ถาม:  จริง ๆ ผมก็อธิษฐานอยู่แล้วล่ะ ว่าถ้าเกิดใหม่ขอเกิดในพระรัตนตรัย
      ตอบ :  เดี๋ยวก็กลายเป็นจิ้งจกอยู่ใต้พระประธาน เกิดใต้พระรัตนตรัย
      ถาม :  ให้เกิดมาพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
      ตอบ :  เออ! เอาให้ดี เคยไปหรือยังวัดผาทั่ง อยู่อำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี เขาสร้างพระพุทธรูปหน้าตัก ๒๓ เมตร อาตมาตอนแรกไปเดินแล้วก็คำนวณว่ามันเท่าไรก็ได้ ๒๐ เมตรเศษ ไปถามช่างเขาบอกว่า ๒๓ เมตร แสดงว่าเราก็ยังก้าวมาตรฐานเหมือนกับตอนที่เป็นทหาร เพราะว่าทหารเขาจะคำนวณระยะทางด้วยการนับก้าว
      ถาม :  สร้างองค์ใหญ่ ๆ กับสร้างองค์ ๔ ศอก ได้บารมีเท่ากันไหมครับ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าสร้างหลายองค์ก็เห็นหลายครั้ง ได้กำไรตรงเห็นหลายครั้ง
      ถาม :  อานิสงส์เท่ากันหรือครับ ?
      ตอบ :  อานิสงส์จริง ๆ ก็คือว่า ถ้าหากว่าเกิดชาติหนึ่ง คน ๆ นั้นถ้าได้ของหรือได้อะไรมันจะได้เยอะทีเดียว ลักษณะประเภทคลื่นโถมมาตรึม มามันก็หายไป แต่ว่าลักษณะที่เราทำแบบนั้นเราสร้างเยอะ ๆ เราสม่ำเสมอ เหมือนกระแสน้ำที่ไหลไม่ขาด มันต่างกัน อันโน้นอาจจะเจอรางวัลที่ ๑ หกสิบล้านอย่างนั้น
      ถาม :  จริง ๆ แล้วเราก็สร้างมาจนนับชาติไม่ถ้วนแล้วนี่
      ตอบ :  ก็บอกแล้วว่าหน้าอย่างพวกเราถ้ารวยก็เลว กำลังใจมันมักจะแรงแล้วไปด้านเดียว ถ้าอยู่ในฐานะที่พร้อมทุกอย่างมันจะเลี้ยวเข้าวัดยาก มันต้องรอวาระรอเวลาของมัน ถึงวาระและเวลาที่สมควรประเภทตีก็ไม่ไปไล่ก็ไม่หนี เดี๋ยวมันมาเองแหละ
      ถาม :  ถ้าก่อนตายมีเท่าไหร่ สร้างมันสะใจกับชีวิตไปเลย
      ตอบ :  สนับสนุนด้วย แต่ไปทำเองนะอย่าเสือกมายัดให้อาตมา ปัจจุบันแค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว มันไม่ได้สนุกเลย ใครเคยได้ยินชื่อหลวงปู่ละไมบ้างไหม หลวงปู่ละไมอายุท่านประมาณ ๑๒๕ หรือ ๑๒๖ ปี คราวนี้อาจารย์ต้าท่านก็ชวนให้ไปหาสมุนไพรที่หลวงปู่บอกว่าจะได้อายุยืน ๆ อย่างหลวงปู่ อาตมาก็บอกว่ามันจะยืนไปทำเกลืออะไร อยู่วันก็ทุกข์วัน อยู่ปีก็ทุกข์ปีหนึ่ง เล่นเอาอาจารย์ต้างอนไปเลย มันคิดคนละอย่างกัน
      ถาม :  ผมไปกราบหลวงปู่จันทร์มาแล้วครับ
      ตอบ :  นั่นก็อายุร้อยกว่าปีเหมือนกัน
      ถาม :  อายุร้อยหกปี แต่ท่านฟังไม่ค่อยได้ยินเลยนะครับ
      ตอบ :  หูท่านหนัก ท่านชอบอาตมาเสียงดัง เพราะอยู่กับหลวงปู่มหาอำพันมา หลวงปู่มหาอำพันท่านก็หูหนักเหมือนกัน เราตะโกนกรอกหูคนแก่บ่อย ก็เลยชินกับระดับเสียงอย่างนั้น ถ้าคุยกับท่านแล้วท่านจะชอบมาก ลูกเอ๋ยมานอนกับพ่อบ้างสิจะได้คุยกัน ไปนอนค้างที่ท่านแค่ ๓-๔ ครั้งเท่านั้น นั่นแหละสมัยที่หลวงปู่ยังไม่ล้างมือจากยุทธจักร หลวงปู่ท่านจะต้องทำทองคำปีละครั้งเดียว แล้วก็เอาทองไปขายแล้วสร้างวัด น่าเล่นไหม
