ถาม :  แล้วถ้าทรงพรหมวิหารสี่ ก็คือพิจารณา ?
      ตอบ :  จ้ะ ก็คือพิจารณาตั้งใจแผ่เมตตาให้ใจทรงตัวแล้วก็จับอานาปาฯ ต่อ
      ถาม :  ..................
      ตอบการปฎิบัติถ้าจะมุ่งพระนิพพานจริง ๆ มันเหมือนกับล่าช้าง งานใหญ่มโหฬาร ช้างมันมีสี่ขา เหมือนกับ รัก โลภ โกรธ หลงเราต้องพยายามตัดขามันให้ได้ เพราะช้างมันแข็งแรง ถ้าไม่สามารถตัดกำลังมันโดยการตัดขามันได้ โอกาสที่เราจะเอาชนะหรือล่าสำเร็จนั้นหาได้ยาก
              เพราะฉะนั้นต้องหาทางตัดขามันให้ได้ ขาใด ขาหนึ่งเสียก่อน คือ ในตัว รัก โลภ โกรธ หลง ตัวรัก หรือราคะ ตัดมันได้ด้วยกายคตานุสติ หรือ อสุภกรรมฐาน ใช่มั้ย ? ตัวโลภ อยากได้ ใคร่ดีตัดมันได้ด้วยจาคานุสสติ กับทานบารมี ตัวโกรธ โทสะ ตัดมันด้วยพรหมวิหารสี่ หรือกสิณสี่ กสิณสีสี่อย่าง ก็คือ เขียว ขาว แดง เหลือง ตัวโมหะ ตัวหลง ตัดมันด้วยวิปัสสนาญาณ ใช้ปัญญาเข้าช่วย ถ้าหากว่าตัวใดตัวหนึ่งมันโดนตัดขาดลง อีกสามตัวกำลังมันน้อยแล้ว ไปไม่รอดหรอก เสร็จเราแน่ เพราะฉะนั้นต้องพยายามหน่อย
              ถ้าหากว่าสามารถตัดมันได้สำเร็จ หรือตัดมันได้ไม่สำเร็จแต่ผูกมัดมันไว้อยู่กับที่ไม่สามารถที่จะทำอันตรายกับเราได้มากก็ยังดีนะ ผูกมัดมันแล้วก็บังคับมัน อย่าให้มันมาบังคับเรา เพราะฉะนั้นบางที บางอย่างมันก็เหมือนกับว่า เป็นลักษณะนิมิต ที่จะบอกเหตุล่วงหน้าได้ เราอาจผูกมันอยู่ก็ได้ ลากมันไปไหน ๆ ก็ได้ แต่ว่ามันยังไม่ตายนะ ต้องระวังให้ดี ใช่มั้ยล่ะ ? ในเมื่อมันไม่ตาย ก็ต้องหาทาง ค่อย ๆ หั่น ค่อย ๆ เฉือน จนกว่ามันจะตายไปทีละส่วน
      ถาม :  รากมันลึกใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ :  ตัวส่วนละเอียดเขาเรียกว่า อนุสัย ถ้าเปรียบเหมือนกับต้นไม้เราโค่นต้นไม้ลงได้ โอ้ย ! มันล้มลงที พื้นดินสะเทือน รู้สึกผลงานมโหฬารเหลือเกินเลยใช่มั้ย ? แต่ปรากฏว่าถ้าลองขุดลงไป รากมันอาจจะเยอะกว่าใบ หรือกิ่งข้างบนเสียอีก ยิ่งสาวไปมันก็ยิ่งเล็กลง ๆ แต่ว่าถึงช่วงนั้นปัญญากับสติมันจะเท่าทันกิเลส ถึงละเอียดแค่ไหนมันไล่กันทัน ไล่กันทัน แรก ๆ
