สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  ...................................
      ตอบ :  สมมติขึ้นมาคือ ทางสายวัดสุทัศน์ เขามีคาถาอยู่บทหนึ่ง เขาจะขึ้นว่า "มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะ สัมภะวะสุนทรี ปาณีนัง สะระณัง วาณี มัยหัง ปินะยะตัง มะนัง" เขาว่าใครก็ตามไม่ว่าจะศึกษาเล่าเรียนอะไร ถ้าไม่คล่องตัวให้ท่องคาถาบทนี้แล้วจะเรียนคล่องมาก คราวนี้ทางด้านสายพระเรียนปริยัติจะใช้คาถานี้กันบ่อย แล้วพอใช้คาถานี้มีคำว่า "สุนทรีวาณี"อยู่ เขาเลยสร้างรูปเป็นองค์แทนขึ้นมาเพื่อเป็นที่เคารพ ไม่อย่างนั้นคนจะนึกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร จริง ๆ เขาสร้างไว้ ๑๑ องค์ ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพร่วมสร้างกับเขา ถึงเวลาเสร็จคือไปถ่ายรูปมาดู
      ถาม :  แต่เป็นเทวรูปนะคะ ?
      ตอบ :  เป็นเทวรูปจ้ะ คือลักษณะทรงเครื่องอย่างไร คราวนี้ของเราเคยชินทรงเครื่่องเแบบพระวิสุทธิเทพ เราก็คือคิดเป็นพระพุทธรูปไปด้วย
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  ธรรมานุสติ ถ้าคุณต้องการอารมณ์ปักแน่น ให้นึกถึงภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังเทศน์อยู่ แล้วคำเทศน์ที่ออกจากพระโอษฐ์เท่านั้นเป็นดอกมะลิลอยออกมา คิดว่าเป็นดอกมะลิทองก็ได้ลอยลงมา แล้วข้างหน้าท่านมีพานอยู่ใบหนึ่ง ลอยลงมาก็รวมกันอยู่ในพาน นึกภาพอย่างนั้น ว่านี่คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย เพื่อโปรดสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นทุกข์จนกระทั่งเข้าถึงพระนิพพาน กำหนดกำลังใจอยู่ในลักษณะนี้แล้วดูไปเรื่อย ผมเผลอ ๆ แป๊บเดียวกลายเป็นดอกไม้แก้วหมดไม่เป็นดอกไม้ทอง แต่ถ้าหากว่าจะอยู่ในลักษณะยึดเป็นธรรมานุสติ ก็ยึดในลักษณะตามคำสวดก็ได้
              "สวากขาโต ภะคะวาตา ธัมโม" ธรรมะขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
              "สันทิฏฐิโก" ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง
              "อะกาลิโก" ขอให้ทุกคนจงมาดูธรรมนี้เถิด
              "โอปะนะยิโก" น้อมนำแล้วก็อยู่ในกายนี้เอง
              "ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ" ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะพึงรู้ได้ด้วยตัวเอง ให้นึกไปในลักษณะนี้ก็ได้
      ถาม :  ............................