              ปรากฎว่าสูตรทองคำของหลวงปู่คือ สูตรทองคำที่หลวงพ่อท่านบอกที่สมัยพระเจ้าพรหมมหาราชต้องส่งส่วยทองคำ ปีละ ๔๐๐ ชั่ง ปรากฎว่าคนไทยเก่งไม่เสียเวลาไปขุดหรอก เอาแร่ ๔ ตัวมารวมกันผสมแล้วเป็นทอง ก็จะมีตั่วป่า ทองแดง สารปากนกแก้ว แร่เพรียงไฟ ของเราก็ตะเกียกตะกายไปจนถึงสถานที่พระเจ้าพรหมมหาราชท่านอยู่กัน พระเจ้าพังคราชท่านอยู่กัน ได้แก่ ๓ อย่างคือ จะได้ตะกั่วป่า (ดีบุก) ทองแดง และสารปากนกแก้ว แร่เพรียงไฟไป ๔ เที่ยว หาไม่เจอทั้ง ๔ เที่ยว เหมือนกับมันยังไม่ถึงวาระ พอได้ข่าวว่าหลวงปู่ทำก็วิ่งแจ้นไป ไปถึงท่านก็ถามมีธุระอะไรล่ะลูก บอกว่าขอดูแร่เพรียงไฟของหลวงปู่หน่อยครับ ท่านบอก แหม! มาช้าไปนิดเดียวหลวงปู่เพิ่งย้ายขึ้นกุฏิใหม่ คือกุฏิหลังปัจจุบันของท่านเพิ่งสร้างเสร็จในวันนั้นแหละ
              ปรากฎว่าลูกศิษย์มันก็ทำความสะอาดกุฏิเก่าของหลวงปู่มันขนทิ้งหมดเลย ไม่รู้เหมือนกันว่ารถขนขยะมันขนไปวันไหน แสดงว่าวาระยังไม่ถึงจริง ๆ ไม่อย่างนั้นอาตมานั่งผลิตทองไปแล้ว
      ถาม :  ความคิดปิ๊ง ๆ บางทีมันแวบ
      ตอบ :  เราต้องรีบจด ไม่อย่างนั้นมันหายเลย ไอ้ตัวนี้แหละที่หลวงพ่อท่านเตือนประจำเลย ท่านบอกนักปฏิบัติที่ดีกระดาษกับปากกาให้ใกล้มืออยู่เสมอ ถึงเวลาพระหรือเทวดาท่านบอกอะไรต้องรีบจด อาตมาเคยประมาททีหนึ่งเจ๊งเลย
              สมัยก่อนอยู่วัดท่าซุงนี่ก็เคร่งครัดมาก ใกล้พ่อกลัวโดนตีกบาล ขนาดเข้าโบสถ์คนอื่นเขาพึ่งเทปเราพึ่งแต่กระดาษ แล้วในที่สุดเขาก็ต้องมาง้อเราจนได้ เพราะวันนั้นไฟดับเทปอัดไม่ได้ วันนั้นกำลังเพลิน ๆ อยู่ แล้วหลวงพ่อท่านมาทีหลัง ท่านก็บอกว่าจะต้องทำอย่างไร มีหลักอยู่ ๓ ข้อ เราสบายมาก ๓๐ ข้อก็จำได้อยู่แล้วมั่นใจสมองตัวเอง พอสว่างเท่านั้นหายจ้อยเลย หายชนิดแคะหาเงาไม่เจอเลย เหลืออยู่ข้อเดียวตรงที่ว่าท่านบอกให้สวดมนต์ทำวัตรทุกวัน ท่านบอกว่าอานิสงส์ใหญ่มาก เพราะว่าตอนที่เราสวดมนต์ทำวัตรอยู่อย่งเก่งมันก็คิดชั่วได้ มันพูดชั่วไม่ได้หรอก เพราะปากมันสวดมนต์อยู่ แล้วมันทำชั่วไม่ได้หรอก เพราะว่าตัวมันนั่งอยู่ตรงนั้น ก็เลยกลายเป็นว่าได้กำไรไป ๒ ใน ๓ แล้วเป็นอย่างน้อย ส่วนอีก ๒ ข้อหายเงียบไปเลยแล้วไม่ต้องไปถามนะ ถ้าไปถามใหม่เขาเรียกว่าไปหาที่ตาย
      ถาม :  เกี่ยวกับท้าวมหาพรหมชินปัญชระ ?
      ตอบ :  อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจในประวัติของเขา เพราะว่าบุคคลถ้าหากว่ายังไม่ถึงอายุขัย ถ้าไม่มีอุปฆาตกรรมมาตัดรอนยังไงมันก็ตายไม่ได้ ต้องใช้คำว่าบุญรักษาหรือกรรมรักษานั่นแหละ แต่คราวนี้ประวัติของท้าวมหาพรหมชินปัญชระนั้นเขาว่าผู้หญิงไปกอดท่าน ท่านรำคาญท่านก็เลยถอดจิตไปเลย ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าวาระท่านมาถึงหรือเปล่า ถ้าวาระท่านมาไม่ถึงท่านต้องกลับ แต่นี้ตามประวัติบอกว่าท่านไปเลย ถ้าไปเลยอย่างนั้นมันน่าจะอยู่ในช่วงที่ว่าพอดีจังหวะด้วยกรรมก็เลยทำให้ผู้หญิงเห็นท่านนึกรักก็เลยโดดไปกอด ท่านเองก็เบื่อร่างกายเต็มแก่แล้ว ยังมากอดอีกท่านก็เลยไปเลย
      ถาม :  เมื่อวานซืนดูข่าว กษัตริย์ของสวีเดนเสด็จมาและก็พระราชินีด้วย มีการดื่มถวายพระพรกัน ถ้าคนที่เป็นพระโสดาบันแล้วยังมีการดื่มอยู่หรือครับ ?
