ช่วงแรกของเล่ม "เมืองลับแล"

สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖(ต่อ)
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

      ถาม:  เขาทำเพื่ออะไรคะ ? (ถามเรื่องการสวดภาณยักษ์)
      ตอบสวดภาณยักษ์ ภาณพระ เกิดจากท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ เมื่อท่านมานับถือศาสนาพุทธ แต่บริวารของท่านไม่แน่ว่าจะนับถือตามหมด อาฬวกยักษ์จะฆ่าพระพุทธเจ้าให้ตายเสียด้วยซ้ำ กว่าจะปราบกันได้แทบแย่ แต่เหมวตยักษ์ทั้ง ๆ ที่เป็นเพื่อนอาฬวกยักษ์กลับเทิดทูนพระพุทธเจ้ายิ่งชีวิต ท่านก็เลยกำหนดขึ้นมาว่า ท่านจะผูกคาถาบทหนึ่งขึ้นมาแล้วไปถวายพระพุทธเจ้าเพื่อให้พระพุทธเจ้ามอบให้สงฆ์ทั้งหลายไปสวดสาธยาย
              เมื่ออยู่ในที่ ๆ ตนไม่คุ้นเคย หรือในที่ ๆ มีภัยอันตราย ถ้าหากสาธยายมนต์นี้แล้ว ไม่ว่าผี ไม่ว่ายักษ์ ไม่ว่าเทวดา อะไรก็ตาม ผู้ใดถ้าได้ยินเสียงสวดนี้แล้วยังเบียดเบียนพระอยู่จะโดนลงโทษ ก็นายใหญ่สั่งใช่ไหมล่ะ! จะโดนลงโทษ และถ้าหากว่าเห็นการเบียดเบียนแล้วไม่ช่วยคุ้มครองก็โดนเหมือนกัน แล้วท่านก็ประกาศว่า บทสวดมนต์เป็นอย่างนี้ให้ลูกน้องทั้งหมดฟังจะได้จำเอาไว้ ตอนนั้นเขาเรียก ภาณยักษ์ แปลว่า ยักษ์พูด เสร็จแล้วท่านก็เอาไปถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ประชุมสงฆ์ แล้วก็ประกาศให้รู้ว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ผูกบทคาถาขึ้นมา เพื่อภิกษุสวดสาธยายในยามที่จะมีอันตราย หรืออยู่ในที่ ๆ คิดว่ามีอันตราย เพื่อจะได้มีความปลอดภัย เทวดาทั้งหลายจะได้ช่วยรักษา ผีทั้งหลายจะได้ช่วยรักษา ก็ขอให้ภิกษุเรียนไปท่านก็สอนตอนนั้น เขาเรียกว่า ภาณพระ แปลว่า พระพูด แต่บทเดียวกัน
              มาระยะหลัง ๆ บรรดาพวกเกจิอาจารย์ต่าง ๆ ก็มีความรู้ว่า ถ้าหากสวดสาธยายบทนี้แล้ว ในบริเวณนั้นบรรดาผีและยักษ์ไม่สามารถคิดร้ายต่อคนได้ ถ้าคิดร้ายเมื่อไหร่แปลว่าเป็นกบฏต่อเจ้านายตัวเอง เป็นขบฎต่อท่านท้าวมหาราชทั้ง ๔ ก็เลยจัดพิธีกรรมขึ้นมา เอาคนเข้าไปอยู่ในบริเวณพิธีนั้นแล้วก็ทำการสวด พอสวดปุ๊บคนที่มีร่างแฝงอยู่ภายใน มันจะอยู่ไม่ได้ เพราะถ้าอยู่เมื่อไหร่มันโดนอ่วมแน่ ๆ อาจจะติดคุกตลอดชีวิต หรืออะไรก็แล้วแต่ท้าวมหาราชท่านจะลงโทษ มันก็ต้องหนีก่อน ก่อนจะหนี แหม! อาลัยอาวรณ์เหลือเกิน ทั้งร้อง ทั้งดิ้น ก็เลยอยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าสวดภาณยักษ์แล้ว คนที่มีสิ่งไม่ดีแฝงอยู่ก็จะหายจากอันตรายต่าง ๆ เหล่านั้น เขาก็เลยนิยมมีการสวดกันเรื่อยมา
              ส่วนสายของทางวัดท่าซุงของเรานั้น จะมีการเป่ายันต์เกราะเพชรที่ขจัดสิ่งไม่ดีเหล่านี้อยู่แล้ว ๆ ได้มากกว่าด้วย ตรงที่ว่าไม่ใช่ไล่แต่ผี หรือยักษ์ หรือเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ มาสิง มาแทรก มาแฝงอยู่เท่านั้น แต่ว่าบรรดาสิ่งที่เป็นไสยศาสตร์ต่าง ๆ ถึงเวลาขอบารมีพระท่านแผ่ครอบลงมา มันจะโดนทำลายให้สูญไปหมดด้วย ในเมื่อตามสายครูบาอาจารย์ของเรามีสิ่งดีอาจจะดีกว่า อยู่ในลักษณะนี้อยู่แล้ว ก็เลยไม่จำเป็นต้องไปจัดสวดภาณยักษ์ให้เสียเวลา เป็นอย่างไร ? คราวนี้เคลียร์หรือยัง ถ้าไม่เคลียเดี๋ยวหาคนบวม ๆ ไปสักคน คราวนี้น่าจะได้ให้มันไปดิ้น
