ถาม:  จะเป่ายันต์เกราะเพชรเมื่อไหร่ครับ?
      ตอบ :  ยังไม่รู้เลย เรื่องเป่ายันต์นี่ต้องรอคำสั่งอย่างเดียว ทำเองไม่ได้อยู่แล้ว
      ถาม :  นึกว่ากลางปีมีครั้งหนึ่งครับ?
      ตอบ :  กลางปีมีเสาร์ห้าจะได้ทำไหม ไม่เป็นไรหรอก ภายในอาทิตย์นี้อาตมาก็คงรู้คำสั่งแล้วว่าจะได้หรือไม่ได้ เดี๋ยวคราวหน้าจะบอกให้ ถ้าไม่ได้ก็แล้วไป สบายหน่อย
      ถาม :  ถ้าไม่ได้ ก็ต้องรอปลายปีหรือครับ?
      ตอบ :  ถ้าปลายปีไม่ได้อีก ก็ต้องรอปีถัด ๆ ไป ของอย่างนี้ถ้าไม่ใช่กำลังของพระท่าน เราทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจะไปทำส่งเดชก็ทำไม่ได้ ในสายตาของคนลาว คนไทยนี่เหมือนอย่างกับไทยเห็นพม่าเขาจะเห็นเราเป็นศัตรู เพราะว่าประเทศไทยเราไปตีบ้านตีเมืองของลาวเขาหลายครั้งด้วยกัน
              โดยเฉพาะสมัยที่ยับเยินที่สุดก็คือ สมัยรัชกาลที่ ๓ ในสมัยนั้นของลาวนี่ไม่เหลือพระพุทธรูปสำคัญไว้เลย ไทยเอามาหมดพระแก้วมรกตก็มาแล้วใช่ไหม แล้วสมัยนั้นเอาพระบาง พระสุก พระเสริม พระใส มาหมด คราวนี้แพที่เราบรรทุกพระก็ล่มอยู่กลางแม่น้ำโขง พระสุกจมน้ำไป ทุกวันนี้เขาเรียก เวินพระสุก ภาษาลาวก็คือ วังน้ำพระใส จะอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย พระเสริม อยู่ที่วัดสระปทุม วัดปทุมวนาราม ใกล้ ๆ กรมตำรวจเก่า มีแต่พระบางที่เราคืนให้ลาวไป ทุกวันนี้ลาวก็เลยเหลือพระคู่บ้านคู่เมืองอยู่องค์เดียว
      ถาม :  แต่คนเขาว่าองค์ที่อยู่ตรงหอนั้น ไม่ใช่องค์จริง?
      ตอบ :  อยู่ที่หลวงพระบางจ้ะ เขาจะแห่ตอนวันสงกรานต์ทุกปี เจ้ามหาชีวิตของลาวจะเป็นคนนำแห่เพื่อออกมาสรงน้ำ เพราะฉะนั้นของลาวนี่จะเหลือพระคู่บ้านคู่เมืองแค่พระบางองค์เดียว จะว่ากันจริง ๆ แล้วพระแก้วก็ไม่ใช่ของไทยหรอก เพราะว่าเริ่มมาจากเมืองปาฏลีบุตร ส่วนที่อยู่ปาฏลีบุตรเป็นตำนานหาหลักฐานยืนยันไม่ได้ ได้แต่เล่าสืบ ๆ กันมาว่าพระนาคเสนที่ปราบพระยามิลินท์ ท่านอยากได้วัสดุอะไรที่คงทนเพื่อสร้างพระให้อยู่ได้ครบอายุพระศาสนา ๕,๐๐๐ ปี พระอินทร์ให้พระวิษณุกรรมมาเนรมิตให้แตงโมในไร่ของชาวไร่คนหนึ่งกลายเป็นมรกตทั้งก้อน แล้วก็เอามาถวายพระนาคเสน พระนาคเสนก็แกะไม่ได้ มรกตแข็งมากก็เลยเดือดร้อนพระวิษณุกรรมเนรมิตเองก็ต้องมาแกะเองอีก เสร็จแล้วพระนาคเสนท่านก็อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐานที่ในองค์พระแก้วมรกต ตำนานตอนช่วงนี้ก็ขาดตอนลงไป มีแค่คำพยากรณ์ว่าพระแก้วมรกตต้องไปอยู่ถึง ๗ ประเทศ
              คราวนี้อยู่ ๆ มาโผล่เอาที่ลำปาง ที่วัดพระแก้ว จังหวัดลำปาง เขาว่าฟ้าผ่าเจดีย์หักลงมาแล้วก็มีพระองค์หนึ่งที่หน้าตักไม่ใหญ่นักเป็นปูนหุ้มอยู่ในเจดีย์ เขาก็จะเคลื่อนย้ายเพื่อที่จะนำไปซ่อมแซมเจดีย์ใหม่ ปรากฏว่าพระนาสิก (จมูก) กระเทาะเห็นเป็นแก้วเขียวอยู่ข้างใน เขาเลยกระเทาะออกมาทั้งองค์ปรากฏว่าเป็นพระพุทธรูปที่งามมากก็อยากจะได้เอาไว้เพื่อให้ชาวบ้านบูชา
