ถาม:  มีประโยชน์ในการอ่านมาก
      ตอบ :  พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า “พาหุสัจจะ” ศึกษามามากจะมีประโยชน์ คราวนี้ว่าเรื่องของการศึกษามากแล้วมีประโยชน์อยู่ตรงที่วา “เราสามารถเอาเรื่องที่เราศึกษา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้” ถ้าสักแต่ว่ารู้ ก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน เคยอ่านหนังสือจีนเล่มหนึ่ง ที่เขาแปลไทยมา เขาบอกว่า “การศึกษาตามตำรา ถือว่าเก่ง รู้เท่าตำรา ถ้าหากว่ารู้แล้วพลิกแพลงไปใช้งานได้ ถึงจะยอด ถ้าจะเอาเยี่ยมจริง ๆ ให้บัญญัติใหม่” (หัวเราะ)
      ถาม :  การอ่านมาก มักจะเขียนอะไรขึ้นมาได้
      ตอบ :  จ้ะ สมัยก่อนจะบวชหลายปี เขียนหนังสือขายอยู่เหมือนกัน มีแฟนเยอะ แต่ว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งไปเรียนทหาร ก็เลยทำให้ไม่มีเวลามาเขียน ทางสำนักพิมพ์เขาทวงหลายทีเหมือนกัน ช่วงนั้นได้ค่าแรงหน้าละ ๗๕ บาทแล้ว ค่าเขียนหน้าละ ๗๕ บาท เรียกว่าได้มีคนติดตามอยู่ระดับหนึ่ง
              แต่คราวนี้พอไปเสียเวลาเรียนอยู่ ๒ ปี ตอนนั้นนักเรียนนายสิบเขาเรียนแค่ ๒ ปี มาตอนหลังเขาเรียน ๑ ปี พอย้อนกลับมา มีเนื้อเรื่องอยู่เรื่องหนึ่งที่เราเขียนทิ้งไว้ ๒ บท แล้วก็มาเขียนต่อ พล็อตยังอยู่ในหัวของเรานี่แหละ ปรากฏว่าพอเขียนต่อเสร็จแล้ว เรามาอ่านย้อนทวนตั้งแต่ต้น กลายเป็นคนละเรื่องกัน...! จินตนาการไม่เหมือนกัน เพราะว่าประสบการณ์เปลี่ยนไป ๒ ปี จะสำนวนการเขียนก็ดี แนวความคิดก็ดี กลายเป็นคนละเรื่องกันไปเลย กลายเป็นว่า ๒ บทข้างบนเหมือนคนหนึ่งเขียน แล้วที่ต่อ ๆ มาคืออีกคนหนึ่งเขียน เลยหยุดดีกว่า ต่อไม่ติด หยุดดีกว่า มาระยะหลัง คุณจงใจ เขาเขียนหนังสือลงสกุลไทยประจำ ใช้นามปากกาว่า “ลลิตา” เวลาเขาจะเขียนอะไร ? เขาจะมาปรึกษาเรื่องพล็อตเรื่องดำเนินเรื่องแบบไหนอย่างไรดี ? บางอย่างเราแนะนำไปแล้ว เขาก็นั่งถอนใจ เขาบอกว่า “จินตนาการไม่ถึง” เขาก็แนะนำว่า “เอาอย่างนี้สิ หลวงพี่เขียนมาแล้วใช้ชื่อหนู แล้วเราแบ่งกัน” (หัวเราะ) ของเขาอยู่ในระดับที่เรียกว่า “คนติดกันหมดแล้ว ถ้าหากว่านามปากกานี้มา คนต้องติดตามอ่านแน่” แต่จริง ๆ แล้วเรายืมนามปากกาเขา คนเขียนคือเรา บอกว่า “ไม่เอาหรอก หลอกลวงชาวบ้านไม่ดี” แต่ว่าเรื่องที่เขาเขียนมานี่ ทางช่อง ๓ เหมาไปหมดเลย ถามว่า “เหมาไปตั้งนานตั้งเน ทำไมออกแค่ไม่กี่เรื่องล่ะ ?” เขาบอกว่า “เขากันคนอื่นซื้อ” โอ้โฮ...! ในยุทธจักรนี่หักกันขนาดนี้นะ ? ตัวเองซื้อไปเก็บไว้เฉย ๆ ไม่อย่างนั้นคนอื่นเอาเรื่องนี้ไปแล้วเกิดทำสนุกขึ้นมา ร้ายจริง ๆ เลย
      ถาม :  แต่ว่าของ “ทมยันตี” ก็โดนเหมา ?
      ตอบ :  ก็คิดว่าเขาเหมาหมด มีอยู่อันเดียวที่ตกลงลิขสิทธิ์กันไม่ได้ คือ “เพชรพระอุมา” ช่อง ๗ เขาไปซื้อเรื่องต่อจากคุณวิทยา เวสสุวัฒน์ แล้วเขาจะทำ แล้วครูพนมเทียนมาฟ้อง เพราะว่าตอนที่เขาขายลิขสิทธิ์ให้คุณวิทยา เวสสุวัฒน์นั้น ในสัญญาระบุชัดเลยว่า “ขายเพื่อให้สร้างหนังในครั้งนั้นครั้งเดียว” แต่คุณวิทยาไปเข้าใจว่า “เท่ากับว่าเขาได้ลิขสิทธิ์ตลอดไปเลย” เขาก็เลยไปขายต่อให้กับทางช่อง ๗ ช่อง ๗ ก็ไม่รู้ คิดว่าลิขสิทธิ์เป็นของเขา ก็ซื้อไว้ ฟ้องร้องกันอยู่ตั้ง ๒-๓ ปี ปรากฏว่า ศาลตัดสิน เพราะว่าเอกสารระบุชัด ตัดสินให้ครูพนมเทียนชนะ ไม่อย่างนั้นทางช่อง ๗ เขาฟอร์มตัวดาราไว้แล้ว ว่าเขาจะทำอย่างไร ?
