ถาม :  ท่านมรณภาพไปนานหรือยังครับ ?
      ตอบ :  ประมาณเดือนนึง ตอนท่านอยู่ไม่กล้าพูดหรอก ถ้าหากว่าพระที่อยู่แล้ว ประเภทที่เรียกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไปกวนท่าน เดี๋ยวอาตมาแย่ไปด้วย
      ถาม :  จะแย่กว่านี้อีกเหรอครับ ?
      ตอบ :  โห....อย่าลืมว่าตอนนี้อาตมาแค่นี้นะ เวลาพักยังไม่มีแล้วน่ะ เกิดมันอยู่ได้ซักแปดสิบล่ะ ?
      ถาม :  อ้าว...หลวงพี่บอกผมว่า ๑๒๙ ไม่ใช่เหรอครับ ผมจำแม่นนะหลวงพี่
      ตอบ :  ๑๒๖ ไหนบอกจำแม่น
      ถาม :  ผมจำกลับหัว (หัวเราะ) ผมอยู่ไม่ถึงร้อยอยู่แล้วครับ
      ตอบ :  เห็นตัวเลขก็จะขาดใจตายเดี๋ยวนี้แล้วล่ะ ก็หลวงพ่อไง หลวงพ่อ ๑๒๐ พอดี ๑๒๐ จะขึ้น ๑๒๑ แต่หลวงพ่อท่านไปตอน ๗๙, ๘๐ มันไม่ไหว มันเข็นไอ้นี่ไม่ไป ในเมื่อเข็นมันไม่ไปก็ใช้ขันธ์ทิพย์ทำงานต่อ ครบเวลาก็ไปจ้อย ตอนนี้หลวงพ่อท่านก็ยังเหลืออีกประมาณ ๗๐ ปี ได้มั้ง เดี๋ยวปีนี้มีอะไร เหลืออีก ๓๕ ปี เรื่องมันเลยมาแล้ว แล้วหลวงพ่อก็มรณภาพไปแล้ว แต่ระวังโดนฟาดกะบาล เผลอเมื่อไหร่โผล่มาทุกที
      ถาม :  แต่ผมขี้เกียจ มันไม่จดน่ะ ฝึกตัวเองไม่ได้ซักทีขนาดเตรียมกระดาษปากกาไว้หัวนอน แล้วก็ยัง
      ตอบ :  ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอทำถึงจุด ๆ หนึ่ง แล้วจะรู็ว่าเวลาที่ผ่านไปนัน ถ้าเราตายเสียก่อนมันน่าเสียดายเหลือเกิน
      ถาม :  ผมก็คิดครับ บางทีเดี๋ยวนี้ก็ยังนึกอยู่เลยว่า นี่เราประมาทคุยกับไอ้ป๊อบอยู่เลยว่า เราไม่ศรัทธากันจริง ๆ เพราะถ้าศรัทธากันจริง ๆ เราต้องเชื่อมั่นว่าเราตายได้เสมอ เราก็ต้องทำแล้ว ไม่ใช่ว่ามารี ๆ รอ ๆ แล้วไม่ได้ทำซักที ก็พอพูด จบ ซักวันสองวันก็....
      ตอบ :  เหมือนเดิม (หัวเราะ) สม่ำเสมอดีมาก มีสมานัตถตาเนอะ
      ถาม :  ผมว่าการใช้ชีวิตในชีวิตประจำวัน มันเหมือนกับเราผจญ เราเครียดอย่างนี้ เราหลอกตัวเองหรือเปล่าครับ ? เหมือนกับไปฝักใฝ่กับมันเหนื่อยกับมัน
      ตอบ :  ไม่ใช่หลอกตัวเองหรอ เขาหลอกเรา
      ถาม :  สมัยก่อนอ่านไปก็วิจารณ์หลวงพ่อไป ทำไมสอนอย่างนั้น ทำไมสอนอยา่งนี้เป็นเรา เราไม่ทำอย่างนี้แน่ ๆ เลย
      ตอบ :  มาถึงสมัยนี้ หลวงพ่อสอนขนาดนั้น มันยังไม่เอาเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  แต่เดี๋ยวนี้ก็ย้ังเป็นอยู่ ก็ยังมาติเหมือนกัน ก็ยังมาติตลอด
      ตอบ :  ก็บรรดาพวกหนังสือหนังหาอะไร แล้วก็คนใหญ่คนโตในแผ่นดินบางส่วน (หัวเราะ) เขาจะไม่สนับสนุนให้ธรรมะของหลวงพ่อแพร่หลาย เพราะเขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของฤทธิ์ของเดชมากเกินไป มันจะไปติดกันอยู่ตรงนั้นมาก เขาว่า ต้องเอาธรรมะบริสุทธิ์แบบสายพุทธทาส หรือวัดชลประทานนั่น เดินเข้าไปดูซิมุมพระพุทธศาสนาน่ะ มีแต่ตำราของสองท่านนี้ เกินแปดสิบเปอร์เซนต์ล่ะมัง ตัวกูของกู คู่มือมนุษย์ อะไรอย่างนี้พี่น้องสองอรหันต์ อิทิปปัตจยตา อานาปาณสติ ๑๖ ขั้น
      ถาม :  ผมรู้สึกเลยว่า เหมือนเรา ผมรู้สึกไง เหมือนกับ....
