอธิษฐานนี่ อาตมาเจอมาด้วยตัวเอง ตอนนั้นที่ศาลหลักเมืองศาลเก่า ยังไม่ได้ปรับปรุงใหม่ ช่วง ๒๐๐ ปีรัตนโกสินทร์ ศาลเก่ามีพระอยู่องค์หนึ่งทำจากโลหะ เพราะร่องรอยที่เขาจับอยู่เนื้อพระลอกขาวเป็นเนื้อโลหะแน่นอนเลย หน้าตักกว้างพอสมควร เขาให้อธิษฐานว่า “ถ้าสำเร็จให้ยกพระองค์นี้ขึ้น” เราดูแล้ว อย่างไรกูก็ต้องสำเร็จ พระขนาดนี้ถ้าเอาเข้าจริง ๆ อย่างไรก็เอาขึ้นได้ เราจัดแจงตั้งความปรารถนาไว้เรียบร้อย แล้วเกร็งกำลังเต็มที่งัดปุ๊บเลย ต้องเอาให้ขึ้น ผลคือว่าเกือบหงายท้อง เพราะว่าท่านติดมือมาเหมือนไม่มีน้ำหนักเลย คนตั้งใจงัดเต็มที่จะเกิดอะไรขึ้น ไม่ตีลังกานับว่าบุญโขแล้ว พอเราวางลง คนต่อไปเห็นยกหน้าดำหน้าแดงอยู่ ไม่ขึ้น อย่างที่หลวงพ่อท่านว่าเบาเหมือนกระดาษ เบาลักษณะนั้นจริง ๆ เหมือนกับไม่มีน้ำหนักเลย แต่ของหลวงพ่อท่านใหญ่ไปว่ะ เราเองคงใจไม่ถึงหรอก ๘ คนแบก แล้วไปยกคนเดียว แบบนี้อยู่ที่วัดไลย์ ลพบุรีโน่น
              เพราะฉะนั้น...เท่าที่รู้ตอนนี้คือพระศรีอริยเมตตรัย มีอยู่ ๒ วัด คือวัดไลย์ที่ลพบุรี เป็นลักษณะพระสงฆ์นั่ง ส่วนที่วัดท่าซุง นั่นเป็นลักษณะทรงเครื่องจักรพรรดิยืน น่าเสียดาย พอเขาปรังปรุงศาลใหม่แล้ว ไม่รู้ว่าพระองค์นั้นเขาเอาไปไว้ไหน
      ถาม :  ตอน ๒,๔๐๐ (ฟังไม่ชัด) ให้สำรองกล้วย
      ตอบ :  ตอนนี้เชื่อแล้วว่ารถหกล้อจริง ๆ เพราะเมื่อคืนนี้ถ้าไม่ขนไปให้ทางด้านวัดปากน้ำซะก่อน ก็ราว ๆ ครึ่งห้องแล้ว นึกถึงความเป็นทิพย์ข้างบน ความเป็นทิพย์ข้างบนอย่างวิมานเทวดา นางฟ้า พรหม วิมานตอนแรก เห็นแค่ไหนก็ตาม เข้าไปเท่าไรก็เข้าได้ จะพอดีอยู่ตลอด แต่อันนี้ของเราเกินอยู่ตลอด ถ้าเป็นรถเก๋งไม่พอขน ซื้อปิ๊กอัพก็เกินปิ๊กอัพ และห้ามซื้อหกล้อ ถ้าซื้อเมื่อไรเดี๋ยวต้องหาสิบล้ออีก เรื่องแปลก ๆ แบบนี้มีอยู่ แต่เป็นเรื่องของบุญ
              ดูตัวอย่างพระสีวลีท่าน ท่านทำบุญปิดท้ายเขาเป็นของอย่างเดียวที่เขาหาไม่ได้ สมัยนั้นพระมหากษัตริย์กับชาวบ้านทำบุญแข่งกัน ชาวบ้านอาศัยว่าพวกเราเยอะ พระมหากษัตริย์อาศัยว่าเงินเยอะ วันนั้นชาวบ้านตั้งใจจัดกองทานกันว่า เราจะถวายของทุกอย่าง จะไม่ให้ขาดเลยแม้แต่อย่างเดียว ภายหลังจากสำรวจกองทานกันแล้ว ปรากฏว่าขาดน้ำผึ้งสด น้ำผึ้งสดที่คั้นจากรวงใหม่ ๆ ไม่มี หัวหน้าคณะเอาเงินให้ ๑,๐๐๐ กหาปณะ ๑,๐๐๐ สมัยนั้นมหาศาลมาก เท่ากับ ๔,๐๐๐ บาท บอกให้ไปเฝ้าที่ประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ถ้าเห็นใครมีใครถือน้ำผึ้งรวงมาขอซื้อเขา ให้ราคาจนกว่าเขาจะขาย ถ้าเขาขายแพงก็ให้หมดได้ทั้ง ๑,๐๐๐ กหาปณะ