      ตอบ :  ถ้าพระโสดาบนเขาไม่ทำนะ ระดับพระโสดาบันนี้ท่านว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด
      ถาม :  สงสัยกันจังว่าพระราชินีท่านเป็นพระโสดาบันแล้ว ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่แน่ อย่าลืมว่าพระราชินีท่านเป็นคู่บารมีของในหลวง ในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าหากว่าเป็นในลักษณะของพระอริยเจ้าจะเป็นในลักษณะของกำลังใจเทียบเท่า ไม่ใช่ตัดเป็นพระอริยเจ้าเลย
              ตัวอย่างชัด ๆ สำหรับอาตมาเองคือหลวงปู่อ่ำเจ้าคุณราชกวีวัดโสมนัส สมัยท่านมีชีวิตอยู่ไปกราบไปคุยกับท่านขอความรู้ท่าน มีอยู่ครั้งหนึ่ง ก็กราบเรียนว่า หลวงปู่ครับช่วยสงเคราะห์เรื่องสังโยชน์ได้ไหมครับ หลวงปู่ท่านบอกว่า ฌานโลกีย์อย่างคุณอย่างผมพูดไปมันก็ผิด ก็เลยบอกว่า เอาแค่หลวงปู่เข้าใจก็แล้วกันครับ ในเมื่อเอาแค่หลวงปู่เข้าใจท่านก็เทศน์ให้ฟัง ท่านเริ่ม ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ แล้วก็ขึ้นต้น ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ใหม่ แสดงว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี เพราะพระอนาคามีนี่กำลังใจละสังโยชน์ ๕ ได้
              แต่ว่ามีอยู่บางองค์เรารู้ชัดว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์แต่ท่านเทศน์สังโยชน์ครบ ๑๐ เลย แล้วละเอียดมากเป็นพิเศษด้วย ถึงได้เข้าใจว่าพระโพธิสัตว์จริง ๆ แล้วจิตใจของท่านสามารถเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าได้และก็ละเอียดกว่าพระอริยเจ้าปกติด้วย เพราะว่าท่านจำเป็นต้องรู้ให้ครบเพื่อไปสอนคนอื่นเขา แต่ว่ากำลังใจของท่านไม่ได้ตัดขาดเป็นพระอริยเจ้าไปเลย มันก็เลยต้องใช้คำพูดที่มันไม่เคยมีในตำรามาก่อนว่าเทียบเท่า บางองค์ท่านก็จะเทียบเท่าพระโสดาบัน บางองค์ท่านก็จะเทียบเท่าพระสกิทาคามี เทียบเท่าพระอนาคามี เทียบเท่าพระอรหันต์
              แต่คราวนี้ถ้าหากตามที่ว่ามาว่าพระโสดาบันยังจะมีการอยู่ในลักษณะดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เพื่อถวายพระพรเพื่ออะไรมั้ย ถ้าว่ากันตามจริงแล้วพระโสดาบันท่านตัวตายดีกว่าศีลขาดท่านต้องไม่ทำแน่ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครไปกล่าวในลักษณะพยากรณ์มรรคผลของท่านว่าเหมือนกับพระโสดาบันหรือว่าเป็นพระโสดาบัน น่าจะเชื่อว่าท่านเป็นในลักษณะเทียบเท่ามากกว่า ลักษณะเทียบเท่าอย่างนั้นจะเกิดใหม่ไม่เกิน ๗ ชาติ
      ถาม :  มีคนเขาเถียงกันในเรื่่องการดื่มสุรามีทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยว่าจะดื่มสุราได้ก็ยกตัวอย่างสมัยที่สมเด็จโตท่านจะสอนคนเมาท่านจึงดื่มสุราเมาให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าการดื่มสุรา เมาแล้วเป็นอย่างไร ?
      ตอบ :  พอ ๆ ๆ ๆ ไม่มีทาง เป็นไปไม่ได้ ต้องดูอย่างหลวงปู่เจ๊กที่นครปฐม วัน ๆ แบกไหน้ำตาลเมากินหัวทิ่มอยู่คนเดียว คนเขาทนไม่ไหวก็ฟ้องไปทางคณะสงฆ์กรุงเทพฯ คณะสงฆ์ก็ส่งพระสังฆาธิการ ๒ รูปไปเพื่อที่จะจับหลวงปู่เจ๊กสึก ไปถึงก็ปรากฎว่าหลวงปู่เจ๊กครองผ้าเรียบร้อยทั้ง ๆ ที่บางวันนี่ประเภทเอาแค่พาด ๆ เท่านั้นเอง ไม่ได้มีทีท่าว่าจะเมาจะอะไรเลย พระ ๒ องค์พอเห็ฯก็พูดไม่ออก หลวงปู่เจ๊กท่านก็นิมนต์เข้ามาแล้วก็รินน้ำชาถวายคนละแก้ว พอท่านดื่มน้ำชาเรียบร้อยก็ปฏิสันถารกัน ถามว่าพระคุณท่านมาธุระอะไรครับ ท่านก็บอกว่า มีคนโจทย์ฟ้องว่าหลวงปู่เจ๊กดื่มสุราคือน้ำตาลเมาอยู่ทุกวัน ก็เลยจะมาจับหลวงปู่เจ๊กสึก หลวงปู่เจ๊กบอกว่า ถ้าจับผมสึกท่าน ๒ องค์ก็ต้องสึกด้วย ถามว่า ทำไม ท่านก็เพิ่งจะดื่มเข้าไป ๒ องค์ ท่านดูก้นแก้วที่เหลืออยู่มันเหล้าชัด ๆ เลย ทั้งสีทั้งกลิ่นก็ใช่ ท่านก็เลยเข้าใจ จริง ๆ แล้วก็คือว่าพระระดับหลวงปู่เจ๊กแล้วอยู่ในระดับที่เรียกว่าสุปฏิปันโนคุณอนันต์โทษมหันต์
