ถาม:  อยากรู้ว่าเมื่อไหร่บ้านจะมีความสุข ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเรามีความสุขเมื่อไหร่ ทุกอย่างมันดีหมด สำคัญที่ใจเรา ใจเราสำคัญที่สุด ถ้าใจของเราดี กระแสความดีเป็นกระแสเย็นที่แผ่ออก คนรอบ ๆ ข้างจะค่อย ๆ ดีขึ้นมาเอง
              เพราะฉะนั้นไม่ต้องแก้ที่คนอื่น เราแก้ตัวเราได้ แต่เราแก้โลกภายนอกไม่ได้ เรื่องของคนอื่นแม้ว่าจะครอบครัวเดียวกัน มันเป็นเรื่องของโลกทั้งหมด โลกมันหนักเกินไป มันใหญ่เกินไป เพราะฉะนั้นแก้ที่ตัวเราพอ กำลังความดีพอมันจะเหมือนแม่เหล็ก มันจะค่อย ๆ ดูดเหล็กที่ใกล้ที่สุด คือคนในครอบครัวเข้ามาก่อน พอคนในครอบครัวเข้ามาอยู่ในวงจรเดียวกัน ในกระแสเย็นเดียวกัน ความสุขมันจะเกิดขึ้น ถึงแม้มันจะสุขไม่มาก แต่ว่ามันสามารถระงับความเร่าร้อนที่เกิดจากกาย-วาจาได้ ให้มันเหลือแต่ใจก็ยังดี ใจมันจะร้อนมันจะกลุ้มอย่างไรซึ่งมันให้เปลือกนอก
              สรุปแล้วบันดาลให้ไม่ได้ ต้องทำเองล้วน ๆ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน เวลาที่คนมาเลย์ คนสิงคโปร์มาจะมีปัญหามาก เพราะจะให้เสกให้มันเดี๋ยวนี้เลย บอกให้ไปทำเอง
      ถาม :  พวกอิสลามหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ เป็นพุทธเหมือนกัน แต่เป็นพุทธมหายานเสียเยอะ
      ถาม :  มหายานเขาเสกได้หรือครับ ?
      ตอบ :  เขาคิดว่าทำอย่างนั้นได้ เพราะว่าพระโพธิสัตว์อย่างพวกคุณไปทำให้เขา พระโพธิสัตว์บอกแล้วว่าเพื่อความสุขของคนอื่น ตัวเองยอมรับโทษทุกอย่าง ในเมื่อยอมรับโทษทุกอย่างก็ทำให้เขามีความสุขไป ตัเวองฝืนกฎของกรรมก็รับเละไปคนเดียว
      ถาม :  หลวงพ่อคะ ถ้าเกิดสติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวอย่างนี้
      ตอบ :  อันนั้นต้องตั้งใจภาวนา จับลมหายใจเข้า-ออก เคยทำไหมจ้ะ หายใจเข้า “พุท” รู้ว่ามันผ่านจมูก-ผ่านกลางอก-ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก “โธ” จากท้อง-มาอก-ไปจมูก แค่นี้เองง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่ต้องไปบังคับลมหายใจ หายใจตามปกติแค่เรากำหนดรู้ตามไปเท่านั้น ถ้าความรู้สึกมันวิ่งไปจากลมหายใจ ไปคิดเรื่องอื่นปุ๊บดึงมันกลับมาใหม่ มันคิดถึงหน้าแฟน คนนั้นหล่อดี คนนี้รวยด้วย มีรถสวยอีกต่างหาก อะไรอย่างนี้ไม่ต้องคิด ถึงมันกลับมา เสร็จเรียบร้อยมาอยู่ที่นี่ใหม่ มันอาจจะ “พุท” ไม่ทัน จะ “โธ” ไปอีกก็ดึงมันกลับมาใหม่ แรก ๆ เหมือนกับลิง แรงมันดีเอาเชือกผูกคอมันไว้มันดิ้นตายเลย แต่พอนานไป ๆ มันจะค่อยนิ่ง เพราะว่ามันเหนื่อยแล้ว ตัวสมาธิมันจะเริ่มทรงตัว
              ถ้ายุคของพวกเราเหลวงพ่อสงสารมาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันร้อนมันเร็วไปหมด สมัยก่อนสมัยหลวงพ่อโทรทัศน์จะต้องค่อย ๆ ไปบิดเปลี่ยนช่อง สมัยเรารีโมทคอนโทรล ๓๐ เมตร เปลี่ยนได้มันเร็วเกินไป แล้วทุกอย่างต้องการอะไรก็คลิ๊กเอาง่ายดี อินเตอร์เน็ตมี ก็เลยทำให้สมาธิของพวกเราสั้น โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตก็ดี คอมพิวเตอร์ก็ดีมันจะทำให้พวกเราแย่ภายหลัง เพราะเราถือว่าทุกอย่างมีข้อมูลอยู่ในนั้น ถึงเวลาไปค้นเอา หัวของเราก็เลยว่างเปล่า ไม่ได้เก็บอะไรไว้ ถ้าใครทุบเครื่องคอมพิวเตอร์พัง รับรองได้ท่านทำอะไรไม่ถูก