      ตอบ :  มันจะเริ่มใส่อารมณ์ไปด้วย
      ถาม :  ใช่ครับ ก็รู้สึกตัวเองเลวไง ไปเห็นคนอื่นเลวแล้ว โดนมารหลอกไปอีกแล้ว
      ตอบ :  มันดึงไปตั้งไกลแล้ว
      ถาม :  อย่างนี้ยังทันมั้ยครับ ?
      ตอบ :  ทัน ช้าไปหน่อย ช้าแค่ไหน ถ้ารู้ตัวก็ถือว่าทัน
      ถาม :  ความจริงพยายาม บางทีแบบเคยนั่งอ่าน ใส่แล้วใส่อีกก็ยังไม่เข้าใจ (หัวเราะ) อ่านเข้าใจยากจริง ๆ
      ตอบ :  อาตมาเคยอ่านเรื่องเดียวอยู่สามวัน กว่าจะเข้าใจว่าท่านพูดถึงอะไร
      ถาม :  เรื่องอะไรครับ ?
      ตอบ :  หลวงพ่อท่านบอกว่าบุคลที่ไม่ได้ทำบุญร่วมกันมา ไม่ได้อธิษฐานตามกันมา จะฟังกันเข้าใจยาก มิน่าเราแคะอยู่สามวันแคะไม่ออก แต่คนอื่นอ่านมันซาบซึ้งกันจัง
      ถาม :  การตื่นเวลาตรงกันอยู่ทุก ๆ วันนี่มันเกี่ยวเนื่องกับอะไรหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  สั่งมัน เรื่องของการปฏิบัตินี่ มันเหมือนยังกับมีนาฬิกาปลุกพิเศษอยู่ในตัว เรากำหนดใจว่าจะตื่นเมื่อไหร่เวลาไหนมันจะตรงเป๊ะเลย แล้วไอ้ที่ตลกที่สุดช่วงที่ปฏิบัติหนัก ๆ สมมุติว่าเราตั้งไว้ตีสาม แล้วมันจะตื่นก่อนห้านาทีทุกวันเลย มันจะตื่นตีสองห้าสิบห้าเป๊ะเลย จะเป็นอย่างนั้น นาฬิกาของเรามันเพี้ยน มันเผื่อให้ห้านาทีเผื่อบิดขี้เกียจ
      ถาม :  ................
