ถาม:  ..................... ?
      ตอบ :  มีอยู่วัดหนึ่งคือวัดอนงคาราม ถ้ามีโอกาสพยายามเข้าโบสถ์เขาให้ได้ โบสถ์นี่ถ้าไม่มีงานสำคัญจริง ๆ ไม่เปิด สายสิณจน์ที่เขาฟั่นไว้เส้นเท้านิ้วมือ ๗๐ ปีมาแล้ว ตั้งแต่สมัยหลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดอนงคารามยังอยู่ ท่านก็สุดยอดพระเลย และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าในโบสถ์เขาซ่อนของดีเอาไว้แค่สายสิณจน์เส้นนั้น ถ้าได้สักท่อนก็เหลือเฟือแล้ว แต่มีของดีกว่านั้นอีกคือมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งเป็นพระแก้วหน้าตักประมาณ ๕ นิ้ว ที่มาที่ไปไม่ชัดเจน เพราะว่าวันหนึ่งหลวงพ่อสมเด็จท่านกำลังภาวนาอยู่ ได้ยินเสียงคนเดินกึก ๆ ๆ ขึ้นมาแล้วก็เดินลงไปเฉย ๆ ท่านก็ไม่ได้เอะใจอะไร ตอนเช้าพอเดินมาเปิดประตูมากระแทกอะไรบางอย่างล้มตึงลงไป ท่านก็เลยออกมาดู เห็นห่อผ้าห่อพระอยู่ เป็นพระองค์เล็ก ๆ ท่านก็เก็บไว้รอเจ้าของเขามาทวงเป็นปี ๆ ก็ไม่มีใครมา
              จนกระทั่งท่านอดรนทนไม่ไหวก็เลยเอามาตั้งบูชาเสียเลย ปรากฏว่าพระองค์นั้นเป็นพระแก้ว แล้วพระแก้วที่โดนไฟไม่ได้จะออกรัศมีเป็น ๗ สีในแก้ว ลักษณะนั้นอาตมารู้แต่ว่าอยู่ข้างบนมี ข้างล่างยังไม่เคยเห็น ไม่รู้เขาเอามาอย่างไร เสร็จแล้วเขาจะตั้งซ่อนไว้ในบุษบก ซ่อนไว้แล้วปิดไฟไม่กล้าเปิด เราต้องย่องไปเล็งเอาเอง แล้วถ้าเปิดไฟเมื่อไรรัศมีจะเป็นรุ้งพราวมากเลย พวกลูกศิษย์ก็เดา ๆ กันว่าเทวดาท่านคงเอามาถวายหลวงพ่อสมเด็จ ทีนี้ท่านขี้อายไปหน่อยเอามาวางแปะแล้วก็ไปเลย
      ถาม :  เป็นหินรัตนชาติหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  คือลักษณะเป็นแก้วนี่แหละ แก้วใสแกะเป็นพระ ลักษณะที่เป็นประกายแบบแก้ว ๓ ประการ ๕ ประการ ๗ ประการ ๙ ประการ เรารู้แต่ว่ามีอยู่ข้างบน ข้างล่างโลกมนุษย์ไม่ค่อยได้เจอ เขาปิดข่าวเงียบเลย ถ้าไม่ใช่ประเภทเป็นการภายในกันจริง ๆ ไม่ค่อยรู้กันหรอก ของเราสมัยก่อนก็แวะไปเรื่อย ตอนนั้นหลวงพ่อเจ้าคุณไสวอยู่ หลวงพ่อเจ้าคุณยิ้มอยู่ เจ้าคุณสรภาณกวีอยู่ เพื่อนรวมวงน้ำปลาพริกป่นของหลวงพ่อสมัยสงครามโลกทั้งนั้น ชุดนั้นเป็นเจ้าคุณทั้งชุดเลย
      ถาม :  แล้วตอนนี้ยังมีใครอยู่บ้างครับ ?
      ตอบ :  ตอนนี้ก็คงเจ้าคุณยิ้มนั่นแหละ เจ้าคุณยิ้มตอนหลังสุดได้ยินว่าเป็นเจ้าคุณราชสุธี ไม่ทราบเหมือนกันว่าท่านเลื่อนหรือยัง น่าจะขั้นเป็นขั้นเทพได้แล้ว “ราช” มาหลายปีเต็มทีแล้ว เจ้าคุณสรภาณกวีมรณภาพไปแล้ว เจ้าคุณไสวมรณภาพไปแล้ว โดยเฉพาะหลวงพ่อเจ้าคุณเพทสุธี เคยเป็นอาจารย์สอนปริยัติให้หลวงพ่อด้วย ท่านมรณภาพไปเรียบร้อยแล้ว พระรูปนี้ดีแน่
              ตอนท่านมรณภาพนี่หลวงพ่อสมเด็จธีรญาณมุนี หลวงพ่อสมเด็จพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา ไปงานศพเป็นว่าเล่นเลย คนอื่นก็ไม่รู้ก็สงสัย พระใหญ่ ๆ โต ๆ กว่านั้นเยอะแยะ บางทีท่านก็ไม่ไป แต่ทำไมพระแค่เจ้าคุณเทพไปกันจัง คือพระที่ท่านปฏิบัติดี ท่านจะรู้ใครดีเท่าไร ในเมื่อพระท่านดีขนาดนั้นก็ไปกันเป็นว่าเล่น มีโอกาสย่อง ๆ ไปดูสิ ตอนนั้นเสียดายไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไป ไม่อย่างนั้นจะลองถ่ายรูป เรื่องกล้องถ่ายรูปนี่ยิ่งห้ามยิ่งชอบ ถ่ายทุกที่ ๆ ห้าม ไปเจอดีที่วัดหลวงพ่อดาบส ท่านมีพระแก้วมรกต หน้าตัก ๕ นิ้ว อยู่องค์หนึ่ง จะเป็นพระแก้วที่ทางด้านเจ้าผู้ครองนคร ทางเชียงแสนเขาสืบทอดกันมาเรื่อย มาระยะสุดท้ายไปถวายหลวงพ่อไว้ ท่านจะสร้างเป็นหอพระแก้วใต้ดิน แข็งแรงมาก แล้วมีลูกกรงล้อมหมดทุกอย่าง ห้ามถ่ายรูป กลัวว่าพวกขโมยวัตถุโบราณเขาได้รูปไปเดี๋ยวจะมีใบสั่งมา ผมเองมันดื้อเป็นปกติอยู่แล้ว ผมจะตั้งใจถ่ายรูป ของเรามีเลนส์ซูม กล้องเล็ก ๆ มีเลนส์ซูมตั้ง ๑๔๐ มิล แหย่เข้าช่องลูกกรองแล้วก็ซูมเลย ปรากฏว่าพอกดชัตเตอร์มันช็อตดังพรึบ หงิกเงียบสนิท กล้องไม่พังแต่ช่วงนั้นใช้งานไม่ได้ไปเลย พออกมาข้างนอกแล้วก็เคาะ ๆ เขย่า ๆ หน่อยก็ใช้งานได้ต่อ อันนั้นยังไม่เจ็บปวดพอหรอก ตอนล้างฟิล์มนี่สิเครื่องบูชาต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ฉัตรเงิน ฉัตรทอง ติดครบทุกอย่างแต่องค์พระแก้วมรกตไม่มี ทุกอย่างติดหมดชัดแจ๋วเลย เราเชื่อฝีมือเราอยู่แล้ว แต่องค์พระแก้วไม่มี เอ๊ะ! เราดูอยู่ตั้งนานรูปนี้ถ่ายตรงไหน คือเราถ่ายเราต้องจำได้ใช่ไหม นึกไปนึกมา อ๋อ! รูปตอนที่กล้องมาช็อตนั่นแหละ ไปจำได้ว่ามีต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ฉัตรเงิน ฉัตรทอง แต่องค์พระแก้วไม่มีถ่ายไม่ได้ ไปเจอทีเด็ดมาหลายที่เหมือนกัน
              ที่หนี่งอยู่ที่พม่า พม่านี่ก็ไม่เหมือนกันได้รัฐบาลทหารมัวแต่คอรัปชั่นกันอยู่ จนกระทั่งไม่เห็นความสำคัญทางประวัติศาสตร์หรืออย่างไรไม่รู้ วัดนั้นอยู่ที่ย่างกุ้ง เขาเรียกวัดอะเลงงาซินท์ เราเข้าไปถึง เอ๊ะ! ทำไมข้าวของประณีตขนาดนี้แม้จะเก่า ดูไปดูมาเจ้าประคุณเถอะ ของเขาภาษาพม่าเราอ่านไม่ออกหรอกแต่ภาษาอังกฤษอ่านออก เป็นพวกเครื่องราชูปโภค ของพระมหากษัตริย์ทั้งนั้นเลย แล้วเขาก็ปล่อยไว้ให้ฝุ่นเกาะ หยากไย่จับกันเป็นกระตั๊กเลย แต่ละชิ้นบางทีก็เป็นพวกวอ พวกพระราชยานคานหาม มีแม้กระทั่งพระแท่น แล้วก็ฉากท้องพระโรง สำหรับตอนออกว่าราชการ แกะลวดลายนี่สุดยอดฝีมือเลย พอทิ้งไว้ให้ฝุ่นเกาะให้ใยแมงมุมจับ เสร็จแล้วแม่ชีแกก็พาขึ้นไหว้พระข้างบน เป็นพระพุทธรูปทองคำ หน้าตัก ๓๐ นิ้ว จากคำบรรยายภาษาอังกฤษที่เขาเขียนไว้เป็นพระประจำ ๖ รัชกาลสุดท้ายของพม่า ไล่ตั้งแต่พระเจ้าอลองพญามาจนถึงพระเจ้าธีบอ พระเจ้าธีบอนี่เป็นองค์สุดท้ายเลยก่อนที่อังกฤษจะยึดพม่า มียายชีแก่ ๆ เฝ้าอยู่คนเดียวจะโดนเขาบีบคอตายวันไหนก็ไม่รู้ ถ้าเป็นบ้านเราก็เรียบร้อยไปนานแล้ว พอเห็นก็ โอ้โห! นอกจากท่านงามแล้วยังทองคำแท้ ก็เลยตั้งใจถ่ายรูปไป ๓ ที ถ่าย ๓ ทีไม่เคยได้เลย มีไม่กี่ทีที่ท่านไม่ให้ ท่านไม่ให้จริง ๆ ของเราขนาดพระแก้วมรกตยังขอถ่ายได้ ใครไปถ่ายรูปในโบสถ์ดูสิเขายึดฟิล์มเลย เราอธิษฐานถามท่านว่าถ่ายได้ไหม ท่านบอกว่าได้ ยกกล้องเลย เหลือบดูเจ้าหน้าที่ ๘ คน เขาพร้อมกันหันหลังให้หมด พอเราถ่ายเสร็จเก็บกล้องเสร็จถึงหันหน้ามาเหมือนอย่างกับท่านจัดฉากไว้ให้เลย แต่แหม! ๒ องค์นี่ถ่ายยังไงก็ถ่ายไม่ได้ ยอมแพ้ท่านจริง ๆ อยากให้คนไทยดูว่าพระประจำรัชกาลพม่าเขาสวยขนาดไหน ถ่ายกี่ทีไม่ได้ได้ดีเลย
      ถาม :  เป็นศิลปะพม่าหรือครับ ?
