ถาม:  เต็มกำลัง ทำไมต้องมีกระดาษปิดหน้า ?
      ตอบ :  อันนั้นจะเป็นพระนามของพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ นะโมพุทธายะแทนพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ที่ตรัสรู้ไปแล้ว ๔ พระองค์ คือพระพุทธเจ้านามว่าพระกกุสันธะ พระพุทธเจ้านามว่าพระโกนาคมนะ พระพุทธเจ้านามว่าพระกัสสปะ พระพุทธเจ้านามว่าพระโคตมะ คือองค์ปัจจุบันนี้อีก ๑ พระองค์ที่ยังไม่ตรัสรู้คือพระศรีอริยเมตไตรทางสายกรรมฐานของเราพึ่งบารมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์สงเคราะห์ โดยเฉพาะการฝึกมโนมยิทธินี้ ลำพังกำลังของเรานี้ออกไปมันมืดเหมือนกับอยู่ในห้องมืด มืดประเภทที่ยื่นมือมองไม่เห็นนิ้วของตนเอง พวกบรรดาที่หลุดออกไปโดยไม่เจตนาจะรู้เลยว่ามืดขนาดไหน ไปไหนไม่เป็นเลย สะเปะสะปะไป สะเปะสะปะมาเดี๋ยวก็กลับ
              เพราะฉะนั้นเราต้องอาศัยกำลังของพระพุทธเจ้าท่านก็เลยจะมีกระดาษที่เป็นพระนามปิดอยู่ คราวนี้ถ้าเราทำลักษณะนั้นก็จะแปลว่าขอท่านช่วย ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ ที่สั่นจริง ๆ แล้วไม่ได้สั่นหรอกแต่เป็นอาการยื้อกันระหว่างภายในกับภายนอก ที่ยื้อกันก็คือว่าจิตจะออกไป ในเมื่อจิตจะออกไปความรู้สึกเราก็กลัวขึ้นมา กลัวในลักษณะที่วาออกไปแล้วจะเป็นอันตรายหรือเปล่า จะตายเลยไหม จะเจอของที่น่ากลัวไหม เกิดความกลัวขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ในเมื่อมันยื้อกันไปดึงกันมาก็เลยเกิดอการสั่นพั่บ ๆ ๆ คือตัวหนึ่งจะไป ตัวหนึ่งจะอยู่
      ถาม :  ............(ไม่ชัด)..................
      ตอบ :  สบายมาก แต่จริง ๆ แล้วเท่าที่ประสบการณ์ของอาตมาเองมีทั้งที่คุยกันได้และคุยไม่ได้ ถ้าเราไปด้วยฌาน ๔ เต็มกำลัง จะคุยไม่ได้หรอก จะทิ้งร่างกายไปเลยเหมือนกับคนตาย แต่ว่าหลวงพ่อท่านขอพรพระไว้ว่าขอให้คุยกันได้ ให้พระท่านใช้กำลังช่วย พระไม่ต้องพูดถึงใช่ไหม ? กำลังของท่านคล่องตัวและเป็นฌานใช้งาน ในเมื่อคล่องตัวขนาดนั้น ท่านก็เลยช่วยให้ว่า ถึงเวลาคนถามแล้วให้ได้ยิน ถึงเวลาอยากตอบให้พูดได้ แม้กระทั่งคุณเหมือนท่อนไม้ดี ๆ นี่เอง ถ้าเป็นสายอื่นเขาปฏิบัติ ถ้าทำได้ถึงขนาดนั้นก็เหมือนกับคนตาย แต่สายของเราหลวงพ่อท่านขอพรพระไว้ก็เลยสามารถตอบโต้กันได้
      ถาม :  ..........(ไม่ชัด).................