              แต่ว่าสมัยก่อนเขาเชื่อเรื่องอาถรรพ์มากก็เลยเลี่ยงด้วยการเอาขึ้นหลังช้าง เพราะท่านปรารถนาจะอยู่ตรงไหนก็ให้ช้างไปอยู่ตรงนั้นช้างก็เผ่นไปยันเชียงใหม่โน่น ก็ตอนนั้นเป็นศึกเป็นเสือกันอยู่กับพม่าตลอด พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จริง ๆ แล้วเป็นลูกของเจ้าหญิงที่เขาส่งมาเป็นพระชายาของเจ้าเมืองเชียงใหม่ ก็เท่ากับเป็นเชื้อลาวอยู่ครึ่งหนึ่ง พอถึงคิวที่ท่านขึ้นครองราชย์ท่านก็ปราบบ้านเมืองใกล้เคียงที่กระด้างกระเดื่อง จนกระทั่งอ่อนน้อมกันหมดแล้ว ก็ได้พระแก้วมรกตไปไว้ที่เชียงใหม่ พอศึกทางพม่ามา รู้ว่าสู้ไม่ได้ก็เลยย้ายหนีไปเมืองแม่ก็คือ เวียงจันทร์ ก็เอาพระแก้วไปด้วย
              ทีนี้สมัยรัชกาลที่ ๑ ก็ไปตีเวียงจันทร์ ก็เลยอัญเชิญพระแก้วกลับมา ก็เลยยุ่งวิ่งไปวิ่งมาอยู่นั่นแหละ แต่ว่าช่วงจากเมืองปาฏลีบุตรทำอย่างไรถึงมาโผล่ที่ลำปางได้นี่เป็นตำนานที่สูญไปเฉย ๆ?ส่วนที่เป็นประวัติศาสตร์เริ่มจับได้ว่าปรากฏขึ้นที่ไหน ๆ จะเริ่มจากตรงลำปางขึ้นไปเชียงใหม่ขึ้นไปลาวไปใต้งวดนี้ต้องหนีชุมพรให้ทัน เพราะชุมพรทำเอาเมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อน ออกกุฏิไม่ได้ มีแต่คนไปล้อมกุฏิจะเอาวัตถุมงคล รุ่นนั้นแจกไปตั้ง ๓ ปี แล้วจะไปเหลืออะไรล่ะ บังเอิญว่าโยมคนหนึ่งที่ชุมพรเขาไปโดนยิงที่หน้าบ้านตัวเอง พอจอดรถจะลงจากรถ เขายิงใส่ ๔๖ นัด รถแหลกไปทั้งคันเลย
      ถาม :  ตัวไม่เป็นอะไรหรือคะ?
      ตอบ :  ตัวเขาก็เขียว ๆ ช้ำ ๆ เราก็นั่งเดาสงสัยว่า ลูกปืนมันเลยทะลุรถแล้ว เลยหมดแรง มันเลยยิงไม่เข้า เขาจะแขวนพระหลายองค์หน่อยก็ไม่ได้ เราจะได้โบ้ยไปให้คนอื่นเขาบ้าง เขาดันแขวนอยู่องค์เดียวปฏิเสธไม่ได้ คราวนี้พอเขาส่งข่าวมา พวกหน่วยทหาร พวกบริษัทเกี่ยวกับรักษาความปลอดภัย เขาอยากได้พระไปให้พวกคนในหน่วยงานเขาบอกว่าไม่มีก็ไม่ฟัง ล้อมกุฏิอยู่นั่นแหละ บอกเขาว่ารุ่นใหม่มี เขาก็ไม่เอาจะเอารุ่นนั้น
      ถาม :  พระอะไรครับ?
      ตอบ :  รุ่นนั้นจะเป็นพระหลวงปู่ปานย้อนยุค ทำเลียนแบบของเก่า จะมีขี่ไก่ ขี่เม่น ขี่หนุมาน ขี่ครุฑ รู้สึกว่ารุ่นนั้นจะมีประสบการณ์เยอะ คนเอาไปใช้แล้วได้ผลดีเยอะ แหม! เรายืนยันว่ารุ่นหลังดีกว่า เขายังไม่เชื่อ เขาจะเอาแต่รุ่นนั้น ก็ให้เขารอไปเถอะ คนเก่าเขาย้ายไปอยู่กำแพงแสน ไปโดนพวกยาบ้ายิง ๒ นัด ไม่เป็นไร ก็เลยดัง ไปดังที่กำแพงแสน ย้ายจากทองผาภูมิไป คนใหม่ย้ายมายังไม่รู้จักกัน พอเขาลือก็เลยนัดจะมาหา เราเผ่นลงกรุงเทพฯ มาก่อน
      ถาม :  แล้วอันนี้เนื้ออะไรครับ?