      ตอบ :  เป็นศิลปะพม่า เป็นพระทรงเครื่องแต่ทำเป็นทองคำทั้งองค์ ทองคำขนาดหน้าตัก ๓๐ นิ้ว โอ้โห! ยกไหวหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะทองจะหนักกว่าปกติอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีพวกภาชนะที่ใช้ในการเสวยพระการะยาหารของพระเจ้าอลองพญา อะไรต่าง ๆ ถึงได้บอกว่าคนโบราณตัวใหญ่จริง ๆ ชามข้าวของท่านประมาณชามโคมสมัยนี้ ดูท่าจะใหญ่กว่าชามโคมด้วย กะละมังย่อม ๆ เลยล่ะ แต่ว่ามันเป็นลักษณะคล้าย ๆ เครื่องเบญจรงค์ของเรา ดูประณีตหน่อยสวยหน่อย จริง ๆ พระเจ้าอลองพญาท่านเคยมาตีอยุธยานะ ไปตั้งกองบัญชาการรบอยู่ที่วัดหน้าพระเมรุวัดหน้าพระเมรุเลยเป็นวัดเดียวที่รอดพ้นจากการทำลายของพม่า ไม่ได้ถูกเผา พาเก๋เขาไปไหว้พระแล้ว เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง วัดหน้าพระเมรุ งามมาก รูปอยู่ในนี้คำบรรยายยังไม่มาน่าจะมาพรุ่งนี้
              หลังสงกรานต์ไปตระเวนไหว้พระหลายวัด ชื่นใจ มีเวลาแค่ ๓-๔ วัน ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงไปไม่ได้เยอะขนาดนั้น คนที่ไม่เคยรู้จักกรุงเทพฯ เขาไม่รู้จักจริง ๆ ที่ขำที่สุดก็คือเอาเกลือไปแจกพวกแม้วบนดอย ก็ตอนที่เอาข้าวของไปแจกผู้ยากจนในถิ่นทุรกันดาร ของเราจะมีการสำรวจล่วงหน้าแล้วถามความต้องการของเขาก่อน ปรากฏว่าเขาต้องการเกลือมากเป็นพิเศษ ของเราจะไปคิดว่าเป็นเสื้อผ้า ผ้าห่ม ไม่ใช่หรอกเขาต้องการเกลือ ขนไป ๕ ตันไม่พอแจก แล้วเขาก็ถามว่าเป็นอย่างไรเกลือทางใต้เขาหามาจากไหน ก็บอกเขาว่าทำนาเกลือกัน แม้วว่าอย่างไรรู้ไหม เฮาบ่เชื่อ เกลือปลูกบ่ขึ้นดอก จริงของเขาเกลือปลูกไม่ขึ้นจริง ๆ เขาจะไปทำนาเกลือได้อย่างไร เราก็เสียเวลาอธิบายเขาอีกนาน น้ำลายแห้งเลยกว่าจะรู้ว่าเขาทำนาเกลือกันอย่างไร นั่นแหละคนไม่รู้จักเขาไม่รู้จักจริง ๆ เพราะฉะนั้นไม่แปลกหรอกว่าเก๋เขาไม่รู้จักสวนจตุจักร ไม่เจออะไรตลก ๆ แถวดงแม้ว ดงอาข่า อาข่านี่เขาเรียกอีก้อ แล้วพวกดงกะเหรี่ยงนี่เยอะ กะเหรี่ยงทางด้านศรีสวัสดิ์บางหมู่บ้านนี่พระธุดงค์ไปถึงสึกเสียเยอะต่อเยอะด้วยกัน สึกเกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ตัวพ่อบ้านนี่เขาก็พาสาว ๆ ที่ยังไม่ได้แต่งงานในหมู่บ้านมาเป็นแถวเลย พระคุณท่านชอบคนไหนสึกมาแต่งได้เลย ถึงขนาดนั้นเลย
              อย่างที่ตะเพินที่พาเก๋เขาไปเยี่ยมมือบื่อ ที่โน่นถ้าหากว่าแต่งงาน สินสอดที่เห็นส่วนใหญ่ก็เป็นเหล้าไหไก่คู่ หมูตัวหนึ่งแค่นั้นเอง ตอนนั้นท่านแสงเขายังไม่ได้บวชเขาก็ขับรถพาเราขึ้นไป เขาบอกถ้าน้องชายอาจารย์ไม่ต้องหรอกแค่ดอกไม้ไหว้ผีก็พอ เจริญเถอะ เขาพอใจเขาก็พอใจกันเลยอย่างนั้น แต่ว่าเรื่องธรรมเนียมของเขาจะต้องมีการไหว้ผี ปู่ ย่า ตา ทวด ของเขาอย่างนั้นแหละ เขาต้องมีอยู่ แต่เรื่องสินสอดทองหมั้นอะไรเขาไม่ได้เรียกอะไรมากมายหรอก ส่วนใหญ่ก็แค่เลี้ยงกันในหมู่ญาติ เมากันหัวทิ่มตัวตำ อันนี้ยังดีกะเหรี่ยงยังตรงไปตรงมา ถ้าพวกเย้านี่ไม่ค่อยตรงไปตรงมาหรอก ผู้หญิงมักจะแอบเลี้ยงหมูไว้ พอถึงเวลาผู้ชายจะมาขอก็เอาหมูให้ผู้ชาย จะได้ไปขอกับพ่อ เดี๋ยวผู้ชายหาหมูไม่ได้ตัวเองจะไม่ได้แต่ง
      ถาม :  ได้ฤกษ์พรหมประสิทธิ์หรือยัง ?