              เพราะฉะนั้นพยายามสร้างสมาธิไว้ มันมีประโยชน์มหาศาล เพราะว่า อันดับแรก ทำให้เราอยู่สุขในปัจจุบัน ขณะที่คนอื่นเขาเร่าร้อนไปกับกระแสโลก แต่ของเราเองจะตั้งมั่นและมีสติ เหมือนกับว่าเวลาน้ำไหลมาแรง ๆ พัดทุกอย่างไปหมด แต่เราบังเอิญเป็นเสาที่ปักอยู่กลางน้ำ ถ้าหากสมาธิยิ่งมั่นเท่าไหร่ ก็คือเสาที่ยิ่งใหญ่และก็ยิ่งปักลึกเท่านั้น จะทำให้เรามั่นคงอยู่ได้ท่ามกลางกระแสนั้น เราก็จะไม่คล้อยตามเขาไปง่า ยๆ เพราะว่ามีสมาธิเป็นเครื่องช่วย
              อีกอย่างหนี่งก็คือสุขในสัมปรายภพ ถ้าหากคนที่สติสมาธิตั้งมั่นปัญญาจะเกิด จะเห็นช่องทางที่ดีที่ไป ถ้าตายก็เป็นเทวดา เป็นพรหม หลุดพ้นได้ก็ไปนิพพาน จะไม่ลงไปอบายภูมิง่าย ๆ กับใคร จะไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์นรกให้เขาทรมาน ไม่ต้องไปเป็นเปรต อสุรกาย อด ๆ อยาก ๆ ไม่ต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน
      ถาม :  หนูเคยไปดูดวงมาค่ะ เขาบอกว่าเมษาจะดวงไม่ดีให้ไปสะเดาะเคราะห์ แต่มันทำให้เราตอนนั้นเราร้อนใจ เอ๊ะ! เราจะเกิดอะไรขึ้น เราจะเป็นอะไรไหมคะ ?
      ตอบ :  ตัวนั้นแหละ เป็นวิธีหากินของเขา บรรดาพวกหมอดู พวกหมอสะเดาะเคราะห์ต่าง ๆ ตอนแรกเขาจะทักให้เรากลัว แล้วถ้าเราถามถึงวิธีแก้ของเขาเมื่อไหร่ แปลว่าเสียเงินมากทุกที ถามเมื่อไหร่จะหมดเคราะห์ จำเอาไว้ว่าเรื่องของดวงก็คือ กรรมเก่าที่เราทำมา ไม่ว่าจะดีจะชั่ว ดีที่เป็นส่วนบุญเรียกว่า กุศลกรรม ชั่วที่เป็นส่วนบาปเรียกว่า อกุศลกรรม เรียกกรรมทั้งคู่ กรรมดี-กรรมชั่วจะให้ผลกับเราตลอด
              ทางด้านโหราศาสตร์พวกพรามหณ์ พวกพราหมณ์เขาเก็บสถิติต่อเนื่องมาเป็นพัน ๆ ปี ในเมื่อเก็บสถิติต่อเนื่องมา สรุปได้ว่าคนที่เกิดวันเวลานั้นหรือใกล้เคียงนั้น ถึงวาระอายุเท่านั้น ๆ จะมีเรื่องดีหรือไม่ดีเกิดขึ้น คนที่เกิดเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแปลว่า ทำบุญ-ทำบาปมาใกล้เคียงกัน ถึงวาระ ถึงเวลาผลบุญ-ผลบาปจะให้ผลคล้ายคลึงกัน แต่ว่าสูงสุดจะรู้ได้เต็มที่ได้ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่จะเหลือระดับ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเรายังมีโอกาสรอดอีก ๒๐ หรือ ๔๐ เปอร์เซ็นต์
              ถ้าหากว่าเราทำปัจจุบันดีผลกรรมที่เป็นอดีตจะส่งผลให้กับปัจจุบัน วินาทีถัดจากนี้ไปตรงนี้จะเป็นอดีตแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราทำปัจจุบันนี้ให้ดีไปเรื่อย ๆ มันก็เป็นอดีตที่ดีส่งผลเพิ่มขึ้นมา อนาคตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้ เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ศีล ภาวนา ตัวบุญใหญ่ที่ว่า ๓ เรื่องนี้ ถ้าเราตั้งใจทำจริง ๆ ผลของกรรมเก่าให้ผลไม่เกิน ๒๕ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องไปกลัวมันหรอก
      ถาม :  แล้วอย่างหนังสือพรหมชาติ เชื่อถือได้ไหมคะ ?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเราแตกฉานชำนาญจริง ๆ เชื่อถือได้แต่ไม่เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ ยังมีพวกหัวแข็งเหนือบุญเหนือบาปคือ ๒๐ เปอร์เซ็นต์ที่เหลือนั่นแหละ คือพวกที่เอา ทาน ศีล ภาวนา เข้ามา ในเมื่อเขาเอาเข้ามา ผลบุญใหญ่ส่งผลบุญให้ อนาคตของเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีเรื่อย ๆ ตำรามันจะผิด อาตมาทำเขาเผาตำรามารายหนึ่งแล้ว
      ถาม :  หลวงพ่อคะ คู่บารมี คู่กรรม นี่คล้ายกันไหมคะ ?