      ตอบ :  ก็เป็นดินเผานั่นแหละ เพราะว่าสมัยก่อนหลวงปู่ปานท่านก็ใช้ดินท้องนานี่แหละ เอามาตำ ร่อนละเอียดแล้วก็ผสมนวดจนกระทั่งได้ที่แล้วก็ปั๊มกัน ท่านทำ ๘๘๐ ปีบ ไม่ได้นับองค์ สมัยนั้นท่านแจกองค์เดียว เสร็จแล้วคนก็ไปต่อท้ายแถวมาใหม่ คุณหลวงประธานถ่องวิจัย ก็เลยใช้ปูนกินกับหมาก เอาปูนมาวางไว้เลย ๑ ปีบ ถึงเวลาเอาปูนป้าย ท่านไม่ได้ป้ายน้อย ๆ แตะเมื่อไรท่านจุ่มทั้งมือป้ายเลย จะได้จำได้ว่าเขารับไปแล้ว พอเขาออกไปข้างนอกก็ไปกลับเสื้อแล้วก็ใส่มาใหม่ มารับอีกหลวงปู่ท่านสร้างไว้ ๘๘๐ ปีบ บรรจุเจดีย์ไป ๔๔๐ ปีบ แล้วก็เอามาแจก ๔๔๐ ปีบ ก็มีแยกต่างหากไป ๔,๐๐๐ องค์ เพราะว่าท่านบอกว่าก่อนตายฉันยังเป็นหนี้เขาอยู่ ให้เอาไปจำหน่ายองค์ละ ๑ บาท จะได้เอาเงินมาใช้หนี้ พอหลวงปู่ท่านมรณภาพ จัดงานศพกันหลวงพ่อท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอยู่ ท่านก็บอกกับพวกกรรมการว่าอย่าไปตั้งราคาเลย พวกกรรมการก็บอกว่าถ้าไม่ตั้งราคาเดี๋ยวไม่ได้อย่างที่หลวงพ่อใหญ่ท่านว่านะครับ ก็หมายถึงหลวงปู่ปาน ท่านบอกเอาไว้ว่าท่านเป็นหนี้ ๔,๐๐๐ บาท ถ้าไม่ตั้งราคาเดี๋ยวเกิดคนเขาไม่ให้ขึ้นมา ได้ไม่ถึง ๔,๐๐๐ บาทใช่ไหม
              ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านบอกว่า เอาเหอะถ้าหากว่าได้ไม่ครบเดี๋ยวฉันจะเทศน์ใช้หนี้ให้เอง พอมีคนรับผิดชอบ กรรมการก็ตกลงไม่ตั้งราคา ปรากฏว่าได้มาตั้งหลายหมื่น คนที่ให้น้อยที่สุดให้ ๓ บาท อยู่รายหนึ่ง แล้วก็ให้ ๕ บาท อยู่รายหนึ่ง นอกนั้นให้เกิน ๑๐ บาททั้งนั้น ให้ตั้งแต่ ๑๐ บาทขึ้นไป โอ้โห! สมัยนั้นเงิน ๑๐ บาท เยอะนะ ใคร ๆ ก็อยากได้พระหลวงปู่ ตกลง ๔,๐๐๐ องค์ ได้เงินมาตั้งหลายหมื่น จัดงานศพเสร็จยังเหลือกำไรเข้าวัดบานเลย
              สมัยนั้นโบสถ์หลังหนึ่งราคาประมาณ ๘,๐๐๐ บาท สมัยนี้ประมาณ ๑๐ กว่าล้านบาท ได้เงินเกินราคาโบสถ์ไปตั้งหลายเท่า ลองนึกดูว่าได้เท่าไร เคยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงปู่ใครดังกว่ากัน หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ปานดังกว่า ถามท่านว่าทำไมล่ะครับ หลวงปู่ปานท่านจัดงานคนมาเป็นหมื่น หลวงพ่อจัดงานคนมาเป็นแสน ท่านบอกว่าคนมาเป็นหมื่น สมัยนั้นเขาบอกกันมาปากต่อปาก แต่คนมาเป็นแสนของข้าโทรทัศน์ก็มี วิทยุก็มี?หนังสือพิมพ์ก็มี ประกาศได้ สมัยโน้นเขาบอกกันปากต่อปาก ท่านบอกว่าเรือจอดหน้าวัดเดินข้ามฝั่งได้เลย
              ทิพจักขุญานนี่ไม่ได้หมายความว่าตาเห็น เป็นใจเห็น แต่คนส่วนใหญ่จะไปคิดว่าตาเห็น เพราะฉะนั้นใจเห็น ไม่ใช่ตาเห็น อย่างเรานึกถึงบ้าน ภาพบ้านก็ชัดเจนมาก ถามว่าตาเห็นใช่ไหม ไม่ใช่หรอก นั่นน่ะเห็นลักษณะนั้น
      ถาม :  เหมือนอย่างกับเรานึกไปเองค่ะ
      ตอบ :  ไม่ใช่ แล้วเราได้ไปนึกเสียเมื่อไรเล่า อยู่ ๆ มันก็เห็นเอง บางทีอยู่ ๆ ก็ชัดขึ้นมาเฉย ๆ ภาพปรากฏขึ้นมาเฉย ๆ ถ้าหากว่าจิตใจของเราตรงนั้นมันลงจิตของอุปจารสมาธิพอดี มันจะสัมผัสความเป็นทิพย์ได้ ตอนนั้นถ้าเห็นเขาก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปเลยจ้ะ คิดว่ากุศลทั้งหลายที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ขออุทิศให้เธอทั้งหลาย ขอให้เธอทั้งหลายจงโมทนา เราได้รับประโยชน์สุขเท่าไร ขอให้เธอทั้งหลายได้รับทั่วหน้ากันเถิด
      ถาม :  คือไม่ได้รู้สึกไปเอง
