สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ตอบ:  (ต่อจากฉบับที่แล้ว) อย่างพวกเรา นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องถามดูว่าใจมันไปด้วยหรือเปล่า ? หรือสักแต่ว่ากราบให้ครบ ๓ ครั้ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ยึดจริงหรือเปล่า ? ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง ยึดจริงหรือเปล่า ? สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้ายึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ยึดจริงหรือเปล่า ? หรือสักแต่ว่า ๆ ไปทำเป็นประเภทถึงเวลากรอกนับถือศาสนาอะไรในแบบฟอร์ม ศาสนาพุทธ พุทธแต่ปาก ถ้าถึงตรงจุดนั้นแล้ว กาย วาจา ใจ มันจะไปด้วยกันหมด
              คราวนี้ตอนที่ไปด้วยกันหมดแล้ว กาย สติ สมาธิ อย่างน้อยเป็นปฐมฌาน กำลังของมันสามารถทำให้คุณเป็นพระโสดาบันหรือสกิทาคามีได้ง่ายมาก เพราะว่ากำลังแค่ปฐมฌานตัดได้ ๒ ระดับนี้ ถ้าพระอนาคามีต้องกำลังของฌาน ๔ เพราว่าการตัดโทสะกับราคะ ถ้าไม่ได้ฌาน ๔ จริงเอามันไม่อยู่
              คราวนี้ก็ไม่เห็นต้องไปกังวลอะไร เราก็ตั้งหน้าตั้งตาทำของเราไป มันก็จะค่อย ๆ เข้าแข็งขึ้นไปเรื่อย สะสมกำลังสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวมันก็ถึงเอง หัดคิด หัดตัด หัดพิจารณา ถ้าได้ปฐมฌานกำลังมันพอเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ไม่ต้องเอามากไปกว่านี้หรอก รู้ว่าไม่ไหว ๔ ไม่ไหว ขอ ๑ ก็พอ อาตมาปล้ำอยู่ ๓ ปีเต็ม ๆ ปฐมฌานอย่างเดียวทำเพราะอยากได้ คราวนี้ทำเพราะอยากได้มันเลยไม่ได้สักที ถึงเวลาไปตามจี้ตูดมันไม่รู้ว่ามันขี้อาย พอไม่รู้ว่ามันขี้อายไปตามจี้ตูดมันนี่วิตกนะ เรากำลังนึกอยู่ว่าจะภาวนา นี่วิจารณ์นะ ตอนนี้ลมหายใจมันแรง มันเบา มันยาว มันสั้น ภาวนาอย่างไรเรารู้อยู่ นี่ปีตินะ ขนมันลุกซ่า ๆ แล้วก็หายจ้อย มันได้แค่นั้นแหละ วันหนึ่งก็แล้ว เดือนหนึ่งก็แล้ว ปีหนึ่งก็แล้ว สองปีก็แล้ว สามปีก็แล้ว ถ้าเป็นพวกคุณไหวไหมล่ะ ทำกันตายไปข้างหนึ่ง ชนิดไม่มีเวลาว่างเลย จะเอาให้ได้ แต่มันไม่ได้
              ฉะนั้นเวลาพวกเราถาม ทำไมทำแล้วยังไม่ได้สักที มี ๒ อย่าง ไม่ทำเกินก็ทำขาด ของอาตมาทำเกิน พอ ๓ ปีมันก็เซ็ง ตอนนั้นก็นั่งมันจะได้ไม่ได้ช่างหัวมันเถอะว่ะ กูภาวนาของกูก็แล้วกัน ป๊อกเดียวได้เลย มันหมดอยากแล้ว พอหมดอยากก็ไม่ไปสนใจ ไม่ไปตามจับอาการมันแล้วว่าแต่ละขั้น ๆ เป็นอย่างไร ? ปึ้บเดียวลงเลย ถ้าทำอย่างนั้นทีแรกก็ได้ไปทีแรกแล้ว ดันฉลาดมากปล้ำอยู่ ๓ ปี อนุญาตให้เลียนแบบได้ ห้ามเกิน ๓ ปี ใครเกิน ๓ ปีตีตายเลย มันเก่งกว่าเรา ขอให้ทำแล้วก็ทำจริง ๆ จะได้ไม่ได้ช่างมันเรามีหน้าที่ทำ จำไว้ว่าได้ทำกับทำได้มันต่างกัน ถ้าคุณยังไม่ได้ทำโอกาสที่จะทำได้มันยาก ไปนั่งแหงนมองเครื่องบินอยู่นั่น เมื่อไหร่จะได้นั่งเสียที ต้องรีบทำงานหาเงินจะได้มีเงิน ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน สิ่งต่าง ๆ ที่ครูบาอาจารย์แต่ละคนผ่านมาเล่าให้ฟังก็ดี เป็นหนังสือ เป็นประวัติให้อ่านก็ดี อันนั้นเป็นสมบัติเศรษฐี คนเขาทำมาจนรวยแล้วมีมาอวดเราแล้ว เรามัวแต่ไปดูของท่านอยู่ ไปชื่นชมดีเหลือเกิน สวยเหลือเกิน ดีอย่างโน้น รวยอย่างนี้ มันใช่ของเราไหม ไม่ใช่หรอก อยากได้ต้องทำเอง