      ตอบ :  อะไรถ้ามีความคล่องตัวโดดปุ๊บเดียวก็เป็นฌานไปเลย ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปก็จะผ่านปีติไปแล้ว อาการปีติสุขเป็นอาการขั้นต้นก่อนจะเป็ฯฌาน ถ้าทรงฌานคล่องตัวแค่นึกก็จะเป็นเนไปเลย มันไม่ได้เข้าขั้นตอนนั้นอีก มีแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นปีติตัวใหม่กำลังใจจะตกลงไปเฉย ๆ จะลดลงมาเป็นปีติตัวใหม่
              ถ้าสมมติคุณเคยเป็นขุททกาปีติ น้ำตาไหล แล้วคุณได้ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ก็ตาม น้ำตามันไม่ไหลอีก แต่อยู่ ๆ สักวันถ้าหากคุณจำเป็นต้องรู้ว่า โอกกันติกาปีติเป็นอย่างไร กำลังจะลดลงมาเฉย ๆ ลดลงมาอยู่ในจุดนั้นแล้วก็ตัวโยกไปโยกมา มันมากเลย ไม่ได้หมายความว่าเราได้ฌานไปแล้ว ปฐมฌาน ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ แล้วจะไม่เป็นอีก ถ้าเรายังไม่ผ่านปีติตัวนั้นแล้วมีความจำเป็นต้องผ่าน อาจจะเป็นวิสัยเดิมเราเป็นพุทธภูมิมา หรือว่าตอนนั้นจำเป็นต้องสงเคราะห์คน เพราะคนอื่นเขาเป็นอยู่ ถ้าหากว่าเราไม่ได้เป็น อย่างนั้นเราสอนเขาไม่ได้ อยู่ ๆ กำลังก็ลดพรวดไปเฉย ๆ แล้วก็มีอาการสั่นพั่บ ๆ อย่างนั้น อาตมาเองปล้ำผ่านไปตั้งหลายปี อยู่ ๆ บางทีมันก็เป็นผรณาปีติขึ้นมาเฉย ๆ เพราะช่วงนั้นเราไม่ผ่านมาก่อน
      ถาม :  แล้วเพราะเหตุใดผู้ที่ปฏิบัติได้ถึงระดับนี้แล้วยังจะหวังพุทธภูมิร้อยเปอร์เซ็นต์...(ไม่ชัด)....?
      ตอบ :  ทำไม ? ก็เขาต้องการอย่างนั้นมาตั้งแต่แรก
      ถาม :  ท่านก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ?
      ตอบ :  นิสัยคนไม่เหมือนกัน คนกลัวก็เลิกเกิด คนไม่กลัวก็เกิดต่อวิสัยพุทธภูมิเขาจำเป็นต้องเกิดเพื่อสร้างบารมีให้เต็ม เมื่อถึงวาระถึงเวลาได้ช่วยเหลือขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร เต็มบุญเต็มบารมีตัวเอง ท่านก็ต้องเกิด เพื่อสร้างไปเรื่อย ๆ ท่านไม่กลัวหรอก ที่ท่านไม่กลัวเพราะจิตท่านเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา รักเขาเหมือนกับตัวเรา สงสารอยากช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ท่านก็ต้องปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง เดือดร้อนลำบากด้วยตัวของท่านเองไปเรื่อย ๆ กว่าบารมีจะเต็ม ส่วนของเรากลัวการเกิดขึ้นมาเสียแล้ว พอเห็นทางก็หนีสุดชีวิตเลย คนละอย่างกัน เหมือนเราเบื่อการเมืองจะตาย แต่พวกนั้นแย่งเก้าอี้กัน
      ถาม :  คิดว่าเอาพระมาปลุกขออาราธนา อยากจะทราบอานุภาพของพลังที่เขาบอกว่าถ้าเป็นเมตตา อารมณ์จะเยือกเย็น ?
      ตอบ :  อาการแสดงออกนิ่มนวลมาก แทนที่จะสั่นพั่บ ๆ ดิ้นพั่บ ๆ บางทีโยกไปโยกมาช้าอย่างกับสนต้องลมอย่างนั้น
      ถาม :  ได้เห็นหนังสือในชีวประวัติ .......(ไม่ชัด).........มาได้พบสายปฏิปทานักปฏิบัติของวัดท่าซุง ?