              เขาบอกว่าคำสอนสายลมดีที่สุดม้วน ๑ ดูความห่วยแตกของคนจำกัดความก็แล้วกัน อาตมาเคยเป็นมาแล้ว ไม่ว่ากัน เราเคยเป็นมาแล้ว เราเคยโง่มาแล้ว สมัยก่อนเวลาอ่านหนังสือของหลวงพ่อแล้วก็จะขีดเส้นใต้ไว้ เออ! ตรงนี้ดี ๆ อ่านไป อ่านมา อ้าว! เราข้ามตรงนี้ไปได้อย่างไรวะ ตรงนี้ก็ดี ๆ สรุปแล้วขีดไปขีดมาทั้งเล่มนั่นแหละ กำลังใจของเราทำได้แค่ไหน พออ่านไปถึงตรงจุดนั้นจะเกิดความเข้าใจ แล้วรู้สึกว่าดี ๆ สำหรับเรา
              เพราะฉะนั้นที่บอกว่าดีที่สุดคือ ดีที่สุดของคนนั้น ไม่ใช่ดีที่สุดของเราหรอก อาตมาฉลาดน้อยมาแล้วจ้ะ พอเห็นคนฉลาดน้อยก็เลยรู้ เออ! พวกเดียวกัน มาตอนหลังเลยเลิก แล้วก็ถามคนอื่นดูว่ามีประสบการณ์แบบนี้เหมือน ๆ กัน เหมือนกันตรงที่ว่า พออ่านไปอ่านมา อ้าว! เราข้ามตรงนี้ไปได้อย่างไร ความจริงไม่ใช่ข้ามหรอก เรายังทำไม่ได้ก็เลยไม่รู้สึกสะดุดตาสะดุดใจ พอทำได้เมื่อไหร่มันจะสะดุดใจเอง
              เพราะฉะนั้นหนังสือของหลวงพ่อท่าน ถ้าเราขยันอ่านบ่อย ๆ ยิ่งอ่านก็จะยิ่งรู้ เพราะว่าพอทำถึงปุ๊บก็ อ๋อ! ที่แท้เป็นอย่างนี้ ๆ ไม่ต้องไปขีดหรอกจ้ะ ทั้งเล่มนั่นแหละ
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  คำว่า อธิปไตย แปลว่า ความเป็นใหญ่ ประชาธิปไตย ประชาชนเป็นใหญ่ แต่อันนี้ไม่มีในตำรา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ประกอบด้วย อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง อะไร ๆ ก็กูดีหมด โลกาธิปไตย ถือส่วนรวมเป็นใหญ่ ลักษณะของประชาธิปไตย พูดง่าย ๆ คือว่า ส่วนรวมมันนิยมมันเห่ออะไรก็เอาอย่างนั้น ธรรมาธิปไตย ธรรมเป็นใหญ่ เอาความถูกต้องเป็นใหญ่ อธิปไตย ความเป็นใหญ่ มีอยู่ ๓ ประการ พวกเรียนนักธรรมโทจะต้องเรียน อยู่ในขุทฺทกนิกาย หมวดที่ ๓ มีไหมที่เรียน แล้วจำได้ไหม ?
              ธรรมวิจารณ์ จะมีโลก มีสัตว์โลก โลกคือหมู่สัตว์ อากาศโลก โลกคืออากาศ หรือว่าโลกอื่นอย่างนั้นแหละ อากาศโลก โลกคือแผ่นดิน แล้วก็จะมีวิสุทธิ ๗ ประการ วิสุทธิ คือ ความบริสุทธิ์ ๗ อย่าง ไล่ไปตั้งแต่ กังขาวิตรณวิสุทธิ ไปจนถึงญาณทัศนวิสุทธิ ถ้าของพระจะใช้คำว่าจงอธิบาย ถ้าของฆราวาสไม่เป็นไร เพราะว่าจะมีพวกไวพจน์คือคำเดียวที่ใช้แทนกันได้ ไวพจน์ของวิราคะ วิราคะ คือปราศจากราคะ หมายถึง จะมี มทนิมฺมทโน เป็นผู้ถอนแล้วซึ่งความเมา วฎฺฏูจฺเฉโท ผู้ตัดขาดแล้วซึ่งวัฏฏะ อาลยสมุคฺฆาโต เป็นผู้ถอนแล้วซึ่งความอาลัย ตัณหักฺขโย เป็นผู้สิ้นไปจากตัณหา วิราโค ไร้ราคะแล้ว นิโรโธ เข้าถึงความดับ นิพฺพานํ หาความเสียดแทงไม่ได้ จำยากจ้ะ จำยาก อาตมาพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า ถ้าทั้งอำเภอทองผาภูมิมาไล่ถามก็คงตอบได้อยู่คนเดียว เพราะว่าบรรดาที่ผ่าน ๆ ไปส่วนใหญ่เขาจะลอกกัน เวลาอยู่ในห้องสอบอันไหนที่เขาเฉลยไม่ได้ก็วิ่งถาม เราก็ตอบจนขี้เกียจตอบ
      ถาม :  แล้วกระทู้ต่อไป ๓ กระทู้ใช่ไหมเจ้าคะ ?
