สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนพฤษภาคม ๒๕๔๔ (ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม :  เป็นพระด้วยนะคะ?
      ตอบ :  จะพระจะอะไรก็เถอะ คำว่าหยาบมากนี่คือว่าของเขาเองเขายังไม่เคยชินกับสภาพนั้น การภาวนาของเขาอาจไม่ได้ระยะนานอย่างของเรา ค่อยๆ สะสมตัวมาคนที่สะสมตัวมาลักษณะของมโนมยิทธิครึ่งกำลัง ถ้าหากว่ามันอยู่ตัวแล้วมันจะไปเรียบ แต่เราสังเกตอย่างหนึ่งนะ มันจะคล่องกว่าเดิมแค่นั้นเองจะมีความคล่องกว่าเดิม จะมีความชัดเจนแจ่มใสกว่าเดิม
      ถาม :  ทุกครั้งสิ่งที่ทราบเวลาไปฝึกเต็มกำลัง สิ่งที่ได้รับจากสมเด็จพ่อ ท่านก็บอกว่าให้หนูทำงานเป็นสาธารณะกุศลทุกครั้งเลยค่ะ
      ตอบ :  ก็ทำไปซิ ทุกอย่างที่ควรจะทำได้หลวงพ่อท่านบอกไว้แล้ว ถ้าเรายังรักษาอภิญญาสมาบัติสาธารณะปฏิปทาได้จะตามสงเคราะห์เราไปตลอด เรื่องทางด้านนั้นก็ทำดู อะไรที่ทำเกื้อพระศาสนาเพื่อแบ่งเบาภาระของหลวงพ่อก็ถือเป็นงานส่วนรวมทั้งนั้นล่ะ
      ถาม :  อย่างนี้แสดงว่าท่านกำหนดตัวเลยใช่มั้ยคะ?
      ตอบ :  ถ้าท่านบอกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง ก็เป็นอันว่าโอเคแล้ว
      ถาม :  แต่เพื่อนข้างๆ เขาจะได้ลาภ หมอเตือนใจเข้าไปสอนเขาว่า ลูกต้องทำให้ดีนะ ลูกต้องไปเป็นครูสอนเขาต่อไป
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเขาระบุมาอย่างนั้นก็ดูด้วยบางทีมันเป็นช่วงระยะเวลาเดียว พอนานไปมีการเปลี่ยนงานเหมือนกัน อย่างหลวงพ่อระยะแรกๆ ท่านรักษาโรคให้ด้วย พอรักษาไปๆ พอถึงเวลาหลวงปู่ธรรมชัยมาปุ๊บ ท่านบอกเจ้าของงานมาแล้ว ท่านหยุดเลย ต่อไปใครป่วยท่านไล่ไปหาหลวงปู่ธรรมชัย มันก็ดูด้วย บางอย่างมีการเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน แต่ว่า กว่าจะเปลี่ยนก็ต้องรับหน้าที่นั้นไประยะหนึ่งซึ่งบางทีก็ยาว บางทีก็ไม่ยาวเท่าไหร่
      ถาม :  อย่างนี้แต่ละคนนี่ ถูกกำหนดหน้าที่ใช่มั้ยคะ ว่าช่วงนี้ต้องทำอย่างนี้ๆ ?
      ตอบ :  บางทีบุคคลที่โดนกำหนดมาไม่สามารถทำคุณสมบัติตัวเองให้เมาะสมกับหน้าที่นั้นได้ ก็มีการเปลี่ยนตัวแทนไป ตัวแทนน่ะแย่ซิมันไม่ใช่ความถนัดของตัว มันจะ....
      ถาม :  สรุปแล้วท่านจัดสรรให้เอง?