              ถ้าเราเป็นนายพรานนะ ยิงช้างมันง่าย เป้ามันใหญ่ ต่อไปก็มามียิงพวกกวาง พวกหนูอะไรอย่างนี้ ตัวมันเล็กลง ยิงยากขึ้น ไปท้าย ๆ โน่นไปยิงยุง โอกาสจะถูกโอกาสที่จะเห็นมัน มันยาก แต่ถ้าหากว่าสติปัญญาถึง ตรงจุดนั้นแล้ว มันไม่เกินความสามารถของเรา
      ถาม :  ความฝันมันบอกเหตุ
      ตอบ :  ฝันมันบอกเหตุได้ล่วงหน้า ยกเว้นธาตุวิปริต จิตนิวรณ์อะไรพวกนั้น มันฟุ้งซ่านไปเปล่า
      ถาม :  .........(ฟังไม่ชัด)
      ตอบ :  มันก็ต้องหาที่เกาะของมัน อย่าลืมว่า กิเลส ตัณหา อุปาทานทั้งปวงน่ะ มันต้องมีสังขารเป็นที่เกาะ โดยเฉพาะร่างกายของเราน่ะเป็นที่เกาะ แล้วอาศัยสังขารของเราเป็นตัวหล่อเลี้ยงมันให้เติบโตตัวสังขารนี่หมายถึงความนึกคิด ปรุงแต่ง ถ้าเราไม่ให้มันเกาะซะอย่าง มันก็เสร็จ หรือไม่ก็ เราเลิก ไม่เป็นที่ให้มันเกาะ มันก็เสร็จเหมือนกัน เจ้าพวกนี้มันจำเป็นต้องอาศัย
              ดังนั้น เวลาเราเกิดอารมณ์ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นมาแยกให้ออกมันเป็นอารมณ์ของร่างกายไม่ใช่จิตใจของเรา ในเมื่อธรรมดาของร่างกาย มันต้องมีอารมณ์เหล่านี้เรื่องของเจ้า มีก็มีไปเถอะ ข้าไม่ให้ความสำคัญกับเจ้า แล้วเราก็อย่าไปยุ่งกับมัน พอเราไม่ยุ่งไม่ไปปรุงแต่งต่อนี่ มันเองอยู่ได้เดี๋ยวเดียว มันก็ตายเห็นหนุ่ม ๆ เดินมาตรงหน้าสักแต่ว่าเห็น อย่าไปยุ่งกันมัน ไอ้ตัวราคะมันโผล่มาไม่ได้หรอก หล่อแค่ไหน ไม่ไปปรุง ไม่ไปแต่ง เพล็บเดียวมันก็เสร็จแหง
      ถาม :  .............
      ตอบพุทธบูชา มหาเตชะวันโต ธรรมบูชา มหาปัญโญ สังฆบูชา มหาโภควโห แปลออกมั้ย ? บูชาพระพุทธเจ้าจะมีเดชอำนาจมาก บูชาพระธรรมจะมีปัญญามาก บูชาสงฆ์จะรวยมาก (หัวเราะ)
      ถาม :  ...................
      ตอบ :  ของพวกเราน่ะ มันอยู่ในยุคบุกเบิก ยุคหักร้างถางพงน่ะ มันเหนื่อยสายตัวแทบขาด รุ่นนี้เขามันซูเปอร์ไฮเวย์แล้ว แต่ว่าของเขาเสียเปรียบเราอยู่ตรงที่ว่า เราลำบากมาก เราเห็นทุกข์มาก คนเห็นทุกข์มากจะเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า ของเขาเองรุ่นนี้ส่วนใหญ่มันเป็นพวกฤทธิ์พวกอภิญญา พวกฤทธิ์พวกอภิญญานี่ ความสบายมาถึงตัวก่อน สบายเกินไป ติดอยู่ที่นั้นแหละ แล้วอิฉฉาเขาตรงที่ความสบาย แต่ให้เป็นอย่างเขา ไม่เอาหรอก
      ถาม :  พวกนี้ถือว่าเป็นทิฏฐิมานะ เป็นทิฏฐิมั้ย ?