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ ของพวกนี้ถ้าหากว่าใจอยู่ตรงจังหวะนั้นพอดี มันจะเห็นตลอด จริง ๆ แล้วไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก นักปฏิบัติทุกคนก็ว่าได้ ถ้าหากว่าทำถึงจุดนั้นมันจะรู้เห็นได้ มันเป็นของแถม แต่ส่วนใหญ่คนจะไปชอบของแถมมากกว่า ก็เลยไปยึดตรงจุดนั้น เราเห็นได้ เราดี เราเก่ง ก็เจ๊งไปเลย จุดมุ่งหมายจริง ๆ ของเราต้องให้หลุดพ้น แล้วมารเขาก็เก่ง ส่วนใหญ่เขาเอาของแถมมาให้ ก็ชอบใจทั้งนั้นแหละ แล้วก็ไปติดอยู่กับของแถม แล้วอย่างไรของแถมของหนูกี่เดือนแล้ว
      ถาม :  เพิ่งจะเดือนเดียวค่ะ
      ตอบ :  เดือนเดียวไม่เป็นไร เดี๋ยวอีก ๙ เดือนค่อยเจอกัน คนเราจริง ๆ ท้อง ๑๐ เดือน แต่ว่าเดือนแรกเราจะเริ่มนับตอนประจำเดือนขาด ความจริงท้องมาก่อนหน้านั้นแล้ว พระโพธิสัตว์บารมีเต็มเท่านั้นที่จะคลอดหลังจากแม่ท้องได้ ๑๐ เดือนเต็ม นอกนั้นไม่ขาดก็เกิน โบราณใช้คำว่าถ้วนทศมาส ทศเท่ากับ ๑๐ มาสเท่ากับเดือน ถ้วนทศมาสครบ ๑๐ เดือนเต็ม แต่มีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่าถ้านับอายุตามที่หมอเขานับ ๓๘ อาทิตย์ใช่ไหม คนไทยเราเขาจะนับอายุ ๗ เดือน ๘ เดือน ๙ เดือน สังเกตมาเยอะแล้ว ๗ เดือนนี่คลอดก่อนกำหนดจะรอด แต่ถ้า ๘ เดือนจะตาย เท่าที่เจอมา ๘ เดือนตายทุกราย เข้าตู้อบอย่างไรก็ตาย อาจจะเป็นไปได้ว่าช่วงที่เลย ๗ เดือนนี่คล้าย ๆ กับมันลงตัวรอบหนึ่งแล้ว ก็เลยพอจะเลี้ยงรอดได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันอาตมาก็ยังไม่แก่พอ ยังไม่ถึง ๕๐ ปี เห็นโลกมาแค่ ๔๐ กว่าปี อาจจะมีก็ได้ ๘ เดือนแล้วรอด แต่เท่าที่ตัวเองรู้มายังไม่เจอเลย เรื่องที่แปลกก็คือว่า คนเราเกิดมาจะเป็นผู้หญิงก่อนทุกคนเลย เพศของคนทุกคนจะเป็นผู้หญิงก่อน แล้วมาพัฒนาให้เป็นผู้ชายทีหลัง
      ถาม :  มีไหมครับที่ผู้ชายกลับเป็นผู้หญิงได้เหมือนกัน?
      ตอบ :  ถ้าผู้ชายกลับเป็นผู้หญิงนี่ ตามประวัติศาสตร์ก็มี โสเรยยะบุตรมหาเศรษฐี คนเดียว โสเรยยะบุตรมหาเศรษฐีนี่ในพระไตรปิฏกท่านกล่าวเอาไว้ว่า ท่านเห็นพระมหากัจจายะนะ พระมหากัจจายะนะท่านเป็นพระโพธิสัตว์บารมีเต็ม คราวนี้ว่าท่านแทนที่ท่านจะรอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แหม! มันก็ต้องเกิดอีก ท่านก็เลยเลิกไม่อยากเกิด ไม่อยากเกิดบารมี ต้องใช้คำว่าเกือบเต็มดีกว่า ในเมื่อท่านไม่อยากจะเกิดอีกก็เลยยุ่ง ยุ่งตรงที่ว่า.................
      ถาม :  คนสองเพศเป็นเพราะอะไร?
      ตอบ :  สองเพศมันเป็นธรรมชาติของเขา
      ถาม :  ก้ำ ๆ กึ่ง ๆ นี่ครับ?
      ตอบ :  เป็นธรรมชาติของเขา ไม่ใช่ก้ำกึ่ง มันเต็ม ๆ ของเขาอย่างนั้นแหละ สองเพศนี่คุณเข้าใจผิด มีอวัยวะเพศทั้งสองเพศจริง ๆ ไม่ใช่ก้ำกึ่ง พวกก้ำกึ่งที่เราเรียกว่า พวกตุ๊ด เรียกอะไรนั่นมันธรรมดา เพราะว่าช่วงสร้างบารมีของคนนี่ ถ้าเป็นบารมีต้นนี่จะเป็นผู้หญิง พอมาเป็นอุปบารมีบารมีกลาง อุปบารมีตอนปลายเริ่มเกิดเป็นผู้ชาย
              คราวนี้คนที่เริ่มจากผู้หญิง เริ่มจะมาเป็นผู้ชายนี่เขาก็จะติดนิสัยห้าวมาหน่อยหนึ่ง ที่เราเรียกว่าทอม แล้วพอเขากลับมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ เขาก็ยังมีนิสัยผู้หญิงอยู่แล้วก็เรียกว่าตุ๊ดกันไง ความจริงเป็นเรื่องปกติ แต่เขาเกิดมากอีกหน่อยเขาก็เป็นผู้ชายเต็มตัวไปเอง
              แต่คนสองเพศเขาเรียก อุภโตพยัญชนก มีอวัยวะทั้งสองเพศนี้มีจริง พระพุทธเจ้าท่านสั่งห้ามบวช ท่านห้ามมาสองพันกว่าปีแล้ว สมัยหลัง ๆ ก็ยังไปเจออีก มีเกาะอะไรอยู่เกาะหนึ่ง ไม่รู้คนที่เกาะนั้นเขามีทั้งสองเพศเลย ตัวเองจะเลือกเป็นผู้หญิงก็ได้ เลือกเป็นผู้ชายก็ได้แล้วแต่
      ถาม :  แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามหรือครับ?
      ตอบ :  ไม่ได้ห้ามหรอก จะไปห้ามอะไรเขา มันธรรมชาติมันเกิดขึ้นมาเอง
      ถาม :  ...............................