      ตอบ :  ระยะหลัง ๆ มานี่คนใช้มโนมยิทธิในทางที่ผิดยังไม่พอ คือประเภทที่ว่าแทนที่จะรู้เพื่อละหรือเพื่อยึดเกาะพระนิพพานโดยตรง ก็เอาไปใช้แล้วก็ไปยึด ตรงนี้เราถือว่าผิดมากแล้ว ถัดมาจากตรงนี้ยังมีอีก ใช้มโนมยิทธิในการจัดการกับผู้อื่นโดยการว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ในลักษณะเป็นศัตรูแล้วก็ขับไล่ออกไป...เก่งมาก....พวกนี้มันเก่งเกินครูอาจารย์
      ถาม :  ถ้าเกิดเป็นลูกแท้ ๆ อย่างนี้ ตายเลย
      ตอบ :  น่ากลัวมั้ย ? การเวียนว่ายตายเกิดในโลกนี้น่ากลัวขนาดนี้ ขนาดบุคคลที่ี่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อการหลุดพ้นแล้วยังเห็นผิดได้ถึงปานนี้ ขึ้นชื่อว่าผู้อื่นที่จะไม่ทุกข์แล้วมันจะมีอยู่หรือ
      ถาม :  ผมว่า ............(ไม่ชัด)...........แสดงว่าของเก่าเขาไม่น้อยแสดงว่าเราต้องทำกันมาไม่ใช่น้อย ๆ มันต้องเยอะมากเหมือนกัน
      ตอบ :  มีอยู่วันหนึ่งประชุมกันในโบสถ์ หลวงพ่อบอกว่าพวกแกยังไม่มีใครได้มโนมยิทธิจริง ๆ หรอก พวกเราก็ เอ๋อ....รับประทาน กติกาข้อแรกเลยว่าคุณจะบวชต้องได้มโนมยิทธิก่อนไม่งั้นไม่ให้บวช ทำไมไม่มีใครได้เลยเหรอ ? หลวงพ่อท่านเฉลยว่า บุคคลที่จะไ้มโนมยิทธิจริงจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น เพราะจิตท่านสะอาดปราศจากกิเลสจริง ๆ นอกนั้นโอกาสโดนมารแทรกมีสูงมาก ขนาดหลวงพ่อท่านยังเคยเล่าให้ฟังว่าท่านโดนมารมันหลอก เพียงแต่ว่าท่านรู้ทัน...รู้ทันมารในลักษณะพระพุทธเจ้าไง หลอกท่านซะเปื่อยไปทีหนึ่งแล้ว พอขึ้นไปอีกทีทำกำลังใจถูกต้องไปต่อว่า พระท่านบอกไม่ใช่ฉันดูซิใคร นั่งยิ้ม ๆ ไป ยิ้มมา .......เขี้ยวงอก
      ถาม :  แล้วตกลงเป็นใครครับ ?
      ตอบ :  มารเขาหลอก
      ถาม :  มารนี้มันตัวตนใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ

      ถาม :  คือ เทวดาที่ท่านทำหน้าที่ ?
      ตอบ :  กล้ายืนยันว่ามีจริง เพราะเจอกันมาแล้ว แล้วมากันอย่างชนิดที่เรียกว่าเราไม่นึกว่าเขาจะเยอะอย่างนั้น ของเราเราว่าเราเป็นคนที่บ้าเลือดแล้วไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ นะ พอเจอเข้าจริง ๆ ใจมันฝ่อเหลือนิดเดียว รู้เลยนะว่าเราลุ้นเขาไม่ขึ้น เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิที่มีโอกาสทำบุญใหญ่อย่างไม่ได้เจตนา บุญใหญ่นั้นส่งให้เขารับความดีในลักษณะของเทวดาชั้นสูงสุดของชั้นกามาวจรด้วย แต่ว่าหน้าที่เอกเขาก็คือคอยขวางคนอื่น เขาไม่อยากให้คนอื่นได้ดี
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าตราบใดที่เขายังไม่หมดบุญตรงนั้นเขาก็ยังทำไปเรื่อย พอถึงเวลาผ่านไปเดี๋ยวคนอื่นก็มาแทนเยอะนี่
      ถาม :  มันคือผลกรรมหรือเปล่าครับ มันก็คือเนื่องกันมา.............?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เขาไม่ใช่ศัตรูของเรา คิดดูแล้วเขาเป็นครูที่ดีที่สุดด้วยซ้ำไป เพราะเขาทดสอบอยู่ทุกวินาที เผลอเมื่อไหร่มันลากเราไปเมื่อนั้น
      ถาม :  ครับ ผมว่านี่ขนาดผมนั่งอยู่กับหลวงพี่ผมยังรู้สึกอยู่ตลอด นี่เผลออีกแล้ว นี่โดนอีกแล้ว นี่โดนอีกแล้วเนี่ย
      ตอบ :  เดี๋ยวนี้เฮียเขาก้าวหน้าแล้วจ้ะ จากกัน ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ (หัวเราะ)
      ถาม :  ..................
      ตอบ :  ก็ใช่น่ะสิ บอกว่า ๓ วันต้องประเมินกันใหม่ นี่จากกันตั้งนาน เขาว่าอะไรนะ..........
              เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม       ดนตรี
              ห้าวันอักขระหนี       เนิ่นช้า
              สามวันจากนารี       เป็นอื่น
              หนึ่งวันเว้นล้างหน้า       หม่นไหม้ หมองศรี

      ถาม :  ..............
      ตอบ :  หมายความว่ารู้ตัวอยู่ว่าเผลอเมื่อไหร่เขาก็เอาเรา คือในระหว่างที่ใจกับกิเลสมันสู้กันอยู่ เผลอสติเมื่อไหร่กิเลสมันจะชนะ มันเหมือนกับต่อยมวยกันอยู่เผลอเมื่อไหร่การ์ดตกมันก็เปรี้ยงเต็ม ๆ
      ถาม :  เมื่อสมัยก่อนหัวเกรียนเลย
      ตอบ :  เขายาวจนประบ่าไปทีหนึ่งแล้ว แล้วเขารำคาญก็เกรียนไปกะจะโกนเลย ไป ๆ มา ๆ มันยาวอีก ใครชอบอย่างไหนก็อย่างนั้น ตามเขาให้ทันเถอะ ถ้ามัวไปสนใจเรื่องอื่นกำลังมันโดนแย่งเอาไปเยอะ พอมันแย่งเอาไปเยอะกำลังที่จะสู้กิเลสมันน้อยลง เพราะฉะนั้นปิดรอยแยกมันให้ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ปิดมันให้หมดให้เหลือใจอย่างเดียว มันเคยทำได้นี่ เพียงแต่เราเห็นว่าอย่างอื่นมันดีกว่าเท่านั้นเอง ตอนนี้เราก็แค่ย้อนกลับมาเห็นว่าการปฏิบัติธรรมมันดีกว่า เปลี่ยนความตั้งใจ เปลี่ยนความพอใจ จากทางเดินทางโน้นกลับมาด้านนี้เท่านั้นเอง กำลังมันเท่ากันน่ะไอ้ที่ใช้
      ถาม :  มันขึ้น ๆ ลง ๆ ครับ
      ตอบ :  คนเคยทำได้แล้วมันไม่ยาก เพียงแต่ว่าสำคัญตรงทำให้ต่อเนื่อง เผลอแม้แต่วินาทีเดียวมันก็หลุด ต้องรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ว่าหยุดภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการภาวนาแล้วก็เลิก ลุกจากการสวดมนต์ไหว้พระแล้วเลิก อย่างนั้นขาดทุนทำจนอารมณ์ใจทรงตัวแล้วรักษาอารมณ์นั้นอยู่กับเราให้นานที่สุด พลาดเมื่อไหร่ก็รีบตะเกียกตะกายหามันใหม่
      ถาม :  ...................
      ตอบ :  นึกเสียว่าสิบล้อมันวิ่งก็แล้วกันโยม รู้อยู่..........แต่พูดเล่น คือว่ามันมีหลายปัจจัยด้วยกันแต่จริง ๆ แล้วถ้าหากว่าพูดแบบเมื่อกี้ที่ตือเขาพูดก็คือว่าเขาดึงความสนใจของเราไปจากจุดที่เราภาวนาอยู่ พอเราไปสนใจข้างนอกเมือ่ไหร่ ส่งใจออกนอกก็เสร็จเขา กำลังใจของเราแทนที่จะอยู่กับการภาวนา ........ไปอยู่กับรูปแล้ว เสียท่าเขาแล้ว เขาเจตนาจะเปลี่ยนความสนใจของเราจากการภาวนานี้ ซึ่งมันจะต้องได้แน่ ๆ
              ถ้าทำต่อไปให้ไปสนใจข้างนอกแทน แล้วก็ทำไม่สำเร็จ.....ไม่น่าเชื่อนะ แป๊บเดียวที่ใจเราไปสนใจทางโน้น.....เสร็จมันแล้ว ! มันลากคอเราไปแล้ว พวกเรื่องละเอียด ๆ นี่บางคนที่เขาทำไม่ถึงจะท้อไปเลย ..........มันยากมันเย็น ขนาดนั้นอย่าไปสู้มันเลย เป็นพวกเดียวกับมันไปเลยดีกว่า
