ถาม:  ............................. ?
      ตอบ:   เรื่องยันต์เกราะเพชร แล้วโดนสัตว์พิษกัดหรือต่อย เท่าที่ประสบการณ์มากับตัวเองก็มีหลายอย่างเหมือนกัน ถ้าพวกต่อพวกอะไรมันต่อยนี่มันจะเป็นวงอยู่ประมาณเหรียญบาท ไม่ไปไหนหรอก แล้วก็คันอย่าบอกใครเลย คือพิษมันจะเริ่มออกตามผิวหนัง ที่โบราณบอกว่ามันเป็นลมน่ะ แล้วก็ตะขาบเหมือนกันเคยโดนกัด
              ตอนนั้นยังอยู่วัดท่าซุงกลางคืนก็พายเรือไปตีกับชาวบ้านเขา วันนั้นฝนตกพรำ ๆ ตะขาบมันลงไปอยู่ในเรือก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เราไปถึงก็นั่งทับมันเลย พอนั่งทับมันก็กัดตรงใต้ขาอ่อน บวมเป็นก้อนเท่ากำปั้น แล้วก็คันอย่าบอกใครเพราะว่าพิษมันจะออก แต่ว่าถ้างูกัด เท่าที่เคยโดนพอมันกัดแล้วมันจะวิ่งขึ้นเป็นเส้น เรารู้เลยว่าพิษมันไปถึงไหน แต่ว่ามันจะไปแค่ข้อศอก ส่วนใหญ่โดนกันที่มือ ๔ ครั้ง โดนที่มือหมด พอวิ่งถึงข้อศอกแล้วก็ถอย วิ่งถึงข้อศอกแล้วก็ถอย ไม่ใช่ไม่ปวดนะ ปวดเอาเรื่องเลยล่ะ แต่ว่ามันจะขึ้น ๆ ลง ๆ สัก ๓-๔ ครั้ง แล้วก็หายไปเฉย ๆ เหมือนกับมันโดนยันอยู่แค่ข้อศอกขึ้นต่อไม่ได้ แต่ว่าพวกตะขาบกับต่อที่โดนมันจะอยู่กับที่ ไม่ไปไหนเลย เป็นวงอยู่อย่างนั้นน่ะ
      ถาม :  ฝึกมโนมยิทธิตั้งนานแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามันถูกต้องได้เรื่องไหม หรือว่ายังไงไม่ทราบ ?
      ตอบ:   ก็เคยแนะนำเสมอว่า ถ้าใครมั่นใจในมโนมยิทธิ ให้ทดสอบกับสิ่งที่สามารถพิสูจน์ในระยะสั้น ๆ ได้ อย่างมวยมันชกกัน กำหนดใจดูว่ามันแพ้ชนะกันยังไง ถ้าน็อคมันน็อคกันยกไหนอย่างนี้ เดี๋ยวมวยจบเราก็รู้แล้วว่าผลมันเป็นจริงหรือเปล่า
              แต่ว่าสมัยที่หัดอยู่ หลวงพ่อท่านไปนั่งข้างถนนเลย หลับตาทำใจสบาย ๆ รถมา ให้ถามว่ารถสีอะไร ถ้าตอบถูกก็ให้จำอารมณ์นั้นไว้ ถ้าตอบผิดไม่ต้องจำ ทำอย่างนั้นบ่อย ๆ จนกระทั่งถูกสัก ๘ ใน ๑๐ คัน ก็เริ่มเพิ่มรายละเอียด รถมาสีอะไร คนนั่งมากี่คน พอทำไปเรื่อย ๆ มันคล่องตัว ผู้หญิงกี่คน ผู้ชายกี่คน เสื้อผ้าสีอะไร รถทะเบียนอะไรบอกได้หมด พิสูจน์กํบสิ่งที่พิสูจน์ได้ระยะสั้น ๆ
      ถาม :  วัดท่าซุงเขามีบวช แล้วธุดงค์ ฝึกอภิญญาใหญ่ ไปทีไรนอนหงายเก๋ง ไม่ได้เรื่องสักที ?
      ตอบ:   อยากเกินไป มีอยู่ ๒ อย่าง คือ อยากเกินไป กับกลัวเกินไป ใจของเรานี่ถึงเวลามันจะกลัวเองโดยธรรมชาติของมัน เราต้องตัดสินใจเองให้ได้ ไอ้ที่บอกไม่กลัว ๆ อย่างดีแค่ตาย ถึงเวลามันจะเสียวลึก ๆ ในอก ในเมื่อมันเสียวลึก ๆ ในอก จิตมันจะดึงตัวเองไว้โดยอัตโนมัติ คือข้างในมันจะออก อีกใจหนึ่งก็ไปรั้งมันเอาไว้ บางคนก็เลยเกิดอาการดิ้นปั๊บ ๆ ๆ ๆ คือมันออกกะเข้ามันก็รั้งกันไปรั้งกันมา อาการมันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นต้องทำใจไม่กลัวจริง ๆ ให้ได้ คิดว่าตอนนี้เราทำความดีอยู่ถ้ามันจะตายก็ช่างมัน ตายเป็นตาย อย่างนั้นจะไปได้ง่าย เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าจะไปฝึกอภิญญาใหญ่ จะไปฝึกอะไร วิธีที่ง่ายที่สุดคือพิจารณาตัดร่างกายให้มันชิน ถ้ามันชินแล้วมันจะไปง่าย
      ถาม :  (ไม่ชัด) ?