      ตอบ :  ถ้าหากว่านับแล้วมันเป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณ คราวนี้เราลองอธิษฐานดูว่าจะขอให้ภาพนั้นหายไปได้ไหม กลับมาใหม่เมื่อไรได้ไหมใหญ่ได้ไหม เล็กได้ไหม ถ้าทำอย่างนั้นได้ อธิษฐานขอใช้ผลของกสิณได้เลยขอให้ใหญ่ได้ เล็กได้ หายไปได้ มาใหม่ได้
      ถาม :  อย่างนี้อธิษฐานได้เลยหรือครับ?
      ตอบ :  อธิษฐานได้เลย อันนั้นจะเป็นอาโลกสิณ เราอธิษฐานเป็นทิพจักขุญาณได้ ตั้งใจว่าขอให้ภาพพระหายไป ให้ภาพนรกปรากฏขึ้น ก็จะเห็นนรกได้ทุกขุม ให้ภาพพระหายไป ให้เห็นภาพสวรรค์ปรากฏขึ้น ก็จะเห็นสวรรค์ได้ทุกชั้น เห็นพรหมได้ทุกชั้น เห็นนิพพานได้ ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านก่อนเพื่อให้มันคล่องตัวมากขึ้น เป็นปฏิภาคนิมิตของกสิณ อันนี้ของเราที่จับเป็นพระแก้วใช่ไหม เขาเรียก อาโลกสิณ เป็นแสงสว่าง ถ้าปฏิภาคนิมิตไม่สามารถอธิษฐานให้หายไปมาได้ ใหญ่เล็กได้
      ถาม :  .........................................
      ตอบ :  เป็นกษัตริย์ตรัสแล้วคืนคำไม่ได้ ก็ต้องให้ใช่ไหม พระเจ้าซาร์ซาบซึ้งในน้ำใจ เออ..เพื่อนรักกันจริง ของสำคัญขนาดนี้ยังออกปากให้ ท่านเลยบอกว่า "ถ้าอย่างนั้นของรัสเซียมีอะไรที่ทางประเทศไทยต้องการ ท่านก็ให้ได้เหมือนกัน รัชกาลที่ ๕ จะขออะไรก็ว่ามา" รัชกาลที่ ๕ บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นขอพระแก้วคืน" (หัวเราะ) ก็เป็นของรัสเซียไปแล้วนี่ ขอพระแก้วคืน
              คราวนี้ถ้านับไปนับมา จากปาฏลีบุตรมาเชียงใหม่ไปลำปางอย่างนี้ ไล่ไปไล่มาปาฏลีบุตรมาเชียงใหม่ตีเสียว่ากลางทางหายไปก็แล้วกันนะ มาลำปางขึ้นเชียงใหม่ไปเวียงจันทร์ ข้ามมาหนองคายไปรัสเซียลงมากรุงเทพฯ ได้ตั้ง ๗-๘ เมืองไปแล้ว คือท่านบอกว่า ต้องอยู่ถึง ๗ เมือง หรือ ๗ ประเทศก็น่าจะครบแล้ว เพราะว่าตอนที่อัญเชิญจากลาวมาไว้ที่หนองคายระยะหนึ่ง เพื่อเตรียมสถานที่ที่เหมาะสม จะอัญเชิญพระแก้วลงมากรุงเทพฯ เท่ากับหนองคายเป็นเมือง ๆ หนึ่งที่มีพระแก้วอยู่
              ปัจจุบันก็ยังมีวัดพระแก้วเก่าอยู่ในพื้นที่ของนปข.เขา ของทหารเรือ เมื่อหลายปีก่อนเคยแวะเข้าไปครั้งหนึ่ง ผู้การพิจารณ์ ธีระเนตร เป็นผบ.นปข. เขาพาไปดู ยังเป็นซากวัดซากเจดีย์เก่าอยู่ แหม...แต่หน่วยนปข.หนองคายนี่ พื้นที่กว้างเหลือเกิน ดูแลแม่น้ำโขงเป็นระยะทาง ๓๐๐ กิโลเมตร เรือวิ่งวันหนึ่งถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้
              มรกตเป็นหินรัตนชาติอย่างหนึ่ง มีตั้ง ๗ ชนิด ในเมื่อมีตั้ง ๗ ชนิด คราวนี้เราไม่แน่ใจว่าพระแก้วมรกตจริง ๆ เป็นชนิดไหนกันแน่? คราวนี้มีอยู่คราวหนึ่งพาครูบาน้อย เจ้าอาวาสวัดหนองบัว พาเข้าไปดูพระแก้วมรกต ครูบาน้อยเคยค้าขายพวกพลอยพวกหยกมาก่อน แกเล็งแล้วเล็งอีก แล้วในที่สุดก็บอกว่า "ผมว่าไม่ใช่มรกตหรอก ต้องเป็นพวกหยกแน่ ๆ เลย" เราก็นั่งหัวเราะ เออ..