              ในเมื่อไม่มีภาระหน้าที่ก็ไม่อยากจะข้องเกี่ยวกับชาวบ้านเขา ก็เลยแกล้งทำเป็นเมาบวม ๆ ไปอย่างนั้นน่ะให้คนเขาเห็น แต่จริง ๆ ที่ท่านซดอยู่ทั้งไหมันจะคิดให้เป็นอะไรมันก็เป็นอย่างนั้น เวลาท่านแบกไปมันอาจจะเป็นน้ำตาลเมา เวลาท่านกินมันเป็นน้ำเปล่าก็ได้ใครจะรู้ ดังนั้นไม่ต้องเถียงกันตรงจุดนี้ ถ้าหากบอกว่าหลวงปู่โตกินเหล้า อาตมาคนแรกที่ค้านเลยไม่ใช่แน่นอน มันอาจจะเป็นเหล้าอยู่ต่อหน้าต่อตาแต่ท่านซดเข้าไปมันไม่ใช่เหล้าแน่นอนเลย
              เพราะว่าเรื่องแค่นี้มันไม่ใช่เรื่องยากคิดให้เป็นยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น อยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งคนรุ่นเรานี่ หลวงปู่โตอย่างน้อย ๆ ก็ ๒๐๐ ปีใช่มั้ย ของเราน่ะพูดกันอย่างง่าย ๆ ธรรมดา ๆ คือเกิดไม่ทันหรอก ไปเถียงเรื่องที่ เกิดไม่ทันได้แต่เขาเล่าว่า ๆ มันเพี้ยนมาเยอะต่อเยอะแล้ว อย่าไปเขาเล่าว่า กะใครเลย พระระดับหลวงปู่โตขนาดรัชกาลที่ ๔ ท่านยังใช้คำว่าปาปมุตติ คือผู้พ้นจากบาปแล้ว รัชกาลที่ ๔ ท่านเป็นยอดนักปราชญ์ทางศาสนา องค์หนึ่ง เฉพาะท่านบวชเอง ๒๗ พรรษา มาครองราชย์ก็ตอนพระ ชนมายมุากแล้ว ท่านยกย่องให้ขนาดนั้น ไม่ว่าหลวงปู่โตท่านจะทำอะไร ก็ตามจะรัชกาลที่ ๔ จะไม่ถือโกรธ ถึงจะถือโกรธก็ให้อภัย พระระดับ นั้นนี่หายากมาก เพราะฉะนั้นไม่มีทางหรอกที่ท่านจะมาละเมิดศีลให้ คนเขาเห็นต่อหน้าต่อตาอย่างนั้น
      ถาม :  เพราะว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์ถึงทำได้ อะไรอย่างนี้หรือเปล่า?
      ตอบ :  ไม่ใช่ อย่าลืมว่าพระโพธิสัตว์ท่านยิ่งต้องปฏิบัติให้ละเอียดกว่า พระปกติหลายเท่าเพราะท่านต้องไปเป็นครูเขา ตัวอย่างก็คือชาติหนึ่ง พระพุทธเจ้าของเราเป็นชายตัดฟืน เมื่อเดินทางไปตัดฟืนวันหนึ่งก็เข้า ลึกเกินไป ก็ไปเจอสระโบกขรณีมีดอกบัวบานอยู่เยอะแยะเลย ท่านก็ เออดี เราจะเก็บดอกบัวนี้ไปถวายบูชาพระ พอท่านเอื้อมมือดึงดอกบัว ขึ้นมาปั๊บ
              ปรากฏว่ามีผีเสื้อน้ำ โผล่ขึ้นมาตะโกนว่าขโมย พระโพธิสัตว์ท่าน แปลกใจก็ถามว่า ก็ในเมื่อมันเป็นของที่ไม่มีเจ้าของจะถือว่าขโมย ได้ไง ผีเสื้อน้ำก็บอกเขาเป็นคนดูแลรักษาอยู่ แล้วถ้าหากว่าเป็นคนอื่น ๆ เขาเอาไปจะถือว่าขโมยมั้ย? บอกว่าถ้าคนอื่นเอาไปไม่ถือว่าขโมย แต่ ท่านเองท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ต่อไปท่านจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าเพื่อสอน คนอื่นเขา การปฏิบัติของท่านต้องละเอียดกว่าคนอื่น ถึงคนอื่นถือเอา ไม่ถือว่าขโมยเพราะจิตเขาหยาบ แต่ถ้าท่านถือเอาเราจะถือว่าขโมย เพราะฉะนั้นจะไปกล่าวว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์แล้วทำได้มันไม่ได้ มันต้อง ยิ่งละเอียดกว่าคนอื่นหลายเท่า
      ถาม :  เป็นพระอริยเจ้าคือพระโสดาบันแล้ว แต่ในงานนี้ก็ถือโอกาสจิบนิด หนึ่งอะไรอย่างนี้ คนก็เถียงกันใหญ่เลย?