      ถาม :  เลยสร้างไม่ได้ ถ้าจะสร้างก็ต้องซื้อลิขสิทธิ์
      ตอบ :  คิดว่าเพชรพระอุมา ถ้าจะสร้างต้องฝีมือระดับ “สตีเวน สปีลเบิร์ก” คนไทยสร้างไม่ได้หรอก จินตนาการสุดยอดจริง ๆ เลย เหมือนกับยกจูราสสิคปาร์คเขาไปอยู่ส่วนหนึ่ง โอ้โฮ...! ยอดจริง ๆ เลย ใครไม่ได้อ่านถือเป็นความสูญเสียของชีวิตเลย กินเนสบุ๊คเขาบันทึกเอาไว้ว่า “เป็นนวนิยายที่ยาวที่สุดในโลก” เพราะว่าตอนนี้ขนาดเขาซอยลงตัวแล้ว ยัง ๔๘ เล่ม ตอนก่อนที่ไม่ลงตัว มีตั้ง ๕๓ เล่ม คนเขียนใช้เวลาเขียนอยู่เกือบ ๓๐ ปี เริ่มเขียนปี ๒๕๐๘ แล้วค่าแรงเดินป่าของเขาตอนนั้น เขาคิดแค่แสนเดียว มาถึงสมัยปัจจุบันเขาต้องปรับเป็น ๒ ล้าน ไม่อย่างนั้นคนจะแปลกใจ อะไรวะ..! ไปกันล้มประดาตายขนาดนั้น คิดค่าแรงแค่แสนเดียว นั่นสมัยปี ๒๕๐๘ ตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวเพิ่งชามละสลึงเดียว อาตมาจำแม่นเลย (หัวเราะ) ตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเดียว แล้วท็อฟฟี่เขายังขายเป็น ๑๐ สตางค์อยู่ รุ่นนี้ไม่ทันหรอกลูก ใช้ ๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ตอนนั้นมีความสุขมากเลยเวลาไปโรงเรียน เหรียญ ๕๐ สตางค์โตขนาดนี้มั้ง เหรียญดำ ๆ โตขนาดเหรียญบาท
      ถาม :  ทันใช้สตางค์รูไหมครับ ?
      ตอบ :  ทันจ้ะ สตางค์รูนี่ มีอาเจ๊กคนหนึ่ง แกเป็นพ่อค้าคนจีน โอ้โฮ...! สุดยอดมือแข็งเลย สตางค์รุ่นนั้น ถ้าใครไปซื้อของ แกจะจับหัก หักเป๊ะไปเลย ถ้าเป๊ะไปเลยแกไม่เอา แต่ถ้าหักไม่ไปแกเอา มันจะพับไปเลย ๆ ที่หักแล้วแตกเป๊ะไปเลย ส่วนใหญ่จะเป็นพวกขี้ตะกั่ว ถ้าอันไหนที่หักแล้วมันพับไป ไม่หัก เป็นเนื้อเงินมาก แกจะเอา มือแกแข็งจริง ๆเลยยอมรับ ไม่รู้แกหัดมาอย่างไร ? มือคนจะหักเหรียญด้วยนิ้วนี่ ยากนะ เป็นไปไม่ได้หรอก แต่แกหักได้
              สมัยก่อนเขามีเข็มกลัดตัวโต ๆ ลูก หนูเคยเห็นไหม ? ถึงเวลาเขาร้อยเหรียญสตางค์ ร้อยตรงรูตรงกลาง รุ่นนี้เขาไม่เคยเห็นกัน (หัวเราะ) รุ่นนี้มารุ่นเหรียญห้าบาทใหญ่ ๆ แล้ว
      ถาม :  ตอนนี้อากาศร้อนจัด เคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า “พระอาทิตย์จะขึ้นมาอีกดวง จะคาดระยะกันไหม ?”