แล้วคุณลองคิดดูสิว่า "หยกจักรพรรดิก้อนขนาดแกะพระแก้วได้นี่ ราคาเท่าไหร่?" ครูบาน้อยบอก "คำนวณไม่ถูกครับ" เพราะว่าที่เคยไปถามราคาโตประมาณเล็บมือนี่ เขาขายเป็นแสนเลยนะ แล้วเป็นหยกเขียวไม่มีตำหนิเลย พระแก้วเขาเรียกว่า "หยกจักรพรรดิ" ต่อให้เป็นหยกยังตีราคาไม่ได้เลย พระแก้วมรกตจำได้ว่า หน้าตักประมาณ ๑๖ นิ้ว แต่ว่าไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า ๑๙ นิ้วเศษ ตีว่าอย่างเล็ก ๆ ก็ ๑๖ นิ้วแล้วกัน ฟุตกว่า ๆ หยกหน้าตักฟุตกว่า ๆ นี่ ต้องแกะขนาดไหนไม่รู้ บอกไม่ถูกเหมือนกัน
      ถาม :  ออกพรรษานี้จะไปดูบั้งไฟที่ฝั่งลาวค่ะ
      ตอบ :  อ๋อ...ต้องไปล่วงหน้าสัก ๒ วันจ้ะ รีบไปจองที่ไว้ ทางลาวจะชัดกว่า คือจริง ๆ แล้วไม่ใช่บั้งไฟหรอก แต่เป็นเทวดา เขาลงไปเพื่อจำศีลในช่วงเข้าพรรษาที่บาดาล ต้องใช้คำว่า "บาดาล" จริง ๆ คือเขตเมืองพญานาคของเขานี่แหละ เขตเมืองพญานาคเขามีเจดีย์ทองคำมโหฬารเลย พระปฐมเจดีย์ของเรายังเล็กกว่า ทองคำแท้ ๆ ลองจับดูนิ่มเชียว แล้วมีต้นไม้เงิน ต้นไม้ทอง ต้นไม้แก้วบูชาอยู่ ขนาดกระถางธูปใบมโหฬารยังใส่ทรายทองเลย
              คราวนี้บรรดาเทวดาที่ต้องการสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมในช่วงเข้าพรรษา ท่านจะลงไปที่นั่น เพราะว่าจะมีพระได้อภิญญา หรือพระโพธิสัตว์ หรือพวกฤๅษีที่ได้ฤทธิ์ได้อภิญญาจะลงไปเทศน์โปรดอยู่เป็นประจำ เขาก็ไปกัน คราวนี้เวลาของเขากับเราต่างกัน เวลาของเราน้อย สามเดือนจริง ๆ ก็ไม่นาน ของเขาพอถึงเวลากลับขึ้นมา เขาจะแสดงให้เห็นว่า ตอนนี้เขาขึ้นมาแล้วนะ เพื่อให้คนเขาโมทนาบุญที่เขาได้ไปทำความดีด้วย เลยแสดงออกในลักษณะเป็นดวงไฟ ดวงหนึ่งก็องค์หนึ่ง คนเราก็ไปคิดว่าเป็นบั้งไฟพญานาค พวกนักวิทยาศาสตร์พยายามไปพิสูจน์กันว่า มันเป็นแก๊สบ้าง เป็นอะไรบ้าง มันหมักหมมกัน ถึงเวลามันกระทบกับออกซิเจนเข้าก็เป็นไฟขึ้นมา แก๊สก็แสนรู้นะ มันจะขึ้นเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น แล้วออกพรรษาแต่ละปีมันตรงกันซะที่ไหนล่ะ..!
      ถาม :  ลาวบอกว่า "เป็นบั้งไฟพญานาค?"
      ตอบ :  เขาเชื่ออย่างนั้น ว่าไปก็มีส่วน เพราะว่าขึ้นจากด้านโน้นจริง ๆ แต่จริง ๆ แล้วเขตของพญานาคเขาปรากฏได้ทั่วโลก เหมือนกับบ้านเรา มีถนนขึ้นที่ไหนลงที่ไหน แต่ว่าที่ตรงจุดนั้น ที่เขาแสดงให้เห็นชัดเจน เพราะว่าทั้งสองฝั่งเป็นเมืองของพระพุทธศาสนา ทั้งไทยทั้งลาวถือศาสนาพุทธแน่นแฟ้นอยู่แล้วใช่ไหม ถ้าเห็นมีความเชื่อถือ โมทนาได้ประโยชน์ ถ้าไปที่อื่นประโยชน์น้อย เขาไม่เชื่อนี่ ลงไปดูเอง แต่ลงไปข้างล่างเขาไม่เป็นงูนะ เขาเป็นคนหมด ผิวพรรณหน้าตาผ่องใสมากเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่มีคนแก่ ไม่มีคนแก่ของเขาก็เป็นคนหมด เขาไม่ได้เป็นงูหรอก พออกนอกเขตเขาถึงได้เป็นงู ถ้าดูฝั่งโน้นไม่มีอะไรบัง ของบ้านเรานี่เจ้าประคุณเถอะ ป้าศรีเวียงปีนี้ต้องย้อนกลับกลางทาง รถติดอยู่บนถนนเป็นครึ่ง ๆ วัน กระดิกไปไหนไม่ได้เลย จริง ๆ แล้วทางด้านอบจ.หนองคายน่าจะรับหน้าเสื่อทำ สำคัญที่สุดคือ สถานที่จอดรถ ไม่ใช่โปรโมทให้คนไป แล้วไม่มีแผนการรองรับไว้เลย อย่างนั้นก็แย่สิ คนไปจำนวนมาก ๆ อย่าว่าแต่กินเลย แค่เรื่องห้องน้ำห้องส้วมก็ปัญหาใหญ่มโหฬารแล้ว น่าจะจัดที่ ๆ ใหญ่พอจอดรถได้สัก ๔๐๐-๕๐๐ คัน มีห้องน้ำห้องส้วมลักษณะสุขาเคลื่อนที่ หรืออะไรก็ได้ ไปจอดรถอย่างนั้นต่อให้วันละร้อยอย่างนั้นก็คุ้มใช่ไหม