              มีอยู่วันหนึ่งขับรถตามตูดรถเมล์ต่างจังหวัด รถสีส้ม บ.ข.ส. ติดสติกเกอร์ไว้ ความดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ให้ทำเอง แหม! มันด่าเราหรือเปล่าก็ไม่รู้ นั่นแหละเร่งทำเอาไว้ สมัยที่พระองค์ที่ ๑๐ ท่านไปวัดท่าซุง ท่านบอกไว้ชัดเลยว่า นิพพานไม่ใช่ภาษาพูด ไม่ใช่ภาษาเขียน เป็นภาษาใจ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างได้ ทำแทนกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ตั้งหน้าตั้งตาจ้ำ ในเมื่อได้ทำแล้ว ทำจริง ๆ สักวันหนึ่งจะทำได้ ไม่ต้องไปใส่ใจหรอกว่าสักวันจะนานแค่ไหน ? จะเร็วแค่ไหน ? เรื่องของมัน ขอให้ทำเท่านั้น ปลูกต้นไม้เมล็ดของไม้สมมติเป็นเมล็ดต้นกรรมฐานก็แล้วกัน เราก็ฝังลงไปใน ฉันทะ คือแผ่นดิน ความพอใจที่จะทำ ทีนี้ทำอย่างไร ก็พากเพียรรดน้ำ พรวนดิน ดูมันค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา จับหนอนจับแมลง ใส่ปุ๋ยให้มันบ้าง ตกแต่งกิ่งใบมันบ้าง มีหน้าที่ดูแลเขาทำให้เต็มที่ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ไปบังคับเขาออกดอกออกผล ถึงวาระ ถึงเวลา ดอกผลจะมีขึ้นเองออกดอกมาเอง ไม่ใช่ตื่นเช้ามาจับยอดมันดึง โตเร็วหน่อยสิโว้ย ตายแหง...เพราะฉะนั้นเราทำขอให้ได้ทำ มีหน้าที่ทำ ส่วนผลจะเกิดอย่างไร ช่างมัน ตัวนี้จะเป็นตัวอุเบกขา
              การปฏิบัติทุกระดับของอัปปนาสมาธิ ตั้งแต่ปฐมฌานไปจนถึงสมาบัติ ๘ ต้องมีตัวอุเบกขา เพราะว่าอารมณ์ใจสุดท้ายมันจะเป็นตัวอุเบกขา ถ้าเรารู้จักวางอุเบกขาตรงนี้ได้ มันจะได้เร็ว แต่ถ้าทำไปด้วยความอยากอย่างที่อาตมาทำมาแล้ว มันไม่ได้สักทีถ้ายังอยากอยู่ หมดอยากเมื่อไหร่มันถึงจะได้
              แหม! สมาธิดี ถึงเวลาอยู่บ้านก็ห่วยแตกต่อไป พวกประเภทพออาหารอยู่ในมือก็กินอย่างเดียว ถึงเวลาหมดควานแทบตาย เผลอ ๆ คว้าสะเปะสะปะไปถูกเข้า อ้าว! กินต่อ ไม่เคยหาเลยว่า อาหารมาจากไหน ได้กินมาเพราะอะไร ก็เลยกลายเป็นว่าพอผลอยู่ในมือก็ตั้งหน้าตั้งตากินผลมันให้หมด เหตุมันมาอย่างไร ช่างหัวมัน กี่ชาติก็ไม่เจริญ ต้องหาเหตุให้เจอ ท่านว่า โพชฌังโค สะตะ สังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา โพชฌงค์ คือ องค์คุณ เครื่องช่วยให้ตรัสรู้เร็ว จะมี สะติสังขาโต จะต้องเป็นผู้มีสติ ธัมมานัง วิจะโย ตะถา เป็นผู้รู้จักพิจารณาแยกแยะ วิจัยในธรรม วิธีแยกแยะก็คือ หาเหตุให้เจอ ถ้าเจอเห็นว่าเราทำอย่างนี้ เพราะว่าคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไร อยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบไหน อาหารการกินแบบไหน อากาศแบบไหน เรื่องที่ว่ามานี้สำคัญทั้งหมด เราก็สร้างสิ่งแวดล้อมแบบนั้น คิดอย่างนั้น พูดอย่างนั้น ทำอย่างนั้น กินแค่นั้น ปฏิบัติแค่นั้น มันก็ได้เอง ไม่ใช่อยู่ที่นี่ถึงเวลา แหม! กำลังใจดี กลับบ้านไปแป๊บเดียวพัง ขาดการประคับประคองรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง อารมณ์ใจทรงตัวแล้วประคับประคองรักษาไว้ให้อยู่กับเรา แรก ๆ ก็อาจจะได้สักครึ่งชั่วโมงก็ยังดี