      ตอบ :  เอาสิ เอากระดาษมาเอาปากกามา ฤกษ์พรหมประสิทธิ์นั้นเป็นวันที่ใช้สำหรับทำกิจการต่าง ๆ อะไรทุกอย่างได้ หลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ว่า ถ้าฤกษ์อื่นบอกว่าไม่ดี ถ้าฤกษ์พรหมประสิทธิ์บอกว่าดี ให้ใช้ตามพรหมประสิทธิ์ เพราะว่าพรหมประสิทธิ์เป็นฤกษ์ใหญ่ที่สุด คุมฤกษ์อื่นได้หมด อย่างเช่นว่าปีนี้วันจันทร์เป็นอุบาทว์ วันเสาร์เป็นโลกาวินาศ แต่ถ้าหากว่าวันจันทร์กับวันเสาร์ตรงกับฤกษ์พรหมประสิทธิ์พอดี ให้ใช้ตามพรหมประสิทธิ์ คราวนี้ฤกษ์ในแต่ละวันท่านจะแบ่งเป็นอมฤตโชค มหาสิทธิโชค สิทธิโชค จะมี ๓ ช่วงด้วยกัน
              วันอาทิตย์จะเป็น ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๑ ค่ำ และ ๘ ค่ำ เป็นอมฤตโชค ๑๔ ค่ำเป็นมหาสิทธิโชค ๑๑ ค่ำเป็นสิทธิโชค
              วันจันทร์ก็ ๓ ค่ำ ๑๒ ค่ำ ๕ ค่ำ
              วันอังคารก็ ๙ ค่ำ ๑๓ ค่ำ ๑๔ ค่ำ
              วันพุธก็ ๒ ค่ำ ๔ ค่ำ ๑๐ ค่ำ
              วันพฤหัสบดี ๔ ค่ำ ๗ ค่ำ ๙ ค่ำ และ ๔ ค่ำเป็นอมฤตโชค ๗ ค่ำเป็นมหาสิทธิโชค และ ๙ ค่ำเป็นสิทธิโชค
              วันศุกร์ ๑ ค่ำ ๑๐ ค่ำ ๑๑ ค่ำ
              วันเสาร์ ๕ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ๔ ค่ำใช้ได้ทั้งข้างขึ้นและข้างแรม
      ถาม :  ............(ไม่ชัด)............
      ตอบ :  อ๋อ! อันนั้นว่าตามฤกษ์พรหมชาติ ในพรหมชาติอย่างเช่นว่าวันอาทิตย์ก็จะพระอาทิตย์ จะเสวยอายุก่อน ๖ ปี แล้วถัดไปก็จันทร์ ๑๕ ปี อังคาร ๘ ปี พุธ ๑๗ ปี อย่างนี้ไปเรื่อย ๆ แต่คราวนี้ไม่ตรงกัน เพราะจากพุธ แล้วจะเป็นพฤหัสบดี เสาร์ ราหู ศุกร์ อย่างนี้สลับกันไป ก็จะรวม ๆ กันแล้วประมาณ ๑๐๘ ปี คราวนี้ในแต่ละปีอย่างพระอาทิตย์เสวยอายุ ๖ ปี ก็ไม่ได้หมายความว่าพระอาทิตย์เสวยอายุตลอด ก็จะมีดาวอื่นจรเข้ามาในราศีอีก เพราะฉะนั้นเขาจะมีบอกรายละเอียดว่า กี่ปี กี่เดือน กี่วัน ดาวดวงไหนจะเข้ามาเสวยอายุในช่วงนั้น ก็ทำการรับทำการส่งไปให้ถูกต้องก็จะมีแต่ผลดี
      ถาม :  ปีหนึ่งเรามีพิธีแค่ครั้งหนึ่งใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  บางทีก็หลายครั้ง เพราะว่าแต่ละปีอย่างเช่น ดาวบางดวงนี่เสวยอายุก็จะอยู่ประมาณ ๒-๓ เดือน
      ถาม :  ข้าวของเครื่องใช้ที่ใช้รับใช้ส่งล่ะครับ ?
      ตอบ :  จะใช้ตามกำลังวัน อย่างเช่นว่า วันอาทิตย์ก็ใช้ธงแดง ๖ ผืน ธูป ๖ ดอก เทียน ๖ เล่ม ข้าวตอก ๖ ถ้วย เงิน ๖ บาท ถ้าวันจันทร์ก็อย่างละ ๑๕
              เรื่องกฎของกรรมก็เป็นเรื่องแปลก ถ้ายังไม่ถึงวาระไม่ถึงเวลาเราก็ช่วยเขาไม่ได้ โยมนั่นแกโดนมาเต็ม ๆ เลย แต่ว่าพอเราถามเขาว่าโยมจ๋าเป็นอย่างไร เจ็บไข้ได้ป่วยบ่อยไหมจ๊ะ แกไม่ได้ยินเอาเฉย ๆ เสียอย่างนั้น ถ้าแกพูดสักคำหนึ่งเราก็จะต่อได้ว่าให้แก้อย่างไร แต่คราวนี้ถ้าอาการอย่างนี้เราจะต้องรู้ทันทีเดี๋ยวนั้นเลยว่ายังไม่ถึงวาระ ไปยุ่งกับเขาไม่ได้ ต้องปล่อยเลยตามเลย ไม่ใช่หมองอย่างเดียวหรอกมันเต็ม ๆ เลย คือเห็นปุ๊บก็รู้อยู่แล้วว่าเขาไปโดนมา แต่ว่าเรื่องของพระพูดได้แค่จำเป็น มันต้องไปตามขั้นตอนของมัน คราวนี้พอประโยคแรกเราเริ่มเขาไม่สานต่อ ก็แสดงว่ากรรมเขาหนักไปต่อไม่ได้แล้ว ในเมื่อไปต่อไม่ได้เราก็ต้องหยุด
              จริง ๆ ก็วันก่อนที่พระท่านบอกก็เป็นห่วงญาติโยม ท่านบอกว่าสถานการณ์ปี ๒๕๔๖-๒๕๔๘ ไม่ใช่จะดี มันดีมันดีไม่จริง เดี๋ยวก็มีตัวถ่วงตัวฉุดอยู่เรื่อย โดยเฉพาะสภาพสงครามข้างนอกจะตีกัน จะวางมวยกัน ยังมีอีกไม่ใช่จบลงไปแล้ว บ้านของเราท่านบอกไว้ตั้งหลายปีแล้วถ้าควบคุมปักต์ใต้ได้แทบจะไม่มีปัญหา
              คราวนี้ดูสิปัญหาเริ่มมีอีกแล้วก็เลยยุ่ง อาตมาเองงานก็เริ่มเยอะขึ้น ๆ เจ้าคณะอำเภอเขาจะเอาวัดมาเพิ่มให้อีกแล้ว เดี๋ยวนี้รวยเลยมีแต่คนเอาวัดมาให้ วัดนี้ชื่อวัดห้วยปากคอก ห่างจากวัดท่าขนุน ประมาณ ๕๐ กิโลเมตร เป็นวัดที่แปลกมากที่ผืนเดียวมีข้างหน้า ๑ วัด ข้างหลัง ๑ วัด แล้วจะให้เราไปจัดการ เพราะอะไรรู้ไหม ก็เจ้าของที่นั่นแหละพอบริจาคที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว พอมีพระเข้าไปอยู่เขาก็ไปควบคุมพระ พอพระเขาไม่ยอมให้ควบคุมเขาก็ไม่สามารถจะจัดการได้ ก็หาพระอีกชุดหนึ่งมาอยู่ข้างหน้าเลย ก็เลยกลายเป็นว่าสถานที่เดียวแต่จะแตกแยกกลายเป็น ๒ ฝ่ายจะเป็นสังฆเภทอยู่แล้ว เจ้าคณะอำเภอก็บอก อาจารย์เล็กช่วยไปอยู่ให้หน่อยได้ไหม บอกโอ้โห! ตอนนี้ของผมเอง ๖-๗ วัด ก็เหลือเกินแล้ว ไม่ไหวทีไรก็จะเอาเราไปทุกที พระดูแล้วเป็นพระ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
      ถาม :  มีพระเป็นรูปท่านไหมคะ ?