      ตอบ :  อาตมารับรองได้ว่านั่นโซดาจ้ะ ไม่อย่างนั้นไม่กินเหล้าหรอกเพราะ โซดากับเหล้ามันเข้ากันดี พระโสดาบันแม้เป็นสัตตักขัตตุงเท่านั้นนะ กำลังใจของท่านตัวตายดีกว่าศีลขาดแน่นอน ไม่ต้องถึงพระโสดาบัน หรอกเข้าแค่โคตรภูเท่านั้นเข้าแค่โคตรภูของความเป็นพระโสดาบัน หลวงพ่อท่านเปรียบไว้ว่าเหมือนอย่างกับว่าเราก้าวเท้าข้ามลำรางเล็ก ๆ เท้าหนึ่งอยู่ฝั่งนี้อีกเท้าหนึ่งอยู่ฝั่งโน้น
              การที่เข้าถึงกระแสพระนิพพานตรง จุดนั้นมันอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร แต่ว่ามันมีความรัก พระนิพพานและมั่นใจในพระนิพพานยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แล้วท่านก็จะรู้เลย ว่าคุณของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เป็นอย่างไร คุณของศีลเป็น อย่างไร คนที่รู้ความรู้สึกอย่างนั้นเอาไปตัดหัวคั่วแห้งที่ไหนท่านก็ไม่ยอม ละเมิดศีลเด็ดขาด บางคนบอกว่ากินแล้วมีสติไม่ได้เมาจนขาดสติไม่น่า จะผิด อย่าลืมว่าเขื่อนที่กั้นน้ำอยู่ถ้ามีรูรั่วแม้แต่เล็กน้อยขนาดไหนก็ตาม เมื่อถึงวาระถึงเวลาแรงดันน้ำ ที่มันผ่านไปเรื่อย ๆ มันก็จะทำให้ช่องแตกนั้น ขยายกว้างขึ้น ๆ จนในที่สุดเขื่อนนั้นก็จะทานแรงน้ำไม่ได้พังทลายไป ถ้า หากว่านับเขื่อนนั้นเป็นศีลเป็นเครื่องกั้นเราไม่ให้ตกสู่อบายภูมิ ท่านที่มีสติ สัมปชัญญะถึงระดับนั้นนี่ไม่มีใครเขาเสี่ยงกับการทำให้เขื่อนทะลุแน่นอน จะไปอ้างว่านิดหน่อยไม่เป็นไรไม่ได้ นิดหน่อยไม่ขาดสติไม่ได้ ฝรั่งเขา ลองมาแล้ว เขาให้ดื่มไวน์ ๒ แก้วแล้วก็ให้คนที่ขับรถเป็นหัดถอยรถดู ปรากฏว่าเหยียบกรวยเละมาเยอะแล้ว มันกะระยะผิดหมดเลยทั้ง ๆ ที่มีสติ เต็มที่ ๒ แก้วนั้นเขายังอนุญาตอยู่ด้วย ถึงวัดแอลกอฮอล์มันก็ยัง อยู่ใน ระดับที่ไม่เกิน นั่นน่ะทำ ให้สติสัมปชัญญะเพี้ยนไปได้ขนาดนั้น ประสาท สัมผัสเพี้ยนไปขนาดนั้น
              เหมือนยายแมวก่อนมันจะไปต่างประเทศก่อน ไปอเมริกา วันนั้นเจ้านายเลี้ยงกรึ่ม ไวน์ไป ๒ แก้ว เจ้าประคุณเถอะ มันบิด มอเตอร์ไซค์ ๑๒๐ กว่า ขนาดไฟแดงมันฝ่าไปหน้าตาเฉย นั่นคิดดูแค่ ๒ แก้วมันบ้าได้ขนาดนั้นน่ะ แล้ววันนั้นถ้าหากว่าคนอื่นเขามันด้วยก็เละ ไปแล้ว เขาบอกพอไปถึงบ้านแล้วยังงง ๆ เราทำได้ยังไงวะ
      ถาม :  อาหารที่มีผสมอยู่ด้วยก็ไม่ได้หรือคะ?
      ตอบ :  อาหารที่มีผสมอยู่ด้วย ถ้าหากว่ามันไม่มีเจตนาจะไปกินจริง ๆ แล้ว มันก็น่าจะให้อภัย ถ้าใช้คำในลักษณะที่บอกว่าถ้าเป็นยาพิษถึงเรากินโดย ไม่เจตนามันก็คงตายเหมือนกัน ถ้าหากว่าของพระเขาให้อภัยอย่างเดียว คือผสมเป็นยา ผสมเป็นยานี่สำหรับฆราวาสถ้าตามสูตรได้อย่างเช่นว่า กินครั้งละถ้วยตะไล เพราะว่ายาบางอย่างต้องใช้แอลกอฮอล์ไปช่วยเพื่อจะ กระตุ้นให้ผลมันเกิด แต่ต้องกินตามสูตรเขา
              ถ้าเป็นของพระนี่เขาบังคับว่า ไม่เกินถ้วยตะไลและต้องไม่ปรากฏรสปรากฏกลิ่นด้วย ถ้วยตะไลคือถ้วย เล็ก ๆ ที่เขาสวมปากขวด เคยเห็นใช่มั้ย นั่นแหละ ที่เขาว่าก๊งหนึ่งนั่นน่ะ ก๊งหนึ่งสมัยนี้มันเล่นเป็นแก้วเบ่อเร่อก็แย่ แต่สมัยก่อนถ้วยตะไลคือถ้วยที่เขา ครอบปากขวดนี่แหละ ถึงเวลาใครต้องการเหล้าก๊งหนึ่งก็รินให้ สมัยนี้ไม่ ค่อยได้เห็นกันแล้ว สมัยก่อนเขาแบ่งเหล้าขายกัน
      ถาม :  อย่างเรากวาดบ้านล้างบ้านแล้วก็โดนมดโดยไม่เจตนานี่?
      ตอบ :  ไม่เจตนาโทษมันน้อยมาก การที่เราทำให้สัตว์ตายอย่างเช่นว่า อาจจะกวาดไปโดนมันตาย หรือว่าล้างน้ำ แล้วมันไหลตามน้ำ ลงไปซึ่งเรา มั่นใจว่ามันตายแน่อย่างนี้ แต่คราวนี้ว่าเจตนามันไม่มี อย่างพระออกเดิน บิณฑบาตเขียดมันกระโดดมาพอดี พระทิ้งน้ำ หนักตัวลงไปแล้วยั้งเท้า ไม่ทันเหยียบมันตาย จะเรียกว่าโทษไม่มีเลยก็ไม่ได้หรือเรียกว่ามีโทษ ก็ไม่ได้ เพราะว่า ๑. สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๒. เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ ๓. เรา คิดจะฆ่า ๔. เราลงมือฆ่า ๕. เราฆ่าสำเร็จ ถ้าประกอบด้วยองค์ ๕ นี้ โทษเต็ม ๑๐๐ % ถ้าขาดอันใดอันหนึ่งไปก็ลดไปตามส่วน
              คราวนี้อย่างของเราเจตนาไม่มีแน่นอนเลย เจตนาฆ่าไม่มีเพียงแต่มันไปโผล่ ตรงฆ่าสำเร็จไปซะแล้ว เขาอาจจะมีกรรมอันใดอันหนึ่งที่เคยเนื่องกับเรามา เมื่อถึงวาระถึงเวลาทำให้เขาต้องมาสิ้นชีวิตลงด้วยมือของเรา ถึงไม่มี เจตนาไม่มีอะไรก็ตามทำบุญทำทานเสร็จก็ตั้งใจอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้เขา ขอให้เขาอโหสิกรรมให้กับเราด้วยใจจะได้ไม่ต้องไปเกาะตรงจุดนั้น
      ถาม :  แต่บางทีก็ไปเขี่ยแล้วมันตาย?