      ตอบ :  ตอนนี้ถ้านับแล้วนะ พระอาทิตย์ดวงที่ ๒ เริ่มขึ้นแล้ว คราวนี้ผิวมันเริ่มปะทุเป็นประกายไฟขึ้นมา เป็นวงแคบ ๆ นิดเดียว แต่ว่าความร้อนเริ่มใช้ได้แล้ว แล้วก็จะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ คือตามพุทธพยากรณ์ ท่านบอกว่า “พระอาทิตย์จะค่อย ๆ ขึ้นเพิ่มไปเรื่อย ๆ พอขึ้นถึง ๗ ดวง ไฟบรรลัยกัลป์ก็ล้างโลก” เพราะว่ามันทำลายความชื้นหมด อะไรเสียดสีกันหน่อยเดียวก็ไหม้เป็นไฟ น้ำในมหาสมุทรค่อย ๆ เหือดแห้งลง
              ตอนนี้แค่ดวงที่ ๒ เริ่มโผล่ขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ร้อนขนาดนี้แล้ว คือลักษณะของพระอาทิตย์ที่ขึ้น คือการก่อตัวของดาวฤกษ์ การก่อตัวของดาวฤกษ์นี่ พอถึงเวลาที่สารประกอบในตัวของมันปะทุขึ้นมากระทบกับอากาศ แล้วเริ่มติดเป็นไฟต้องถามพวกดาราศาสตร์ เขาจะรู้ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ? แค่ก่อตัวขึ้นมาหน่อยเดียวเท่านั้นเอง ถ้านับแล้วเป็นขอบเท่านั้นเอง ยังไม่ทั้งดวงนะ เป็นแค่ผิว ๆ ของมันเท่านั้นเอง ยังร้อนนะ ถ้าสัก ๒ ดวงนี่คงแย่ เทพเจ้าของจีนที่ยิงดวงอาทิตย์ ที่ว่ามีดวงอาทิตย์ขึ้นมาหลาย ๆ ดวง แล้วแกเอาเกาทัณฑ์ยิงร่วง เหลือแค่ดวงเดียวก็พอ ไม่อย่างนั้นมนุษยชาติจะอยู่ไม่ได้ แล้วคนจีนก็ยกให้เป็นเทพ ฟังดูแล้วลักษณะเหมือนกับเรื่องพระอาทิตย์ที่จะเกิดขึ้น ๗ ดวง
              แต่ว่าตามพุทธทำนาย ท่านบอกว่า “พอเกิดขึ้นครบแล้ว ก็จะดับสลายไป” ลักษณะการดับสลายไปนี่ ไม่ใช่หมายความว่า จะสลายตัวไปเลย แต่ว่าลักษณะคล้าย ๆ ว่าส่วนประกอบที่จะให้ความร้อนในลักษณะที่เป็นแสงสว่างเป็นความร้อนของมันหมดลง พอถึงเวลาพอครบรอบวงจรของมัน มันสะสมตัวขึ้นมาได้ก็ปะทุขึ้นมาอีก ระยะเวลายาวนานเหลือเกิน รุ่นของเราไม่เป็นอะไรหรอก มีแอร์แล้ว รุ่นพ่อรุ่นแม่คงแย่เลย ถ้าเป็นสมัยนั้นร้อนขนาดนี้โดดน้ำกันทั้งวัน รุ่นนั้นเขามีแป้งน้ำมองเล่ยะ สมัยนี้ยังมีเหลือหรือเปล่าไม่รู้ ? อาบน้ำขึ้นมา แล้วก็ทากันเป็นลายตุ๊กแกเลย (หัวเราะ) แป้งเป็นแป้งพม่า จริง ๆ เรียก “หม่องเล” คราวนี้คนไทยเวลาออกเสียออกไม่ถนัดกลายเป็น “มองเล่ยะ” ขายดี แป้งพม่า
              โบราณได้เปรียบตรงชีวิตไม่เร่งรีบ กำลังใจของคนยังเยือกเย็นอยู่มาก ไม่ต้องช่วงชิงกับใคร ปัจจุบันได้ความสะดวก แต่ตัวความสะดวกจะทำให้ชีวิตเร่งรีบมากขึ้น แล้วจะอยู่ในลักษณะที่วา “หยุดไม่ได้ มีแต่ต้องมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ” แล้วจะทำให้คนเครียดมาก ถึงได้บอกว่า “จิตแพทย์จะเป็นอาชีพที่รุ่งมากอีกอาชีพหนึ่งในอนาคต”
              สมัยก่อนไปวัดท่าซุงใหม่ ๆ ถนนหน้าวัดยังเป็นทางลูกรังอยู่ แล้วจะต้องไปลงแพขนานยนต์ที่มโนรมย์ เพื่อจะข้ามฝั่ง แล้วก็วิ่งผ่านหน้าวัด ทางจากแพไปยังตัวเมืองอุทัย ๑๐ หรือ ๑๔ กิโลเมตร จำไม่ได้แล้ว รถสองแถวใช้เวลาวิ่ง ๑ ชั่วโมง โอ้โฮ...! ไปถึงใหม่ ๆ เราประสาทกินเลย เพราะว่าช่วงนั้นกรุงเพทฯ มีสองแถวเยอะมาก สองแถวกับตุ๊ก ๆ แล้วปาดกัน แซงกัน แย่งกันเข้าป้ายมันมากเลย รุ่นหลังนี่ไม่ได้เห็น รุ่นนั้นถ้าหากว่าวันไหนกลับเข้าบ้าน ก็นึกว่ารอดตายมาเสียทีหนึ่งอย่างนั้น แย่งชิงกันขนาดนั้นจนกระทั่งตอนหลังเขาต้องแก้วด้วยการเปลี่ยนให้มาเป็นมินิบัสคันใหญ่ขึ้นจะได้ไม่ปาดกันง่ายเหมือนสมัยก่อน