      ตอบ :  มันอันเดียวกันเลย แต่ใช้คำพูดต่างกันเท่านั้น เอาเป็นว่าคนเราที่เกิดมาแล้วจะแต่งงานอยู่กินด้วยกัน แบ่งเป็น ๒ ประเภท ประเภทแรกภาษาบาลีเรียกว่า บุพเพสันนิวาส คำว่า บุพเพ แปลว่า แต่ปางก่อน สันนิวาส คือการอยู่ร่วม เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อนคือเป็นเนื้อคู่กันมาก่อน อันนี้เราเรียกว่า คู่บารมี หรือคู่เวรคู่กรรม ก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีทั้งหมด บางชาติผลของอกุศลคือ บาปเข้ามาส่งผล ก็อาจจะตีกันหัวร้างข้างแตกไป แต่ยิ่งตีกันเท่าไหร่ลูกดกทุกที ถ้าหากชาติไหนกุศลกรรมส่งผลให้ ก็อาจจะดีแสนดีเสียจนยิ่งกว่าพระก็มี
              อีกอย่างหนี่งก็คือว่า แต่งงานกันเพราะว่าเกื้อกูลกันจนเห็นใจกัน ในปัจจุบันจะเริ่มต้นนับหนึ่งกันในชาตินี้ ชาติต่อ ๆ ไปอาจจะเจอหรือไม่ได้เจอก็ได้
              ดังนั้นว่าเรื่องของคู่บารมีหรือเนื้อคู่ ใช้คำว่าเนื้อคู่ดีกว่า มีทั้งบุพเพสันนิวาส และเกื้อกูลกันในปัจจุบัน เป็นได้ทั้งนั้นแหละ คนไหนที่หมอบอกว่าเนื้อคู่ไม่มี ไม่จริงหรอก กวักมือข้องถนนตามมาเป็นฝูงเลย
      ถาม :  พวกเกย์ล่ะครับ เกย์นี่เนื้อคู่ผู้ชายหรือครับ ?
      ตอบ :  จริง ๆ อย่าไปตำหนิเขานะ เรื่องของการสร้างบุญสร้างบารมี วาระเวลามาถึงมันจะเป็นอย่างนั้น เรื่องการสร้างบารมีอันนี้ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิสตรี ว่ากันตามความเป็นจริง ผู้หญิงบารมีจะน้อยกว่าผู้ชาย
              การสร้างบารมีจะมี ๓ ระดับ ๙ ขั้น คือ สามัญบารมี-ขั้นต้น อุปบารมี-ขั้นกลาง ปรมัตถบารมี-ขั้นสูง แล้วแต่ละขั้นจะมีหยาบ กลาง ละเอียด ถ้าหากว่ายังเป็นสามัญบารมี อุปบารมี ไม่เกินขั้นกลางจะต้องไปเกิดมาเป็นผู้หญิงก่อน พอเริ่มเป็นอุปบารมีขั้นปลายเขาจะกลับเป็นผู้ชาย ตอนเริ่มใกล้จะเป็นผู้ชายจะติดนิสัยผู้ชายมาเรียกกันว่าทอม แต่พอเริ่มเป็นผู้หญิงมาเป็นผู้ชายใหม่ ๆ ก็กลายเป็นตุ๊ดสายตาของเรา มันเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าปัจจุบันพวกท่านทั้งหลายที่อยู่ระหว่างอุปบารมีมันเกิดมาก เราจะไปตำหนิเขา อันนี้ไม่ต้องไปตำหนิใคร
      ถาม :  ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอะไรหรือครับ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่อะไรผิดปกติเลย เป็นเรื่องปกติ แต่ว่ามีผู้หญิงบางประเภท ต่อให้เป็นปรมัตถบารมี คือขั้นสูงสุดแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิงอีก ท่านทั้งหลายเหล่านี้มีประเภทที่ ๑. เนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ เพราะว่าเขาอธิษฐานตามกันมา ต่อให้สร้างบารมีมาถึงขั้นนั้นแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง
              ประเภทที่ ๒. ผู้ที่จะมาเป็นแม่ของพระพุทธเจ้าในชาติสุดท้ายอย่าง สันดุสิตเทพบุตร อย่าลืมว่าเทพบุตรลงมาเกิดเป็นนางสิริมหามายา ผู้ชายใช่ไหมแต่ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเพราะว่า เขาอธิษฐานมาว่าจะต้องมาเป็นแม่ของพระพุทธเจ้า
              ส่วนประเภทที่ ๓ คือ เป็นผู้ชายแล้วแรดมาก แหม! พวกเจ้าชู้มากนี่มันจะโดนบังคับด้วยแรงกรรม ให้เกิดมาเป็นผู้หญิง เพื่อใช้โทษที่ตัวเองแรดมา (ขออภัยที่ใช้คำง่ายเกินไป) เพราะฉะนั้น ๓ ประเภท ต่อให้เป็นปรมัตถบารมีแล้วก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง คนไหนที่เปิดเผยแล้วก็พูดจาอย่างชนิดที่เรียกว่า กระจ่าง ชัดเจน นิสัยใจคอกว้างขวางเหมือนผู้ชาย อะไรนั่น ให้ระแวงไว้ก่อนว่าเขาเคยเป็นผู้ชายมา
      ถาม :  แล้วอย่างเราเกิดมาอย่างนี้ ต้องมาเก็บกวาดบ้าน ทำกับข้าว รีดผ้าที่เราทำแบบนั้แสดงว่าก่อนหน้านี้เราเกิดเป็นผู้หญิงบ่อยหรือครับ ?
      ตอบ :  ผู้ชายทุกคนต้องเป็นผู้หญิงมาอยู่แล้ว อาจจะไม่เคยเป็นผู้หญิงบ่อยก็ได้ เพียงแต่ชาตินี้ผู้หญิงเขามอบความไว้วางใจให้ ในเมื่อเขามอบความไว้วางใจให้ก็ทำไปเถอะ
      ถาม :  หลวงพ่อค่อนข้างเชื่อเรื่องเวรกรรมอยู่แล้ว ถ้ารักมีอุปสรรค
      ตอบ :  รักมีอุปสรรค สนุกค่ะ ถ้าได้มาง่าย ๆ ไม่สนุกหรอก ธรรมดาจ้ะ
      ถาม :  แล้วถ้าเกิดดูพรหมชาติมาว่าเนื้อคู่คนนี้ ถ้าเกิดเขาบอกว่าไม่ใช่ เนื้อคู่คนนี้ จริงหรือเปล่าคะ?
      ตอบ :  อันนั้นมันจริงตอนนั้น ก็บอกแล้วว่าเราเริ่มต้นนับหนึ่งได้ นั่นมันอาจจะไม่ใช่ในอดีต แต่เราจะเอาปัจจุบันนี้ อดีตไม่นับ เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
      ถาม :  หนูเป็นคนค่อนข้างแข็งนิดหนึ่ง เคยดูดวงแล้วรู้สึกอยากฝืนดวง จะทำให้ได้จะเอาชนะอะไรอย่างนี้
      ตอบ :  ลักษณะอย่างนี้แหละ เราจะเป็น ๒๕ เปอร์เซ็นต์สุดท้าย พยายามทำมันให้ได้ มันได้จริง ๆ อาตมาเคยฝืนมาเสียเยอะแล้ว
      ถาม :  แต่เรื่องศรัทธาพระหรืออะไร ตัวเองก็ศรัทธาพระพุทธเจ้า แล้วก็สวดในพระพุทธองค์ ไม่คิดว่าอัน ไหนขาด สำหรับตัวเองคือมุ่งไปจุดเดียว
      ตอบ :  อันนั้นเกือบถูกร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว จำไว้ว่าถ้าจะเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้เกาะตรงส่วนที่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ คือส่วนของความเป็นนามธรรมว่าท่านดีอย่างไร แล้วเราเกาะความดีของ ท่าน อันนั้นไม่ใช่ไปเกาะตัวคน
      ถาม :  บางทีก็รู้มาว่าเขาใช้สวดมนต์ไม่ถูกต้อง หรือเขารู้กัน
      ตอบ :  อันนั้นเขาเรียก มิจฉาสมาธิ เขาสร้างสมาธิให้เกิดแต่ไปใช้ในทาง ที่ผิด อย่าไปยุ่งเลย ไม่สนุกหรอก เดี๋ยวเดือดร้อนไปด้วย ไม่ต้องไปสู้กับใคร หรอก ตั้งใจขอบารมีพระ ถึงเวลาก็ขออธิษฐานภาพพระก็ได้ ตั้งใจนึกถึงพระ พุทธเจ้าองค์ใหญ่ ๆ ครอบเราไว้ทั้งตัวเลย เวลาไปไหนขอให้ท่านคุ้มครอง จะได้ปลอดภัย มีอะไรอีกไหม ก็เรานั่นแหละ เหลียวไปหาใครมันจะหาย สงสัย บางทีไปถามพระที่อื่นเขาไม่ตอบก็มีหรือตอบไม่ถูกก็มี