      ตอบ :  อาตมาก็เคย ตั้งใจจะจับมันไปปล่อยปรากฏว่านิ้วหนีบแบนแต๋ ไปเลย พวกแมลงวันที่มันติดมุ้งลวดอยู่เคยเหมือนกัน ก็ตั้งใจกำมันดี ๆ นี่แหละ แต่มันดันเร็วกว่าเรา กำลงไปลอดง่ามมือไปได้ครึ่งตัวที่เหลือ เลยแบนเลย
      ถาม :  อย่างพวกยุงนี่บอกว่าฆ่าแล้วบาป แล้วอย่างนี้พวกเชื้อโรคพวก อมีบาเราฆ่าก็ต้องบาปด้วย?
      ตอบ :  สัตว์ต้องมีจิตที่เป็นตัวปฏิสนธิ์อยู่ข้างใน พวกนี้ถ้าเราฆ่าแล้วบาป แต่ว่าพวกเชื้อโรคมันเป็นสัตว์เซลล์เดียวอยู่ในลักษณะประเภทที่ว่าต่ำ กว่าพืชซะด้วยซ้ำไป พวกนี้ไม่มีจิตมันมีแต่ประสาทสัมผัสเฉย ๆ เหมือนกับ ต้นไม้ ในเมื่อไม่มีจิตก็เลยไม่บาป ไม่อย่างนั้นเราถางหญ้าก็บาปตายชักสิ
      ถาม :  ไส้เดือนก็?
      ตอบ :  ไส้เดือนเป็นสัตว์แน่นอนจ้ะ
      ถาม :  ถ้าตบยุงเขาบอกว่าไม่ได้ฆ่าสัตว์ใหญ่ และยุงเป็นสัตว์มีชีวิตสั้น?
      ตอบ :  แล้วใครเป็นคนตัดสินว่ามันควรจะตายล่ะจ้ะ เขาไม่ได้ดูในประเด็น ว่าชีวิตมันสั้นชีวิตมันยาวตัวใหญ่ตัวเล็ก แต่เขาถามว่าได้ฆ่าไหม เขาไม่ได้ บอกว่ากฎหมายข้อนี้เบากฎหมายข้อนี้แรง แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณละเมิดกฎหมายไหม
      ถาม :  สเปิร์มนี่มีจิตไหม?
      ตอบ :  ตอนนั้นยัง ต่อให้เป็นเด็กแล้วบางทีจิตก็ยังไม่มี
      ถาม :  อย่างนี้ก็ไม่บาปซิคะถ้าเกิดว่าเรา?
      ตอบ :  คราวนี้เรามั่นใจได้อย่างไรว่าจิตยังไม่มี เพราะว่าจิตที่ปฏิสนธิ์นี่
      ถาม :  อย่างนี้ก็ไม่บาปซิคะถ้าเกิดว่าเรา?
      ตอบ :  คราวนี้เรามั่นใจได้อย่างไรว่าจิตยังไม่มี เพราะว่าจิตที่ปฏิสนธิ์นี่ บางทีระหว่างไข่ของแม่กับสเปิร์มของพ่อผสมกันปุ๊บจิตก็ลงจับปฏิสนธิ์เลย บางทีจนกระทั่งผ่านไประยะเวลาหนึ่ง อาทิตย์ สองอาทิตย์ถึงลงปฏิสนธิ์ บางคนจนกระทั่ง ๙ เดือนแล้วก็ยังไม่ลง คลอดออกมาแล้วค่อยจับตรงจุด นั้นน่ะ คราวนี้เราจะมั่นใจได้อย่างไรยกเว้นทิพพจักขุญาณเราจะเลิศจริง ๆ
      ถาม :  ไม่ใช่ว่าผสมปุ๊บก็เข้า?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ๆ มันขึ้นอยู่กับจิตที่จะมาปฏิสนธิ์นั้นว่าวาระเขาเป็นอย่างไร บางคนก็ต้องทนทรมานตั้งแต่วินาทีแรกจนกว่าจะครบทศมาสคลอดออกมา บางคนสบาย ๆ มันเล่นมาเข้าตอนคลอดออกมาแล้วลำบากกว่าเขาหน่อย เดียวเอง
      ถาม :  ถ้างั้นคนที่ทำแท้งนี่ บางคนก็บาปบางคนก็ไม่บาป?
      ตอบ :  มันต้องดูที่เจตนาเขา บางทีมันอาจจะไม่บาปแต่จิตเขาเศร้า หมองไปแล้วก็เลยกลายเป็นลงโทษตัวเอง ถ้าจิตเศร้าหมองก็ลงนรก อยู่แล้ว
      ถาม :  (ไม่ชัด)?