      ตอบ :  พระ อ๋อ! รูปอาตมาหรือ รอก่อนจ้ะ กะว่าอายุ ๘๐ ปีแล้วจะแจก เอาไว้อยู่ถึงนะจ้ะ ถ้าอยู่ไม่ถึงคำสัญญานี้ยกเลิกไป แจกก็แจกครูบาอาจารย์สิ จะมาแจกอะไรตัวเองล่ะ
      ถาม :  เคยมีไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่เคยทำเลยจ้ะ
      ถาม :  ..............(ไม่ชัด).............
      ตอบ :  เรื่องของคน จะดีจะชั่วในปัจจุบันที่ตาเราเห็นนั้น วัดสัมปรายภพของเขาไม่ได้ หมายความว่าในปัจจุบันที่ดีแสนดีแต่ตายแล้วอาจจะลงนรกก็ได้ ปัจจุบันนี้ต่อให้ชั่วแสนชั่วตายแล้วอาจจะขึ้นสวรรค์ก็ได้ ฟังดูเหมือนไม่ยุติธรรม แต่จริง ๆ แล้วสำคัญตรงจิตสุดท้ายว่าเกาะอะไร ถ้าจิตเกาะความดีต่อให้ทำชั่วมาตลอดชีวิต
              อย่างสุปติฏฐิตเทพบุตรที่ท่านชั่วชนิดที่ถ้าตายต้องลงนรกทุกขุมเลย แต่บังเอิญว่าบุญเก่าในอดีตส่งผลให้ทัน ท่านนึกขึ้นมาได้ว่าท่านป่วยหนักขนาดนี้ไม่มีใครช่วยได้ เขาลือว่าพระสมณโคดมคือพระพุทธเจ้าเก่งมาก ถ้าท่านมารักษาเราคงจะหาย คิดถึงพระพุทธเจ้าแค่นี้ตายแล้วก็เลยไปอยู่บนสวรรค์เป็นเทวดา
              ส่วนพระนางมัลลิกาเทวีทำความดีมาตลอดชีวิต มีโอกาสถวายอสทิสทาน ซึ่งในพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งจะมีผู้ที่ถวายอสทิสทาน ได้ครั้งเดียว เพราะเป็นทานที่มีใครจะถวายได้เท่า แต่ว่าท่านตายแล้วก็ลงนรกเสีย ๗ วัน ยุติธรรมไหม ? ก็ยุติธรรมดีเพราะว่าท่านคิดถึงความชั่วนิดหนึ่ง ท่านตายแล้วท่านลงนรก ๗ วัน แต่อันโน้นทำความดี คิดถึงความดีนิดหนึ่งก็ไปสวรรค์อยู่ ๗ วัน แต่บังเอิญสุปติฏฐิตเทพบุตร บุญเก่าท่านเคยทำไว้เยอะในชาติก่อน ๆ พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรดพุทธมารดาพอดี ท่านได้ฟังเทศน์ต่อกลายเป็นพระโสดาบัน จาก ๗ วันก็เลยอยู่มาจนทุกวันนี้ ส่วนพระนางมัลลิกาเทวีพอครบ ๗ วันมนุษย์ ท่านก็ขึ้นไปอยู่ข้างบนแล้ว พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า บุคคลผู้ตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาทรงอัปปนาสมาธิ ทำทิพจักขุญาณให้เกิดเห็นนรกเห็นสวรรค์ได้ กล่าวว่าคนทำความดีไปสวรรค์ส่วนเดียว ทำความชั่วไปนรกโดยส่วนเดียว ตถาคตกล่าวว่าไม่ใช่ คือจะบอกว่าคนทำความดีไปสวรรค์ทั้งหมด ทำความชั่วลงนรกทั้งหมดนั้นไม่ใช่หรอก ขึ้นอยู่กับวาระสุดท้ายท่านเกาะอะไร ก่อนหน้านี้อาตมาเองชอบบอก บอกไปบอกมาหลวงพ่อสั่งห้าม หมดสนุกไปเลย
      ถาม :  เราคนธรรมดา เราไม่ทราบจิตสุดท้ายก่อนจะตาย ?