      ถาม :  หลวงพ่อครับ ก็ยังติดอยู่ดี จับลมหายใจไม่ได้
      ตอบ :  ก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็บอกแล้วว่าให้พยายามใช้แบบพระวัดท่าซุง สมัยแรก ๆ เขาอมฮอลล์ ไม่ได้พูดเล่นนะอมฮอลล์สัก ๓ เม็ดรวด เอา ฮอลล์เมนทอล พอหายใจเข้าแล้วมันจะเย็นตามไปมันจะจับได้
      ถาม :  จะได้ถึง ๓ ที่หรือครับ
      ตอบ :  ใช่ เรื่องของการจับลมหายใจเข้า-ออก ในวิสุทธิมรรคเขาบอกว่า ผุสนา คือ จับสัมผัสของมัน กับ อนุผัสนา ไม่เอาสัมผัส ของมัน ของเราถ้าหากไม่เอาสัมผัสแล้วเรารู้สึกเหมือนไม่ได้อะไรเลย ก็เอา มันเสียอย่างหนึ่งก็ได้คือเขาไม่เอาสัมผัสอะไรเลย เขาบอกว่าเหมือน อย่างกับว่าถ้าหากสัมผัสอยู่ที่เดียวอยู่ปลายจมูก เขาเปรียบเหมือนกับ ว่าปล่อยวัวออกจากคอก เราไม่ต้องไปสนใจว่าวัวข้างในมีเท่าไหร่ นับตัวที่ผ่านประตูคอกทีละตัวเดี๋ยวมันก็ครบเอง
              ดังนั้นมันรู้สึกแค่นี้ก็เอาแค่นี้ก่อน พอจิตละเอียดขึ้นมันจะรู้มากไปเอง ตอนนี้จิตยังหยาบ อยู่มันจะจับอากาศที่มันสัมผัสอยู่ข้างในได้ยากหน่อย ฉะนั้นเริ่มต้น ใหม่ ไม่ได้พูดเล่น พี่ ๆ ที่วัดท่าซุงเขาอมฮอลล์ภาวนามากันก่อน ไม่รู้จะทำอย่างไรมันจับลมหายใจยากจัง อมเม็ดเดียวไม่พอล่อไป ๓ เม็ดเลยจะได้รู้ พอหายใจเข้า แหม! มันเย็นชื่น มันต้องมีวิธีและก็ เคล็ดลับ บางอย่างท่ปี ระเภทดดั แปลงให้ได้ ถ้าไม่ได้สมาธิมันจะไม่ มั่นคง ลมหายใจเข้า-ออกเป็นตัวสร้างสมาธิที่ดีที่สุด เขาเรียก อานาปานสติ และอานาปานสติเป็นแม่บทใหญ่ เป็นพื้นฐานใหญ่ของ กรรมฐานทุกกอง พระพุทธเจ้าสอนว่า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ อานาปานสติรองรับได้หมด
      ถาม :  พอเรานั่งจับได้ตรงนี้ เกิน ๓ ครั้งแล้วก็หายไป
      ตอบ :  เริ่มต้นดึงกลับใหม่ เมื่อกี้อย่างที่บอกเด็ก ๆ เขา พอมันหายก็เริ่มต้นใหม่
      ถาม :  พี่ไก่บอกว่าไม่ต้องไปยุ่งกับมันอีกถ้ามันหายไป ก็เลยงงแปลว่าอะไร
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเป็นในลักษณะที่ว่า มันหายไปเพราะสมาธิทรงตัวเป็น ฌาน เราก็แค่รับรู้เฉย ๆ ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แต่คราวนี้คุณยืนยันว่ามันไม่ใช่ แน่ ก็ต้องกลับไปยุ่งกับมันใหม่ ถ้า ๓ ครั้งแล้วหายก็พยายามเอาครั้งที่ ๔ ให้ได้ เอาทีละแต้ม ๆ ขยับไปทีละกระเบียดไม่ต้องเอามาก คนอื่นเขา ก้าวไปทีละเมตรสองเมตรเราไม่ต้องไปยุ่งกับเขา เอาของเราทีละนิด ๆ นั่นแหละ มันจะเป็นการทดสอบความอดทนของเรา จะได้รู้ว่าขันติบารมี เราดีแค่ไหน เป็นการทดสอบความตั้งใจ สัจจบารมีของเราดีแค่ไหน เป็น การทดสอบความเพียรพยายาม คือวิริยะบารมีของเราดีแค่ไหน ถ้าทำได้ บารมี ๑๐ อยู่ในนั้นครบเลย
      ถาม :  ถ้าเราเถียงแม่ละคะ เราไม่เถียงตอบแต่แบบให้เขาบ่นอยู่คนเดียว แล้วอีกอันเราก็ไม่ได้คุยกับเขา เราบาปไหมคะไม่คุยกับเขา?