      ตอบ :  ๓ กระทู้ แล้วกระทู้หนึ่งต้องบาทหนึ่ง คือ ๔ บท อย่างเช่นว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ ถ้าเป็นของนักธรรมแค่นี้ก็พอ อันนี้ต้องมีต่ออีกกลฺยาณการี กลิยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ จะเป็นหนึ่งบาทเต็ม ๆ คือ ๔ ตอน และต้องยกมาตั้ง ๓ ครั้ง รวมที่เขาตั้งหัวข้อให้ด้วยก็เป็น ๔ จงอธิบายขยายความพุทธสุภาษิตที่ยกมาให้สละสลวยและได้ใจความ พร้อมทั้งยกพุทธสุภาษิตที่เป็นกระทู้รับให้ได้ ๓ หัวข้อ ซ้ำนิกายได้ แค่ห้ามซ้ำพุทธสุภาษิต เขียนตัวบรรจงครึ่งบรรทัด อย่างน้อย ๗ หน้ากระดาษ
      ถาม :  ถ้าเป็นขุทฺทกนิกายก็ได้เหมือนกัน
      ตอบ :  นิกายเดียวกันได้ จะเป็นฑีฆนิกายทั้ง ๓ บท ขุทฺทกานิกายทั้ง ๓ บท ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ว่าห้ามซ้ำภาษิตกัน
      ถาม :  ตอนนี้ผมมีอาชีพขับรถ นอนกลางวันก็ฝันว่าขับรถไป มันเหมือนตาไม่ได้มอง ๆ ไม่เห็น ตามันมืดไปชั่วขณะ หรือด้วยอะไรก็แล้วแต่ มองไม่เห็นทาง ไม่เห็นอะไรเลย แต่มือมันนิ่ง ๆ เหมือนกับขับรถไปข้างหน้า ใจก็กลัวจะชน แต่ด้วยอะไรก็ไม่รู้ บอกว่าให้ตื่น ๆ ขึ้น แล้วก็ตื่นขึ้นมาก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
      ตอบ :  ต่อไปให้เป็นจริงก็ไม่เป็นไร อย่าว่าเป็นฝัน ฟังดี ๆ เดี๋ยวจะคิดว่าจริงเขาฝัน
      ถาม :  แต่กลัวมากเลยกลัวชน ไม่ทราบว่ามันจะมีอะไรหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ระมัดระวังเอาไว้ก็แล้วกัน ส่วนใหญ่ถ้าเราเป็นนักปฏิบัติ ความฝันให้ตีความทางด้านการปฏิบัติ จะอยู่ในลักษณะที่ว่า เราเป็นผู้มืดบอด คือไม่รู้ซึ้งธรรมะที่แท้จริง เข้าไม่ถึงอริยสัจที่แท้จริง บังเอิญได้ครูบาอาจารย์หรือสหธรรมิก หรือกัลยาณมิตรที่ดี แนะนำให้เราเข้าไปถูกที่ถูกทาง ก็เลยสามารถที่จะเข้าถึงธรรมที่แท้จริงได้ เหมือนกับที่เราตื่นขึ้นมา แล้วเห็นทุกอย่างตามความเป็นจริง ถ้าตีความเขาให้ตีเป็นธรรมะ เขาไม่ได้ให้ตีเป็นหวย
      ถาม :  มันเหมือนเรื่องจริงมากเลย เหมือนเรากำลังเหยียบคันเร่งอยู่ ทั้ง ๆ ที่เราก็นอนหลับ
      ตอบ :  อย่างนี้ต้องท่านชาติชาย ท่านชาติชายเขากำลังอดบุหรี่ อดบุหรี่แล้วเขารู้สึกว่ามือเขาคีบบุหรี่อยู่ แล้วอีกมือหนึ่งก็จุดไฟแช็ก มันเป็นจริงเป็นจังมากเลยก็ตกใจ เฮ้ย! กูจะเลิกนี่หว่า สะดุ้งตื่นขึ้นมามือยังทำท่านั้นอยู่เลย
      ถาม :  ...................................