      ตอบ :  มันจะมีการจัดสรรกันอยู่ ลักษณะแบบเดียวกับที่ว่ามีคำทำนายจากสมัย ฝังลูกนิมิตที่โบสถ์วัดท่าซุงไง ว่าระยะนั้นเวลานั้นจะมีพระเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ช่วยงานหลวงพ่อได้ อะไรได้ ถ้าเราไม่เร่งทำนะ มันจะไม่ได้ตามระยะที่ท่านบอก แต่ถ้าเราเร่งทำจริงๆ ตั้งใจทำจริงๆ ไม่ทอดทิ้งบางทีมันจะเร็วกว่าที่ท่านบอก ยกเว้นว่าของเราเองไปตามเวลาตามระยะที่ท่านบอกพอดีเป๊ะ ก็ได้ตามจังหวะที่ท่านว่ามา
      ถาม :  อย่างปกติหนูก็รับใช้ศาสนาเสาร์อาทิตย์จันทร์อย่างนี้ ตลอดไม่เคยขาด แต่อยู่ๆ ต้องไปเรียนมันเหมือนเราขาดช่วงไปค่ะ?
      ตอบ :  มันไม่ขาดหรอก เพราะว่าตัวอาตมาเองตอนไปเป็นทหารมันก็เหมือนกับห่างหลวงพ่อไป แต่มันทำให้ใจเรายึดเกาะได้ดีกว่า มันเป็นการฝึกเราให้รู้จักปล่อยวาง ให้รู้จักความพอดีอะไรบางอย่างซะด้วยซ้ำไป เพราะว่าถึงเวลาแล้ว สมมติผ่านเวลาไปหนึ่งปีหรือสองปีเราก็จะรู้สึกว่า เออ.. จริงๆ แล้วหน้าที่มันสำคัญทั้งทางโลกทางธรรมนะ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทแต่ว่าทางธรรมอย่างเดียวโลกมันก็ช้ำ ถ้าหากว่าเราทุ่มเทโลกอย่างเดียวธรรมมันก็เสียนะ เราอาจจัดระเบียบความพอดีตัว มัฌชิมาปฏิปทา ของเราขึ้นมาได้อีกซะด้วยซ้ำไป
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้ เราวางกำลังใจของเรา แต่หนูก็ (ฟังไม่ชัด)
      ตอบทำหน้าที่เฉพาะหน้าของตนให้ดีที่สุด นั่นแหละ ถ้าทำอย่างงั้นก็โอเค เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างของเราในปัจจุบันนี้เราต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าเราทำปัจจุบันดี อนาคตมันดีแน่นอน ใครเขามีโอกาสได้ทำ เราก็โมทนากับเขาถึงเวลาเรามีโอกาสเราก็กลับไปทำหน้าที่เดิม
      ถาม :  บางครั้งก็น้อยใจว่าทำไมเราถึงทำบุญน้อยอย่างนี้?
      ตอบ :  (หัวเราะ) ไม่ต้องไปน้อยใจเลย สมัยที่เป็นทหารมันฝึกกลางวันฝึกกลางคืน โอกาสจะไปหาหลวงพ่อแต่ละครั้งยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะลาหยุดได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าคิดถึงหลวงพ่อใจจะขาด ตื่นตีห้า กว่าจะได้นอนน่ะสามทุ่ม แล้วสี่ทุ่มเขาเป่านกหวีดให้ไปฝึกวิธีรบกลางคืนอีกกว่าจะนอนตีสอง เท่ากับว่ามีเวลานอนติดต่อกันจริงๆ คือช่วงตีสองถึงตีห้า เราเองก็ยังสละเวลา พอตีสามลุกขึ้นมาภาวนา เพราะว่าหลวงพ่อสอนมานานแล้วให้ทำอย่างนี้ๆ ถึงเวลามันนึกขึ้นมาได้ว่าเราต้องทำ ก็ลุกขึ้นมาทำมันจะมีตัวฉันทะ ตัววิริยะมากกว่าปกติซะด้วย เพราะรู้ว่าตอนนี้เราห่าง ยิ่งห่างถ้าเราไม่ยิ่งเร่งปฏิบัติของเราก็เหมือนกับว่าไกลครูบาอาจารย์ไปเรื่อย คราวนี้ของเราช่วงนี้ก็เหมือนกับว่าเราห่างใช่มั้ย? เราห่างก็จำเป็นที่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราให้มากกว่า อันนั้นมันเป็นงานทางกาย แต่ขณะเดียวกันใจมันเป็นสุขด้วยใช่มั้ย? คราวนี้มันก็เหลือแต่ว่าเราต้องเร่งทางใจของเราในช่วงที่มันไม่ได้ไป
      ถาม :  แล้วอย่างนี้คนที่ไปอยู่เมืองนอก เขาไม่ยิ่งกว่าพวกเราเหรอ?