              ถ้าสมมติว่านั่งสมาธิครึ่งชั่วโมง รักษาอารมณ์ใจได้ครึ่งชั่วโมง ก็แปลว่าวันนั้น เราทรงความดีได้ ๑ ชั่วโมง จากที่เคยขาดทุน ๒๔ ชั่วโมง ก็กำไรมา ๑ ชั่วโมง พอพยายามฝึกเข้าบ่อย ๆ ก็จะเคยชินในการรักษาอารมณ์ ได้สัก ๑ ชั่วโมงครึ่ง – ๒ ชั่วโมง – ๓ ชั่วโมง – ครึ่งวัน – ๑ วัน – ๒ วัน – ๓ วัน – ๑ อาทิตย์ – ๑๐ วัน – ครี่งเดือน – ๑ เดือน – ๒ เดือน – ๓ เดือน เพิ่มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้เป็นปี
              สมัยก่อนอยู่รับใช้หลวงพ่อที่สายลม ก็ลักษณะนี้พอถึงเวลาครบหลวงพ่อกลับไป เราก็เย็นฉ่ำชื่นใจ กูโกยบุญมาเต็มที่ทั้งปฏิบัติ ทั้งภาวนา ทั้งอยู่รับใช้หลวงพ่อ ปรากฏว่าพอรุ่งขึ้นก็ทะล่อทะแล่เป็นนกปีกหักร่วงแอ้กไปตามเดิม คราวนี้ลองคิดดูสิว่าอยู่ตั้งหลายวันอาศัยกินได้วันเดียว ตีเสียว่าหลวงพ่อมาสี่วันรวมวันเดินทางและวันกลับ แล้วเราอาศัยกินได้วันเดียว ๕ วัน แล้วอีก ๒๕ วันล่ะ อดตายสิขอรับ
              ตอนนั้นก็ซมซานเลยเมื่อไหร่หลวงพ่อจะมาเสี่ยทีหนอ นั่งยึดคอรอ อาศัยที่เป็นคนช่างสังเกตก็เลยไปจับจุดได้ว่า เราขาดการปฏิบัติที่ต่อเนือง ถึงเวลานั่งกรรมฐานหน้าผ่องเชียว ลุกได้ก็เลิกเลย ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนั้น ลุกแล้วเลิกเลยไม่มีการรักษาอารมณ์ให้มันต่อเนื่อง มันก็ได้แค่อีตอนนั่ง ลุกขึ้นมากิเลสท่วมหัวเหมือนเดิม ประเภทลุกมาด่าปาว ๆ อย่างนั้นเลย ในเมื่อช่างสังเกต พอเห็นเข้าก็พยายามประคองอารมณ์ของเราคอยรักษามันไว้ ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ แรก ๆ ก็ได้สักชั่วโมงหนึ่ง พอทำบ่อย ๆ ร่วงบ้าง ยืนล้มล้าง ไปเรื่อย มันก็ได้เป็น ๒ ชั่วโมง – ๓ ชั่วโมง – ครึ่งวัน – ๑ วัน – ๒ วัน – ๓ วัน – ๔ วัน ระยะนี้กำลังเก่ง ๆ เลย พอหลายเดือนก็จะทะล่อทะแล่เป็นนกปีกหักแล้วก็กำลังจะร่วงติดพื้น ก็พอดีต้นเดือนหลวงพ่อมา จัดการ take off ต่อ เกือบจะ landing แล้ว ก็ไปต่อได้
              คราวนี้พอทำไป ๆ เกิดความคล่องตัวก็ลองดู จะลองดูว่ากำลังฌานสมาบัตินั้นมันจะดีแค่ไหน จะได้แค่ไหน ก็ตะบันมันยาวไปเลย จะหลับ จะตื่น จะยืน จะนั่ง อยู่กับการทรงฌานตลอด ก็อย่างที่เล่าให้ฟังว่ามันก็ได้ ๑ เดือน – ๒ เดือน – ๓ เดือน ต่อเนื่องทั้งกลางวันกลางคืนรู้ตัวอยู่ตลอด ทำขนาดนั้น เผลอหน่อยเดียวโดนมันสอยร่วงอีกแล้ว ประมาทนิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นเรื่องของการปฏิบัติประมาทไม่ได้ คนขวางเขามีหน้าที่ของเขาอยู่แล้ว อย่างไรเขาต้องขวางเราสุดชีวิต ของเราคนหนีก็มีหน้าที่หนีให้สุดชีวิตเหมือนกัน ถ้าเขาเก่งเราก็เสร็จเขา แต่ถ้าเราเก่งเราก็พ้นเขา ขอยืนยันว่าถ้าทำได้ ทำจริง มันต้องทำได้แน่สักวัน
      ถาม :  จะเกิดกับผลตรงที่นั่งอยู่เลย ความรู้สึกมันเหมือนหมุนติ้วเลยครับ แล้วผมจะทำอะไรไม่ถูก ?