              คราวนี้พระสีวลีชาตินั้นท่านเป็นคนตัดไม้ มีอาชีพตัดฟืนขาย เข้าป่าไปตัดฟืนเจอผึ้งเข้า เลยตีผึ้งมาด้ว ยก็คอนใส่บ่ามา พอมาถึงลูกน้องของหัวหน้าคณะทานท่านเข้าไปถึง “โภ ปุริสะ ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ผึ้งรวงนี้ขายให้กับเราได้หรือไม่ ?” ถามว่า “จะให้ราคาเท่าไร ?” อยู่ ๆ ไปถามซื้อ ปกติไม่มีใช่ไหม หากันเองก็ได้ พระสีวลีท่านเป็นคนฉลาด ท่านถามจะให้ราคาเท่าไร อย่างนั้นเราให้ราคา ๑ กหาปณะ โอ้โฮ...มหาศาลมาก ๑ กหาปณะ เป็นไปไม่ได้ที่ของแค่นี้จะราคาแพงขนาดนั้น ท่านเลยบอก ๑ กหาปณะไม่ขาย ถ้าไม่ขายเราให้ ๔ กหาปณะ คือ ๑ ตำลึง ไล่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึง ๑,๐๐๐ พระสีวลีท่านว่า พวกนี้ถ้าไม่บ้าก็เมา ของแค่นี้ซื้อราคาเป็น ๑,๐๐๐ กหาปณะ เป็นไปไม่ได้แล้ว ๑,๐๐๐ กหาปณะ คือเศรษฐีเขายังไม่ซื้อเลย ถามว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านต้องการผึ้งรวงนี้ไปเพื่ออะไร ?” บอกว่า “เจ้านายของเราจัดถวายทานแข่งกับพระเจ้าอยู่หัว ต้องการถวายของทุกอย่างที่สมณะพึงจะใช้ได้ พึงจะฉันได้ ขาดอยู่อย่างเดียวคือ น้ำผึ้งสดจากผึ้งรวง ถึงมาขอซื้อท่าน” พระสีวลีชาตินั้นท่านบอกว่า “ถ้าทำบุญอย่างนั้นไม่ขายหรอก แต่จะขอร่วมบุญด้วยการถวายผึ้งรวงนี้ร่วมเข้าไปในกองทานได้ไหม ?” “ถ้าอย่างนั้นต้องไปถามนายเราก่อน” ก็พากันเข้าไป พอไปถึงปรากฏว่าหัวหน้าทานท่านก็ดีใจ บอก “ขอโมทนาด้วย เพราะของทุกอย่างได้ครบถ้วนสมบูรณ์สมเจตนาพอดี ได้ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” นั้นท่านไม่ได้ขออะไรนะ แค่แข่งกันเท่านั้น ใครจะถวายทานได้ดีกว่ากัน ได้มากกว่ากัน ได้เหนือกว่ากัน ปรากฏว่าตายจากชาตินั้นแล้วไปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเขตของเทวดาตั้งแต่ชาตินั้นมาจนถึงปัจจุบัน มีพระสีวลีหลุดมาเกิดอยู่คนเดียว
              คราวนี้พระสีวลีที่ท่านมาเกิดในอดีตชาติหนึ่ง ท่านเคยเป็นพระราชาก็ทำกรรมเอาไว้ด้วยการไปล้อมเมืองเขา คราวนี้ล้อมเมืองก็ล้อมแต่ประตูใหญ่ ประตูเล็กเปิดทิ้งไว้ เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ ทำมาหากินได้ เขาก็ไม่เดือดร้อนอยู่แล้ว มีปัญญาก็ล้อมไป พระมารดาก็บอกว่า “ถ้าอย่างนั้นให้ล้อมประตูเล็กด้วย” พอล้อมประตูเล็กเขาก็ยอมแพ้ แต่กว่าจะยอมแพ้ก็ว่าไป ๗ ปี ๗ วัน พอพระสีวลีมาเกิดในท้องของพระนางสุปวสา เท่ากับว่าเกิดมาต้องเป็นเจ้าชาย แต่เนื่องจากกรรมเก่าในอดีตที่ชาติหนึ่งเคยเป็นพระมหากษัตริย์แล้วล้อมเมืองเขาไว้ ๗ ปีกว่า ก็ต้องอยู่ในท้องแม่ ๗ ปีกับอีก ๗ วัน แต่แปลกเรื่องของบุญรักษา พระนางสุปวสาจะมีความลำบากแม้แต่นิดหนึ่งแบบคนท้องก็ไม่มี อยู่สบาย ๆ จนกระทั่งครบ ๗ ปี ๗ วัน ท่านก็คลอดออกมา ตอนคลอดก็คลอดปกติ แต่เด็กโตมาเจ็ดขวบกว่าเลย พอดีวันนั้นจัดเลี้ยงพระ มีพระสารีบุตรเป็นประธาน พระสีวลีท่านเด็กเจ็ดขวบกว่าเข้าไปประเคนของ พอประเคนของพระมหาเถระก็ถามว่า “เป็นอย่างไรอยู่ในท้องแม่สบายไหม ?” แหม...อยู่ตั้งเจ็ดปีกว่าน่าจะสบายไม่อย่างนั้นออกมานานแล้วจริงไหม ท่านบอกว่า “ทุกข์เหลือเกิน” ใครลองขดอยู่นิ่งแป๊บเดียวก็เมื่อยแล้ว นี่ท่านขดอยู่ในท้องแม่เจ็ดปีกว่า ลำบากยากแค้นเหลือคณา พระมหาเถระท่านถามว่า “มีทางพ้นทุกข์ต้องการไหม ?” “ต้องการ” “ถ้าอย่างนั้นให้บวช” ตกลงก็โกนหัวบวชกันเลยตรงนั้น บวชเณร ท่านเห็นทุกข์มาเต็ม ๆ เจ็ดปีกว่าในท้องแม่ พอโกนหัวเสร็จเป็นพระอรหันต์เลย