      ตอบ :  บางอย่างต้องอาศัยแบบนี้ อย่างน้อย ๆ เพื่อรักษากำลังใจเขาด้วยความพอใจของเขาถึงเวลาทำให้ดูหน่อย จริง ๆ แล้วของที่เราเห็นมีแต่ทุกข์นะ แต่พอเห็นคนอื่นยังยึดอยู่ก็สงสารเขา มีอย่างเดียว คือทำอย่างไรเราจะช่วยเขาให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่เราจะพึงช่วยได้
      ถาม :  ใครทำอะไรอย่างไรจะติดตาหมดเลย ช่วงนี้มีเรื่องให้คิด คิดไปเรื่อยตั้งแต่เริ่มต้น คิดเรื่องคนทำไม่ดี คิดแล้วจิตใจก็ห่อเหี่ยวทุกวัน คิดเกือบทุกวันเลยนะคะ คิดแล้วก็เหมือนนิ่ง ๆ ไป แต่กลัวมากเลย ถ้าเกิดขึ้นมากลัวจะไม่สามารถควบคุมได้ค่ะ
      ตอบ :  ตอนที่คิดเพราะเราไปให้มันคิด ความคิดของเราถ้าเราไม่คิดในด้านดี อย่างเช่น คิดตามอนุสติ ๑๐ อย่าง คือ คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณของเทวดา คุณของศีล คุณของการบริจาคให้ทาน คิดถึงความตายเพื่อไม่ให้ประมาท คิดถึงพระนิพพานว่ามีความสงบเป็นอย่างไร และสุดท้ายคิดถึงลมหายใจเข้า-ออกอย่างนี้เป็นต้น
              ถ้าเราไม่คิดเรื่องเหล่านี้จะไปฟุ้งซ่านเรื่องในอดีต รัก โลภ โกรธ หลง ที่ผ่านมา ขณะเดียวกันถ้าไม่คิดแบบนี้ก็คิดตามในวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง คิดให้เห็นการเกิด การดับ คิดให้เห็นว่าทุกอย่างมันดับ คิดให้เห็นว่ามันเป็นทุกข์เป็นภัย คิดให้เห็นว่ามันเป็นของน่ากลัวอย่างนี้เป็นต้น หรือไม่ก็คิดตามแบบอริยสัจ ดูทุกข์ให้เห็น หาเหตุของทุกข์ให้เจอ เลิกสร้างเหตุของทุกข์ ทุกข์ก็จะดับ ถ้าคิดให้คิดอย่างนี้ พอเราบังคับให้คิดอย่างนี้จะไม่มีเวลาไปคิดอย่างอื่น ถึงเวลาอย่าลืมลมหายใจเข้า-ออก ทิ้งไม่ได้ เพราะถ้าทิ้งเมื่อไรจะไม่ทรงตัวและไม่นิ่งอีก ก็จะย้อนกลับไปฟุ้งซ่านใหม่อีก ถ้าเราบังคับให้คิดด้านดีไม่ทันจะกลับไปอย่างเดิม
              เพราะฉะนั้น...ถึงเวลาตอนนี้จำเป็นที่สุด คือดึงกำลังใจของเราให้อยู่เฉพาะหน้าทุกอย่าง สิ่งที่เราคิดเป็นเรื่องผ่านมาแล้วทั้งนั้น แล้วเราย้อนไปคิดมันอีก กำลังใจของเราไม่ว่าจะคิดไปในอดีตคือที่ผ่านมา หรือคิดไปในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง พาให้ทุกข์ทั้งนั้น เรารู้อยู่แล้วว่ามันร้อนรนกระวนกระวายขนาดไหน
              เพราะฉะนั้น...หยุดกำลังใจของเราให้อยู่กับปัจจุบัน คืออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อย่าทิ้งลมเป็นอันขาด ทิ้งลมหายใจเข้า-ออกเมื่อไรตาย...! ตายจากความดี เพราะฉะนั้น...ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้า-ออก อยู่กับเฉพาะหน้าตอนนี้ เดี๋ยวนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วพวกเรื่องทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่มีเวลาแทรกเข้ามา กลัวก็ไม่มีประโยชน์เพราะว่าคิดไปแล้ว เพราะฉะนั้น...อย่าคิดเสียเลยก็หมดเรื่อง วิธีตัดที่ดีที่สุด คืออยู่กับลมหายใจเข้า-ออก ถ้ารู้ลมเมื่อไร มันจะหยุด
      ถาม :  ......................