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด)..........ตอนนั้นหนูอยู่เมืองกาญจน์..........เขาสู้กับคนไม่ดี คือเขาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราอยู่เฉย ๆ ของเรา..........เราก็สามารถหาวิธีหลบหลีก........ทีนี้เรานึกถึงคำว่าก่อกรรมนี่ค่ะ เราไม่อยากก่อกรรม แต่ว่าถ้าเราอยู่เฉย ๆ....ในแง่ทางดลกนี้ผลกระทบมันเกิดขึ้นแน่นอน แล้วที่พยายามคิดนี่ตัวโมหะมันอื้อเลยค่ะ .........(ไม่ชัด)........?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วคือเราทำถูก แต่ว่ามันถูกแค่ขณะนั้น ถูกแค่กำลังใจของเราตอนนั้น คำว่าก่อกรรมเราใช้ได้ถูกมากเลย คือว่าทุกสิ่งทุกอย่างพอมีการกระทำขึ้นมาไม่ว่าจะดีหรือชั่วผลของการกระทำจะส่งผลให้เราในอนาคตแน่นอน นั่นคือการก่อกรรมขึ้นมา
              คราวนี้ กำลังใจของเราน่ะอยู่จุดนั้น พอถึงเวลาแล้วความรักตัวของเรามันมีมากกว่ามันก็จำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อเป็นการป้องกันตัวของเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากเป็นผู้ที่กำลังใจสูงกว่านั้น ในลักษณะที่เรียกว่ายอมตายถวายชีวิตลักาณะที่ว่าเพื่อให้มันเด็ดขาดลงไป กรรมตรงนี้มันสิ้นไปเลย ถึงเขาจะฆ่าเราก็ยอม อันนั้นก็อีกระดับหนึ่งของกำลังใจ แต่ละคนแต่ละกำลังใจไม่เท่ากัน
              ดังนั้นการกระทำของแต่ละคนไม่มีอะไรน่าตำหนิเลย เขาคิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นดีแล้ว เขาจึงได้ทำ ถ้าเขารู้ว่าไม่ดีคงไม่มีใครทำหรอก จุดนั้นเขาเห็นว่าเขาทำแล้วดีเขาก็ทำ ของเราเองก็ เออ....เอากับเขาซะหน่อยมันก็คงจะดีก็เลยทำบ้าง มันกลายเป็นว่ากรรมมันกว้างออกไปเรื่อย จากการกระทำที่ไม่ได้หยุดลง คราวนี้ถ้าหากว่าอยากจะหยุดการกระทำอันนั้นมันก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่านั่นแหละ ยอมตายถวายชีวิตบูชาธรรมไปเลย แต่กำลังใจของเราไม่ถึงตรงจุดนั้น ในเมื่อเรายังไม่ถึงตรงจุดนั้นเราทำตรงนั้นลงไป ตอนนั้นก็ถือว่าสมควรแล้ว
      ถาม :  แต่ถึงแม้ว่า ....สมมุติว่าหนูอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโต้คนอีกฝ่ายหนึ่ง เขาพยายามจะหาผลประโยชน์จากเรา เขาคงไม่หยุดหย่อน ถ้าสมมุติว่าในกรณีนี้เราอยู่เฉย ๆ ไม่ตอบโ้ต้เขา .........(ไม่ชัด)...........ซึ่งตรงนั้นวัฏจักรในอนาคตนี่มันย้อนกลับมา เกี่ยวข้องกับเราอีก ?
      ตอบ :  มันย้อนกลับมาแต่ว่ามันเป็นกรรมในลักษณะเดียวมันจะเป็นกรรมด้านเดียว ในเมื่อกรรมด้านเดียวมันอยู่ที่ว่าเราจะเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรือเขาจะถูกกระทำโดยกรรมนั้นมาสนองฝ่ายเดียว แต่ว่าพอกระทำไปปุ๊บมันก็ยังคงเป็นกรรมต่อไปอีกจนได้ จนกว่ามันจะเป็นอโหสิกรรมต่อกันไป คือ ทั้งโจทก์ทั้งจำเลยตกลงกันต่อหน้าว่าเรื่องทั้งหลายที่ทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้ขอให้มันเลิกแล้วต่อกัน ให้อโหสิกรรมต่อกัน ถ้าหากเขาตอบรับก็คือจบกันเลย