              ของเราเยอมันแข่งกันอย่างกับพายุ พอไปถึงที่โน่น ป รากฎว่าผู้โดยสารโบกก็จอด หันไปดู เปล่ายังไม่ขึ้นหรอก กวักมือเรียกลูกโน่น หาบผลไม้บ้าง มะพร้าวบ้าง กล้วยบ้าง ส้มโอบ้าง ขึ้นมาคนขับก็กระโดดขึ้นหลังคา ช่วยแบกขึ้นไป ผูกมัดเสียอย่างดี ลงมาดูขึ้นนั่งเรียบร้อยหรือยัง ? แล้วค่อยขับไป เรานั่งใหม่ ๆ ประสาทกิน ไม่เคยเจออะไรช้าขนาดนี้ ระยะทางแค่ ๑๐ หรือ ๑๔ กิโลเมตรไม่รู้ รถวิ่งชั่วโมงหนึ่ง พออยู่ ๆ ไปสักระยะหนึ่ง เออ...รู้สึกดี เหมือนกลับคืนไปชีวิตเก่า ๆ สมัยก่อน
              สมัยเด็ก ๆ นี่จะเป็นรถเมล์หัวใหญ่ ๆ เขาเรียก “หัวแตงโม” แล้วก็จะมีที่ปั่นอยู่ข้างหน้า (หัวเราะ) ที่สตาร์ทเครื่องจะใช้มือปั่นเอา ปั่น ๆ กว่าจะติดได้ บางครั้งปั่นเสียหมดเรี่ยวหมดแรงก็ไม่ติด แล้วตัวถังเป็นไม้ นั่งเจ็บก้นอย่างบอกใครเลย กระแทกไปเรื่อยนั่นแหละ ก็เลยวิ่งเร็วไม่ได้ วิ่งเร็วแล้วกระแทกมาก มานึก ๆ เออ...! เหมือนกัลป์มาชีวิตเก่า ๆ มาชีวิตรุ่นใหม่ ๆ นี่ โอ้โฮ...! เร็วเหลือเกิน เดี๋ยวนี้เครื่องบินระหว่างประเทศเขามีหลายบริษัทที่ทำประเภทเร็วกว่าเสียง อย่างเช่น คองคอร์ด ของฝรั่งเศสเร็วกว่าเสียงสองเท่าครึ่ง แล้วรถไฟก็หลายประเทศ มีรถไฟหัวกระสุน วิ่งที ๒๐๐-๓๐๐ กิโลเมตร ต่อชั่วโมง ถ้าประเทศไทยเรามีก็สบายเลย กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ๒ ชั่วโมงถึง ไปเช้าเย็นกลับได้ (หัวเราะ) รอคุณทักษิณจะยอมลงทุนไหม ? ถ้าทำแล้วคุ้มจริง ๆ นะ เอาไว้สถานีสำคัญ ๆ อย่างเช่น กรุงเทพฯ-นครสวรรค์-ลำปาง แล้วก็ไปเชียงใหม่ ลงเฉพาะจุดสำคัญเท่านั้นแหละ เชื่อเถอะ ขึ้นกันตรึมเลย เพราะปัจจุบันนี้ถ้าหากว่ามาทำ คิดว่าค่ารถอย่างไรก็ถูกกว่าเครื่องบิน แล้วปลอดภัย ปลอดภัยแน่นอน เพราะว่าใช้ระบบเหนี่ยวนำด้วยไฟฟ้า ถ้าไฟดับก็จอดแหง็กอยู่บนรางเท่านั้นเอง เพราะรางเขาจะทำลักษณะเป็นซองเลย โอกาสที่จะตกรางไม่มี จะต้องทำเป็นซอง เพราะว่าจะต้องใช้ตัวพื้นโลหะเป็นตัวสร้างกระแสไฟฟ้า น่าลองเหมือนกัน
              ได้ข่าวล่าสุดว่า เขาลองในระดับความเร็ว ๗๐๐ กิโลเมตร ต่อชั่วโมง แต่เห็นว่าคงจะต้องใช้ระบบอัตโนมัติในการขับเคลื่อน เพราะว่าสายตาคนรับภาพไม่ทัน วิ่งเร็วเกินไป ต้องกำหนดระยะทาง กำหนดเวลา ว่ากี่วินาทีถึงไหน ? แล้วให้มันหยุด
      ถาม :  เราก็ให้บุญมาตลอด ทำไมเสียงที่ดังในหัวถึงไม่หายไปไหนเสียที ?
      ตอบ :  แล้วจะให้ไปไหนล่ะ ? นักปฏิบัติที่ดีต้องไม่หวั่นไหวกับสิ่งต่าง ๆ แม้กระทั่งความตาย แค่เขาทดสอบแค่นี้เราก็กลัวแล้ว จะไปได้เรื่องอย่างไร ? ถึงได้บอกว่า “ไม่ต้องไปเสียเวลาอุทิศส่วนกุศลให้มันหรอก บอกรีบ ๆ เอาไปเสียที ข้าก็เบื่อเต็มทีแล้ว”
      ถาม :  บางครั้งได้ยินเสียงมันคอเอียงไปข้างหนึ่งเลย (หัวเราะ) เออ...! ก็ดีเหมือนกัน ตายเร็วก็ดีเหมือนกัน นึกอยู่เหมือนกัน อยู่ ๆ ก็หายไปตั้งแต่เมื่อไร ? นี่คอเอียงอยู่อย่างนี้ค่ะ
      ตอบ :  นั่นแหละ บอกแล้วว่า “เขาแค่ทดสอบ สิ่งที่ทดสอบนี่ ถ้าเรานึกถึงความดีได้ เขาจะไม่ยุงกับเรา หรือถ้าเรากลัวมากเกินไป เขาจะไม่ยุ่งกับเรา ประเภทครึ่งกล้าครึ่งกลัว เขาชอบนัก จะแกล้งไปเรื่อย คือเขาอยากรู้ว่า ที่เราประกาศว่าเรายอมตายเพื่อไปนิพพาน ยอมจริงหรือเปล่า ? กำลังใจสละได้จริงไหม ? แหม...แค่พูดแค่นี้ ของฉันมันเหยียบเสียจะตายคาที่...!”