      ตอบ :  เรื่องของการฆ่าตัวตาย ตอนเบื่อ เป็นนิพพิทาญาณ แต่ตอนคิดจะฆ่าตัวตายส่วนใหญ่จิตจะเศร้าหมอง ดังนั้น จิตเศร้าหมอหวังจะไปนิพพานนี่หมดสิทธิ์เลย ที่ไปนิพพานได้เพราะฆ่าตัวตายมีอยู่องค์เดียวคือพระโคธิกะ องค์นั้นต้องยกให้ท่าน เพราะว่าท่านป่วยแล้วป่วยอีก ป่วยจนหมดอารมณ์ไปเอง
      ถาม :  เรามานั่งคิดว่า เออ! เด็กคนนี้เก่ง
      ตอบ :  กำลังใจที่คิดได้ขนาดนั้น ก็คงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เขาเข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่าผู้อื่น เผลอเกิดใหม่เมื่อไหร่ อาจจะฟังเทศน์จบเดียวก็พอ คนอื่นฟังก็คงคิดว่าเด็กมันบ้าใช่ไหม เขียนจดหมายลาเบื่อโลก ไปนิพพานดีกว่า
      ถาม :  คนที่ปฏิบัติบ้าง ไม่ได้ปฏิบัติบ้าง แต่เวลาจิตดับนึกถึงพระนิพพานจะสามารถไปได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าจิตสุดท้ายเกาะที่ไหนจะไปที่นั่น แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วเกาะดีไม่ได้ เพราะว่าอกุศลกรรมมันจะคอยแทรกอยู่ ขนาดคนทำดีมาทั้งชีวิตยังพลาดลงนรกได้เลย ขณะเดียวกันทำชั่วมาทั้งชีวิตอย่างมัฏฐกุลฑลีเทพบุตร ท่านก็ยังไปสวรรค์หน้าตาเฉยเหมือนกัน แต่ของท่าน ๆ ไปแป๊บเดียว เพราะความดีตอนท้ายมันนิดเดียว ถ้าไม่ได้เจอพระพุทธเจ้าเทศน์ซ้ำ ป่านนี้ก็ไปยันไหนแล้วก็ไม่รู้
      ถาม :  ถ้าสมมติอย่างพระโสดาบัน นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์อยู่แล้ว ถ้าเกิดก่อนตายท่านนึกถึงพระนิพพานจริง ๆ ท่านก็อาจตัดไปได้เลยหรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ก็หลวงพ่อท่านบอกอยู่เสมอว่า ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วไม่มีใครเขาจะมาเกิดใหม่สักเท่าไหร่หรอก ถ้าไม่ใช่หน้าที่จริง ๆ ส่วนใหญ่เขาก็เกาะพระนิพพาน ไปพระนิพพานดีกว่า
      ถาม :  แล้วอย่างพระโพธิสัตว์ล่ะคะ ถ้าก่อนตายนึกถึงพระนิพพาน
      ตอบพระโพธิสัตว์ อย่าว่าแต่นึกถึง ก่อนตายให้ไปอยู่บนพระนิพพานก็ไปไม่ได้หรอก ไม่ใช่เรื่องของท่าน คือจิตยังไม่ตัดอย่างแท้จริง ของท่านงานยังมีอยู่ เขาถึงได้อารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ แต่ไปพระนิพพานไม่ได้ จนกว่าจะชาติสุดท้าย
      ถาม :  ผมกลุ้มใจเรื่องงานครับ จะต้องโดนย้ายงานเข้ากรุงเทพฯ
      ตอบ :  กลุ้มใจเรื่องงาน ถ้าเรื่องงานให้บนพระวิสุทธิเทพ รู้จักพระวิสุทธิเทพไหม ? พระวิสุทธิเทพก็คือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ทรงของท่านจะเหมือนกับองค์ตรงกลางที่ใส่ชฎานั่งอยู่นั่นแหละ พระวิสุทธิเทพ ตั้งใจจุดธูป ๕ ดอก กลางแจ้งบนท่านเกี่ยวกับงาน ถ้าสำเร็จแล้วให้แก้บนด้วยการถือศีล และเจริญกรรมฐาน ๘ วัน รักษาศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ได้ ไหวไหม ?
      ถาม :  เจริญกรรมฐาน ๗ วัน เป็นอย่างไรครับ ?