      ตอบ :  ประเภทสมาธิหมุน ความจริงอันนั้นจริง ๆ มันจะเป็นมโนเต็มกำลังมันจะหมุน แล้วเราจะรู้สึกมันแน่นเข้า ๆ เหมือนกับว่าเราโดนบีบให้เล็กลง แล้วมันจะดีดหลุดออกไป นั่นเป็นอาการของมโนมยิทธิเต็มกำลัง กำหนดความรู้สึกรับรู้ไว้เฉย ๆ อย่าไปสนใจ ขณะเดียวกันก็อย่าไปกลัวหรืออยากได้ ถ้าหากบีบเข้ามาเต็มที่เดี๋ยวมันดีดหลุดไปเอง อาการของมโนมยิทธิเต็มกำลังอย่างหนึ่ง บางอย่างก็อยู่ในลักษณะที่เรียกว่า หายใจเร็วเข้า ๆ ๆ หัวใจเต้นเร็วขึ้น ๆ จนกระทั่งเรารู้สึกว่ามันจะขาดใจตาย ถ้าไม่กลัวตายก็ปึ้ดเดียวไปเหมือนกัน
      ถาม :  เมื่อวานก็ไปนั่งที่ซอยสายลม พอช่วงท้ายก็เหมือนตัวเบี้ยวครับ
      ตอบ :  ไม่ต้องห่วงหรอก บางทีมันดิ้นตึงตังโครมคราม บางคนหกคะเมนตีลังกา ๓-๔ ตลบ สังเกตว่าใจมันนิ่ง ข้อสังเกตที่ง่ายที่สุดคือ ใจมันนิ่งอาการทางกายจะเป็นอย่างไรช่างมัน ช่างได้เมื่อไหร่ก็สบาย ถ้ายังช่างไม่ได้ก็ควานหาไปเรื่อย เดี๋ยวมันต้องช่างได้สักวัน
      ถาม :  ถ้าตั้งใจ จะเป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
      ตอบ :  ไม่มีทาง ตัวตั้งใจนั่นแหละที่อาตมาโดนมาแล้ว คืออยากแล้วก็ไปไล่จับอาการ ตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ แล้วอีกสักพักก็เป็นอย่างนั้น หายไปเลย ตอนนี้แหยงแล้ว มันแหยงตรงที่ว่ารู้ว่ามันจะได้มโนเต็มกำลังแล้ว มันจะอยากได้ เสร็จ อีกนาน เรื่องปกติที่อยู่คู่กับโลก ก็คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ โดยเฉพาะคนเราสืบพืชสืบพันธุ์ต่อเนื่องกันมาได้จนทุกวันนี้ ก็เพราะตัวของกามารมณ์ คือ ราคะ ตั้งใจตัดมันจริง อย่างที่สุนทรภู่ว่า
              อันตัณหาราคะนั้นสาหัส           ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง
              อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง     ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน

              ถ้าสุนทรภู่อยู่ถึงสมัยนี้ อาตมาจะพาไปให้ถองเสียให้เข็ด เรารู้จักคนที่ตัดได้เยอะ
      ถาม :  ใครบ้างครับ ?