      ตอบ :  จริง ๆ เขามีเยอะจ้ะ บังเอิญโยมยังไม่ได้ไปเดินชนเขาเอง ก็อย่างที่เมื่อวานบอกไปหลายต่อหลายวัดด้วยกันใช่ไหม ? เฉพาะเมืองกาญจน์ที่อาตมาอยู่นี่ ๓๐ วัดเศษ ๆ แล้วจะสร้างความเหนื่อยยากให้อาตมาอย่างยิ่ง เหนื่อยตรงที่ว่าเวลาไหนวัดเขามีจัดงาน เขาจะนิมนต์เราไปทำบวงสรวงให้ คือตัวของเขาเองบางทีเก่งกว่าเราเยอะเลย แต่เขากลับไปมั่นใจว่าเราออกจากสำนักใหญ่มาเราจะต้องทำได้ดีกว่า ก็กลายเป็นเสียอย่างนั้น ก็เลยเหนือ่ยไปเลย เราเห็นเป็นพระพี่พระน้อง ลูกศิษย์หลวงพ่อด้วยกัน ถ้าไม่ใช่ติดธุระสำคัญจริง ๆ ก็ไม่ปฏิเสธ
              คราวนี้มีลูกศิษย์อยู่รายหนึ่งรูปนี้ท่านพรรษาเท่ากับอาตมานั่นแหละ แต่ว่าอาตมาสอนกรรมฐานให้ท่าน ๆ ก็เลยถือว่าเป็นลูกศิษย์ เจอหน้าก็กราบไหว้ทุกครั้ง รายนี้เจ็บปวดที่สุด ถึงเวลาก็อาจารย์ผมจัดงานวันนี้วันนั้นนะครับ เราก็ โอ้โห! ป่วยจะตายทำไมมีแรงไปไหว ไปถึงตั้งโต๊ะบวงสรวงไว้เสร็จสรรพ เขาบอกว่ารออาจารย์มาบวงสรวงให้ เราก็บอกว่าเป็นมาลาเรียอยู่ อยู่ ๆ ไข้ลดลงเฉย ๆ ก็อยากรู้ว่าเป็นเพราะอะไร มันแกล้งขนาดนั้น จะเรียกว่าแกล้งไม่ได้ เขาอยากให้ครูบาอาจารย์ไปทำให้เขาหน่อย
      ถาม :  .............(ไม่ชัด)...........มีอะไรดีขึ้น ?
      ตอบ :  เรื่องของพระ ของเทวดา ท่านก็เลยสงเคราะห์ทำให้เราหายป่วยเดี๋ยวนั้นเลย ไปได้เฉย ๆ อย่างนั้น เสร็จงานแล้วค่อยหมอบกระแตต่อ
      ถาม :  ได้ปฏิบัติตอนหลวงปู่ยังเป็นพระใหม่ อาจารย์ปานสอนเทศนาเป็นสมถะจริง ๆ สอนสมถะไม่รู้ว่าเป็นสมถะจริง ๆ หรือเป็นวิปัสสนา ?
      ตอบ :  ครูบาอาจารย์ที่ท่านฉลาด ท่านจะเก็บเอาไว้รวมกันเลย เพราะให้ลูกศิษย์ไปทำทีละอย่างมันเสียเวลา ท่านถึงบอกว่าถ้าเป็นไปได้ให้พิจารณายาวเลย ให้เป็นวิปัสสนากรรมฐานไป ท่านบอกว่าถ้าจะภาวนาให้ทำอย่างนี้ก่อน ลูกศิษย์ก็เชื่อว่าภาวนาต้องทำอย่างนี้ ก็ว่าไปเรื่อย ท่านบอกว่าถ้าพิจารณาแล้วใจสงบก็ไม่ต้องภาวนาก็ได้ กว่าจะรู้ท่านใส่วิปัสสนาไป ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว
      ถาม :  ถ้าใจสงบเรานั่งกรรมฐานนิ่ง ๆ ก็ได้ใช่ไหมคะ ไม่ต้องวิปัสสนา ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ สภาพจิตถ้ามันรักสงบ ให้มันรักสงบอยู่อย่างนั้น ถ้ามันต้องการคิดหาเรื่องดี ๆ ให้มันคิดคือ คิดดูในลักษณะของไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา หรือคิดตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ เริ่มต้นด้วย อุทยัพพายานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิด ความดับ ภังคานุปัฏฐานญาณ พิจารณาเห็นร่างกายเป็นทุกข์เป็นภัย เป็นของน่ากลัว ไล่ไปจนถึงสังขารุเปกขาญาณ วางเฉยเสีย ให้คิดในทางด้านดี ๆ ไว้ พอคิดไประยะหนึ่งมันอยากจะภาวนาใหม่ก็กลับมาจับลมหายใจเข้า-ออกใหม่ พอจับลมหายใจเข้า-ออกไปเต็มที่เต็มกำลังของมัน ๆ จะถอยออกมา ก็เริ่มต้นคิดใหม่ ทำสลับกันไปถึงจะก้าวหน้า