      ตอบ :  ลักษณะของการถือศีล พร้อมเจริญกรรมฐาน เอาแค่กำลังของเราคือว่าตอนเช้าถ้ามีโอกาสก็สวดมนต์ไหว้พระ แล้วภาวนาสักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง ตอนเย็นสวดมนต์ไหว้พระ แล้ก็ภาวนาสักครึ่งชั่วโมงหรือหนึ่งชั่วโมง
              แต่วันนั้นทั้งวันต้องรักษาศีลให้ครบถ้วน มันจะได้ไม่หนักเกินไป ถ้าจะเอาทั้งวันเดี๋ยวเครียดแย่ ๗ วันนี่มันเพียงพอที่จะสติแตกเลยล่ะ เอาเลยลองบนท่านดู หลวงพ่อท่านบอกไว้นานแล้วว่า ถ้าเรื่องงานต้องบนพระวิสุทธิเทพ
      ถาม :  พระวิสุทธิเทพ
      ตอบวิสุทธิเทพ เทวดาผู้บริสุทธิ์ เทวดามี ๓ ประเภท สมมติเทพ แต่งตั้งให้เป็นเทวดา อย่างเช่น พระมหากษัตริย์ หรือว่าพระมหาจักรพรรดิ เรียกว่า สมมติเทพ ส่วนอุบัติเทพ เกิดขึ้นเป็นเทวดา อย่างเช่น เทวดา ๖ ชั้น พรหมทั้ง ๒๐ ชั้น
              และวิสุทธิเทพ เทวดาผู้บริสุทธิ์ คือผู้ที่อยู่ในพระนิพพาน ไม่ว่าจะเป็น พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าเป็นพระวิสุทธิเทพทั้งสิ้น แต่ว่าพระวิสุทธิเทพที่หลวงพ่อว่านี้ หมายถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ รูปท่านมีอยู่องค์กลางนั่นแหละ
      ถาม :  องค์กลางที่ใสสุด
      ตอบ :  นั่นแหละ ที่ใส่ชฎานั่งเหมือนพระมหากษัตริย์ หรือพระมหาจักรพรรดินั่นแหละ
      ถาม :  เวลาเราอธิษฐานยกพระ อยู่ที่กำลังของเรา หรืออยู่จิตที่ทำไป ?
      ตอบ :  หมายถึงว่าอะไร ?
      ถาม :  เวลาอธิษฐานยกพระ สมมติว่าวันนี้เราอธิษฐานยกขึ้น แล้วทำไมอีกวันหนึ่งเราอธิษฐานแล้วยกไม่ขึ้นล่ะคะ ?
      ตอบ :  จริง ๆ แล้วส่วนใหญ่ของการเสี่ยงอธิษฐาน ที่ถ้ายกขึ้นขึ้นก็ถือว่าสำเร็จ ถ้ายกไม่ขึ้นก็ไม่สำเร็จ ถ้าเป็นเรื่องเดียวกันแล้วยกขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง ต้องดูว่ากำลังใจของเราเป็นอย่างไร วันก่อนเป็นอย่างไร จะต้องมีข้อแตกต่างกัน เพราะว่าเรื่องของลักษณะการพยากรณ์หรือคำอธิษฐาน เขาเอากำลังใจปัจจุบันตอนนั้น
              ปัจจุบันตอนนั้นขับรถด้วยความเร็ว ๑๒๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง อีก ๒ ชั่วโมง ก็จะถึงเมืองกาญจน์ ถ้าเราเร่งขึ้นก็ถึงก่อน ถ้าผ่อนลงก็ถึงทีหลัง เพราะฉะนั้นเขาเอาความเร็วปัจจุบันตอนนั้น คือกำลังใจของเราช่วงนั้นเป็นอย่างไร แต่ว่าตั้งแต่อธิษฐานยกมาสารพัด อาตมายังไม่เจออะไรที่ยกไม่ขึ้น
      ถาม :  บางทีผมเคยไปเสี่ยงทาย ยกครั้งแรก อธิษฐานขอยกขึ้น ครั้งที่ ๒ ขอยกไม่ขึ้น เรื่องงานครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ ต้องอธิษฐาน ๒ รอบอย่างนั้นแหละ ครั้งแรกต้องประเภทที่ว่าถ้าได้ขอให้ยกขึ้น ครั้งที่ ๒ ว่าถ้าได้ให้ยกไม่ขึ้น อาตมาเจอมาแล้ว โดยเฉพาะที่พระพุทธบาทที่เขาไปยกช้างกัน ยกช้างที่พระพุทธบาทเขาให้ใช้นิ้วก้อยเกี่ยวขึ้น ของเราเองพอเห็นรูปของสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงค์ ก็ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อเราเองนี่ ใจมันก็เต็ม เกี่ยวได้ก็ยกขึ้นสบาย แต่ปรากฏว่าพอวางลงแล้วมันไม่ตรงที่ สองมือผลักไม่ไป วางลงแล้วมันไม่ตรงรอยเดิม เขาวางบนพรมมันจะเป็นรอยบุ๋มเป็นรูปช้างอยู่ ของเราเองถึงเวลาวางลงแล้วก็จะผลักให้มันเข้าที่ คิดว่ามันเกี่ยวปุ๊บขึ้นเลย ที่ไหนได้หนักกว่าที่เราคิดตั้งเยอะ สองมือผลักยังไม่กระดิกเลย
      ถาม :  แล้วเราจะยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ในการยกขึ้น อย่างวันนี้ยกขึ้น อีกวันยกไม่ขึ้น ?