      ตอบ :  บอกไม่ได้ ความลับเฉพาะตัว มีหลายองค์
      ถาม :  จะได้เป็นเนื้อนาบุญครับ
      ตอบ :  มั่ว ๆ เอาเถอะ อันไหนที่ตอมมาก ๆ ไม่ค่อยผิดหรอก ยกเว้นที่ตอมเพราะแรงโฆษณา ภาษาบาลีท่านใช้แค่ว่า สีลํ คนฺโธ อนุตฺตโร กลิ่นหอมของศีลไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า นั่นคือ บุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถึงวาระถึงเวลาความดีจะปรากฏ กลิ่นหอมของศีลกลิ่นหอมของความดีปรากฏ
              คราวนี้เรื่องกลิ่นของศีลกลิ่นของความดีมันไม่เหมือนกัน กลิ่นต่าง ๆ ที่อยู่ในธรรมชาติ หรือว่ากลิ่นดอกไม้กลิ่นน้ำหอมพวกนั้นมันไปได้แต่ตามลม กลิ่นหอมของศีลมันทวนลม ในเมื่อทวนลมได้ หมู่แมลงต่าง ๆ ก็จะไปห้อมล้อมตอมกันอยู่ตรงนั้น ถ้าไม่ใช่ดังเพราะแรงโฆษณา อาตมาขอบอกว่าส่วนใหญ่แล้วมันตอมถูก ไม่น่าเชื่อเหมือนกัน แสดงว่าคนเรามีสัญชาตญาณดี พวกเราที่ฝึกมโนมยิทธิได้เปรียบตรงที่ว่า เราขอพระท่านได้ อยากรู้ว่าพระองค์นั้น พระองค์นี้ ปฏิบัติได้ถึงระดับไหน ขอดูใจของท่าน ลำพังที่เราจะไปขอดูท่านไม่รู้เรื่องหรอก เพราะการใช้เจโตปริยญาณดูได้เฉพาะคนระดับเดียวกัน หรือต่ำกว่าเท่านั้น ถ้าคนที่ระดับสูงกว่าดูไม่ได้ แต่ของเราได้เปรียบตรงที่ขอบารมีพระพุทธเจ้าได้ ในเมื่อขอพระพุทธเจ้าท่าน จะมีใครสูงกว่าพระพุทธเจ้าล่ะ ก็เป็นอันว่ารู้ได้ ในเมื่อรู้ได้ก็มีโอกาสทำบุญกับท่าน ชมสมบัติเศรษฐีท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็รีบกลับมาทำสมบัติของเราให้ได้อย่างท่านบ้าง ไม่ใช่ไปนั่งดูอย่างเดียว ถ้าคนไปได้มโนมยิทธิ ไม่ได้ทิพจักขุญาณ จะทำอย่างไร มันแย่นะกราบผิดกราบถูกอะไรก็ไม่รู้ อย่างที่ป้านิภาเคยพูดแรงบอกว่า ไหว้ทั้งทีก็มานั่งกลัวว่าไปไหว้ผัวชาวบ้านหรือเปล่า เป็นอย่างนั้นจริง ๆ
              คราวนี้ใช้วิธีอย่างนี้ ตั้งใจกราบใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยความเคารพจริง ๆ กราบท่านนั่นแหละ แต่ตั้งใจว่า เรากราบพระในอดีตจนถึงปัจจุบันทั้งหมดที่เป็นพระอริยสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ตั้งใจกราบด้วยความนอบน้อมจริงจัง ตอนนั้นถ้าเป็นพระดีจริง ๆ เราจะรู้สึกกระแสเย็นที่มันไหลมาถึงเราได้ จริยาต่าง ๆ ปิดกันได้บังกันได้ คำพูดอาจจะปฏิเสธได้ แต่กระแสใจมันปิดบังไม่ได้ คนที่เย็นเสียอย่าง อย่างไรก็เย็น อยู่ใกล้ก็สบายใจ อันนั้นมีวิธีหากินง่าย ๆ อย่างนี้เหมือนกัน แต่ระวังถ้าเปิดแอร์แรง ๆ มันก็เย็นเหมือนกัน เย็นใจกับเย็นแอร์คนละอย่างกัน