      ตอบ :  ก็นั่นแหละ ตัวนี้แหละที่ว่าต้องลงใต้ คนใต้นี่เขาหิวพระต้องใช้คำนี้เลย คือเขาอยากจะให้ไปทุกเดือนเลย ประเภทว่าอยู่ประจำได้เลยยิ่งดี แต่ว่ามันไม่ไหวเพราะหน้าที่ของเรามันมีอยู่ ในเมื่อของเขาเองโอกาสเขาน้อย ถึงเวลาเขากอบโกยเต็มที่ สังเกตว่าเวลาหลวงพ่อไปต่างประเทศฝึกกรรมฐานให้ พวกนั้นจะได้ง่ายใช่มั้ย?
              พวกทางใต้ก็เหมือนกัน มาแต่ละคนนี่เวลาถามปัญหาธรรมนี่ ไอ้เราตกใจ เขาทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ คือของเขาเอง เขาอยู่ลักษณะที่ว่าต้องเร่งขวนขวายให้มาก เพราะว่าโอกาสใกล้ครูบาอาจารย์มันน้อย เมื่อวานนี้ก็มาที่นี้คณะหนึ่ง มาจากยะลาบอกว่าแวะมาก่อน เดี๋ยวจะไปวัดท่าซุง ไปร่วมงานสะเดาะเคราะห์ เป็นเรา เราจะมีอารมณ์นั่งรถเป็นพัน ๆ กิโลมาอย่างเขามั้ย ? แล้วแต่ละคนอายุไม่ใช่น้อย ๆ อย่างลุงสุชาติ อย่างป้าบุญเรือนอย่างนี้แต่ละคนนี่อยู่ในระดับเลยเกษียณแล้ว ยังอุตส่าห์ขวนขวายมาต้องชมกำลังใจของเขามันถึงจริงๆ
              ขณะเดียวกันพวกเรามันอยู่ใกล้กลายเป็นหนูตกถังข้าวสารกินเมื่อไรก็ได้ เลยไม่ได้กินซักที มันต้องเร่งแบบของเขาทำเหมือนกับว่าเรามีวันนี้วันเดียวนะ ทำแบบวันนี้มีวันเดียวนึกออกมั้ยว่าทำอะไรบ้าง พรุ่งนี้มันไม่มี ถ้ามันตายวันนี้เราเกาะนิพพานไม่ได้มันขาดทุนนี่
      ถาม :  บอกให้ทรงกำลังใจนี่แสดงว่าช่วงนี้ก็ยังทำอยู่ใช่มั้ยคะ?
      ตอบ :  ตลอดเวลาทุกวัน ยิ่งห่างพระยิ่งต้องทำให้หนัก
      ถาม :  แล้วอย่างการพูดจานี่เป็นของเก่าติดมาตั้งแต่อดีตชาติหรือเปล่าคะ?