      ตอบ :  อันไหนก็ได้ รู้สึกเบาได้แหละดี เพราะเบาส่วนใหญ่สำหรับสายของเราเป็นฌานใช้งาน ภาวนาอยู่อย่างนี้พูดได้ คุยได้ ทำงานได้ แต่ขณะเดียวกันจิตนิ่งเท่ากับทรงฌานนั้นอยู่ เพราะฉะนั้น...ของเราเองควรอยู่ในลักษณะถ้าเบาเอาตามนั้นเลย สบายดี ถ้าแน่นเป็นการประกันความเสี่ยงก็จริง แต่ถ้าแน่นเกินไป บางคราวเหมือนกับหัวหลักหัวตอเหมือนกัน เพราะฉะนั้น...ถ้าหากว่าเบาและจิตทรงตัวให้สังเกตนิวรณ์ ๕ กินใจเราได้ไหม คือ
              ใจคิดไปในทางกามฉันทะ คือการพอใจระหว่างเพศไหม
              คิดไปในทางอาฆาตพยาบาท โกรธ เกลียด คนอื่นหรือเปล่า
              คิดไปในทางฟุ้งซ่าน จิตใจไม่รวมตัวหรือเปล่า
              คิดไปในทางลังเลสงสัยหรือเปล่า เหล่านี้เป็นต้น ถ้าหากว่านิวรณ์ ๕ กินใจเราไม่ได้ ต่อให้เบาอย่างไรก็ดีเท่านั้น ยิ่งเบายิ่งดี ไม่ต้องแบกอะไรไว้ให้หนัก
      ถาม :  เรื่องฌานใช้งาน ถ้าจะให้ละเอียดต้องเคยได้คล่องตัวมาแล้วหรือครับ ?
      ตอบ :  ถ้าไม่คล่องตัวไม่เบาหรอก จะหนัก ถ้าหากว่าหนักใช้งานไม่ได้ แบบเราจะเดินอย่างนี้ ถ้าหากว่าหนักแนบแน่นอยู่ บังคับตัวให้เดินไม่ได้
      ถาม :  ........................
      ตอบ"เกศา โลมา นขา ทันตา ตะโจ" เขาให้พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีสภาพแท้จริงเป็นของสกปรก ไม่ได้สวยไม่ได้งามอย่างที่คิดเลย ผมไม่สระสัก ๓ วัน ก็เหม็นจนทนไม่ได้แล้ว ขนอยู่ตามร่างกายของเรา ถ้าไม่ได้อาบน้ำสักวันสองวัน เราก็ทนไม่ได้แล้ว เล็บของเราถ้าไม่ได้ทำความสะอาด ไม่ได้ตัด ไม่ได้แต่ง ไม่ได้ขัด ไม่ได้ย้อมให้กับมันก็ดูไม่ได้ ดำปี๋ ฟันของเราถ้าไม่ได้แปรงสักวันก็เหลือทนนะ หนังก็คือสภาพร่างกายของเรา ถ้าไม่ได้อาบน้ำทำความสะอาด ก็มีแต่เหงื่อไคลเกรอะกรัง เขาให้พิจารณาให้เห็นว่าไม่สวยไม่งามจริง ๆ จิตจะได้เบื่อ จะได้หน่าย จะได้คลาย จะได้ถอนออกจากการยึดมั่นถือมั่น แต่ถ้าหากว่าเราพิจารณาไม่เป็นใช้ภาวนาแบบสมถะเป็น "เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกศา" อย่างนั้นก็ได้ เพียงแต่ว่าถ้าไม่ได้พิจารณาก้จะหนัก เพราะว่าทรงเป็นฌาน
      ถาม :  คาถาปาโมทย์ หรือปราโมทย์ครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ คือ "ประโมทยะ" จะใช้ "ปราโมทย์" ก็ได้ คือหลวงพ่อเวลาท่านจดนาน ๆ บางคราวท่านเองท่านอ่านลายมือท่านไม่ออก ถ้าเราฟังในปฏิปทาท่านผู้เฒ่าจะเห็น บางคราวท่านก็บ่นมันเขียนอะไรของมันวะ...! ลายมืออย่างกับไส้เดือน คือตอนนั้นมืด ๆ ด้วย แต่พอพระสั่งปุ๊บ ท่านคว้าได้ท่านก็เขียนให้เป็นเลา ๆ ไว้ก่อน ถึงเวลากลางวันอ่านจะได้มีเค้าให้จำได้ว่าท่านสั่งว่าอย่างไร จะได้ไม่ลืม ถ้าไม่เขียนรอไว้สว่างเมื่อ่ไรลืมจริง ๆ ลืมชนิดหายขาดเลย ลืมแบบนึกไม่ออกเลย คราวนี้ตอนนั้นพอมีเค้าอยู่จะนึกออก
              แต่คราวนี้มันนาน ตั้งกี่ปีล่ะ ท่านเอาปฏิปทาท่านผู้เฒ่ามาเริ่มประมาณปี ๒๕๒๑ แต่ท่านจดไว้ตั้งแต่โน่นปี ๒๕๐๖ ว่าเข้าไปตั้งกี่ปีล่ะ ๑๕-๑๖ ปีเต็ม ๆ เลยนึกไม่ออก ในเมื่่อนึกไม่ออกเห็นลายหงิก ๆ ก็อ่านว่าปราโมทย์ก็ปราโมทย์ละวะ...!