      ตอบ :  ไม่ต้องยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ อันไหนดีเราเอาอันนั้น มันจะได้มีกำลังใจว่า กำลังใจอย่างพวกเรามันห่วยแตกไปหน่อย ประเภทถือมงคลบ้าง ถืออะไรบ้าง ให้ยุ่งไปหมด ของอาตมาถ้าเขม่นตาซ้ายลาภใหญ่จะมา ถ้าเขม่นตาขวาลาภใหญ่กว่านั้น ก็หมดเรื่องไปเลย อยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้ากำลังใจดีทุกอย่างมันดีไปหมด
      ถาม :  แสดงว่าไม่ต้องไปถามพระ ถ้าเราอยากจะรู้ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องเสียเวลาไปถาม อยู่ที่ทำ ถ้าทำจริง ๆ มันได้ทั้งนั้น ถึงจะทำไม่ได้ก็ขอให้ได้ทำ ไม่มีประโยชน์อะไรไปถามหมอดู ๆ เขาบอกว่าเดี๋ยวอายุเท่านั้นแล้วจะรวย แล้วเรานอนอย่างเดียวดูสิ จะรวยไหม ? จะอดตายเสียก่อนที่จะรวยน่ะสิ สำคัญอยู่ที่ใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำ ๆ ให้จริงเท่านั้น
      ถาม :  ก็ตั้งหน้าทำนะคะ แล้วก็ไปเจอคนที่ตั้งหน้าตั้งตาที่จะขวางอย่างนี้
      ตอบ :  อันนั้นมันหน้าที่เขา เขามีหน้าขวางเขาก็ขวางไป ส่วนของเรามีหนาที่ทำเราก็ทำไป ต่างคนต่างทำหน้าที่ตัวเอง
      ถาม :  แล้วจะทำอย่างไร ให้เขาลดลง ?
      ตอบ :  ไม่ต้องทำ ทำความดีเท่าไหร่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา แผ่เมตตาถึงเขา เรามีหน้าที่ทำแค่นี้ ส่วนผลจะเป็นอย่างไร ? หรือเขาจะทำอย่างไรนั้นไม่ใช่เรื่องของเรา
      ถาม :  การอุทิศส่วนกุศล สมมติว่าผู้ที่มีจิตใจที่ขัดกับเราอยู่ เวลาอธิษฐานให้เขาแล้ว เขาจะได้รับไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่ามีชีวิตอยู่ ไม่ได้โมทนาก็ไม่ได้ หรือว่าถึงจะสิ้นชีวิตไปแล้ว อยู่ในเขตที่ไม่โมทนาก็ไม่ได้เหมือนกัน สำคัญอยู่ตรงเราได้ กำลังใจของเรา ๆ รู้สึกว่า เราได้ทำดีกับเขาแล้ว จิตใจของเราจะโปร่ง จะเบา จะสบาย จะปลดจากจุดยึดที่เห็นเขาเป็นศัตรู
      ถาม :  เรามาลดที่ตัวเราเอง ไม่ได้ลดที่เขาใช่ไหม ?
      ตอบ :  สรุปแล้วอยู่ที่ตัวเราทั้งหมด ถ้าใจเราดี ไม่มีคนชั่วหรอก เห็นว่าธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น ในเมื่อธรรมดาของเขาเป็นอย่างนั้น กระทั่งความดี ความชั่ว เขายังไม่รู้เลย เขาก็เป็นคนที่น่าสงสารมากกว่าจะน่าโกรธน่าเคือง
      ถาม :  คนที่จะรับบุญจากเราได้เวลาเราอุทิศส่วนกุศลให้มีใครบ้าง ?
      ตอบ :  ใครบ้าง เป็นอันว่า สัมภเวสี คือผู้ที่ตายก่อนอายุ เทวดาทั้งหมด พรหม ยกเว้นอรูปพรหมและอสัญญีสัตตาพรหมและก็พระบนนิพพาน (พระบนนิพพานโมทนาด้วย แต่ท่านไม่ได้ใช้บุญนั้นแล้ว) นอกจากนั้นก็จะเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตขึ้นมา อสุรกาย ๔ จำพวก และก็คนเราที่พลอยยินดีในความดีที่เราทำ ถ้าเกิดนอกเหนือจากนี้ก็หมดสิทธิ์ให้มันแล้วมันบอกว่า ไม่เอาแล้วมันจะได้ไหมล่ะ ?
      ถาม :  มีจิตใจที่จะให้ แต่เขาไม่ยินดีที่จะรับ ?