      ตอบ :  ก็ตั้งใจทำบุญไปเถอะ โบราณเรานี่จริง ๆ แล้วท่านกำหนดรูปแบบเอาไว้ดีก็คือว่า ให้มีการทำบุญหน้าศพกี่วัน ๆ อาจจะทำ ๓ วัน ๗ วัน ถึงเวลาเผาไปแล้วก็มีการทำบุญกระดูก มีการทำบุญ ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง ๑๐๐ วันบ้าง เวลาของตำหนักพระยายมต่างกับโลกมนุษย์เรามาก ของเขาวันหนึ่ง ๕๐ ปีของเรา
              เพราะฉะนั้นช่วงเวลาที่คน ๆ หนึ่งตายแล้วเดินทางไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายมนี่ภายใน ๓ เดือน ยังไม่มีการตัดสินใจกันง่ายนักหรอก เพราะฉะนั้นที่ท่านกำหนดให้ถึงทำบุญ ๑๐๐ วันเลยก็คือ อยู่ในราว ๓ เดือน กับ ๑๐ วัน ถ้าช่วงทั้งหลายเหล่านั้น เราทำบุญได้ทันเขาได้รับการโมทนาบุญได้ ไปดีเลยไม่ต้องเสียเวลาไปให้เขาตัดสิน โบราณนี่เขารู้จริง แต่เขาไม่ได้บอกรายละเอียดไว้ เราก็แค่ว่าทำไมต้องมีการทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน เผื่อกันเหนียวไว้ ทำไปเยอะ ๆ
      ถาม :  ทำบุญกระดูก ถวายสังฆทานอย่างนี้ได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ได้จ้ะ เรื่องของสังฆทานที่ผีเขาขอ ก็อาหารสดหรือแห้งก็ได้จ้ะ เรื่องของสังฆทานผีเขาขอเอาไว้ ๓ อย่างเท่านั้นคือ พระพุทธรูป ๑ องค์ หน้าตักต้องไม่ต่ำกว่า ๕ นิ้ว แล้วก็อาหารสดหรืออาหารแห้งก็ได้ แล้วก็ผ้าชิ้นหนึ่งจะเป็นผ้ากว้างคืบยาวคืบขึ้นไป ท่านบอกว่าเรื่องของผ้าท่านจะได้เครื่องประดับเป็นทิพย์ เรื่องของอาหารร่างกายจะเป็นทิพย์ อิ่มทิพย์ไม่ต้องกินอีก เรื่องของพระพุทธรูปจะมีอานุภาพมากมีรัศมีกายสว่างมาก เทวดาเขาวัดความรวยกันตรงที่ว่าใครรัศมีกายสว่างกว่า คนตายถ้าหากว่าลูกหลานรู้จักทำบุญไปให้ก็ถือว่าโชคดีลูกหลานไม่รู้จักทำก็ยุ่งเหมือนกัน
              มีหลวงปู่มหาอำพันท่านอยู่วัดเทพศิรินทร์ เป็นสหธรรมิกคือเพื่อนของเจ้าคุณนรฯ หลวงปู่ท่านบวชก่อน แต่ว่าท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านมีความสามารถ หลวงปู่เลยยกท่านเป็นครูบาอาจารย์ พอเจ้าคุณนรฯมรณภาพหลวงปู่ทำบุญให้ทุกวันศุกร์ เพราะถือว่าท่านมรณภาพวันศุกร์ เพราะฉะนั้นวันศุกร์ถือเป็นการครบรอบวันตาย ฉะนั้นกุฏิหลวงปู่จะมีการถวายสังฆทานทุกวันศุกร์ ท่านถวายติดต่อกันมาหลายสิบปี จนกระทั่งตอนนี้หลวงปู่ท่านไปเองแล้ว
              โยมเคยได้เห็นมั้งพิธีนี้ พอเขาพุทธาภิเษกเสร็จ หลวงพ่อท่านสั่งสร้างสมเด็จองค์ปฐม ๓๐,๐๐๐ องค์ ปรากฏว่าเวลาช่างถอดแล้วซุ้มจะหัก เพราะว่าซุ้มจะเล็ก ๆ ช่างก็เลยทำมาได้แค่ ๓,๐๐๐ องค์ แล้วคนเป็นแสน คิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น อันนี้ผ้ายันต์เกราะเพชร คราวนี้อาตมาเองก็ถือว่าเราอยู่ในวัดเป็นคนจำหน่ายเองด้วย ก็จัดแจงจองไว้ก่อนเลย ๑๐๐ องค์ พอถึงเวลาพุทธาภิเษกเสร็จก็คว้าหนึ่งถุงใส่ย่ามปั๊บ ที่เหลือเอาไปจำหน่าย ปรากฏว่าเกือบจะโดนเขาเหยียบตาย ตอนนั้นทหารเอาไม่อยู่ สารวัตรทหาร ๕-๖ คน ช่วยกันกันเอาไม่อยู่ โยมเขากระแทกเข้ามาแล้ว เคาน์เตอร์ขายของสูงประมาณหน้าอก เขากระโดดข้ามมาเลยคือจะเอาให้ได้ เพราะข้างหลังเขารอกันแน่นไปหมด ข้างหน้าก็ต้องเอาให้ได้ คนไม่ได้ยืนร้องไห้ก็มี เราไม่รู้จะทำอย่างไรก็เสียสละของเราควักออกมาให้เขา สรุปว่า ๑๐๐ องค์ จองไว้อาตมาเหลือแต่ถุง เรื่องของศรัทธาคนนั้นพูดยากเพราะว่า โดยเฉพาะอย่างหลวงพ่อด้วย โอ้โห! ลูกศิษย์ไปทีเป็นแสน ๆ คน แล้วของมีแค่นั้น จะไปโทษช่างก็โทษไม่ได้เพราะเขาเต็มที่ของเขาแล้ว เราก็รู้ว่าถอดแบบถอดยากจริง ๆ เพราะว่าซุ้มจะเล็ก ๆ แล้วก็บาง ๆ เท่านั้นเอง แล้วผิดท่า ถ้าหักก็ต้องเริ่มใหม่ เขาอุตส่าห์ถอดออกมาได้ ๓,๐๐๐ องค์ นี่ก็นับว่ายอดเยี่ยม งานนั้นหลวงพี่วิรัชเป็นลมเลย เพราะว่าโยมเบียดอัดเข้าไปแล้วตัวเองหนีก็หนีไม่ได้ หายใจ หายใจก็หายใจไม่ได้ เป็นลมไปเลย สารวัตรทหารเป่านกหวีดห้ามเท่าไรก็ไม่อยู่ ดันทหารกระจายไปหมด
      ถาม :  สมัยหลวงพ่ออยู่ เป่ายันต์เกราะเพชรเห็นคนแล้วกลัวเลย คนเป็นแสนเลยครับ ศาลาใหญ่ ๆ ไม่พอ ?