      ตอบ :  มันก็มีที่ติดมาด้วย ตัวอย่างชัด ๆ ก็พระปิลินทวัจฉะ พระปิลินทวัจฉะท่านเกิดเป็นพราหมณ์ติดต่อกันมาตั้ง ๕๐๐ ชาติ พราหมณ์เขาถือว่าเป็นชาติตระกูลที่สูงมากใช่มั้ย? ก็เห็นคนอื่นต่ำหมดเลยติดปากคำว่าไอ้ถ่อย ถึงเวลาถามมาก็ ไปไหนมาไอ้ถ่อย..อย่างนี้ ถ้าตัวเองเป็นพราหมณ์อยู่มันไม่เป็นไรคราวนี้มาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา คนโกนหัวนี่สมัยก่อนเขาถือว่าเป็นคนจัญไร แล้วไปพูดลักษณะนั้นกับเขา เขารับไม่ได้ เขาก็ด่าคืนเอา มันเลยกลายเป็นโทษกับเขาไป ตอนหลังท่านเลยไปอยู่ป่ากลายเป็นที่รักของเทวดา
      ถาม :  เพราะอะไรเจ้าคะ?
      ตอบ :  ท่านเองท่านเป็นพระอรหันต์อยู่แล้ว เป็นที่รักของเทวดาก็เพราะว่าเทวดาอยากจะให้อยู่ ก็พลอยได้รับความเยือกเย็นไปด้วยจากท่าน ท่านเมตตาสั่งสอน แต่ว่าเวลาอยู่กับคนท่านลำบากเพราะท่านไปติดปากตรงจุดนั้น คนเขาไปฟ้องพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าบอกว่า ท่านเป็นพราหมณ์ติดต่อกันตั้ง ๕๐๐ ชาติคำนี้มันติดปากมาแล้วแก้ไม่ได้หรอก
      ถาม :  บางคนก็ปากหวานนะคะหลวงพี่ พูดอะไรก็ โห..เหมือนไม่รู้พูดมาจากไหน ทำไมพูดดีจัง
      ตอบ :  ปากหวานระวังก้นมันจะเปรี้ยว (หัวเราะ) แต่ว่าอย่างที่โบราณเขาว่านั่นแหละ อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หายใช่มัย? ปิยวาจาพูดดีเข้าไว้เคย ใครมันก็รัก
      ถาม :  อย่างลูกสาวนี่ตอนเล็ก ๆ นะคะเขาไป เหมือนไปวัดก็ไปด้วยกันแม่ลูกสามคน พอโตนี่ชวนแกก็ไม่ยอมไป ไม่ทราบพอจะแนะนำอุบายอะไรได้มั้ยคะ?
      ตอบ :  ไม่ต้องอุบายหรอกจ้ะ คือว่าเราเป็นแม่เราก็ทำของเราไป หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ชัดแล้วว่า คนต้นตรงกลางคดเดี๋ยวปลายมันก็ตรง พื้นฐานเก่าเขามี เหตุปัจจัยของการสร้างความดีของเขานี่แม่ให้ไว้เยอะแล้ว เดี๋ยวพอถึงเวลาพอเขาเกิดกระทบกระเทือนอะไรด้านจิตใจ เขาเลี้ยวเข้ามา ดีไม่ดี ไปได้มากกว่าเราเสียอีก
      ถาม :  นั่นคือลูก แต่สามีล่ะคะ?
      ตอบ :  สามีนี่ไม้แก่ดัดยาก (หัวเราะ) ก็พยายามช่วยเขามากที่สุด เท่าที่มากได้แล้วกันนะ
      ถาม :  เหล้ายังกินเหมือนเดิมเลยค่ะ
      ตอบ :  ไม่เป็นไรหรอก คนกินเหล้าไม่ใช่คนเลว จำไว้ ตอนเหล้าเข้าปากส่วนใหญ่อารมณ์ดีอยากได้อะไรต้องรีบขอตอนนั้น (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วอย่างเวลาเขากินเหล้านะคะ บอกว่า พ่อ...แม่จะไปทำบุญนะเอาเงินฝากแล้วก็อธิษฐาน ตรงนี้มันจะไม่พร่องไปเหรอคะ?