      ตอบ :  มันเป็นอยู่ ตัวทิฏฐิมานะคือว่าเขามาสูง แล้วเขาอยู่กับเหตุกับผลมาก่อน อยู่กับความดีมาก่อน แล้วอยู่ ๆ เราเอาอำนาจ หรือความไม่ดีของเรามาบีบบังคับเขา เพราะฉะนั้นแรงต่อต้านจะมาก
      ถาม :  แล้วพวกนี้ ถ้าดีก็ดีไปเลย ?
      ตอบ :  มันก็ไม่แน่เหมือนกัน บางทีก็ต้นตรง กลางคด ปลาย ๆ ตรงอีกที พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าบุคคล แบ่งได้เป็นสี่ประเภท โชติ ตะโม ปรายโน สว่างมาแล้วมืดไป ณ เบื้องหน้า โชติ โชติ ปรายโน สว่างมาแล้วสว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม โชติ ปรายโน มืดมาแล้ว สว่างไป ณ เบื้องหน้า ตะโม ตะโม ปรายโน มืดมาแล้ว มืดต่อไป ณ เบื้องหน้า เพราะฉะนั้นอันที่ถือว่าดี ก็คือว่า สว่างมาแล้ว สว่างไป ที่น่าชมเชยก็คือว่า มืดมาแล้ว สว่างไป นะ แล้วไอ้ที่น่าเตะก็คือ สว่างมาแล้วมืดไป (หัวเราะ) ส่วนมืดมาแล้วมืดไปนั้นน่าสงสาร
      ถาม :  รากเหง้าของความโกรธ มันมีอะไรบ้างคะแล้วจะแก้ หรือจะขุดรากมันยังไง ?
      ตอบ :  ถ้าจะขุดนะ ก็ควักตา แล้วก็อุดหู แค่นั้นแหละโกรธยากแล้วเพราะว่ามันเข้าง่ายที่สุดทางตา กับทางหู ตาเห็นเก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ หูได้ยิน เก็บเข้าไปสู่ใจ ไม่พอใจ ไม่พอใจกับถูกใจน่ะ แย่ทั้งคู่ ถูกใจแสดงว่าชอบใจไม่พอใจแสดงว่าไม่ชอบ ใช่มั้ย ? โบราณเขาบัญญัติคำศัพท์ดีจังเลย ถูกใจ ถ้าถูกเป๊ะก็เจ๊งเลย ของเราต้องสักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน รู้เอาไว้แล้วรักษาใจให้ดี อย่าให้มันเข้ามาในใจได้ดูแล้วก็ไม่ยากนะ
      ถาม :  แต่ทำยากจัง
      ตอบ :  ค่อย ๆ ทำซิ ถ้าสติมันทันแล้ว เรื่องอื่น ๆ มันไม่ยาก ตามลมหายใจ เข้าออกให้ทัน ถ้าตามลมหายใจ เข้าออกมัน ต่อไปก็จะค่อย ๆ ไล่ กิเลสทัน คราวนี้ของเราไล่หมายังไม่ค่อยจะทันเลย หมาวิ่งเร็วกว่า

      ถาม :  ถูกใจกับไม่ถูกใจนี่ อย่างไหนยากกว่าคะ ?