      ตอบ :  เป่ายันต์เกราะเพชรครั้งแรกคนไม่กี่พันคน ทำกันที่ศาลาพระพินิจอักษร พอครั้งที่ ๒ ขยับไปทำที่ศาลา ๒ ไร่ ยังทำไม่เสร็จศาลา ๒ ไร่ พระประธานก็เพิ่งทาสีพื้น พื้นนี่เจ้าประคุณเถอะ ท่านต้องเอาฝุ่นปูนไปสาดเอาไว้เพื่อให้พื้นที่ยังไม่แห้งเพราะเพิ่งจะเทพื้น ก็นั่งไปเถอะกางเกงกระโปรงลายหมดแหละ คนเข้าไปแน่นตรึม งานเป่ายันต์ครั้งที่ ๒ เรามีส่วนร่วมในโรงครัวอยู่ ใช้ข้าวสารไป ๒๒ กระสอบ หุงข้าวเลี้ยงโยม พอเป่ายันต์ครั้งที่ ๓ เจ้าประคุณเถอะ แค่ช่วงเช้ายังไม่ทันจะเพลเลยหมดไป ๒๒ กระสอบ ต้องวิ่งสั่งกันอุตลุดเพราะเราคิดว่า ๒๒ กระสอบ เขาเตรียมไว้แค่ ๒๐ กระสอบ แล้วจะเหลือหรือ คือประเภทคนหนึ่งบอกต่อสัก ๒ คน ก็มามากกว่า ๓ เท่าแล้ว เราก็ลืมนึกถึงจุดนั้นไป แต่ว่าได้ทำงานกับหลวงพ่อดีตรงที่ว่ามันรอบด้าน ต่อไปเวลาทำอะไรโอกาสพลาดจะมีน้อย เพราะรอบคอบขึ้นเยอะ ต้องคิดเตรียมการไว้หมดทุกอย่าง
              ที่ใหญ่ที่สุดเลยก็คืองานเผาศพจำลอง ตอนนั้นศาลา ๑๒ ไร่ ก็ยังสร้างไม่เสร็จ พระประธานบนศาลา ๑๒ ไร่ก็มีทาสีบ้างไม่ทาสีบ้าง ยังไม่ได้ปิดทองเลย ปรากฏว่าที่นอนไม่มี โยมเขาแห่กันไปเกิน ๓๐๐,๐๐๐ คน ปกติอัตราไปตอนช่วงงานเกราะเพชรจะประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คน ห้องพักของวัดรับไหว แต่งวดนั้นเกิดแห่กันไปด้วยเหตุอะไรก็ไม่รู้ เกิน ๓๐๐,๐๐๐ คน ในเมื่อห้องพักรับไม่ไหว ญาติโยมต้องหาที่นอนเอง ศาลา ๑๒ ไร่ นอนกันแน่นตรึมเลย พวกเด็ก ๆ ที่ขายของหน้าวัดไปเหมาหนังสือพิมพ์เก่าในตลาดมากิโลกรัมละ ๖ สลึง แล้วเอามาขายฉบับละ ๓ บาท ให้เขาปูนอนกัน ถ่ายรูปมาอย่างกับพวกอเมริกันดูซุปเปอร์โบล์ แน่นตรึมเพราะศาลา ๑๒ ไร่ เวลาถ่ายรูปมีมุมกว้างเห็นชัดเลยทั้งชั้นบนชั้นล่าง
              แล้วมาอีกงานหนึ่งก็งานประจำปีแล้วรุ่งขึ้นเป่ายันต์เกราะเพชร งานนั้นอาตมายืนจนขาบวมเท่าตัวเลย ยืน ๔๘ ชั่วโมงเต็ม ๆ ยืนจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ ไปไหนไม่ได้ คนไหลมาทั้งกลางวันกลางคืน ปกติแล้วงานเป่ายันต์เกราะเพชรหรือว่างานประจำปีนี่พอเสร็จงานคนก็ไหลออกไปเลย
              คราวนี้วันรุ่งขึ้นมีงานใหญ่รออยู่เขาก็ไม่กลับ อยู่กันเต็ม ๆ เลยจะเป็นลมตาย ยืนกันขาบวม ถึงได้รู้ว่าเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนจริง ๆ แล้ว เป็นอย่างไร รุ่งขึ้นหลวงพ่อถึงขนาดบอกเอากาแฟผสมกระทิงแดงมาเลย งานนั้นก็เห็นโทษของสารกระตุ้น เพราะว่าพระ เณร ต้องทำงานกันหามรุ่งหามค่ำ บางคนก็กาแฟ บางคนก็กระทิงแดง บางคนกระทิงแดงผสมกาแฟอย่างหลวงพ่อท่านทำ รุ่งขึ้นน็อกหมด เลิกงานมีเราบิณฑบาตอยู่รูปเดียว ของเราไม่กินพวกนี้เลย ในเมื่อไม่กินเลยยืนด้วยกำลังตัวเอง พอได้นอนเต็ม ๆ คืนหนึ่งก็หาย ไปต่อได้ ของเขาไปเร่งเสียจนหมดพลัง รุ่งขึ้นนอนแผ่หลากระดิกกันไม่ออก ยังดีว่ารุ่งขึ้นทางสวนไผ่เขายังเลี้ยงอาหารเช้าอยู่อีกมื้อหนึ่ง ไม่อย่างนั้นได้อดกันบ้างแหละ
              มีชื่อเสียงขึ้นไปก็แปลก คนพลอยโมทนายินดีดก็มี คนอิจฉาก็มี คนอยากลองก็มี สมัยก่อนหลวงพ่อท่านก็โดนหัวไม่ว่างหางไม่เว้น เขาทำจากสถานที่ของเขามั่ง เขาก็ไปทำที่วัดบ้าง ระยะนี้อาตมาก็เริ่มโดนบ้างแล้ว ของแถมเยอะ สมัยนั้นเขาก็ส่งโน่นส่งนี่ไปเรื่อย ของเรานี่เดี๋ยว ๆ ก็เก็บได้