      ตอบ :  จำไว้ว่าเรื่องของบาป แปลว่า เราคิดชั่วด้วยใจ พูดชั่วด้วยวาจา ทำชั่วด้วยกาย ถ้าไม่ได้คิดจะต่อต้านท่าน เพียงแต่รู้ว่าเข้าใกล้โดนแน่ ๆ ก็เลยไม่เข้าไป ไม่ต้องไปพูด ไม่ต้องไปคลุกคลี อะไรมันก็ไม่เรียกว่า บาป เพราะเราไม่ได้ทำอะไร คนที่ทำคือแม่ต่างหาก แม่บรรเลงแล้วล่ะวจีกรรม เต็ม ๆ เลย ๒ รูหู
      ถาม :  เมื่อคราวที่แล้วกระผมได้กราบนมัสการถามเกี่ยวกับเรื่องของหมอดู ว่า คนที่เป็นหมอดู ๆ ดวงให้บุคคลต่าง ๆ ตามหลักวิชาการนั้นไม่มีโทษ มีคำกล่าวของพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งหลายล้วนมีใจเป็น ประธาน คำตรัสของพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อคนที่ไปดูดวงได้รับ ฟังคำทำนายทายทักของหมอดูว่า จะต้องเกิดอาเพทเหตุร้ายหรือเหตุ การณ์ต่าง ๆ อย่างนี้แล้ว ผู้ฟังคล้อยตามทำให้เกิดเหตุนั้นได้หรือไม่?
      ตอบ :  ถ้าหากว่าเชื่อแล้วไปมุ่งมั่นอยู่ในลักษณะที่ว่าเราต้องแย่แน่ ๆ เลย หมอดูเขาบอกว่าไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ เหตุที่ไม่ดีจะเกิดกับเราลักษณะ นี้มันเหมือนกับแช่งตัวเอง ไอ้ที่แช่งตัวเองนี่กำลังใจเข้มแข็งก็แย่เหมือนกัน เพราะว่าท่านบอกแล้ว มโนเสฏฐา มโนมยา-สูงสุดที่ใจ สำเร็จที่ใจ ที่ใจ เราไปคิดว่ามันไม่ดีมันก็เลยพลอยไม่ดีไปจริง ๆ เท่ากับเปิดโอกาสให้สิ่ง ไม่ดีมันเข้ามา เราไปคิดว่ามันไม่ดีมันก็เลยพลอยไม่ดีไปจริง ๆ เท่ากับเปิดโอกาสให้สิ่ง ไม่ดีมันเข้ามา
      ถาม :  และในเช่นเดียวกันถ้ามีบุคคลไปฟังคำทำนายหมอดู แต่ไม่ยอม รับคำทำนายนั้น ผลสะท้อนจะกลับไปยังหมอดูด้วยหรือไม่
      ตอบ :  ไม่กลับ แต่ว่าถ้าหากว่ากำลังใจเข้มแข็งจริง ๆ เป็นผู้มั่นคงใน ทาน ศีล ภาวนา จริง ๆ สิ่งที่ไม่ดีนั้นสามารถผ่านพ้นไปได้ อย่างเก่งก็เกิดขึ้นเพียง เล็กน้อยไม่หนักมากอย่างที่เขาบอก
      ถาม :  เมื่อบุคคลใดเชื่อฟังคำทำนายของหมอดูในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก ไม่ได้คิดถึงทำคุณงามความดี แต่คิดในเรื่องลาภ ยศ เงินทอง เพศ และคู่ครอง อย่างนี้การดูหมอจะเป็นการโต้แย้งในเรื่องของกฎของพระ พุทธเจ้าหรือไม่?