      ตอบ :  ถูกใจนี่แกะยาก ไม่ถูกใจนี่ยังเดินหนีได้ง่ายกว่าใช่มั้ย ? แต่ว่ามันยังเป็นอารมณ์ที่ใช้ไม่ได้เหมือนกัน
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ต้องดูตัวอย่าง คุณยายประคินไง คุณยายประคินแม่ของเจ้าเรนั่นน่ะ แกไม่สบาย ๆ เสร็จก็นอนหัวเราะ ลูกหลานก็แปลกใจ ยายจะตายแหล่ ไม่ตายแหล่ นอนหัวเราะ ถามยายหัวเราะอะไร บอกขำไอ้พวกโรคภัยไข้เจ็บ มันไม่รู้หรอกว่า มันกินเราตายเมื่อไหร่ มันก็โดนเผาด้วย (หัวเราะ) คิดได้อย่างไร กำลังใจของคนเข้าถึงธรรมต้องอย่างนั้น แล้วบ้านนี้เขาจะมีประสบการณ์ตายเยอะเลย
              ล่าสุดก็เจ้าโชค น้องชายคนเล็กเขากระเพาะทะลุ ไอ้ของเราก็ไปเข้าพอดี มันเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเลยซักประมาณเที่ยงคืน พี่รสเขามาเรียกบอกว่าไปดูหน่อย บอกว่าเจ้าโชคเขาแย่แล้ว กะว่าคงจะไปแน่แล้ว เมียนั่งร้องไห้แล้ว พอไปถึงดูอาการเสร็จก็เลย เออ ! ถ้ามันขืนเวทนาหนักขนาดนี้ สงสัยมันจะเกาะความดีไม่ได้ ก็เลยใช้คาถาท่านลุงพระยายมที่ว่าบรรเทาเวทนาให้ พอเป่าหัวให้ไปอาการเขาเบาลง พอเบาไปปุ๊บ
              ปรากฏว่าทางบ้านเขาทำเป็น มาถึงก็เอาเงิน บอกให้โชคนี่ ตั้งใจอธิษฐานสร้างพระชำระหนี้สงฆ์องค์ใหญ่ไปเลย อย่างน้อย ๆ ให้ใจเกาะบุญว่าตัวเองได้สร้างพระใหญ่นะ แล้วพอเขาอธิษฐานเสร็จ คล้าย ๆ ว่าเกาะความดีได้ กำลังใจทรงตัว พอกำลังใจทรงตัวก็เหมือนกับว่าเขาหลับลึกไป พอหลับลึกลงไปก็บอกกับทางบ้านเขาว่า เฝ้านะ ถ้าเลยตีสาม รอดปรากฏว่าป่านนี้มันคงเดินปร๋อไปแล้วล่ะ เลยตีสามรอดแน่ คือคนเรา ช่วงวาระบุญมันหมดน่ะ แล้วเอาบุญใหญ่มาต่อเข้าพอดีทางบ้านเขามีประสบการณ์อันนี้มา พี่รสก็เป็น เจ้าเรก็เป็น ไอ้เรนี่ หลายรอบเลย มีเมียทีจะตายที ยิ่งมีหลายคนยิ่งจะตาย เขาเป็นกันทั้งบ้าน คล้าย ๆ กันหมด
              จนกระทั่งคุณยายประคินบอกว่าเดี๋ยวนี้ฉันเห็นว่าความตายไม่ใช่ของน่ากลัวเลยนะ พร้อมที่จะไปตายได้ทุกเวลาเลย รู้ว่าตายแล้วมันสบาย เพราะตอนที่มันเจ็บปวดมาก ๆ นี่มันไม่รับรู้กันแล้ว อาการทางร่างกายไม่รับรู้ มันเบาสบาย อยากจะไปซะเลยทีเดียว นั่นก็เลยพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ความตายไม่ใช่ของน่ากลัว
      ถาม :  เพียงแต่ ให้รู้ใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ของท่านเองเกาะบุญ เกาะอะไรแน่นปึ๊กเลย วัน ๆ ไม่มีอะไรแล้ว บอกแก่ขนาดนี้ ภาวนารอวันตายอย่างเดียว ไหวมั้ยโยม ภาวนารอความตายอย่างเดียว ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า ถ้าไม่หายใจออกมันตายแล้ว หายใจออก ถ้าไม่หายใจเข้า มันก็ตายเหมือนกัน มันอยู่ใกล้เราขนาดนี้
              เพราะฉะนั้นถ้าเราประมาท เราอาจตายไปแล้วลงสู่อบายภูมิ ก็ขาดทุนเสียทีที่เกิดเป็นคน อย่างน้อย ๆ ต้องเอากำไรให้ได้พื้นฐานของการเป็นคน เราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์มาแล้วถึงเกิดเป็นคนได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้อย่างน้อย ๆ เราต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ในเมื่อเราเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ ระวังรักษาศีลด้วยตัวของเรา ไม่ยุให้คนอื่นศีลขาด ไม่ยินดีเมื่อเห็นคนอื่นเอาทำศีลขาด มีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยจริงใจด้วย
              ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ สักแต่ว่าปากว่า สักแต่ว่ามือไหว้ ใจไม่ได้น้อมไปด้วย ถ้าเราตั้งใจสวดมนต์ไหว้พระพุทธธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดชีวิต ก็ให้ปาก ให้กาย ให้วาจา มันน้อมไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะใจต้องน้อมไปด้วย ถ้าหากว่า กาย วาจาใจ มันตามไปทางเดียวกันหมด ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเน้นเฟ้น มันจะเกิดจากความจริงจัง และก็จริงใจ ถ้าถึงเวลานั้นแล้ว ความเป็นพระโสดาบันไม่ใช่ของยากเลย เพราะว่าเรามีศีลบริสุทธิ์ เคารพพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์อย่างจริงใจ ก็แค่คิดว่าถ้าตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพานนะ อารมณ์พระโสดาบันจะมีอยู่ รายละเอียดแค่นี้เอง ส่วนอื่น ๆ รัก โลภ โกรธ หลง ของท่าน ท่านจะมีศีลเป็นกรอบอยู่ ยังไงก็ไม่นอกศีล โกรธคน โกรธได้ แต่ท่านไม่ผูกอาฆาตพยาบาท โกรธแล้วโกรธเลย ถึงเวลาก็ลืมมันซะ ฟังดูไม่ยากเลยนะ ประเภทโกรธที อีกสามปียังจำได้ อย่างนั้นไม่ใช่พระโสดาบันนะ
              เป็นไงเหนื่อยมั้ยลูก (ถามคนที่สมองพิการ) ค่อย ๆ เดินไปนะ ถ้าเป็นไปได้ พาเขามาบ่อย ๆ นะ เพราะกำลังใจเขาจะได้เกาะด้านดีไว้ตลอด อย่าไปคิดว่าเขาไม่รู้ เขารู้ซะยิ่งกว่ารู้อีก แต่เพียงแต่ว่าความเจริญของสมองมันไม่ทันร่างกาย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาอยากคิด อยากพูด อยากรู้มากกว่านี้มันจะโดนจำกัดด้วยกฏของกรรม แต่ว่าผลบุญที่เขาทำน่ะ มันจะส่งผลให้เขาสบายในกาลต่อไปข้างหน้า ชาตินี้ไม่ได้ ชาติหน้าได้แน่
      ถาม :  ................
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะ ของเขากลายเป็นทุกข์น้อยไปไง ทุกข์น้อยตรงที่ว่าการนึกคิดปรุงแต่งมันไม่มากอย่างพวกเรา เพราะฉะนั้นก็กลายเป็นว่า ให้กินได้อย่างใจ ให้เล่นได้อย่างใจ แค่นั้นเอง
      ถาม :  .......................
      ตอบ :  เรื่องของหมอดู อย่าเชื่อเสียทั้งหมด แต่ว่าให้ระมัดระวังไว้อันที่ท่านบอกว่าดีนั้น ไม่ต้องไปไขว่คว้ามันหรอกถ้าหากว่าเราทำเอาไว้ บุญเราถึง วาระเราถึงจริง ๆ มันได้ของมันเอง แต่ว่าถ้าท่านบอกว่าไม่ดีให้ระวังให้มากไว้ การระมัดระวัง ไม่ขาดทุนอะไรใช่มั้ย ? แต่ว่าวิธีแก้ไข ถ้ามันไม่เกินวิสัย ไม่ลำบากมากนัก ก็ทำ เช่นว่าให้สวดมนต์ถือศีลภาวนาเหล่านี้เป็นต้น แต่ถ้าหากว่ามันยากลำบากนักหนาอะไรก็เอาเหอะ ถ้ามันตายก็ให้มันตายไป ไม่ต้องเชื่อเสียทั้งหมด สิ่งที่ดีก็ไม่ต้องไปไขว่คว้า แล้วสิ่งที่ไม่ดีให้ระวังไว้
      ถาม :  หลีกเลี่ยงไม่ได้เหรอคะ ?