      ตอบ :  ก็พร่องบ้าง ก็ทำบุญแบบอสูรไง อสูรนี้เป็นเทวดาชนิดหนึ่ง แต่ว่าอันนั้นของท่านทำบุญ ท่านพร่องตรงที่ว่ามักจะขี้โกรธ ทำบุญผสมโทสะเลยเป็นอสูรของเราเองก็อาจเป็นประเภทพวกเดียวกับอสุรินทราหูไง เขาบอกว่าราหูขี้เมา จริง ๆ เทวดาเขาไม่ได้ขี้เมา คนไปว่าท่านเองต่างหาก เป็นเทวดาถ้าไม่มีศีลก็เป็นเทวดาไม่ได้ใช่มั้ย?
      ถาม :  แต่อย่างนี้เขาก็ได้บุญใช่มั้ย?
      ตอบ :  ได้อยู่ เพียงแต่ว่าส่วนที่ควรจะได้เต็มมันก็พร่องไปหน่อย เพราะว่าวัตถุทานบริสุทธิ์ใช่มั้ย? ผู้ให้บริสุทธิ์ ผู้รับบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ คราวนี้ว่า ผู้ให้ขาดความบริสุทธิ์ไปนิดหนึ่ง แล้วถ้าอีกสามส่วนบริสุทธิ์ก็อาจเหลือซักเจ็ดสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ก็ยังดีกว่าไม่ทำล่ะ
      ถาม :  เวลาหนูชวนเขาทำบุญ ถ้าเป็นวัดอื่นก็ไป แต่ถ้าเป็นวัดท่าซุง เขาบอกไม่เอาล่ะ ก็เพิ่งทำไปแล้วนี่ ฝากไปตั้งนานแล้ว ทำอะไรกันอีกบ่อย ๆ จะปฏิเสธทันทีอย่างนี้นะเจ้าคะ
      ตอบ :  มันอาจอยู่ลักษณะบางที เขาได้ข่าวว่าวัดรวยแล้วอะไรอย่างนี้ มีเยอะนะที่เขาบอกว่าวัดนี้รวยแล้ว แล้วทำไมไม่ไปทำที่วัดอื่นบ้าง โดยที่เขาเองก็ไม่ได้รู้เดี่ยวกับเรื่องเนื้อนาบุญว่ามันเป็นยังไง เรื่องเนื้อนาบุญ จริง ๆ แล้วสำคัญมาก น่าจะมีตัวอย่างของ อังกุระเทพบุตร กับ อินทกะเทพบุตร ให้เขาได้ฟังบ้าง จะได้รู้ว่าที่ตัวเองทำน่ะเหนื่อยแทบตายตั้งสองหมื่นปีทั้งกลางวันทั้งกลางคืนมีผลอยู่กระจึ๋งหนึ่ง ขณะที่อินทกะเทพบุตรตักบาตรครั้งเดียวในชีวิต กลายเป็นเทวดาที่มีศักดานุภาพที่สุดของดาวดึงส์ นั่นเพราะเนื้อนาบุญ
              คราวนี้คนพูดที่เขาเองขาดปัญญาตรงจุดนี้ เขาก็จะไม่เข้าใจ ทำไมต้องไปแต่วัดท่าซุง ที่อื่นไม่ไป ที่อื่นไปก็จะเหมือนกับที่ติดต่อกฐินให้เขานี่ พอโยมรู้ว่าความประพฤติเป็นยังไงนี่เฉาเลยล่ะ เฉาถึงขนาดที่จะเปลี่ยน แต่คราวนี้จะเปลี่ยนไม่ได้ รับปากเขาไว้แล้ว
      ถาม :  ถ้าอย่างงี้เราจะใช้อธิษฐานบารมีได้มั้ยคะ ขอ พระ พรหม เทวดาทั้งหมด ขอให้ช่วยดลใจสามี ถ้าไปทำบุญที่ไหนขอให้อย่าขวางขอให้คล้อยตาม?