      ถาม :  เคยใช้ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ได้ใช้ เคยแต่ซ้อม ๆ ดูอารมณ์ เออ...ใช่ รู้สึกว่าจิตมีปีติดี ของเราไปนิพพานได้เป็นปกติอยู่แล้ว
      ถาม :  ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง "ปฏิจจสมุปบาท" ทำเป็นสื่อการสอนลงซีดีครับ นึกนานมากครับ
      ตอบ :  โธ่...เจ้าประคุณเถอะ เรื่องของธรรมะเป็นภาษาใจ ภาษาพูด ภาษาเขียน กระทั่งภาษากายอธิบายไม่ได้หรอก เพราะหยาบเกินไป พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า "ปัจจัตตัง" ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเอง อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกหรอก ถ้าคุณทำได้นี่สุดยอดจริง ๆ
      ถาม :  ๒ ปีแล้วครับ
      ตอบ :  (หัวเราะ) ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าอีกสัก ๒ ปีก็ยังไม่แปลกอีกนั่นแหละ
      ถาม :  อีกปีหนึ่งเขาก็ไล่ผมออกแล้วครับ
      ตอบ :  อันนี้ช่วยไม่ได้จริง ๆ เลย เพราะอธิบายอย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นส่วนหยาบอยู่เท่านั้น เล่นอะไรไม่เล่น เล่นของยาก รู้ไหมว่า "ปฏิจจสมุปบาท" หลวงพ่อฤๅษีลิงดำท่านไม่แตะเลย ท่านไม่แตะท่านบอกว่า "บุคคลที่จะเข้าไปถึงได้จริง ๆ อย่างน้อยต้องเป็นพระอนาคามีขึ้นไป" เพราะฉะนั้น...ถ้าไปสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์ปวดหัวตาย คนจะอธิบายปฏิจจสมุปบาทได้แจ่มแจ้งจริง ๆ ต้องเป็นอนาคาปฏิสัมภิทาญาณขึ้นไป ตายละสิ...! ของเรา ๒ ปียังไม่ได้ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
      ถาม :  ถ้าทำไม่จบ ก็จะทำเท่าที่พอทำได้ครับ
      ตอบ :  ของคุณใช้อะไรเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบหรือเปล่า ?