      ตอบ :  ก็เรื่องของเขาเราก็ให้ไปเรื่อย ดูใครจะหน้าด้านกว่ากัน
      ถาม :  แผ่เมตตากับอุทิศส่วนกุศล ?
      ตอบ :  คนละเรื่องเดียวกัน แผ่เมตตาเป็นการที่ใช้กำลังใจที่นึกถึงเขาใน ๔ ลักษณะ ก็คือว่ารักเขาเสมอตัวเราอย่างหนึ่ง สงสารอยากให้เขาพ้นทุกข์อย่างหนึ่ง พลอยยินดีเมื่อเขาอยู่ดีมีสุขอย่างหนึ่ง ถ้าหากว่าไม่สามารถช่วยเหลือได้ก็วางเฉยอย่างหนึ่ง ในส่วนอุทิศส่วนกุศลก็คือ เราทำความดีอะไรก็ขอให้เขามีส่วนร่วมในความดีนั้นด้วย มันคนละเรื่องเดียวกัน
              แต่อุทิศส่วนกุศลมันต้องจิตประกอบไปด้วยเมตตาไม่งั้นให้เขาไม่ได้หรอก มีคนจำนวนมากทำบุญแล้วก็บอกว่าแผ่เมตตาให้กับเขา เขาไม่ได้ต้องการตัวนั้นหรอก เขาจะเอาบุญที่เราทำ คือมันไปเข้าใจผิดกันคนละเรื่องเดียวกัน
      ถาม :  แล้วในการแผ่เมตตาอย่างนี้ ถ้าเกิดว่าแผ่ไปแล้วเขาไม่ยินดีก็ไม่ได้เหมือนกันใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  ตัวนั้นมันเหมือนยังกับเราสาดน้ำไป มันไม่ต้องการรับถ้าสาดถึงมันก็เปียก อันนี้ไม่ใช่ส่วนกุศล ส่วนกุศลไม่ยินดีด้วย ไม่มีส่วนอันนั้น แต่เรื่องของการแผ่เมตตามันเหมือนยังกับว่าเราขยายร่มเงาความร่มเย็นที่เราได้รับอยู่ที่เรามีอยู่ให้กว้างออกไป ร่มมันถึงไหนคนที่อยู่บริเวณนั้นก็พลอยเย็นไปด้วย สาดน้ำออกไปมันไม่หลบมันก็เปียกจนได้แหละ
      ถาม :  เกี่ยวกับการจะบวชพระ ?
      ตอบ :  เรื่องบวชไม่เกี่ยงแต่ทำตามระเบียบวัดได้ไหม เพราะว่าที่โน่นค่อนข้างจะโหด ถ้าผิดไล่เลย ไม่เคยสนใจว่าจะเป็นใคร เมื่อพรรษาที่แล้วไล่ไปแค่ ๕ รูป ไม่เยอะหรอก
      ถาม :  (ไม่ชัด)?
      ตอบ :  ไปอยู่วัดเป็นนาคคือซ้อมปฏิบัติจนมั่นใจว่าบวชได้ เดี๋ยวเจ้าอาวาสเขาก็บวชให้เองแปละ จะดูซิมันจะอึดซักแค่ไหน ปกติตื่นกี่โมง ที่โน่นปกติตี ๓ กว่าจะได้นอนก็ไม่หนี ๒ ทุ่ม คิดดีแล้วหรือ บวชเข้าไปแล้วจะรู้ว่านรกมีจริง เพราะว่าเราเป็นฆราวาสนี่มันอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เหมือนกับทิ้งเราไว้กับเสือตัวหนึ่งในป่า เดินทั้งปีไม่รู้จะเจอเสือหรือเปล่า แต่พอบวชเป็นพระเข้าไปเขาเอาไอ้เสือตัวนั้นกับเรายัดเข้าไปอยู่ในกรงเดียวกัน มันกัดอยู่ทุกวัน แล้วอยู่ที่นั่นโอกาสแก้ตัวของคุณไม่มี ผิดเมื่อไหร่ก็ไปได้เลย แล้วศึกษาให้ดีศีลพระ ๒๒๗ ข้อ จำได้ไหมว่ามีอะไรบ้างบวชมาแล้ว ตายแหง ๆ มันไม่ใช่จำไม่ได้หรอกอาจจะทำไม่ได้ด้วย
              เพราะว่าส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้ พอบวชแล้วครูบาอาจารย์เขาจะปล่อยปละละเลย ทิ้งให้โตกันเอง แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่ก็จะหวังในลักษณะว่าไปอยู่กับครูอาจารย์แล้วจะต้องดี อย่าลืมว่ากว่าจะบวชพระได้อย่างน้อย ๒๐ ปี พ่อแม่อบรมมา ๒๐ ปี เอาดีไม่ได้ มาอยู่กับอาจารย์แป๊บเดียวจะให้ได้ดี เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกถ้าอาจารย์จะต้องโหดมั่ง บางรูปที่โดนไล่ออกไปน่ะ อยู่มานานจนกระทั่งชักจะเป็นกันเอง พอชักจะเป็นกันเองระเบียบวินัยก็หย่อนยาน ล่าสุดที่ไล่ออกไปอยู่กับอาตมามาตั้งแต่ยังเป็นเณร แล้วตอนนี้เขาเป็นพระได้ ๖-๗ พรรษาแล้ว นึกเอาแล้วกันว่าเขาบวชมานานแค่ไหน