      ตอบ :  ไม่ใช่ไม่มี โทษน่ะมีอยู่ อย่าพลาดแล้วกัน พลาดเมื่อไหร่เขาบวก ใส่ทันทีเลย แต่ถ้าตราบใดจิตของคุณยังผ่องใสเกาะความดีอยู่ได้ตลอด ก็โอเค กำลังของความดีส่งให้คุณไปดีแน่แต่อย่าเผลอ หมดดีเมื่อไหร่เจอ ดอกทบต้นเด็ดขาดเลย เรื่องของกฎแห่งกรรมยุติธรรมมาก คุณเกาะ ความดีได้คุณก็ไปรับก่อนไม่ว่าอะไร มันเหมือนทาง ๒ ฟาก คุณเลือก เดินข้างไหนก่อน แต่ข้างนี้มันรออยู่แล้วแน่ ๆ
      ถาม :  (ไม่ชัด)?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าไปนิพพานได้มันก็พ้นไป ถ้ายังไปไม่ได้มันก็ยังตาม ไปเรื่อย ๆ
      ถาม :  อยากรู้ว่าพระโสดาบันที่ต้องเกิดอีก ๓ ชาติ คือต้องเป็นมนุษย์?
      ตอบ :  ไม่ใช่ เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นมนุษย์ ๑ ๒ ๓
      ถาม :  เราเกิดชาติที่เป็นมนุษย์นี่ เราต้องรับกรรมเป็นปกติ?
      ตอบ :  เป็นปกติจ้ะ แต่อย่าลืมว่าพระโสดาบันกำลังบุญท่านสูงแล้ว โอกาส ที่กรรมมันจะตามทันน้อย ยกเว้นว่าเป็นกรรมใหญ่จริง ๆ อย่างท่าน มหากาลก็เป็นพระโสดาบัน อยู่ถืออุโบสถที่วัดตอนเช้าลงไปล้างหน้า แล้วชาวบ้านเขาก็ไล่โจรมา ไอ้โจรมันเห็นจวนตัวหนีไม่พ้นก็ทิ้งของไว้แล้ว เปิดแน่บไป เขามาถึงเจอท่านมหากาลอยู่พร้อมกับของ เขาไม่ฟังเสียงทุบ ซะตายเลย นั่นพระโสดาบัน ส่วนที่หนักกว่านั้นก็พระโมคคัลลาน์ นั่นพระ อรหันต์ อัครสาวกซะด้วย ก็โดนโจรทุบตายเหมือนกัน
      ถาม :  พวกที่ทุบนี่บาปไหมคะ?
      ตอบ :  บาปจ้ะ มันก็อยู่ในลักษณะว่าใช้กันเหมือนกันเพราะว่าเราต้องมี กรรมเนื่องกันมาก่อน แต่พวกนั้นซวยจริง ๆ ถ้าฆ่าพระระดับนั้นล่ะก็
      ถาม :  ถ้าหากเราได้กสินกองใดกองหนึ่ง กองอื่นนี่ถือว่าได้หมดเลย?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ถ้าเราได้กองใดกองหนึ่งแน่นอนกองอื่นจะง่ายสำหรับเรา ไม่ใช่ได้กองใดกองหนึ่งกองอื่นจะได้หมด มันยากที่สุดตรงกองแรกเท่านั้น พอได้แล้วรู้หลักแล้วรู้กำลังว่ามันใช้แค่ไหนต่อไปก็ใช้แค่นั้นมันก็ เลยง่าย ก่อนหน้านี้ที่มันยากและเสียเวลามากเพราะมันลองผิดลองถูกไป
      ถาม :  อัปปนาสมาธินี่คือขั้น?
      ตอบ :  ตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปเรียกว่าอัปปนาสมาธิ อย่างอารมณ์ปกติของ เราอย่างนี้เรียกว่าอุปจารสมาธิ
      ถาม :  (ไม่ชัด)?
      ตอบ :  ไม่ใช่จ้ะ อัปปนาสมาธิแปลตรง ๆ ว่าสมาธิแนบแน่น ก็ตั้งแต่ปฐมฌาน ไปยันอรูปฌาน ๔ โน่นเลย มันจะมีขณิกสมาธิเป็นสมาธินิดหนึ่งแล้วก็ คลาย อุปจารสมาธิใกล้จะเป็นสมาธิแล้ว อัปปนาสมาธิเป็นสมาธิทรงตัว แนบแน่นแล้ว ถ้าเกิดทรงตัวจริง ๆ ตั้งแต่ปฐมฌานถึงเรียกว่าทรงตัว
      ถาม :  ได้คุยกับพระน้องชาย ท่านบอกว่าถ้าเขายังไม่ได้ฌาน ๔ จะมา พิจารณาวิปัสสนาไม่ได้ จึงยังไม่ทำ?