              หลวงตาวัชรชัยตอนช่วงที่ยังไม่ได้บวช ที่วัดท่าซุงเขาสร้างโบสถ์อยู่ หลวงพ่อท่านนิมนต์หลวงปู่หลวงพ่อที่เป็นพระสุปฏิปันโนมา ๑๐ กว่าองค์ เพื่อให้ลูก ๆ ได้ทำบุญใหญ่ วันนั้นท่านกำลังกวาดรอบโบสถ์อยู่ กวาดพื้นอยู่ หลวงปู่คำแสน หลวงปูคำแสนมี ๒ องค์ องค์หนึ่งเรียก หลววปู่คำแสนใหญ่ วัดสวนดอก อีกองค์หนึ่งท่านชื่อคำแสนเหมือนกัน แต่ร่างเล็กกว่าคือ หลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล ๒ คำแสนด้วยกัน สุดยอดพระด้วยกันทั้งคู่ หลวงปู่คำแสนใหญ่ ที่หนังสือไปลงว่า รอยยิ้มพระอรหันต์ ประเภทยิ้มทีโยมเห็นน้ำตาร่วงอยู่ตรงนั้นเลย ทำไมหลวงปู่ยิ้มสวยอย่างนี้ หลวงปู่ท่านบอกว่าใครก็ตาม ถ้าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ หมดแล้ว ยิ้มสวยทุกคนแหละ เอากับท่านสิ
              หลวงปู่ท่านมา ท่านก็เข้าอีกฝั่งหนึ่งของโบสถ์ ก็เดินมา หลวงตาวัชรชัย กำลังกวาดพื้นอยู่ ทำความสะอาดอยู่ ท่านบอกว่าหัวใจมันเต้นตึก ๆ ๆ ผิดจังหวะ มันรู้อย่างเดียวว่ามีอะไรบางอย่างที่ดีเหลือเกินอยู่ทางฝั่งโน้น ต้องไปดูให้ได้ นั่นแหละคือกระแสท่านที่มาถึงแล้วมันปิดไม่ได้ คนที่อยู่กันคนละฝั่งโบสถ์เลยนะ พูดง่าย ๆ กำแพงกั้น ๒ ชั้น กั้นไม่อยู่ วิ่งข้ามไปถึงเจอก็กราบ น้ำตาไหลน้ำตาร่วงกันตรงนั้น ลักษณะแบบนั้นส่วนใหญ่ของเราปัจจุบันนี้จะอยู่ประเภทแรงโฆษณาเยอะ
              สมัยอยู่กับหลวงพ่อที่วัดท่าซุง นั่งเฝ้าหน้าห้องให้ท่านก็พิมพ์คอมพิวเตอร์ไปเรื่อย เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ต่าง ๆ ของการปฏิบัติเก็บเอาไว้ ก็พิมพ์ไปเรื่อย ๆ พอดีพวกคณะหนังสือโลกทิพย์เขาไปกราบหลวงพ่อ เพื่อจะขออนุญาตนำธรรมะของหลวงพ่อลงในหนังสือโลกทิพย์ จะมีโลกทิพย์ โลกลี้ลับ พระอภิญญา อะไรพวกนั้น หลวงพ่อท่านก็อนุญาต ท่านบอกถ้าเป็นหนังสือของท่านแล้ว ทำเพื่อเป็นธรรมทานไม่ต้องขอท่านก็อนุญาตให้ลงได้
              คุณบรรเจิด สังข์สวน คุณสุนิสา วงศ์ราม เห็นเรานั่งอยู่หน้าห้องพิมพ์ตอกแตกก็ชะโงกมาดูว่าพิมพ์อะไร พิมพ์ไปพิมพ์มา อ่านแล้ว มันก็อ่านไปเรื่อย ๆ เราก็พิมพ์ไปเรื่อย ๆ อีกสักพักหนึ่งพอจบเรื่องเราก็เริ่ม save file ไว้ เพราะกลัวว่าถ้าหากทิ้งเอาไว้นาน ๆ เกิด hang ก็เจ๊งเลย เราพิมพ์หน้าหนึ่งก็ save ทีหนึ่ง พอเรา save เสร็จ หยุดพักมือหน่อย เขาก็ถามว่า หลวงพี่ครับ ผมขอซื้อได้ไหมครับ มันจะขอซื้อ ถามว่าจะซื้อไปทำอะไร บอกไปลงหนังสือครับ เราบอกไม่ขายหรอกกลัวดัง คุณบรรเจิดแกก็มองหัวถึงเท้า ๓-๔ รอบ แล้วก็ถามว่า หลวงพี่ครับ หลวงพี่รู้ไหมว่าที่ได้ลงหนังสือ ๆ กันอยู่ปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่เขาจ้างผมลงทั้งนั้น แล้วนี่ขนาดผมขอซื้อหลวงพี่ยังจะไม่ขายอีกหรือ เราก็แปลกใจ คำว่าขายไม่ขายไม่ตอบแล้ว ถามว่าทำไมเขาจึงจ้างคุณ เขาบอกว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย คือ ทางฝ่ายโน้นพอผมเอาประวัติ เอาชื่อวัด เอารูปลงหนังสือเข้า คนคิดว่าเป็นพระดี ก็จะแห่ไปทำบุญกับท่าน ท่านก็ได้สตางค์ ส่วนผมอันดับแรก ผมขายหนังสือได้ ออกเล่มใหม่ มันต้องมีเล่มใหม่ใช่ไหม อันดับที่สอง ผมจัดทัวร์ไปคนก็แห่กันมาจองตั๋ว ผมก็ได้สตางค์ ต่างคนต่างได้ ก็เลยบอกว่า เออ! อย่างนั้นคุณก็ปล่อยให้เขาจ้างคุณต่อไปก็แล้วกัน ถ้าผมอยากดังวันไหนแล้วผมจะให้ จนป่านนี้ยังไม่ได้ให้เขาเลย ๑๐ กว่าปีแล้ว