      ถาม :  บางครั้งก็หนักข้อเหมือนกัน คลานเลย
      ตอบ :  จ้ะ เขาทดสอบถึงขนาดว่า ของเราบางครั้งหมดลมไปเลย...! แล้วค่อยฟื้นขึ้นมาใหม่ โดนมาเยอะต่อเยอะแล้ว ของโยมแค่กระจ้อยหนึ่ง
      ถาม :  มีอยู่ครั้งหนึ่ง เหมือนจะหายไปจริง ๆ ทำท่าเหมือนจะตาย นึกถึงเวลาเราจะตายเป็นอย่างนี้หรือ ? ใจค่อย ๆ ไม่มี เห็นแสงสว่างนิดเดียว เอ๊ะ...! ทำไมเราฟื้นขึ้นมาอีก อ๋อ...ถ้าเราจะตายเป็นอย่างนี้หรือ ? เลยมาเล่าให้ป้าเอื้อมฟัง “ฉันจะตายจริง ๆ นะ ฉันนอนอยู่ดี ๆ นะ ฉันจะตาย ๆ ฉันไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย มีแสงสว่างอยู่นิดเดียว ฉันฟื้นขึ้นมาอีกว่ะ...!”
      ตอบ :  ไม่น่ารอดนะ
      ถาม :  คิดเหมือนกันค่ะ ความตาย คนใกล้จะตายเป็นอย่างนี้หรือคะ ใช่หรือเปล่านะ ก็ยังสงสัยอยู่ ?
      ตอบ :  ตรงนั้นไม่ต้องสงสัย ให้ดูว่าตอนนั้น อารมณ์ใจของเราเป็นอย่างไร ? มันนิ่ง มันสงบ มันปล่อยวาง หรือมันกลัว
      ถาม :  ก็เฉย ๆ นะคะ ได้สำรวจตัวเองว่า “ลองดูสิจะเป็นอย่างไร ? ว่าความตายจะเป็นอย่างไร ?” ใจก็เหลือนิดเดียว นิดลง ๆ นิดลงอีก คราวนี้พอเหลือเท่าเม็ดงาจริง ๆ มันไม่ไปเลยค่ะ กลับมาอีก...!
      ตอบ :  แล้วเราก็มาประมาทกันต่อ เห็นว่ายังไม่ตาย เจริญ...! ตรงนั้นไม่ใช่ประเด็นจ้ะ จริง ๆ ของเราก็คือว่า “ตอนนั้นเราหวั่นไหวไหม ? มีอะไรเป็นที่ยึดเกาะมั่นคงหรือเปล่า ? หรือว่ากำลังใจของเราปล่อยวางได้หรือเปล่า ?” อันนั้นถึงจะสำคัญ เสร็จแล้วของเราเองก็ลองทบทวนดูสิว่า “ตอนได้ยินเสียงรู้สึกอย่างไร ? อย่างน้อยต้องมีความกลัวขึ้นมา ในเมื่อมีความกลัวขึ้นมา ของเราเองก็รีบเร่งทำความดี แต่ไปทำในลักษณะแทนที่ว่า เออ...! ถ้าเราตาย เราจะไปดี เปล่าหรอก ทำเพื่อให้ได้อยู่ต่อ ผิด...! เริ่มต้นใหม่ได้แล้วจ้ะ
      ถาม :  ภรรยาเวลาเขาสวดมนต์ ปรากฏว่าเขาปวดตรงแถว ๆ หน้าผาก ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไรครับ ?
      ตอบ :  ตั้งใจมากไป สังเกตไหมว่า “เราตั้งใจมากไป การที่เราทุ่มเทสมาธิอยู่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป ถ้าหากว่าพูดตามแบบวิทยาศาสตร์ คือไฟฟ้าสถิตในร่างกายจะรวมอยู่ตรงนั้นมาก ในเมื่อรวมอยู่มาก ถ้าออกไม่ได้ก็จะปวด วิธีง่ายที่สุดเลย หาถ่านไฟฉายมาก้อนหนึ่ง ถึงเวลาก็แปะเอาก้นถ่ายไฟแปะไว้ จะดูดออกไป หรือไม่ก็ลืมตาสวด ทำใจสบาย ๆ ถ้าหลับตาสวดจะเป็นจ้ะ เพราะว่าเราไปทุ่มสมาธิอยู่จุดเดียว
      ถาม :  จริง ๆ ต้องทำให้ปล่อยออกไป เกี่ยวกับเรื่องพลังจิตหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  พูดถึงว่าของเราเองอยู่ในระดับนั้น ก็ต้องแก้ไขกันแบบนี้ เอาแค่นี้ ง่ายดี ไม่มีอะไรน่ากลัวเลยจ้ะ สบายมาก ถ้าหากว่าแก้ไม่หาย เอาถ่านไฟฉายมา หันก้นถ่านแปะลงไปก็หายแล้ว เพราะจะดึงเข้าไปอยู่ในก้อนถ่านแทน
      ถาม :  ทุกครั้งที่เป็นแล้วเป็นค้างค่ะ ?
      ตอบ :  คือว่าของเราไปทุ่มเทกับมันมากไป ก็ประเภทแรงหน่อยอยู่นานหมดท่าขึ้นมา โน่น...น้ำในตู้เย็นล้างหน้า หายเหมือนกัน
      ถาม :  ไม่อันตรายใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่อันตรายหรอกจ้ะ รับรองว่าไม่กลายเป็นสัตว์ประหลาด (หัวเราะ)
      ถาม :  ที่บ้านส่วนใหญ่พ่อจะเกิดอุบัติเหตุเยอะ คราวนี้ไปดูเมื่อครั้งที่แล้วเพิ่งขับรถหลับไปเสยท้ายหกล้อ ที่บ้านที่เชียงคำก็เอาดวงไปดู พระท่านบอกว่า “ปลูกบ้านค่อมจอมปลวก” แล้วจะดีหรือเปล่า ?