      ตอบ :  เข้าใจผิด ๑๐๐ % เลยจ้ะ การพิจารณาวิปัสสนาญาณนี้ไม่มีฌาน อะไรเลยก็เริ่มพิจารณาได้ พอพิจารณาไปเรื่อย ๆ จิตที่ดิ่งลึกไปตามธรรม ที่พิจารณาอยู่มันจะทรงตัวเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติได้ ยิ่งทรงตัวมาก เท่าไหร่กำลังของการตัดมันก็จะยิ่งสูงเท่านั้น อันนี้เป็นผลดีเรียกว่ากำไร โดยส่วนเดียวของวิปัสสนาญาณ แต่ว่ามันจะขาดความมั่นคงในตอนแรก เริ่มเพราะไม่มีพื้นฐานรองรับ
              ส่วนการที่เราตั้งสมาธิได้แล้วตั้งแต่ปฐมฌาน ขึ้นไปแล้วถอยมาพิจารณา อันนี้มันมีต้นทุนแล้วคือกำลังมันพอ ถ้าคุณ สามารถตัดขาดได้ขั้นต้นก็เป็นพระโสดาบันเป็นพระสกิทาคามีเลย เพราะ ว่าปฐมฌานนี้กำลังมันพอตัดได้ระดับนั้น ตั้งแต่อนาคามีขึ้นไปต้องใช้ กำลังของฌาน ๔ คราวนี้ถ้าหากว่าเป็นฌานพอมันทรงตัวถึงที่ที่เราทำได้ แล้วพอจิตมันถอยออกมาถ้าหากว่าเราไม่บังคับให้มันพิจารณา มันจะ ฟุ้งซ่านไปรักโลภโกรธหลงเลย
              แต่ถ้าหากว่าเราบังคับให้มันภาวนาอารมณ์ ที่มันทรงตัวอยู่จิตมันนิ่งมันจะเห็นข้อธรรมได้ชัดเจน แล้วสามารถที่จะยอม รับได้ง่ายเพราะปัญญามันมีเนื่องจากฌานมันกดกิเลสเอาไว้ มันก็เลยได้ เปรียบเสียเปรียบคนละอย่าง คืออันหนึ่งกำลังพอแต่ถ้าเผลอมันฟุ้งซ่าน อีกอันหนึ่งกำลังน้อยแต่ยิ่งทำมันจะยิ่งมากขึ้น ๆ
      ถาม :  ถ้าหากว่าเราจะพิจารณาว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือตั้งแต่กายเราจนมาถึง วัตถุรอบกาย พิจารณาไปจนเหลือแต่ความว่างเปล่า?
      ตอบ :  อันนั้นต้องเป็นอรูปฌานที่ ๓ เรียกว่าสมาบัติที่ ๗ เรียกว่าอากิญ จัญญายตนฌาน แล้วก็อย่าแปลกใจว่าทำไมเราทำได้ทั้งที่ไม่เคยฝึกกสิณ มาก่อน เราต้องเคยมีพื้นฐานในชาติที่แล้วมา ไม่อย่างนั้นกำลังใจที่จะ ทรงตัวอย่างนั้นเป็นไปไม่ได้ อันนั้นจะอยู่ในลักษณะที่ว่าไม่ว่าคน สัตว์วัตถุธาตุสิ่งของอะไรก็ตามในที่สุดก็สลายหมดไม่มีอะไรเหลืออยู่
      ถาม :  ถ้าพิจารณาควบคู่กับอานาปานสติ?
      ตอบ :  ได้
      ถาม :  (ไม่ชัด)?
      ตอบ :  สมถกรรมฐานไม่ใช่ไม่ดี ถ้าทำเป็นก็มีประโยชน์มหาศาล เพราะว่า อย่างเช่นว่าก่อนทำจิตเรามุ่งมั่นว่าจะละตัวไหน ถึงเวลาจิตเป็นสมาธิมันจะ ดำเนินการตัดตัวนั้นเอง เพียงแต่ว่าถ้ามันตัดขาดทีเดียวไม่ได้ มันจะไม่ มั่นคง มันก็จะคลายคืนมา กิเลสมันก็จะงอกงามได้ใหม่อะไรใหม่ แต่ถ้า หมั่นทำบ่อย ๆ ต่อเนื่อง กิเลสมันจะค่อย ๆ เฉาตายไปเอง
              เพราะฉะนั้น เรื่องของจิตคนนี่มันขึ้นอยู่กับความต้องการในขณะนั้น บางขณะมันต้อง การความสงบเราก็ภาวนาจับกรรมฐานของเราไปจับอานาปานสติของเราไป แต่บางขณะมันต้องการคิด ก็ให้มันคิดในส่วนที่จะทำปัญญาให้เกิด เรียกว่า วิปัสสนาญาณ อย่างเช่นว่าคิดในไตรลักษณ์ คือลักษณะของ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์ อนัตตา ทรงตัวอยู่ไม่ได้ของทุกสิ่งทุกอย่าง หรือ พิจารณาตามนัยอริยสัจ แต่อริยสัจ ๔ ข้อนี่ถ้าเอาจริง ๆ มันมีแค่ ๒ คือดู ทุกข์ แล้วก็หาเหตุของทุกข์ให้เจอ ถ้าเราไม่ทำเหตุนั้นเราก็ไม่ทุกข์อีก
              แต่หลวงพ่อท่านบอกถ้าเอาจริง ๆ เหลือข้อเดียวคือทุกข์อย่างเดียวก็ได้ ถ้ามันทุกข์ขนาดนั้นแล้วมันยังโง่จะเกิดอีกก็ช่างมัน หรือไม่ก็ดูตามนัย วิปัสสนาญาณ ๙ เริ่มตั้งแต่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณคือพิจารณาเห็น ความเกิดดับ ภังคานุปัสสนาญาณพิจารณาเห็นเฉพาะความดับ ภยตุ ปัสสนาญาณพิจารณาเห็นว่ามันเป็นโทษเป็นภัยเป็นของน่ากลัว ไล่ไป เรื่อย ๆ จนท้ายสุดมันจะเป็นสังขารุเปกขาญาณ อันที่ ๑-๘ มันจะไปสำคัญ อยู่ตรงนิพพิทาญาณคือเห็นว่ามันน่าเบื่อหน่าย แล้วก็สังขารุเปกขาญาณ ปล่อยวางในมันได้ ตัวสุดท้ายตัวที่ ๙ คือสัจจานุโลมิกญาณมันเอา ๘ ตัวแรกมาย้อนทวนต้นทวนปลายสลับขึ้นสลับลงอยู่เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ตัวที่ ๙ นี้มันไม่มีของจริงมันอาศัยของคนอื่นเขา เพียงแต่ว่าเราไล่ขึ้น ๘ ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ . ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ อย่างนี้ก็กลายเป็นตัวที่ ๙ ไปแค่นั้นเอง เลือกเอาว่าเราจะพิจารณาแบบไหน