              เพราะว่าสมถะคือใจสงบ กับวิปัสสนาคือปัญญาเกิด เหมือนกับคนผูกขาติดกัน ต้องผลัดกันก้าว ก้าวข้างเดียวไม่ได้ ไปสุดแล้วจะกระตุกกลับเพราะติดโซ่ใช่ไหม ? ไปด้านนี้ด้านเดียวไม่ได้มันกระตุกกลับเหมอืนกัน ก็ต้องภาวนาจนกำลังใจเต็มที่แล้ว อยากคิดก็ถอยจิตออกมาคิด มันก็จะก้าวสลับกันไปเรื่อย อย่างนี้ก็จะก้าวหน้าเพราะถ้าทำอันใดอันหนี่ง ทำวิปัสสนาได้เปรียบเพราะพอพิจารณาไปเรื่อย ๆ สภาพจิตจะดิ่งลึกลงไป จะทรงอารมณ์ภาวนาโดยไม่รู้ตัว เป็นฌานโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าคุณไปสมถะคือภาวนาอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ ถึงเวลาพอมันเต็มแล้ว มันถอยจิตออกมา มันเริ่มอยากคิด ถ้าเราไม่ควบคุมให้มันคิดในด้านที่ดีมันจะฟุ้งซ่านไปในเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลงไปเลย
      ถาม :  .......(ไม่ชัด)....แต่ปางก่อนมีผล ?
      ตอบ :  มีผลมหาศาล
      ถาม :  ทีนี้ในกฏของกรรม ในเมื่ออาจารย์ว่าคืออย่างเราบำเพ็ญ อาจารย์บอกว่าแก้โดยศีล สมาธิ ปัญญา ทีนี้เราดำเนินไปแล้ว มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเรื่อย ทุกอย่างจะดีแล้ว สมมติว่าไปหายาสมุนไพรโบราณ เรานั่งบำเพ็ญอยู่อย่างนี้ชะตากรรมก็จะแย่ลง ร่างกาย ?
      ตอบ :  สภาพของร่างกายเรายืมโลกมาใช้ เจ็บไข้ได้ป่วยรักษาไปตามสติกำลัง อย่าลืมมารยาทในการยืมของ ต้องรักษาให้ดีที่สดุ ไม่เช่นนั้นเอาไปคืนแล้วเจ้าของเขาจะด่าเอา ในเมื่อเรารักษาเต็มที่เต็มกำลังแล้วไม่สามารถจะรักษาให้ดีได้ ก็ต้องค่อยยอมรับว่าเป็นกฎของกรรม แต่รู้สึกว่าสภาพร่างกายแย่ลง ก็ให้พิจารณาต่อไปเลยว่า จริง ๆ แล้วมันเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็น ตอนนี้เป็นเสียแล้ว ทุกข์อย่างไร ก็อยู่กับมัน มีแค่ความเจ็บ ความป่วย ความทรมานอยู่ตลอดเวลา มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเราอย่างไร ถ้ามันเป็นเราเป็นของเรา เราต้องสั่งมันได้ เฮ้ย! ต้องไม่เจ็บนะ แต่นี่เราสั่งมันไม่ได้เลย อาศัยความได้เปรียบ พอโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้น สร้างปัญญาของเราให้เห็นสภาพที่แท้จริงของเราไปเลย ฉวยประโยชน์กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า พิจารณาให้ปัญญาเกิด ให้รู้แจ้งเห็นจริงไปเลย มันไม่เที่ยงจริง มันเป็นทุกข์จริง ไม่ใช่เราไม่ของเราจริง ๆ
      ถาม :  หลายสิ่งหลายอย่างเกิดจากโรคที่มองไม่เห็นตัวตน หรือความไม่แน่นอน ที่หมอวินิจฉันไม่ได้มาคุกคาม มาต่าง ๆ นา ๆ ?
      ตอบ :  ของอาตมาเป็นประจำ
      ถาม :  เป็นประจำหรือ ?
      ตอบ :  ป่วยทีไร หมอหาสาเหตุไม่เจอหรอก
      ถาม :  แล้วทำอย่างไร ?