      ตอบ :  ทำไมไม่ถามพระองค์นั้นเลยล่ะ...!
      ถาม :  ถามแล้วครับ
      ตอบ :  คนเราถ้ากำลังมีเรื่องอยู่ แล้วดันไปถามบรรดาหมอดู เรื่องแทนที่จะดี ก็กลายเป็นร้าย ถ้ารู้ตัวขณะนั้นดวงไม่ดี หมายความว่า “กรรมเก่าที่เราทำมา กำลังให้ผลอยู่” มีวิธีสะเดาะเคราะห์แก้กรรมเยอะแยะไปหมด ถวายสังฆทานก็ได้ ปล่อยชีวิตสัตว์ก็ได้ ทำบังสุกุลตายบังสุกุลเป็นก็ได้ บอกท่านว่า “ทำเสียอย่าง หรือว่าทุกทอย่างก็ไม่มีใครว่าหรอก” ถ้าอยู่ใกล้ ๆ จะแนะนำว่า สงกรานต์นี้มีสะเดาะเคราะห์ที่วัด ดันอยู่ยันเชียงคำโน่น เกือบสุดเขตประเทศไทยเลย ยังดีนะอีก ๒ ก้าวเข้าลาวไปแล้ว (หัวเราะ)
              พวกบุญใหญ่จะทำให้กรรมตามไม่ทัน จะรอดพ้นไปได้ชั่วคราว ถ้าผลบุญขาดช่วง จะตามอีก เพราะฉะนั้น...ควรจะทำให้สม่ำเสมอ แนะนำท่านก็ได้ว่า ให้ปล่อยสัตว์ที่เขาจะฆ่า เช่น พวกปลา เดือนละ ๑-๒ ตัวก็ได้ คงไม่ลำบากอะไรนัก ปล่อยประจำ ๆ ไว้เดี๋ยวดีเอง
      ถาม :  ทุกอย่างทำไปแล้วทำให้จิตใจสบาย ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ทำให้จิตใจสบายเฉย ๆ คือว่าผลบุญที่เราทำ จะทำให้เรามีกำลังหนีห่างจากบาปได้ชั่วคราว เพราะว่าพอกำลังบุญสูง ก็เหมือนกับคนนั่นแหละ เร่งสปีดเข้าหน่อยก็หนีพ้นไปใช่ไหม ? แต่ถ้าเราประมาท เดี๋ยวผลกรรมตามทันอีก เพราะฉะนั้น...ต้องทำบ่อย ๆ สม่ำเสมอ
      ถาม :  ประเภทคนขี้หลงขี้ลืม เป็นเพราะสาเหตุใด ?
      ตอบ :  ขาดสติ สติสัมปชัญญะไม่มั่นคง ก็จะหลงลืม พวกนี้สอนให้ภาวนาง่ายที่สุด ถ้าภาวนาอารมณ์ใจทรงตัว ความจำจะดี
      ถาม :  การที่เรามีศีลมีธรรมในความคิดของเรา การปฏิบัติธรรมในทาน ศีล ภาวนา สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ แต่อยู่ ๆ มีพลาด คือทำบาป ไปตกปลาเป็นอาทิตย์เลย พอนึกได้ก็อยากนั่งทำบุญ นั่งปฏิบัติสมาธิ เพื่อแผ่กุศลให้ อย่างนี้ได้ไหมครับ ?
      ตอบ :  เท่ากับเป็นการทำบุญเพื่อชดเชยกับบาป โอกาสที่จะขาดทุนมีสูงมาก แต่ยังดีกว่าไม่ทำเสียเลย แต่ว่าจริง ๆ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นได้ทุกคน ช่วงเวลาที่กุศลกรรมหนุนเสริม จิตของเราก็มั่นคงอยู่ในบุญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกันอยู่ใน ทาน ศีล ภาวนา ช่วงที่กุศลกรรมขาดช่วงลง อกุศลกรรมส่งผลให้ ก็จะเลี้ยวลงไปในเรื่องของความไม่มีศีล ไม่มีธรรม เป็นเรื่องปกติ ทันทีที่เรารู้ตัวก็ให้เราย้อนกลับมา ตั้งหน้าทำดีใหม่ สิ่งที่ทำไปแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรมชักนำ ถ้าสติสัมปชัญญะของเราสมบูรณ์ เราไม่ทำเช่นนั้นแน่ แต่บังเอิญว่า คล้อยตามความชั่วไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อนึกขึ้นมาได้ เราก็ตั้งหน้าตั้งตา รักษาสิกขาบททุกข้อให้บริสุทธิ์ใหม่ ตั้งใจเอาไว้ว่า เราจะไม่ทำอีก ก็แค่นั้นเอง อย่าไปนึกถึงความชั่วเก่า ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี เดี๋ยวทุกอย่างจะดีเอง
              การทำบุญ คือการทำความดี อยู่ที่ไหนก็ทำได้ การทำบุญมีอยู่ ๑๐ วิธี
              วิธีที่ ๑ เขาเรียกว่า “ทานมัย” คือลักษณะที่เราทำกัน จะมีการต้องใช้สิ่งของหรือว่าใช้สตางค์หน่อย เรียกง่าย ๆ ว่า เสียเงิน เสียของ แล้วก็เป็นบุญนะจ้ะ แต่ว่าอย่าง “อภัยทาน” การให้อภัยคนอื่นก็ถือว่าไม่เสียอะไร “ธรรมทาน” การสั่งสอนคนอื่นก็ไม่เสียอะไรใช่ไหม ?