              อีกไม่กี่วันต้องขึ้นไปหนองคายเหมือนกัน เขาจะให้เป็นเกจิ พยายามหนีมานานแล้ว พวกพิธีพุทธาภิเษก งานนี้หนีไม่พ้นแล้ว ดังซะแล้ว หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น ยอมตายซะแต่โดยดี เขาจะไปหล่อพระสร้างพระกันที่นั่น เรื่องหล่อพระเคยโดนจับเป็นตัวประกันมาหลายยกแล้ว ใครเคยสังเกตพิธีหล่อพระบ้างไหม? เขาจะเป็นปะรำ ๔ ทิศหรือว่าที่เดียวแต่ว่าจะมีพระนั่งเหมือนลักษณะนั่งปรกพุทธาภิเษกอยู่ข้างบน องค์นั้นสำคัญที่สุด โดนจับเป็นตัวประกัน เขาห้ามงานล่ม ห้ามฝนตกจนกว่าพิธีทุกอย่างจะเสร็จ ไม่อย่างนั้นคุณไม่ต้องลงหรอก นั่งอยู่นั่นแหละ โดนมา ๒ ทีเข็ดจริง ๆ เลย ลงไม่ได้ แล้วโอ้โฮ..ปะรำพิธีมันร้อนนะ ที่เขากำลังหลอมโลหะอยู่นั่นแหละ ต้องเข้าสมาธิหนีไปเลย ไม่อย่างนั้นร้อน พวกเล่นจับเป็นตัวประกันเลย โดนพรรคพวกเดียวกัน
              เขามาถึงเขาบอกว่า "ห้ามงานล่ม ห้ามฝนตก คนต้องมาเยอะ ๆ" มันสั่งเลย คนอื่นไม่กล้าหรอก พวกเดียวกันมันกล้าสั่ง โดนจับเป็นตัวประกันมา ๒ งานแล้ว งานนี้งานที่ ๓ อุตส่าห์หนีแล้ว หนีไม่รอด เพราะว่าเราแบ่งรับแบ่งสู้ บอกว่า "ถ้าว่างก็จะไป" มันไม่ยอมให้เราปฏิเสธ มันมานิมนต์ด้วยพานดอกไม้ ธูป เทียน พร้อมทั้งตั๋วเครื่องบิน ต้องลงอุดรก่อนจ้ะ เพราะตอนนี้หนองคายสายการบินเขาปิดเส้นทางไปแล้ว ก่อนหน้านี้มีลงหนองคายโดยตรงเลย แล้วเขาจะรับจากอุดรวิ่งไป เล่นมานิมนต์พร้อมตั๋วเครื่องบินไม่รู้จะหนีอย่างไร แล้วในตั๋วระบุชื่อของเราอยู่แล้ว ตั้งแต่การบินไทยระเบิด พอถึงเวลาต้องแสดงหนังสือสุทธิพร้อมกับตั๋ว ถ้าหากว่าชื่อกับตั๋วไม่ตรงกันเมื่อไร ก็ไม่ต้องขึ้นเครื่อง ตอนไปกับหลวงพ่อสมเด็จ เขายังตรวจเลย มันเขี้ยวจริง ๆ
      ถาม :  "ธรรมปีติ" คืออะไรครับ?
      ตอบ :  ธรรมปีติ คืออารมณ์ใจที่เข้าถึงธรรมระดับหนึ่ง ตัวปีติยังไม่ถึงปฐมฌาน ใกล้ ๆ ปฐมฌานแล้ว คนเขาถึงปีติจะอิ่มใจไม่รู้จักเหนื่อย ไม่รู้จักหิว ถ้าหากว่าเข้าถึงตัวปีติต้องระวังให้มาก เพราะมารแทรกได้ง่าย มันจะหลอกให้เราขยันทำ ไม่รู้จักพักไม่รู้จักผ่อน และเดี๋ยวก็เดี้ยง คนที่สามารถรักษาอารมณ์ธรรมปีติอยู่ได้ ไม่ต้องกินข้าวกินน้ำก็อยู่ได้จะอิ่มเอิบชุ่มชื่นอยู่อย่างนั้นตลอด
      ถาม :  ต้องพักผ่อนใช่ไหมครับ?
      ตอบ :  ต้องพักผ่อน นอนให้ปกติ
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  จ้ะ เกือบ ๆ จะเป็นอัปปนาสมาธิ ต้องเรียกว่า "ขณิกสมาธิ" เป็นสมาธิที่ยังไม่แนบแน่น เล็กน้อยเท่านั้น พระที่ท่านอยู่ป่า ท่านไม่ได้มีอะไรฉันก็อยู่ด้วยธรรมปีติ ถ้าทำไม่ถึงตรงจุดนี้ก็ยากหน่อย
      ถาม :  ..................................