      ตอบ :  เขาเห็นว่าเราตัวร้อน จนกระทั่งจับแล้วสะดุ้ง ความดันขึ้นจนหัวจะระเบิด แต่เขาตรวจหาอาการไม่เจอ แหม! วัดปรอทแล้ว ๓๖.๕ คนปกติแล้วยังไม่ดีเท่านั้นเลย วัดความดันแล้ว ๑๑๐ เท่านั้น ความดันปกติของเรา ๑๒๐ เครื่องมือทั้งหมดพร้อมใจกันทรยศ แต่ยังดีว่าไปเจอหมอที่ท่านเข้าใจ ท่านอาจารย์คิดว่าอะไรบอกมาเลยครับ ผมจะจ่ายยาให้ เราก็บอกไปตามระเบียบถ้าขืนไปรอผลแล็บไปเจอประเภทพาซื่อที่มอ.สงขลา เขาว่ากันจรรยาของแพทย์ตรวจสมมติฐานโรคไม่เจอ เขาไม่กล้าจ่ายยาให้เพราะว่าจ่ายไปแล้วเขาต้องรับผิดชอบ ประเภทนั้นอาตมาจะตายเอา หมั่นไส้ก็คลายกำลังใจออก โอ้โห! พยาบาลกำลังวัดความดันอยู่กรี๊ดเสียทั้ง ๆ ที่เรากำลังแย่ แก้วหูลั่นเลย เพราะว่าความดันลดฮวบลงไปจาก ๑๑๐ เหลือแค่ ๖๐ ถ้าเป็นอาการทั่ว ๆ ไปคืออาการช็อคใช่ไหม แพทย์เวรตอนนั้นมีอยู่ ๔ คน วิ่งมาดูหมดเลย ก็เลยทั้ง ๆ ที่ช็อคก็คุยกับหมอบอกว่า หมอจำไว้เลย คนบางคนสภาพร่างกายของเขา เขาใช้ใจคุมไว้ได้ ในเมื่อเขาใช้ใจคุมไว้ได้ อาการของโรคก็ไม่ปรากฎ ถ้าเขาบอกว่าเป็นอะไรหมอจ่ายยาไปเถิด ไม่อย่างนั้นเขาตายเปล่า หมอเขาก็บอกว่าว่าแต่โดยมารยาทแล้ว ถ้าเขาตรวจสมมติฐานไม่ออก เขาจะต้องรับผิดชอบอาการของคนไข้ จ่ายยาไปคนไข้เกิดเป็นอะไรไปแพทยสภาเล่นงานเขาตายเลย ถ้าอย่างนั้นอาตมาก็ขอตัวกลับ เขาถามว่าจะกลับอย่างไรกันช็อคขนาดนี้แล้ว อาตมาเดินได้ ว่าแล้วก็ไปเลย
      ถาม :  แล้วท่านอาจารย์รักษาโดยธรรมโอสถ ?
      ตอบ :  ไม่ได้รักษาหรอก อยากเป็นอะไรก็ช่างหัวมัน เรายังใช้งานมันได้ ก็ใช้งานมันต่อ
      ถาม :  ท่านอาจารย์ทรงฌาน ?
      ตอบ :  ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ก็เรื่องของมัน เราทำได้ก็แล้วกัน
      ถาม :  ถ้ามาปฏิบัติสายหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ถ้าโดยปฏิปทาอุบาสก อุบาสิกา ญาติโยมจะเจริญอะไรในการปฏิบัติ ?
      ตอบ :  ส่วนใหญ่เขาจะฝึกมโนมยิทธิกันคือ การมีฤทธิ์ทางใจ ถอดจิตไปดูนรก สวรรค์ ให้รู้ว่าคนทำความชั่วแล้วได้รับผลอย่างไร คนทำความดีแล้วได้รับผลอย่างไร สเร็จแล้วให้เลือกเอาเองว่าจะทำอย่างไร
      ถาม :  การปฏิบัติของท่านอาจารย์ มันเดินมาแล้ว ได้ปฏิบัติตาม มีผลทางใจพอสมควรไม่มาก ?
      ตอบ :  เขาได้เป็นแสนคนแล้ว
      ถาม :  อ่านหนังสือ ปัจจุบันมาเจอ.....(ไม่ชัด)........มโนมยิทธิเป็นเรื่องของอภิญญา ?