      ตอบ :  จะเรียกว่าโต้แย้งก็ใช่ แต่อย่าลืมว่าเขาเก็บสถิติกันมา แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความดีความชั่วอะไรนั้น คนที่ทำมาใกล้เคียงกันมันก็จะเกิดในวาระ ที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถที่จะยำใหญ่รวมขึ้นมาเป็นหลักสูตรของ หมอดูเขาได้ ดังนั้นถ้าหากว่าเขาชี้แล้วว่าต้องเป็นอย่างนั้น ๆ แล้ว เราพยายามทำปัจจุบันนี้ให้ดี มันก็สามารถที่จะผ่านพ้นสิ่งที่ไม่ดี นั้นไปได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่ากำลังใจจะเข้มแข็งพอไหมเท่านั้นเอง
      ถาม :  หลวงพ่อได้กล่าวในคำสอนว่า ผู้ที่ฝึกทิพจักขุญาณได้แล้ว ท่าน ว่าอย่าเป็นหมอดูอย่างนี้คนนี้
      ตอบ :  คือว่าท่านบอกว่าให้เป็นหมอดู ไม่ใช่อย่าเป็น
      ถาม :  ให้เป็นหรือครับ?
      ตอบ :  เออ! ท่านบอกว่าถ้าได้ทิพจักขุญาณแล้ว อย่างน้อยต้องเป็น หมอดูให้ได้ถึงจะนับได้ว่าใช้ได้
      ถาม :  วันนั้นไปฟังเทป ท่านบอกว่าอย่า ๆ เป็นหมอดู
      ตอบ :  คำว่าอย่าเป็นหมอดูของคุณ ๆ ใช้ผิด หลวงพ่อท่านบอกว่าอย่า ไปเป็นขี้ข้าใคร
      ถาม :  บุคคลที่รักธรรมชาติ ชอบและชื่นชมธรรมชาติ เวลาตายคิดถึง ความงามของธรรมชาติ ตายแล้วไปไหน?
      ตอบ :  ตายแล้วไปไหน ถ้านึกถึงป่า ตายแล้วเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่รู้ว่า ชอบธรรมชาติของคุณมีอะไรบ้าง?
      ถาม :  ภูเขา ต้นไม้ครับ
      ตอบ :  เสร็จแหง ๆ เขาเรียกว่า กรรมนิมิต คือ นิมิตบอกเหตุ คือถ้าเห็นป่าจะเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเห็นไฟจะเกิดเป็นสัตว์นรก ถ้า เห็นดินแดนแห้งแล้งอดอยากจะเกิดเป็นเปรต อสุรกาย ถ้าหากว่า เห็นก้อนเนื้อจะเกิดเป็นมนุษย์ ถ้าเห็นเทวดาอยู่หน้า-พรหมอยู่กลาง- พระอยู่หลังจะเกิดเป็นเทวดา ถ้าเห็นพรหมอยู่หน้า-เทวดาอยู่กลาง- พระอยู่หลังจะเกิดเป็นพรหม ถ้าหากว่าเห็นพระอยู่หน้า-พรหมอยู่กลาง- เทวดาอยู่หลังได้ไปนิพพานแน่ คราวนี้นิมิตอันนี้ดันไปจับอยู่กับป่า เขาลำเนาไพรเข้าก็มีสิทธิ์
      ถาม :  เวลาไปตามร้านค้าต่าง ๆ เจ้าของร้านมักจะตั้งรูปพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไว้ในร้าน ก่อนเปิดร้านก็จะทำการบูชาพระและตั้งใจอธิษฐานกับพระว่า ขอให้ขายของหรือสินค้าได้มาก ๆ อย่างนี้เป็นการสมควรหรือไม่?
      ตอบ :  สมควร เดี๋ยวเราอย่าเพิ่งเถียงกัน อธิบายก่อน สมควรก็คือว่าเรื่อง ของพระพุทธเจ้านี่ไม่ใช่ศาสนาแห่งการร้องขอ เป็นศาสนาของเหตุและ ผล ถ้าคุณสร้างเหตุเพียงพอคุณตั้งความปราถนาเอาไว้กับอะไร จะได้อย่างนั้น แต่ถ้าคุณสร้างเหตุไม่เพียงพออธิษฐานให้ตายมันก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้นลักษณะนั้นเป็นความตั้งใจของเขา ถ้าเหตุของเขาเพียงพอ เขาจะได้อย่างนั้น แต่ถ้าไม่เพียงพออธิษฐานไปเถอะลูกค้าไม่มาหรอกจ้ะ ต้องทำให้พอถ้าทำไม่พอมันไม่ได้
      ถาม :  ปัจจุบันยังมีคำสอนของพระพุทธองค์ที่อธิบายว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง-นิพพานมีสภาพสูญ ต้องการพระนิพพานเพื่อเข้าสู่ความดับ สูญของวิญญาณ ในขณะเดียวกันก็มีผู้ฟังและผู้ศึกษาเข้าใจว่าเป็นแบบ นั้น คนที่เข้าใจผิดมีผลเสียอะไรหนักหรือไม่?