              หนังสือพวกนั้นจะมีทั้งประโยชน์และโทษอยู่ในตัว เหมือนดาบสองคม เพราะว่าทำให้คนอ่านแล้วจะไปหลงยึดติดอยู่กับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ที่ตัวเองไม่เคยพบ ไม่เคยมี แล้วคนเขียนเขาพบเขามี จะเห็นเขาเป็นผู้วิเศษไป ถ้าเห็นในลักษณะนั้น จะเป็นการงมงายมากไป จะกลายเป็นไปยึดติดกับฤทธิ์กับเดช ไม่ใช่เลื่อมใสด้วยกำลังใจที่เคารพในพระรัตนตรัยจริง ๆ
              ในเมื่อไม่ได้เลื่อมใสด้วยกำลังใจที่เคารพพระรัตนตรัยจริง ๆ โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคถึงผมเป็นพระอริยเจ้าจะไม่มี เพราะว่ากติกาของความเป็นพระโสดาบัน ข้อแรกต้อง เคารพพระรัตนตรัย พระธรรม พระสงฆ์ จริง ๆ ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ต้องออกมาจากใจจริง ไม่ใช่ออกมาเพราะไปติดฤทธิ์ ติดเดช ติดความสามารถของท่านพระพุทธเจ้าท่านถึงได้ห้ามพระไม่ให้แสดง เพราะถ้าหากว่าแสดงฤทธิ์เมื่อไหร่ ? คนจะไปติดอยู่ตรงจุดนั้น แล้วโอกาสเข้าถึงมรรคผลจะไม่มี คนที่มีปัญญาจะเข้าถึงมรรคผลได้ก็คงเหลือไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือก็ติดแง็กอยู่ตรงนั้น
              ความจริงถ้าเขาอยากได้เรื่องไปลง ถามพระวัดท่าซุงองค์ไหนก็ได้ แต่ละองค์อาตมารับรองได้ว่าที่เล่ามาฟังกันนั่งอ้าปากค้างตาค้าง แล้วที่เขาลงหนังสือพวกโลกทิพย์ ระยะแรกที่คุณดำรง ภู่ระย้า เป็นบรรณาธิการอยู่ อันนั้นเขาอาศัยอิงหลวงพ่อเต็ม ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือองค์ไหนที่หลวงพ่อแนะนำว่าพระดี เขาจะไปเอามาลง ประกันความเสี่ยง พอมาตอนหลัง ๆ ประเภทลงแล้วลงอีก มันชักจะซ้ำ ๆ ซาก ๆ แกก็จะใช้วิธีที่เรียกว่า ไปกราบพระองค์โน้น ไปกราบพระองค์นี้ แล้วบางทีก็เอารูปมาให้หลวงพ่อดู องค์นี้เป็นอย่างไรบ้างครับ ง่ายดี พอคุณดำรงเลิกทำ คุณอานนท์ คุณคะนอง เนินอุไร เขามาทำตอนนี้ประเภทเหวี่ยงแห แล้วก็อย่างว่าแหละ เริ่มมีการจ้างกัน เริ่มมีอะไรกันให้มันยุ่งไปหมด กลายเป็นธุรกิจไปแล้ว รู้สึกว่าเขาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ก็กลายเป็นธุรกิจไป จะเอาความชัวร์อย่างนั้นไม่ได้
              สมัยก่อนหนังสือประเภทนี้มีอยู่เล่มหนึ่งก็คือ มหาจักร ฉบับคนพ้นโลก เกิดทันกันหรือเปล่า มหาจักร ฉบับคนพ้นโลกนี้ คุณปถัมภ์ เรียนเมฆ แกเป็นบรรณาธิการอยู่ คุณปถัมภ์ เรียนเมฆ แกเป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ พระโพธิสัตว์ใหญ่จะมี่ค่อยเดินตามรอยใครหรอก พระพุทธเจ้ามี กรรมฐาน ๔๐ มหาสติปัฏฐานสูตร คุณปถัมภ์ก็เล่นกองที่ ๔๒ เอากับพ่อสิ จับกสิณแล้วต้องเล่นธาตุ ๔ กสิณ ๔ แล้วก็มีอากาศ ก็มีแสงสว่าง รวมแล้ว ๑๐ กอง คุณปถัมภ์แกเล่นกงจักร ภาวนาจักรเข้าเข้า ๆๆ แกก็ได้ฤทธิ์ ได้อภิญญา ได้ทิพจักขุญาณเหมือนกัน คราวนี้ของแก ๆ ได้จริง ๆ ได้ในลักษณะอภิญญาใหญ่ก็จะรู้ว่าพระองค์ไหนดีบ้าง ถึงเวลาพอรู้ว่าพระองค์ไหนดีแกโดดใส่ถึงที่เลย แล้วมันก็ชัวร์จริง ๆ เพราะว่าเขารู้จริง