      ตอบ :  เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา
      ถาม :  เถ้าเกิดเราเจ็บไข้ ถ้าเรารักษาโรคตัวเองก็พอบรรเทา ?
      ตอบ :  ถ้าหากคุณต้องการหลุดพ้นจริง ๆ เขาไม่เสียเวลาไปรักษามันหรอก นักปฏิบัติที่ดีเขายอมรับกฎของกรรม ในเมื่อเต็มที่แล้วตามสภาพที่แทพย์แผนปัจจุบันจะช่วยได้ ถ้าไม่สารถจะหายได้ก็ยอมรับมัน เพียงแต่คุณอย่าไปใส่ใจมัน มันอยากจะเป็นอะไรก็เป็นไป
      ถาม :  ในเวลานี้แฟนก็ไม่สบายหลายอย่าง เช่น ?
      ตอบ :  ทำให้ได้สิโยม
      ถาม :  ว่าแต่ทำไม่ได้ ?
      ตอบ :  โยมเป็นคนขับรถ ร่างกายเป็นรถยนต์ รถมันรวนอย่าให้รวนตามรถ
      ถาม :  ว่าไม่เครียด ก็เครียด ทำมาหากิน ?
      ตอบ :  พยายามแยกให้ออก เพราะมันไม่ใช่เรา มันเป็นรถยนต์ที่เราใช้งานอยู่ ในเมื่อเราพยายามเข้าโรงซ่อมเต็มที่แล้วเอาดีไม่ได้ ก็พยายามลากถูลูถูกังไปเรื่อยก่อน พังเมื่อไรก็หารถคันใหม่ ถ้าทำดีถึงที่สุดก็ได้รถระดับสุดยอดก็คือพระนิพพาน ถ้ายังไม่ดีพอได้รถระดับอย่างเทวดา อย่างพรหม ก็ยังเป็นเบนซ์ เป็นบีเอ็มดับบลิวอยู่ใช่ไหม แต่หากเฮงซวยห่วยแตกไปเจอจักรยานโปเกก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพยายามแยกให้ออก ร่างกายจริง ๆ มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา มันเป็นที่เราอาศัย มันอยู่ก็เท่านั้น ในเมื่อทำหน้าที่ของเราดีที่สุดไม่อาจจะยับยั้งมันได้ก็ปล่อยมัน ถ้าเรายังแบบมันอยู่เราจะทุกข์
      ถาม :  อยู่ ๆ ก็เกิดขึ้นมา ไม่รู้เนื้อรู้ตัว ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่หรอก ทุกอย่างเราทำไว้มันถึงเป็น ในเมื่อเราทำไว้มันถึงเป็นเราก็ยอมรับมันสิ ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา แต่เราดันไปปลูกพริก ปลูกตำแย ก็ต้องเผ็ดบ้าง คันบ้าง ก็ต้องทนเอา เราทำเอง
      ถาม :  เมื่อวานแฟนผมนั่งสมาธิก็ฝึกเอง ฝึกมาเกือบ ๑๐ ปี อยู่ ๆ หูก็ได้ยินกระซิบบอกว่า ปะโยโมหา...(ไม่ชัด)...ส่วนใหญ่กินยาครูบาอาจารย์ กินอะไรเข้าไปก็เสมอตัว หมอหลวงให้ยา ๒๐ ก็สภาพอาการ ก็รู้สึกภายในจะเจ็บ พอนั่งสมาธิฝึกเองส่วนใหญ่ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะเป็นทิพย์บอกให้เรารู้ว่าร่างกายนี้จะเป็นจริง ?
      ตอบ :  ถ้าหากเป็นเสียงที่บอก ให้ถามด้วยว่าแก้อย่างไร เสียดายเราไม่ได้ถาม
      ถาม :  เสียดายไม่ได้ถาม พูดแบบปลุกเลย ?
      ตอบ :  ให้ถามท่านด้วยว่า แก้อย่างไร เคยเจออยู่รายหนึ่งเขาบอกว่าไปกินปาท่องโก๋จิ้มไอศกรีม พวกก็เลยต้องไปซื้อไอศกรีมกับปาท่องโก๋มากิน หายจริง ๆ นะ ที่หายจริง ๆ พระหรือเทวดาถ้าท่านต้องการให้เราหาย ท่านก็คิดก็หายแล้ว เพียงแต่ท่านอยากลองว่าเรามีความลังเลสงสัยไหม ?