      ตอบ :  อย่างนี้มันได้อยู่ แต่ว่ามันต้องดูช่วงกุศลกรรม อกุศลกรรมด้วย ถ้าเป็นช่วงที่กุศลกรรมส่งผลนี่มันจะมีผลทันทีตามที่เราต้องการเลย แต่ถ้าหากว่าบางช่วงอกุศลกรรมเข้าปุ๊บนี่ เขาจะเห็นผิดเป็นชอบอีกเหมือนเดิมอย่างนี้อย่าไปตำหนิกัน เพราะว่าของเขาเองถ้าหากว่าปกติธรรมดาเขาไม่เป็นอย่างนั้นหรอก มันเป็นการดลจิตดลใจจาก กิเลส ตัณหา อกุศลกรรมอะไรต่าง ๆ นานา มันพาให้เป็นไปถ้าหากว่าเขาไม่ก็บอกว่า โอเคไม่เป็นไรหรอก แม่ทำเองแล้วก็ช่วยโมทนาด้วยอะไรก็ว่าไปเลย
      ถาม :  .....
      ตอบ :  อยู่ที่จิตใจสละออก ถ้าจิตใจเรามีการสละออกจริงๆ เรามีเงิน ๑๐ บาท เราทำบุญ ๑ บาท นี่ถือว่าเยอะนะ ๑๐ เปอร์เซ็นต์แล้วใช่ไหม? แต่ถ้าคนทำบุญ ๑๐๐ บาทแต่มันมีเงิน ๕๐ ล้านบาทอย่างนี้การสละออกมันน้อยกว่า เพราะฉะนั้นจำนวนเงินไม่สำคัญ สำคัญที่จิตใจสละออกเป็นการตัดความโลภ ถ้ามีจิตใจสละออกเป็นการลดความตระหนี่ถี่เหนียว มีน้อยทำน้อยในสายตาคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วในสายตาของเรา เราต้องใช้กำลังใจในการเสียสละมาก คนที่มีเป็น ๑,๐๐๐ ล้านควักมาทำบุญ ๑ ล้าน ขณะที่เรามี ๑๐ บาท ควักทำบุญ ๑ บาท ใครจำนวนมากกว่ากันถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ? เพียงแต่ว่าคนที่มีมากทำมาก เรามีน้อยทำน้อย
              สมมติว่าถ้าทำสังฆทานด้วยกันนะจะไปเกิดเป็นมหาเศรษฐีเหมือนกัน แต่ว่าคราวนี้มหาเศรษฐีมีทรัพย์อย่างต่ำ ๘๐ โกฐิ คงประมาณ ๘,๐๐๐ ล้านในปัจจุบัน ถ้ามีทรัพย์ ๘๐ โกฐิของเขาจะมีมากกว่าเรา แต่ว่าต่ำสุดนั้น ๘๐ โกฐิ
      ถาม :  แล้วพวกนักการเมืองที่เขาคอรัปชั่นแล้วตายไปจะเป็นยัง?
      ตอบอันดับแรกถ้าจิตใจเศร้าหมองลงนรกก่อนตามโทษที่ตัวเองทำมาสารพัดสารเพ แล้วโทษคอรัปชั่นนี้จะมีในยมโลกีนรกคือนรกเล็ก ๆ ขุมหนึ่งที่มาคิดบัญชีต่างหาก พวกคอรัปชั่นนี้จะตกขุมที่เรียกว่า ปิสสกะปัพพตะนรก จะเป็นนรกภูเขาเหล็กแดงโร่เลยนะกลิ้งมาทับป่นเป็นแป้งเลย พอภูเขากลิ้งผ่านไป ลมกัมมัชชวาต พัดมาก็ฟื้นคืนมาเป็นตัวเป็นตนใหม่ ก็วิ่งหนีต่อให้เขาไล่ทับต่อไป