      ตอบ :  อันนั้นถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าหากว่าตายจะมีอเวจีเป็นที่ไป เท่าที่ อาตมามีประสบการณ์เห็นคนที่สอนอย่างนี้ลงโลกันตร์ไปเลย ตอนแรก ก็สงสัยเพราะว่าโลกันตร์ที่โทษมันหนักหนาสาหัสมาก โอกาสที่คนจะลง มีน้อยมาก แต่วันนั้นลงไปบังเอิญเจออาจารย์ใหญ่ท่านไปอยู่ที่นั้น ก็ ถามว่าทำไมถึงลงโลกันตร์เพราะว่าโทษมันหนักเหลือเกิน มัน ๔ เท่า ของอเวจีถึงลงโลกันตร์ได้ ท่านบอกว่าท่านสอนคนเป็นมิจฉาทิฐิ คนเป็น ต้องตกอเวจีมหานรก กว่าจะไล่ครบทุกขุมตามกรรมที่เคยทำมา กว่าจะ เป็นเปรต กว่าจะเป็นอสุรกาย กว่าจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน กว่าจะเกิดเป็นคน มันนานเหลือเกิน ทำคนให้ห่างความดีได้เนิ่นนานขนาดนั้นและจำนวน มากขนาดนั้น โทษของเขาเลยหนักกลายเป็นลงโลกันตร์ไปเลย อันนี้ เป็นนิทานเฉย ๆ เล่าให้ฟังไปคุยมา ใครสอนว่านิพพานสูญก็ระวังไว้เถอะ
      ถาม :  ...................?
      ตอบ :  แต่จำไว้ว่ากรรมที่ทำให้สัตว์เกิดนั้นมีอยู่ ถ้ากรรมที่ทำให้สัตว์เกิด นั้นไม่มี ทำยังไงมันก็ไม่เกิด โพธิราชกุมารพยายามจะมีลูกแทบเป็นแทบ ตายมีไม่ได้ เพราะว่าไปทำกรรมหนักเอาไว้เลยมีลูกไม่ได้ ชาติหนึ่งแกเคย เป็นพ่อค้า ไปค้าขายทางเรือแล้วเรือแตกไปติดเกาะ เกาะมีนกอยู่เยอะ มัน ไม่เคยเจอคนมันก็ไม่หนี แกก็เก็บไข่นกกิน กินไข่นกจนหมดก็ยังไม่มีเรือ ผ่านมา แกก็เลยเก็บลูกนกกิน กินลูกนกจนหมดก็ยังไม่มีเรือผ่านมา แกก็ เลยฟาดพ่อนกแม่นกไปด้วย พระพุทธเจ้าก็เลยบอกว่าโพธิราชกุมารถ้า หากว่ากินเฉพาะไข่นก วัยหนุ่มสาวจะไม่มีลูกจะมีลูกวัยกลางคนกับวัย ชรา ถ้าหากว่ากินแค่ไข่นกกับลูกนก วัยหนุ่มสาวกับวัยกลางคนจะไม่มีลูก จะไปมีลูกวัยชราอย่างเดียว แต่นี่เขากินทั้งพ่อนกแม่นกไปด้วย ชาตินี้ยังไง ก็ไม่มีลูก
              เพราะกรรมที่ไปทำเขาถึงขนาดนั้นมันส่งผลให้พอดี ตกลงโพธิ ราชกุมารก็เลยไม่มีลูก แกนิมนต์พระพุทธเจ้าไปแล้วก็ปูผ้าขาวตลอดทาง ตั้งแต่ประตูวังจนถึงพระราชฐานชั้นใน อธิษฐานว่าถ้าแกจะมีลูกขอให้พระ พุทธเจ้าเหยียบผ้าขาวอันนี้ พระพุทธเจ้าไปถึงสั่งพระอานนท์รื้อหมดเลย แล้วก็บัญญัติเอาไว้ว่าห้ามภิกษุเหยียบบนผ้าขาวตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา กลัวเขาอธิษฐานไว้