      ถาม :  ต้องใช้ภาพครับ
      ตอบ :  อ๋อ...ใช้ภาพ รู้จักคุณอำนาจ กลั่นประชา ไหม ? ลองคุยกับเขาดูหน่อย เพราะเขาทำเรื่องนี้อยู่ และตอนนี้รู้สึกว่าให้คุณภัทราวดี มีชูธนจัดเป็นละครแสดงอยู่ ลองไปดูสักรอบสองรอบ เพราะว่าแกหายไปเป็นปีแล้ว อยู่ ๆ โผล่มา แกเล่าว่า "แกปลื้มใจมากที่แกทำตรงนี้ได้สำเร็จ สามารถสื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าควบกับการแสดงบนเวทีได้" มาขอโทษขอโพย เพราะว่าก่อนที่แกจะไปแกมาขอพร แกจะขายภาพเขียนของแกอย่างไร ทางสวิสเขาขอซื้อเพื่อที่จะไปทำเป็นไพ่ทาโร่ต์ แกเขียนอยู่ในลักษณะเป็นธรรรมะของทางพระพุทธศาสนานี่แหละ แต่ว่าเป็นประเภทหนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า นับเป็นตัวเลขได้เหมือนกัน แต่ใช้ภาพแทนลักษณะเหมือนไพ่ยิปซีนี่แหละ แกมาขอพร บอกว่า "ไปเถอะ" แล้วแนะนำวิธีแกว่าควรที่จะทำอย่างไร เซ็นสัญญาลักษณะไหน จะขายเป็นลิขสิทธิ์ครั้งเดียวหรือว่าขายไปเลยอะไรอย่างนั้น คราวนี้แกขายได้แกบอกสบาย
              ตอนนี้แกกำลังจะทำงานอะไรรู้ไหม ? ช่อง ๓ ขอให้เขียนภาพพุทธประวัติสั้น ๆ ออกอากาศครั้งละไม่เกิน ๓ นาที ให้เขียน ๑ ปีเต็ม ๆ นะ แกก็เลยได้ทุนไปอินเดียเพื่อไปศึกษาสภาพที่เกิด ที่ตรัสรู้ ที่ปฐมเทศนา ที่ปรินิพพาน ดูสภาพชีวิตชาวบ้านอย่างนี้ เพื่อเขียนให้ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด เขาเตรียมซื้อตั๋วเครื่องบินให้แล้ว อาตมาไม่ไป เสียเวลา ของท่าานเองอยากจะยืนยันว่าจุดไหนเป็นจุดที่ถูกต้องแท้จริงอย่างไร ไม่รู้จะเอาใครยืนยัน จะลากเราไปด้วยนั่นแหละ ถ้าเรื่องปฏิจจสมุปบาท ลองดูสิว่ามีงานแสดงที่ยังเหลืออยู่หรือเปล่า รู้สึกว่าเขาแสดงมาเป็นปีแล้วนะ ก็ไปดูหน่อย เผื่อเราจะเขียนแบบเขาได้
      ถาม :  ของผมอาจารย์บอกห้ามเลียนแบบครับ
      ตอบ :  เราไม่จำเป็นต้องเลียนแบบเขาทั้งหมด แนวทางจะทำให้เราสามารถที่จะวางฟอร์มได้ว่าจะออกไปแนวไหน ดู ๆ เสียหน่อยจะได้เกิดความคิดขึ้นมา ถ้าเจอคุณอำนาจได้ ก็ถามความเห็นของแกเลย แกจะเขียนหนังสือตั้งหลายเล่ม เล่มแรกแกเพิ่งเขียนเสร็จ "อิงพิงกัน" ต่อไปจะเป็น "สะพานเชื่อมใจ" "ดอกไม้ในดวงตา" ว่าไปเรื่อย เป็นภาพลักษณะเหมือนกับปริศนาธรรมทางพระพุทธศาสนา บางภาพแกเขียนซ่อนเสียอย่างดีเลย เอามาให้ดูแล้วถาม "หลวงพี่เข้าใจไหมครับ ?" บอกว่า "ไอ้ฉิบหาย...ก็จุดนี้อย่างไร" เขาว่า "อ้าว...หลวงพี่ดูออกด้วยหรือครับ ?" บอกว่า "แหม...ง่ายนิดเดียว ภาพเป็นของหยาบ เรื่องของใจละเอียดกว่า" ตกลงเราปล้ำมา ๒ ปีแล้ว ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวใกล้ ๆ เส้นตายปัญญาจะแล่นเอง (หัวเราะ) ไม่แล่นก็ร่วง (หัวเราะ) สื่อยากจริง ๆ ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน คุณไปคว้าหัวข้อนี้มาด้วยความบ้าหรือเปล่า ตอนนั้นสิ้นสติอีท่าไหน ยากที่สุดเลย เอาเถอะ...งานยากถ้าเราทำได้น่าภาคภูมิใจ
      ถาม :  พระโพธิสัตว์ถ้าสอนผิดทาง ตกนรกแล้ว ลูกศิษย์ตกนรกด้วยไหมครับ ?