      ตอบ :  ช่วง ๒ สัปดาห์ที่ผ่านมามีเรื่องสนุกเยอะมากเลย ตั้งแต่โดนทหารเฝ้ากุฏิไม่ให้ไปไหน เขาจะเอาวัตถุมงคลให้ได้ เพื่อนเขาโดนยิงที่ชุมพร ๔๖ นัดแล้วไม่เป็นอะไร..! แล้วมันพกพระที่เราแจกไปองค์เดียว เขาเลยจะมาเอาให้ได้ แต่รุ่นนั้นเราแจกไปตั้งแต่ ๓ ปีที่แล้ว ส่วนอีกครั้งคุณสุภาวดี เขาจะไปวัดถ้ำทะลุ คราวนี้ลูก ๆ ยังเด็ก เด็กกรุงเทพฯ นั่นแหละ ปีนเขากันไม่ไหว ก็เอาไปฝากไว้ที่กุฏิ เด็ก ๆ วัยรุ่นอยู่นี่ อายุสิบกว่า ๑๓-๑๔ ปีอย่างนี้ ก็เล่นกันเฮ ๆ ๆ กุฏิจะถล่ม พอเฮได้สักพักหนึ่ง เขาถามว่า "เด็กตัวอ้วน ๆ นั่นใคร?" ตอบเขาว่า "อ๋อ..มันตกน้ำตายมา ๒ ปีแล้ว..!" กรี๊ดสลบ คือมันอยู่รุ่นเดียวกันกับเด็กที่ตกน้ำตาย มันก็อายุ ๑๑ กว่าเกือบจะ ๑๒ แล้วตอนแรกที่เขามาขออยู่ที่กุฏินะ เขามาแบบเปียกโชกเลย เขาบอกว่า "หลวงพ่อ เขาขออนุญาตอยู่ที่กุฏิได้ไหม? อยู่ในน้ำมันหนาว" ก็บอกว่า "อยู่ได้ แต่ว่าอย่ากวนคนนะ เวลาใครเขามา อย่าไปแกล้งเขา" เขาก็รับปาก ตกลงให้เขาอยู่ เขาบอกว่า "อีก ๘ ปี เขาจะไปเกิดใหม่นะ ถ้าเป็นไปได้อยากไปเกิดกับพ่อแม่คนเดิม" เราก็อนุญาตให้เขาอยู่ เขาก็ไม่เคยกวนใครจริง ๆ
              แต่คราวนี้เจอเด็กรุ่นเดียวกันน่ะ เขาเล่นสนุกกัน ต่อหางเป็นรถไฟมีเพลงประกอบด้วย เด็ก ๆ เล่นกันสนุกนี่ ก็มาต่อหางด้วย (หัวเราะ) แหม...แล้วเขาทำให้เราเห็นนี่ ชัดมากเลย มันกรี๊ดซะกุฏิจะถล่ม ต้องถามป้ามุกดา
      ถาม :  ตอนกี่โมงเจ้าคะ?
      ตอบ :  กลางวันเที่ยง ๆ เลย อาตมาเคยบอกแล้ว "ผีหลอกมันหลอกกลางวัน ไม่ได้หลอกกลางคืน พวกหลอกกลางคืนน่ะ ฝีมือไม่ถึง" ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง เด็กชุดนั้นกลายเป็นคนอาบน้ำเร็ว ไม่กล้าอยู่ในห้องน้ำนาน ราด ๆ ๆ แล้วก็เผ่นเลย (หัวเราะ) เรื่องสนุก ๆ มักจะเกิดไล่ ๆ กัน ตอนแรกก็ประสาทเสียเลย โทรว่า "หลวงพ่อเขามาแล้วหรือยัง?" บอก "ไอ้บ้า..! ผีเขาไม่ข้ามเขตกันหรอก เขตใครเขตมัน" ไปถึงกรุงเทพฯ แล้วยังกลัวอยู่อีก พระเขาแปลกใจมากเลย มันกรี๊ดอะไรกันได้ขนาดนั้น เขาไม่รู้ว่าผีหลอก จริง ๆ เขาก็ไม่ได้หลอกหรอก เขามาเล่นด้วย คราวนี้พอรู้ว่าเป็นผีเท่านั้นแหละ หมดเลย เราก็พูดตรงไปหน่อย ความจริงบอกว่าเด็กที่ไหนก็ได้
      ถาม :  ตอนนี้เขาเป็นเทวดาหรือยังคะ?
      ตอบ :  ต้องเรียกว่า "สัมภเวสี" แต่เขามีความสุขคล้ายกับเทวดา เพราะว่าเราอนุญาตให้เขาโมทนาบุญอยู่ทุกวัน ถึงเวลาสวดมนต์ ทำวัตร เจริญกรรมฐานเสร็จ ก็บอกให้เขาโมทนาบุญทุกครั้ง จริง ๆ เขาสบายแล้วนั่นแหละ รอเวลาอยู่ ตอนนี้เหลือประมาณ ๗ ปี ตอนที่เขามาครั้งแรกเขาบอกว่า "ประมาณ ๘ ปี เขาจะไปเกิดใหม่" เหลือสักประมาณ ๗ ปีตอนนี้ คราวหน้าเอา "วัลลภ์" ไปฝากไว้บ้างนะ พ่อกับแม่ไปนอนเขื่อนแล้วฝากน้องวัลลภ์ไว้ที่กุฏิ เอาให้กรี๊ดสลบเหมือนกัน เขารุ่นเดียวกันอยู่แล้วนี่ แต่โน่นเขาอ้วนกว่าเยอะ
      ถาม :  ผู้ชายหรือคะ?
      ตอบ :  ผู้หญิง ตอนเขาตกน้ำตายก็ไม่น่าตายหรอก คนเราวาระกรรมมาถึง เลี่ยงไม่ได้จริง ๆ โอ้โฮ...น้ำข้างหลังวัดแรงขนาดไหน บริษัทฯ อะไรจำไม่ได้แล้ว ดันให้เขาล่องเรือแคนนู เรือแคนนูต้องล่องที่น้ำตื้น ๆ ไม่ใช่ ๕ เมตรกว่าอย่างข้างหลังวัดอย่างนั้น แล้วน้ำหลังวัดเพิ่งปล่อยออกจากเขื่อน ต้นน้ำมามันแรงจะตายไป เขาบังคับเรือไม่ได้ ไปชนเสาสะพานข้างหลังวัดนั่นน่ะ แล้วเรือคว่ำ พ่อก็ตกใจคว้าลูก ไปจับติดเสื้อชูชีพเข้า เลยรูดติดเสื้อมา ตัวจมไป ถ้าหากไม่ไปกระชากนะ ลูกเขาไม่ตายหรอก ก็ต้องลอยได้ใช่ไหม? นี่ดันไปกระชากเสื้อชูชีพติดมือไปเลย ร้องห่มร้องไห้จะกระโดดน้ำตายไปด้วย ตอนพระช่วยกันงมอยู่ แล้วบ่นว่าผมมีลูกอยู่คนเดียว