              คุณปถัมภ์มาเสียมวยตรงหลวงพ่อนี่แหละ มาเสียมวยตรงหลวงพ่อที่ว่าครั้งแรกที่แกไปหา เจ้าประคุณแกกราบก้นโด่งกันทั้งคณะ เพราะว่าคุณปถัมภ์แกยืนยันกับบริษัทกับบริวารของแกว่าพระองค์นี้ยอดเยี่ยมที่สุดในประเทศไทย ไม่มีพระองค์ไหนเหนือกว่านี้อีกแล้ว รัศมีสว่างเหลือเกิน สามโลกสว่างไปถึงหมด ปรากฏว่าเอาไปเขียนเชียร์ในหนังสือเสียใหญ่โตงานต่อไป ๆ ถึงคุณปถัมภ์ตั้งหลักไม่ทันเลย หลวงพ่อจะให้บทเรียนไปถึงกำลังด่าโยมอยู่พอดี ด่าเช็ดเลย คราวนี้คุณปถัมภ์ก็ใช้ทิพยจักขุญาณขอแกดูตามปกติ มืดตื๋อจากที่เคยสว่างไปทั่วโลก ตานี้มืดตื๋อเลย คุณปถัมภ์แกก็ไปนั่งเซ็งในอารมณ์ หลวงพ่อท่านต้องไม่ใช่พระอรหันต์แน่เลย อย่างเก่งก็คงไม่เกิน พระสกิทาคามี เพราะยังมีความโกรธอยู่นั่นแหละ ไปเสียมวยตรงนั้นแหละ คิดว่าพระอรหันต์เป็นตอไม้ ไม่ใช่หรอก อะไรก็ตามถ้าหากว่าเป็นระเบียบของส่วนรวม ถ้าหากว่าเป็นวินัยของพระ พระอรหันต์ท่านรักษายิ่งชีวิต อย่างไร ๆ ก็เอาส่วนรวมไว้ก่อน คนผิดถ้าไม่ลงโทษถือว่าขาดเมตตา เพราะเขาจะผิดไปเรื่อย
              คราวนี้พอด่าเข้า คุณปถัมภ์ก็เลยเหมาเอาว่าโกรธ ไอ้ด่าน่ะด่าแต่ปาก แต่แกไม่ได้สังเกต ไปเสียมวยเอาตอนนั้นแหละ คราวนี้พอมาสิ้นรุ่นของคุณปถัมภ์แล้ว มารุ่นคุณดำรง แกมาเปิดเล่มใหม่เป็นโลกทิพย์ แกยังอิงหลวงพ่ออยู่เต็ม ๆ เป็นการประกันความเสี่ยง พอหมดยุคคุณดำรงนี่เข้าป่าเข้าดงไปเลย กระจาย ปัจจุบันนี้เชื่อไม่ค่อยได้ สังเกตดูถ้ารู้สึกผิดปกติถามพระไว้ก่อน ถ้าถามพระไม่เป็นก็ตั้งข้อสังเกตไว้ในใจว่ายังไม่รู้ว่าดีจริงหรือเปล่า ส่วนใหญ่เขาจะเขียนเชียร์กันบางคนได้แค่อุปจารสมาธิ เห็นสีเห็นเสียงหน่อยเดียว ลงประวัติเสียสนุกสนานกันไป คุณเสถียรพงษ์ วรรณปก เขาบอกว่า
              มิบังควรหวนคะนึงถึงความหลัง         สิ่งที่ยังมาไม่ถึงอย่าพึงหมาย
              อดีตกาลผ่านมาอย่าเสียดาย             ปล่อยให้หายตามไปกับสายลม
              มาไม่ถึงก็จัดเป็นอนาคต                 มิปรากฏว่าจะทุกข์หรือสุขสม
              อย่าได้คิดนำมาเป็นอารมณ์              จะตรอมตรมเมื่อสุบินเราภิณฑ์พัง
              นั่นแหละ คือว่า อย่าไปคิดถึงอดีตหรืออนาคต เสียเวลา มันฟุ้งซ่านให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น ที่เล่ามานี้อดีตล้วน ๆ เพียงแต่มีประโยชน์อยู่นิดเดียวที่เป็นเรื่องของพระดี มีอยู่นิดเดียว มีข้อเสียเหมือนกัน ทำให้เราอยาก ทำไมกูเกิดไม่ทัน