      ตอบ :  ไปด้วยกัน เพราะทำตามนี่
      ถาม :  แต่บุญก็ทำอยู่นี่ครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วโดยมารยาท รู้แค่ไหนท่านจะสอนนแค่นั้น ถ้ารู้แค่ไหนสอนแค่นั้น คือตัวเองทำได้เท่าไร จะสอนแค่นั้น โอกาสผิดไม่มี เพราะพิสูจน์ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ถ้าเราอ่านในธรรรมบทหหรือว่าชาดกต่าง ๆ จะเห็นว่าพระโพธิสัตว์แม้แต่ชาติที่เสวยพระชาติเป็นสัตว์ อย่างเช่น เป็นพญาฉัตทันต์ เป็นพญาหงส์ทอง เป็นพญานกยูงทอง ท่านก็แสดงธรรมเป็นปกติ ทำได้แค่ไหนสอนแค่นั้น ไม่พลาดแน่ สอนเกินที่รู้นี่ยุ่งเลย
      ถาม :  อย่างสำนักกำแพงแสน ผมเข้าไปฟังธรรม
      ตอบ :  องค์นั้นอาตมารู้จักมาตั้งแต่ก่อนบวช อาตมาเป็นคนกำแพงแสน (หัวเราะ) ปล่อยเขาเถอะ สิ่งที่เขาสอน เขาเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าเลิกสอนแล้วมาสอน สอนในสิ่งที่ยาก เพื่อให้คนเกิดความทึ่งขึ้นมา เหมือนอย่างกับจะเป็นศาสดาใหม่ แต่ว่าจริง ๆ คือธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเห็นแล้วว่าโอกาสหลุดพ้นน้อย ท่านก็เลิกสอน แต่รายนี้งัดขึ้นมาสอน มันมากเลย คุณจะไปฝึกวิชาขันธมารกับเขาไหมล่ะ ? ต้องไปแช่ในตุ่มขี้ (หัวเราะ) แล้วเกี่ยวกับการหายใจใช้ในลักษณะที่เป็นลมปราณหรือพลังชีวิตตแบบโยคี ลักษณะอย่างนั้นดีสำหรับร่างกาย ร่างกายจะแข็งแรง แต่ขณะเดียวกันพอร่างกายแข็งแรงแล้ว โดยเฉพาะเรื่องของกามฉันทะกวนอย่าบอกใครเลยคุณ ถ้าเป็นพระเป็นเจ้านี่ได้ตบะแตกกันบ้าง คุณสังเกตพวกโยคีไหม จะมีก้อนหินสำหรับถ่วงเอาไว้ มัดถ่วงเอาไว้เลย จะได้ไม่กวน เราเห็นแล้วจะบ้า บางก้อนหนักเป็น ๑๐ กิโล ไปไหนมันหิ้วไปด้วย ไปนึกถึงเปรตในอบายภูมิ "เปรตวิสัยภูมิ"
              มีเปรตประเภทหนึ่งในพระมาลัยท่านอธิบายไว้ว่า "เปรตหนึ่งนั้นไซร้ มีอัณฑะใหญ่เติบเท่าตุ่มหาม" ไปไหนก็ต้องแบกตุ่มใบนั้นของมันไปด้วย ถ้าถึงเวลาไม่มีที่นั่งก็ต้องนั่งทับ แล้วก็ร้องโอดร้องโอยเพราะเจ็บนั่นแหละ นึกถึงพวกบรรดาโยคีทีไปไหนต้องหิ้วก้อนหินไปด้วย พวกนี้สงสัยอดีตคงเคยทำกรรมไว้เยอะ วิชาทั้งหลายเหล่านั้นพระพุทธเจ้าพิสูจน์มาหมดแล้ว ท่านพิสูจน์ด้วยการทำยิ่งกว่าคนอื่นด้วย ไม่มีใครอึดและอดทนยิ่งกว่าท่านอีกแล้ว แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ ท่านก็เลิก แต่ถามว่า "ถ้าหากว่าทำแล้วมีผลไหม ?" ตอบว่า "มี" ถ้าผลในด้านที่เป็นที่อัศจรรย์ของคนมีเยอะเลย สามารถบังคับร่างกายของตัวเองได้ สามารถบังคับลมหายใจตัวเองได้ สแดงฤทธิ์แสดงเดชได้เป็นปกติของเขา แต่ไม่ใช่ทางหลุดพ้น ท่านก็เลิกสอน รายนั้นงัดขึ้นมาสอนใหม่ เขาเก่งต้องยอมเขา
      ถาม :  บางคราวผมเห็นสอนเกี่ยวกับสติปัฏฐาน ๔
      ตอบ :  มีอยู่ เพราะถ้าหากว่าทิ้งไปไกล คนที่ไม่ชอบทางด้านนี้ก็ไม่เอาเลย แต่ขณะเดียวกันของโชว์ของเขาเลยเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าเลิกสอน องค์นั้นเสียท่าคุยคำโตมากไปไหน่อย คำพูดติดคอตาย ต้องสึกแล้วบวชใหม่ ยังไม่ได้พรรษาเลยมั้ง คุยว่า "บวชไปเจอหลวงปู่แหวน หลวงปู่แหวนก็ยกมือไหว้" คุยว่า "เห็นหลวงพ่อตั้งแต่หลวงพ่อยังเป็นเด็กแก้ผ้าวิ่งอยู่" ไอ้คนอายุเท่ากับอาตมา เห็นได้ขนาดนั้นก็เก่งสิวะ และเขาบวชก่อนอาตมาแค่ ๓ พรรษา ตอนนนั้นหลวงปู่แหวนมรณภาพไปแล้ว คราวนี้พอคนจับผิดได้เยอะ ๆ เข้าไม่มีทางออกเลยใช้วิธีสึกแล้วบวชใหม่ อ้างว่าไม่ยึดติด แต่ความจริงคือจะหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหาทั้งหมด กูไม่ว่าอายุมากก็ได้ เริ่มต้นพรรษาหนึ่งเลย คนจะได้ไม่ว่าอะไรกันอย่างนั้น
              จริง ๆ แล้วองค์นั้นเล่นไสยศาสตร์อย่างชนิดที่เรียกว่า expert เลยนะ สุดยอดจริง ๆ ถ้าแกจะเล่นใครนี่แก้ยากเลย เพราะฉะนั้น...ก็ได้แต่สาธุ วันใดก็ตามที่แกประเภทสิ้นสตติขึ้นมา อย่าให้แกใช้วิชาบ้า ๆ นี้เลย รู้จักแกตั้งแต่สมัยหัดใหม่ ๆ เราเห็นเสร็จ โอ้...น่ากลัวโว้ย เรื่องไสยศาสตร์ว่าไม่ได้นะ ยิ่งสมัยหลวงพ่อประเภทเสกครบตำข้าวมาทั้งใบ ครกตำข้าวทั้งใบเสกจนเป็นฝุ่น พอวิ่งกระทบเป้า ใหญ่เท่าเดิม ที่หางนกยูงโค่นไปทั้งต้นได้อ่านไหม เรื่องจริงอิงนิทาน ขีปนาวุธดี ๆ นี่เอง องค์นั้นเจโตปริยญาณคล่องมาก เราคิดอะไรท่านบอกได้นะ คล่องมาก คิดอะไรท่านดักใจเราถูกหมด แล้วเชื่อไหมว่าแกเก่งมาตั้งแต่ก่อนบวช ของเราไปลุ้นกับแกตั้งแต่ก่อนบวช สนุกเป็นบ้าเลย คล่องขนาดนั้นจริง ๆ คนเรามีความสามารถจริง ๆ คราวนี้กลัวอยู่อย่างเดียวแกจะใช้ความสามารถในทางที่ผิด
      ถาม :  คนเขาก็เคารพนับถือกันมากเลยนะครับ
      ตอบ :  เยอะ...!