              วิธีที่ ๒ “สีลมัย” คือการรักษาศีลอย่างน้อย ๕ ข้อ นี่ไม่เสียสตางค์ ไม่ต้องไปวัดก็ได้ อยู่บ้านก็ทำได้ใช่ไหม ?
              วิธีที่ ๓ “ภาวนามัย” คือการนั่งสมาธิ ไม่เสียสตางค์เหมือนกัน อยู่ที่ไหนก็ทำได้
              วิธีที่ ๔ “อปจายนมัย” คืออ่อนน้อมถ่อมตนต่อคนอื่นเขา คนเห็นเขาเย็นตาเย็นใจ เราทำให้จิตใจเขาสงบเยือกเย็น ส่วนบุญก็เกิดกับเราด้วย
              วิธีที่ ๕ “เวยยาวัจจมัย” คือเห็นคนอื่นเขาทำบุญ ช่วยเหลือเขาก็เป็นบุญ
              วิธีที่ ๖ “ปัตติทานมัย” คือทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขา
              วิธีที่ ๗ “ปัตตานุโมทนามัย” คือเห็นคนอื่นทำดี แล้วพลอยยินดีด้วย เป็นบุญทั้งนั้นจ้ะ
              วิธีที่ ๘ “ธัมมัสสวนมัย” คือฟังธรรมแล้วเอาไปปฏิบัติ
              วิธีที่ ๙ “ธัมมเทสนามัย” คือปฏิบัติได้แล้วสอนคนอื่นต่อ
              วิธีที่ ๑๐ “ทิฏฐุชุกัมม์” อันนี้เป็นต้นทุน คือเรามีความเห็นถูก ว่าพระพุทธเจ้าสอนถูกต้อง เราจะทำตาม สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนของบุญทั้งนั้น เวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในวัด อยู่ในบ้าน เราทำได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น...ไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ก็ทำได้จ้ะ อยู่กับบ้านเราน่ะสะดวก ที่บอกว่าไม่ค่อยชอบไปไหน แล้วไม่ได้ทำบุญจริง ๆ เราอาจจะไม่รู้ว่า บุญทำได้ง่าย
      ถาม :  .................................
      ตอบ :  สมัยก่อนหลวงพ่อท่านบอกเอาไว้ว่า “พระที่หาหลวงปู่ปานเยอะ ในเมื่อพระที่ไปหาหลวงปู่ปานเยอะ เขาเลื่อมใส เสร็จแล้วบอกว่า “เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ปาน” ท่านบอกว่า “ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้” เพียงแต่ว่า...คนที่เป็นลูกศิษย์จริง ๆ นั้น ปฏิปทาครูบาอาจารย์เป็นอย่างไร ? ต้องทำตามนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น ถึงบอกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ ก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ที่แท้จริง
              คราวนี้สมัยหลวงพ่อ ถ้าลูกศิษย์เราจะนับแต่ในวัด เรานับไม่ได้ ใจคอคับแคบเกินไป พระอาคันตุกะไปหาหลวงพ่อวันหนึ่งหลายสิบ ถ้าหากว่าเป็นช่วงงานประมาณ ๓๐๐-๔๐๐ คน แล้วถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่า “เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ” เราก็ปฏิเสธไม่ได้ เพียงแต่ว่า...เขานำเอาวิชาความรู้ตามแบบของหลวงพ่อไปปฏิบัติได้ผลเท่าไหร่ ? แล้ววิชาการต่าง ๆ ที่ศึกษาและทำไปแล้ว แล้วประกาศตนว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาทำได้จริงไหม ? แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้น...เขาบอกว่า “เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ” เราห้ามเขาไม่ได้หรอก
      ถาม :  ผมกลัวว่าอาจเป็นจุดให้ฝ่ายที่ไม่หวังดีโจมตีได้ ?
      ตอบ :  ก็ปล่อยเขาสิ เขาตีเขาก็ตีคนโน้น เขาไม่ได้มาตีเราสักหน่อย แล้วไปห่วงทำไม
      ถาม :  ก็ไม่แน่นะครับ เขาอาจเอาคนนั้นเป็นสื่อ แล้วตีส่วนใหญ่
      ตอบ :  ก็เรื่องของเขา อย่างไร ๆ มันตีมา อาตมาคิดว่าหัวแข็งพอ (หัวเราะ)
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  เมื่องานฉลองวัดหนองบัว ไปเจอนักเลงดีฟาดกะโหลกมาให้ โอ้โฮ...! อย่างกับขีปนาวุธกลางหัวเลย นึกว่าอิรักมันยิงผิด แทนที่จะยิงอเมริกาดันมาลงหัวเรา อย่าไปกังวล ทุกสิ่งทุกอย่างเขาเรียกว่า “ธรรมะจัดสรร” ถ้าหากว่าเป็นของดี ของแท้ ต้องทนต่อการพิสูจน์ ทองแท้ไม่กลัวไฟเผาหรอก เผาไปขนาดไหน ? ก็ยังเป็นทองอยู่นั่นแหละ
      ถาม :  วัดหนองบัวที่สร้าง เสร็จหรือยังครับ ?