              ที่วัดมีระเบียบว่าถ้าจะลา ลาได้ครั้งละไม่เกิน ๗ วัน ยกเว้นคนไหนไม่ได้ลาตั้งแต่ ๒ เดือนติดกันขึ้นไปอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน ๑๕ วัน รายนั้นไปแค่ ๓๒ วัน แล้วเขาคิดว่าเขาสำคัญเพราะอยู่กับอาตมามาตั้งแต่เป็นเณร คิดว่าเขาสำคัญเพราะเขาเป็นช่าง อาตมาไม่เคยมองความสำคัญของใคร เอาพระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไล่ไปเรียบร้อยแล้ว ไหวมั้ย ? ไม่ได้ว่าอะไรนะ บวชอยู่ที่นั่นคุณบวชปุ๊บจะสึกปั๊บก็ไม่ว่า แต่ถ้าอยู่ต้องทำได้ อยู่นานแค่ไหนไม่ว่า บวชได้ก็ไปเลยไปเป็นนาคได้เลย ไปถึงบอกเจ้าอาวาสว่า ผมขออนุญาตมาบวชครับ ตอนแรกต้องเอาพ่อแม่ไปเซ็นรับรองก่อน แล้วตอนสึกก็ต้องให้พ่อแม่ไปรับรองด้วยนะ ไม่งั้นไม่ได้สึกหรอกเพราะเจ้าอาวาสเขาเข็ดแล้ว คือบางคนทางบ้านยังไม่อยากให้สึก มันขออนุญาตสึก สึกไปพ่อแม่มาด่าเจ้าอาวาส คือเขาบอกว่าอยู่บ้านแล้วมันก็เหี้ยซะไม่มี อยู่วัดมันยังจะดีกว่า สรุปแล้วว่าอยู่บ้านพ่อแม่เอาไม่อยู่
              เมื่อพรรษาที่ผ่านมาทองผาภูมิสงบมาก ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปกครองสบายใจเพราะว่าบรรดาไอ้แสบ ๆ ไปอยู่วัดซะ ๑๐ กว่าคน พอหลังกฐินตำรวจก็เริ่มกุมขมับต่อเพราะมันสึก ไม่ทราบเหมือนกันว่าช่วงนี้จะมีบวชหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ต้องใกล้ ๆ เข้าพรรษาไปเลย เพราะว่าช่วงอุปสมบทหมู่นี่ทางวัดจะจัดให้ฟรีทุกอย่าง ถ้าไม่อย่างนั้นจะบวชประเภทที่เรียกว่าพร้อมแล้วบวชต้องจ่ายเองอ่วม
      ถาม :  ต้องก่อนเข้าพรรษา ?
      ตอบ :  จ้ะ ก่อนเข้าพรรษาซักประมาณ ๒ อาทิตย์ ต้องไปอยู่วัดก่อน ถ้าหากว่าประเภทขานนาคผ่านอะไรผ่านก็โอเค อยู่ที่โน่นเขาไม่ได้ช่วย เราต้องว่ากันเองทั้งหมด ท่องไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช โหดจริง ๆ เพราะว่าเดี๋ยวนี้ระเบียบมหาเถรสมาคมก็ต้องการอย่างนั้น เขาระบุมาชัด ๆ เลยใครขานนาคไม่ได้ไม่ให้บวช อายุเกิน ๖๐ ไม่ให้บวช
              เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วที่บวชหวังจะไปทำดีนั้นมันยาก แล้วพวกแก่แล้วส่วนใหญ่มันจะไม่ฟัง มันถือว่าบางทีอาจารย์ยังอายุน้อยกว่ามันเลย ก็เลยกำหนดระเบียบโหดร้ายขึ้นมาหน่อย
              อันนี้ของมหาเถรสมาคมเองกำหนดซะทั่วประเทศไม่ใช่เฉพาะของวัดเดียว แต่ว่าแต่ละวัดมันก็จะมีระเบียบจำเพาะของเขาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง อย่างที่วัดก็ต้องสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐานร่วมกันทุกวัน ต้องช่วยกันทำความสะอาดวัดทุกวัน เวลาวัดมีงานต้องช่วยกันทำให้เต็มสติกำลัง ห้ามเข้าห้องไปรบกวนพระอื่นให้เดือดร้อนรำคาญอะไรอย่างนี้ ได้ยินแล้วหมดอารมณ์มั้ย