      ตอบ :  หลีกได้ กำลังใจของเรา ถ้ามั่นคงในทาง ศีล ภาวนากรรมเก่าที่มันจะมาสนอง มันจะมาได้ไม่เกิน ๒๕ % คราวนี้ว่ากรรมเก่า หรือที่เรียกว่าเคราะห์กรรม ชะตาตก หรือดวงตก อะไรพวกนั้นแหละ ถึงวาระที่มันเข้ามา แต่ว่าสมัยนี้บรรดาหมอดูที่พอจะมีจรรยาบรรณบ้างมันหายาก มันส่วนใหญ่จะหาประโยชน์ รู้จริงแล้วหาประโยชน์ ยังพอจะอภัย ไม่รู้อะไรเลย เอาแต่มั่วอย่างเดียวนี่มันน่าฆ่าซะ
      ถาม :  แล้วควรจะทำยังไง อยู่อย่างนี้รู้สึกกังวล ?
      ตอบ :  ถ้าหากมีโอกาสก็ ถวายสังฆทาน ปล่อยชีวิตสัตว์ ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น หรือไม่ก็จัดงานศพตัวเองไปเลยอะไรก็ได้สักอย่างหนึ่ง มันจะเป็นการตัดเคราะห์อย่างหนึ่ง ตัดเคราะห์ใหญ่ที่มันจะมาถึงเรา มันจะหนีห่างจากมันได้ชั่วคราว ถ้าเราได้ทำบุญใหญ่อันนั้น ง่ายจะตาย เราก็ทำอยู่เรื่อยอยู่แล้ว
              เพราะฉะนั้นก็เอาเป็นว่าทำสังฆทานสักเดือนละครั้งเลย หรือไม่ก็เจอเขาทำที่ไหน มีโอกาสก็ร่วมบุญกับเขาไป มันจะได้ไม่สิ้นเปลืองมาก ไม่หมดมาก แล้วไป ๆ มา ๆ ถึงจังหวะสุดท้าย เออ! หมดแล้วไม่มีปัญญาจะทำ ทรัพย์สินเงินทอง กำลังกาย กำลังใจหมดเกลี้ยงเลย ถ้ามันจะตายก็ให้มันตายไปเหอะ (หัวเราะ)
      ถาม :  ถ้าเขาว่าไม่ดีนี่ เราทำให้ดีได้มั้ย ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ เขาว่ามันอยู่ที่ปากเขา กำลังใจของเราถ้าดี ทุกอย่างจะดีหมด ท่านบอกว่า มโนเสฏฐา มโนมยา สูงสุดที่ใจสำเร็จที่ใจ ถ้ากำลังใจของเราว่าดี แล้วตั้งใจทำ มันต้องดี ไอ้ที่ว่ามันปากเขาว่า กำลังใจเราอย่าไปตกตามเขา ถ้ากำลังใจมันทรงตัว ว่าให้ตาย มันก็ไม่สะเทือนหรอก
      ถาม :  มันจะเหมือนสะกดจิตเราเองหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่สะกดจิตหรอก เป็นการแช่งตัวเอง ในเมื่อ มโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราไปคิดว่าไม่ดี ๆ มันก็กลายเป็นไม่ดีไปจริง ๆ
      ถาม :  ถ้าเราคิดว่าดี ดี ๆ
      ตอบ :  สบายใจ ก็บอกแล้วว่า ถ้าใจดี ใจสบาย ทุกอย่างก็ดีหมด เพียงแต่ว่าเราจะทำได้ยังไง ให้จิตใจแจ่มใสอยู่เสมอ สำคัญตรงนั้นแหละ รักษาอารมณ์นั้นให้ได้ พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่า ศาสนานี้ท่านไม่สอนอะไรมากกว่าให้ละเว้นความชั่วทั้งปวงให้ทำความดีให้ถึงพร้อมรักษากำลังใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