      ตอบ :  เสร็จแล้ว อยู่ประเทศพม่า
      ถาม :  แล้วนักเลงนี่ ?
      ตอบ :  คือเรานิมนต์พระมา ๘๐ กว่าวัด แหม...! เขาแต่ละคนก็อยากรู้ว่า “อาจารย์ใหญ่จากเมืองไทยแน่แค่ไหน ?” ก็เลยมีรายการลองเล่นหน่อย อย่างกับฟ้าผ่าลงมากลางหัวเลย ขาดสติไปสักครึ่งวินาที แล้วก็ตั้งหลักได้ เราก็ภาวนาของเราต่อหน้าตาเฉย ปล่อยมัน
      ถาม :  ลองเล่นแบบไหนครับ ?
      ตอบ :  เอาขีปนาวุธมาลงกบาลเราน่ะสิ
      ถาม :  อยากถามวิธีใช้ลูกประคำครับ ?
      ตอบ :  อิติปิโส ๑๐๘ จบ ทารุณไปไหม อิติปิโส ๑๐๘ จบ
      ถาม :  มี ๑๐๘ แล้วก็มี ๑,๙๐๐ ต้อง ๑,๙๐๐ ดีไหมครับ ?
      ตอบ :  ๑๐๘ ก็พอ เดี๋ยวตาย
      ถาม :  ขีปนาวุธ นี่อย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ตอนก่อนไปเล่นกับพวกกะเหรี่ยง แต่ละลูกลงมา เรานอนอยู่แผ่นดินสะเทือนอย่างกับขีปนาวุธ ที่ไหนได้ลูกที่ลงกลางกบาลนี่ มันหนักกว่าตั้งเยอะ เขาว่า “อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกที เขาหมั่นไส้” ของเราไปใช้เวลา ๓-๔ ปี สร้างวัดให้เขาใหญ่โตมโหฬาร เลื่องลือไปตั้งหลายจังหวัด เขาอยากจะลองดูว่า อาจารย์ใหญ่แน่แค่ไหน...!
      ถาม :  ใช้อะไรครับ ? ขีปนาวุธเป็นแบบ ?
      ตอบ :  ไม่ได้สนใจเลย รู้แต่ว่าลงมาทำอะไรเราไม่ได้ เราก็ตีหน้าตายต่อไป ถ้าเป็นสมัยก่อนนะหรือ ? ผมเอาคืนจนได้แหละ มาสมัยนี้ไม่เอาแล้ว
      ถาม :  ................................
      ตอบ :  คือไปได้บทเรียนมาหลายที ถ้าหากว่าเราไปเล่นกับเขาลักษณะนั้น เขาสู้ไม่ได้ เขาจะไปหาคนที่เก่งกว่ามาเรื่อย ๆ แล้วเราเองก็ไม่ต้องพัก ไม่ต้องผ่อนกันเสียที ก็เลยเลิก ไม่เล่นกับมันก็หมดเรื่อง แล้วระยะนี้เนื่องจากว่ามีผู้ปรารถนาดี เอาไปลงอินเตอร์เน็ตบ้าง โฆษณาทีวีบ้าง ออกหนังสือบ้าง ก็เกิดมีคนเขาอยากรู้อีกว่า แน่จริงหรือเปล่า ? มันก็มาลองอีกแหละ สรุปแล้วความหวังดีของคน ก็ให้ร้ายเราได้เหมือนกัน 
      ถาม :  แล้วจะมีโทษไหมครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ก็มีโทษ คนหวังดีไม่มีโทษ คนทำน่ะมี ทำไมต้องคิดด้วยว่า “ถ้าหากว่าเก่งจริงต้องลอง” คิดอะไรบ้า ๆ แหม...ลองแต่ละอย่างมันเอาตายทั้งนั้นเลย คือเขาสรุปว่า ถ้าเป็นพระดีต้องไม่ตาย แหม...! เรานั่งกลุ้มเลย พ่อใหญ่กูยังตายเลย (หัวเราะ) สรุปได้ดีมากเลย ถ้าเป็นพระดีต้องไม่ตาย ระวังลูกหลงก็แล้วกัน เดี๋ยวมันเข้ามาถึงโยนระเบิดใส่ตรงหน้าอะไรอย่างนี้ ตัวใครตัวมัน อาตมาอาจจะไม่เป็นอะไร แต่โยมน่ะสิ...!
      ถาม :  ไม่เป็นไรครับ เกาะหลวงพี่ไว้ เดี๋ยวโยนมา ผมวิ่งไปอยู่ข้างหลัง ใช้คติเดียวกับเขา พระดีต้องไม่เป็นอะไร
      ตอบ :  คิดบ้า ๆ วิธีที่เขาลองแต่ละอย่าง ปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรงอยู่แล้ว ในเมื่อปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรง การกระทำถึงจะเป็นการลอง ก็เท่ากับมุ่งร้าย มีแต่ขาดทุนกับขาดทุน จะทำไปทำไมก็ไม่รู้ ? ระยะนี้กระทั่งอาหารการกินยังต้องระวังเลย ใส่ของแถมมาให้กินด้วย (หัวเราะ) ตอนแรกเราก็แปลกใจหลวงตาบัว ท่านก็ดีแสนดี ทำไมคนไปวางยา ที่แท้พวกบวม ๆ อย่างนี้มันมี ถ้าเก่งจริงต้องไม่ตาย วางยาเสียเลย