      ถาม :  เห็นคนวัดท่าซุงบอกว่าเป็นพระองค์ที่ ๑๑
      ตอบ :  ของเขาเชื่อกันอย่างนั้น สมเด็จพระสังฆราชเคยเสด็จไป ๒ ครั้ง ขนาดสมเด็จพระสังฆราชเสด็จไปไม่ใช่เรื่องเล็กแล้วนะ แต่ก็อย่างว่า เพราะท่านดักใจคนถูกหมด ในเมื่ออ่านใจคนอื่นได้ ก็กลายเป็นของอัศจรรย์สำหรับคนที่เขาไม่รู็ว่าวิชานี้ถ้าใครทำทิพจักขุญาณได้ก็รู้ทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทิพจักขุญาณที่ใช้ในเจโตปริยญาณ คือรู้ใจคนอื่นประโยชน์น้อย จริง ๆ แล้วท่านให้ดูใจตัวเอง ดูว่าใจของเรามีความดีหรือเปล่า ถ้ายังไม่มีทำให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วทำใหมียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดูว่าใจของเรามีความชั่วอยู่หรือเปล่า ถ้าหากว่ามีแล้วไล่มันออกไป คอยระมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ไปดูคนอื่นโอกาสพลาดก็มี ถ้าไปเจอคนที่เขาเก่งกว่า เขาก็ปิดซะ
              ตัวอย่าง อาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ พวกรุ่นเราทันหรือเปล่าไม่รู้ ท่านเป็นเจ้าของ "หนังสือมหาจักร" กับ "คนพ้นโลก" สมัยก่อน พอท่านเสียชีวิตแล้ว คุณดำรงค์ ภู่ระย้า ทำหน้าที่แทน เปิดเป็น "หนังสือโลกทิพย์" พอหลังรุ่น คุณดำรงค์ ภู่ระย้า มาเป็ฯของพวก คุณคะนอง คุณอานนท์ เนินอุไร ชักเปะปะเป็นมวยวัดไปเลย อย่างของคุณดำรงค์เคารพหลวงพ่อเป็นปกติ พระองค์ไหนหลวงพ่อว่าดี แกก็เอาองค์นั้นมาลง ส่วนของคุณปถัมเก่งเรื่องของทิพจักขุญาณ แกยอดมาก แกรู้ว่าพระองค์ไหนดีหรือไม่ดี แต่เก่งขนาดนั้นโดนหลวงพ่อต้อนซะเสียมวยเลย
              ครั้งแรกที่ไปเจอหลวงพ่อ โอ๊ย...กราบตูดโด่งเลย หลังจากนั้นพาคนไปคราวละหลายสิบคันรถบัส เพราะเขาบอกว่า "รัศมีหลวงพ่อสว่างไปทั้ง ๓ โลกเลย ไม่มีพระองค์ไหนบารมียิ่งไปกว่าองค์นี้อีกแล้ว มั่นใจว่าต้องใช่พระอรหันต์แน่" แกเขียนลงหนังสือแกเอง หนังสือมหาจักรพวกเราทันอ่านหรือเปล่าไม่รู้ อาตมาอ่านประจำสมัยโน้น
              คราวนี้พอมาครั้งต่อไป ไปถึงหลวพ่อกำลังด่าโยมอยู่พอดี พวกโยมวัดที่ทำผิด แล้วแกไปดูใจหลวงพ่ออีกครั้งมืดตื้อเลย แกก็มานั่งเซ็ง เขียนในหนังสือว่า "สงสัยหลวงพ่อจะไม่ใช่พระอรหันต์ อย่างเก่งน่าจะเป็นสกิทาคามี เพราะยังมีความโกรธอยู่" อันนั้นไม่รู้ลีลาพระอริยเจ้า พระอริยเจ้าถึงแม้จะไม่โกรธ ต้องแกล้งทำเป็นโกรธ เพื่อกำราบคนชั่ว
              อย่างพระพุทธเจ้าขับไล่พระวักกลิ อัปเปหิเธอจงไป อย่างนี้ขับไล่ไสส่งเลย นั่นโกรธหรือเปล่าล่ะ คราวนี้พอแกไม่เข้าใจตรงจุดนี้เสียมวยไปเลย พระหรือว่าฆราวาสที่กำลังใจสูงกว่า ถ้าเจตนาปิดไม่มีทางที่จะได้เห็นหรอก รู้ได้เฉพาะคนที่เสมอกันหรือต่ำกว่าเท่านั้น