      ถาม :  ..............................
      ตอบ :  บ้าไหมล่ะ ? คนปอดอักเสบขนาดนั้นแล้วให้อาบน้ำ เราเองก็เออ...เทวดาเขาไม่โกหก ก็ลองดู ราดน้ำโครม ๆ แหม...ชาทั้งตัวเลย แล้วไอตัวออกอย่างกับหมอกอย่างนั้น กลายเป็นควันตลบไปหมด แล้วก็หาย พออาบน้ำเสร็จมานั่งคิด เอ๊ะ...ถ้าเทวดาท่านจะช่วยเราแค่คิดเราก็หายแล้ว แกล้งกูนี่หว่า หลอกให้เราอาบน้ำเย็นซะนี่
      ถาม :  เวลามาบอกกครั้งแรกไม่ได้ถาม ก็เงียบไป แล้วก็มาบอกอีกครั้ง บอกแบบดุเลย เลยเลิกนั่งสมาธิ
      ตอบ :  นั่งต่อไปจ้ะ คราวนี้มาบอก บอกว่า "โปรดเมตตาบอกด้วยจ้ะ ว่าแก้อย่างไร ?" แหม...เสียดายไปหน่อย คนมีประสบการณ์ท่านก็ไม่มาบอกเพิ่มเสียอีก ไปบอกคนไม่มีประสบการณ์เลยไม่ได้ถาม
      ถาม :  เคยได้ยินแล้วงงว่าเสียงนั้นมาจากไหน ? ไม่รู้เพราะว่าดึกแล้ว ประมาณตีหนึ่งกว่าเกือบตีสอง
      ตอบ :  ระวังนะคุณ เจอปาท่องโก๋จิ้มไอศกรีม เป็นอะไรที่เหลวไหลมากเลย ในความรู้สึกของคนทั่วไป แต่เขาทดสอบว่าเรามีวิจิกิจฉา คือลังเลสงสัยไหม ? ถ้าไม่ลังเลทำตาม ท่านก็สงเคราะห์ให้ (หัวเราะ)
      ถาม :  ทำอย่างไรคนเราถึงจะไม่มีวิจิกิจฉาครับ ?
      ตอบ :  ยากหน่อย ส่วนใหญ่ขี้สงสัยทั้งนั้นแหละ ผมเองโดนเพื่อนพระ คือท่านชาติชายต่อว่ามาหลายต่อหลายครั้งแล้ว คือว่าพระบอกอย่างไร เราก็รับมาแค่นั้น แต่พอบอกท่าน แล้วท่านจะมาชักรายละเอียดกับเรา ในเมื่อท่านมาซักถามรายละเอียด เราตอบไม่ได้ เพราะเราไม่เคยถามเลย ท่านบอกอย่างไรก็เอาแค่นั้น กลายเป็นว่าเราไม่สงสัย แต่เพื่อนพระท่านสงสัย พอถามแล้วตอบไม่ได้ แหม...ท่านขัดใจมากเลย (หัวเราะ)
      ถาม :  บางครั้งนั่ง ๆ ไปจะเห็นเป็นรูปพระ อย่างนี้ต้องแก้ไขอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  สิ่งนั้นเขาเรียกว่า "นิมิต" จ้ะ พอสภาพจิตของเราเริ่มเข้าสู่สภาพอุปจารสมาธิ จะเริ่มมองเห็นสิ่งที่เป็นทิพย์ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราเห็นน่ะ เราเห็นจริง ๆ แต่ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามที่เราเห็นหรือเปล่า ? ถ้าเราภาวนาอยู่ในพุทธานุสติ เห็นภาพพระก็ยึดได้ ถ้าภาวนาในสังฆานุสติ เห็นภาพพระสงฆ์ก็ยึดได้ แ ต่ภาวนาอย่างอื่นอยู่ อย่างเช่นจับภาพกสิณอยู่อย่างนี้ แล้วอยู่ ๆ ภาพพระปรากฏขึ้นนี่ ไม่ต้องใส่ใจในภาพพระ ให้จับภาพกสิณแทน เพราะถ้าเราใส่ใจผิดกอง ผิดกรรมฐานของเรานี่ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจะไม่มี