      ถาม :  พวกทำคุณไสยส่งมาหรือคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ พวกคุณไสยนี่แหละ รอบโบสถ์ ยิ่งคืนวันอังคารกับวันเสาร์นี่ไปนั่งรอได้เลย ประมาณ ๔ ทุ่มตะปูตอกโลงผีมาเป็นว่าเล่นเลยแหละ เก็บได้เป็นกิโล ๆ จะมีรอบโบสถ์กับทางด้านตึกหลวงพ่อที่ริมน้ำ มันมาแล้วมันเข้าไม่ถึงมันหล่นแค่ท่าน้ำ พวกเราก็ไปเก็บ ๆ กันกองเบ้อเร่อ แล้วก็มานั่งคุยกัน นี่นกพิราบมาทำรังที่โบสถ์ก็ไม่พอ มันคาบตะปูมาเล่นด้วย ท่านบวงสรวงมันหล่นจากกลางอากาศเห็น ๆ เลย เพราะว่าพวกนี้พอหมดสภาพแล้วมันคืนรูปเดิมของมัน ทางด้านชายน้ำก็เป็นกอง ๆ เราต้องไปไล่เก็บกัน
              เรื่องของไสยศาสตร์จริง ๆ แล้วไม่น่ากลัวเพราะว่าคนทำส่วนใหญ่แล้วจิตจะมุ่งร้ายคนอื่น จิตที่มุ่งร้ายคนอื่นจะไม่ถึงอารมณ์อุเบกขาจริง ๆ ของกำลังสมาธิ ฉะนั้นถ้าหากว่าเรามีการภาวนาเป็นปกติ อารมณ์ใจทรงตัวอยู่ เอาแค่สูงกว่าอุปจารสมาธิธรรมดาหน่อยเดียวก็พอ ไม่ต้องถึงขั้นปฐมฌาน เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องไม่เผลออย่าหลุด เพราะถ้าเผลออาจจะโดนเขาสอยจังหวะไหนก็ไม่รู้ ท่านถึงได้บอกว่าถ้ามีพระเครื่องที่เรามั่นใจ ทุกวันให้ตั้งใจสวดอิติปิโส อาราธนาบารมีพระให้ท่านคุ้มครองไว้ทุกวันจะได้ปลอดภัย เพราะว่าของเราเผลอได้ แต่เทวดาท่านไม่เผลอแน่ เพราะว่าวัตถุมงคลทุกชิ้นจะมีเทวดารักษาอยู่ ความจริงเขาก็รักเรานะมีอะไรเขาก็พยายามส่งมาให้ เสียดายเขาไม่มีชื่อที่อยู่จะได้ส่งจดหมายไปขอบคุณเขา
              ก่อนหน้านั้นเราประเภทค้น สมัยอยู่กับหลวงพ่อนี่ถ้าหากจดหมายหรือกล่องไหนนี่ชัดเจน ทุกอันเลยแกะออกมาเป็นได้เรื่อง เขาจะทำใส่กล่องมาเลย จะมีหลวงพ่อ หลวงพี่อาจินต์โดนประจำ เพราะว่าเขาจะได้ชื่อจากหนังสือธรรมวิโมกข์แล้วส่งมา เรามีหน้าที่แกะตรวจดู วันไหนไม่เข้าท่าก็โยนทิ้งไปเลย เขาถามว่ากลัวไหม ? หลายคนเขาถาม บอกว่าถ้าอยู่กับหลวงพ่อแล้วเขายังทำเราได้ก็ตายเสียเถอะ
              แต่ว่ามีอยู่ตอนหนึ่งตอนนั้นหลวงพ่อยังเป่ายันต์ที่ศาลา ๔ ไร่อดยู่ อันนั้นเขามาถวายเป็นห่อผ้าเล็ก ๆ พอถวายพระที่ทำหน้าที่อยู่ใกล้ก็ต้องหยิบใช่ไหม เพื่อให้คนอื่นเขาถวายต่อ พอหยิบออกคนเขาจะถวายของอื่น พอเอื้อมมือจะหยิบหลวงพ่อตบมือผัวะ ท่านบอกไม่ได้ต้องข้าเอง ท่านหยิบออกเอง ท่านบอกว่าขนาดท่านหยิบเองมันวิ่งขึ้นมาเป็นเส้นถึงข้อมือเลยกว่าจะโดนดันออกไป ถ้าเป็นเราก็หงายท้อง ท่านบอกเหมือนกันแหละว่าสมัยหลัง ๆ ฝีมือเขาด้อยลง
              อย่างสมัยหลวงปู่ปาน โอ้โห! เขาเล่นส่งของหนัก ๆ มา ครกตำข้าวทั้งลูกอย่างนี้ ของพวกนี้ถ้าเขาว่าคาถาตามแบบของเรานี่พอถึงระดับจะหดเล็กลง ๆ จะเหมือนกับฝุ่น เสร็จแล้วก็ปล่อยไป ที่โบราณเรียกว่า ลมเพลมพัด ท่านบอกว่าสมัยนั้นหลวงปู่ปานจะบอกพระทั้งหมดมานั่งรวมกันแล้วก็ภาวนาอย่าเผลอ ถ้าใครเผลอเอ่ยปากทักอาจจะโดนของเข้าตัว วันนั้นท่านบอกว่าพอเสียงปรื๊ดแล้วก็โป๊ก แล้วต้นหางนกยูงใหญ่เป็นโอบเลยล้มไปต้นหนึ่ง สมัยของเราที่อยู่วัดท่าซุง มันไม่มีฝีมือ มันด้อยไปหน่อย หลวงพ่อบอกเขาไม่เก่งจริงหรอก ถ้าเก่งจริงให้ส่งเหล็กเส้นสัก ๕ ตัน ๑๐ ตัน ท่านจะได้ใช้ก่อสร้างบ้าง ส่งมาแต่ตะปูเก่า ๆ ฝีมือด้อยลงเหมือนกัน