      ตอบ:   อีกตัวหนึ่งก็คือว่า เราอยากมากเกินไปมันก็ไปไม่ได้ ก่อนภาวนาให้เราตั้งใจว่าจะไปนิพพาน เสร็จแล้วให้ลืมความตั้งใจนั้นเสีย ภาวนาอย่างเดียว ถ้าเรายังไปยึดความตั้งใจอยู่เท่ากับว่าเราไปกดตัวเองไว้ มันไปไม่ได้หรอก ฟังดูแปลก ๆ นะ คือถ้าเราอยากมันจะไม่ได้ ก็เลยว่า พอเราตั้งใจแล้วให้เราลืมตัวนั้นเสีย เรามีหน้าที่อย่างเดียวคือภาวนาไป แล้วมันจะได้เอง เราภาวนาอะไรจะเกิดขึ้นไม่ต้องไปใส่ใจกับมัน ไม่ต้องไปว่าขณะนี้ดิ้นแล้ว ขณะนี้ล้มแล้ว ไม่ต้อง
              ถ้าหากว่าไปไล่จี้มันอยู่อย่างนั้น มันจะไปไม่ได้ เอาแค่ง่าย ๆ ว่าเรามีหน้าที่ภาวนา อะไรเกิดขึ้นก็ช่างมัน ไปได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็เรื่องของมัน ไปได้ก็กำไร ไม่ได้ก็เสมอตัว เรื่องของนักปฏิบัติทุกอย่างมันจะเป็นปฏิภาคผกผันประหลาด ๆ ถ้าอยากจะไม่ได้ คือการปฏิบัติทุกระดับชั้นต้องมีตัวอุเบกขา ถ้าไม่มีตัวอุเบกขาจะไม่เข้าถึงอารมณ์ที่แท้จริง ตัวอุเบกขาก็คือช่างมัน จะเป็นอย่างไรก็ได้ ถ้าเราไปทำด้วยความอยากมันจะไม่เป็นมันจะไม่ได้ ต้องช่างมันเป็นยังไงก็ตามใจมัน
      ถาม :  เรื่องพระ เขาบอกให้มาถามหลวงพี่ ?
      ตอบ:   อ๋อ นี่ที่โบราณเขาเรียกว่า เมฆพัด แต่ว่าสมัยนี้เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหล มันไม่ใช่โบราณจะมีเมฆสิทธิ์กับเมฆพัด อันนี้เป็นเมฆสิทธิ์
              สมัยก่อนของหลวงปู่นาค วัดห้วยจระเข้ นครปฐม ท่านจะทำอย่างนี้ เป็นการเล่นแร่แปรธาตุอย่างหนึ่ง เนื้อเมฆพัดจะออกสีน้ำเงิน อย่างนี้ เนื้อเมฆสิทธิ์จะออกเขียวอมเหลือง จะมีอยู่ ๒ เนื้อด้วยกัน
              สมัยนี้เขาบอกว่าเป็นเหล็กไหลกันหมด ก็ถือว่าเป็นเหล็กเหลวไหลแล้วกัน พวกเล่นแร่แปรธาตุเขาเอาความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของเนื้อโลหะเนื้อมวลสารเป็นหลัก คือถ้าที่อื่นเขาจะบอกว่าเป็นเหล็กไหล ไม่ใช่หรอกจ้ะ เหล็กไหลถ้าเข้ามาไฟดับหมด ไฟฟ้าที่อยู่รัศมีนั้นจะดับหมด ความร้อนทุกอย่างที่อยู่ในรัศมีนั้นจะโดนทำลายหมด หย่อนลงในน้ำเดือด ๆ ยกซดได้เลย มันเย็นยังกะเพิ่งออกจากตู้
      ถาม :  ........................... ?
      ตอบ:   วิธีนี้เกี่ยวกับเรื่องการค้า เขาจะใช้เสกธง เสกกลอง ให้พวกที่เกี่ยวกับการเต้นกินรำกิน อย่างเช่น พวกโขน พวกลิเก พวกรำวง เขาจะใช้วิธีเสกกลอง ถ้าตีคนได้ยินเสียงจะต้องมา ถ้าหากว่าเสกธงคนเห็นธงจะต้องมา ฉะนั้นตำรานี้มีจริง ๆ แล้วเขาทำได้ผลมาจริง ๆ เพียงแต่ว่าถ้าหากว่ามันเหนื่อยมากก็อย่าไปเคาะมันบ่อยก็แล้วกัน
      ถาม :  พอสู้พอทนแต่เวลาใช้ หนูไม่ได้ตั้งนะโมเลย
      ตอบ:   เอาแค่นั้นพอ ใช้ด้วยความมั่นใจมันก็ใช้ได้
      ถาม :  หลวงตาถามหาหลวงพ่อค่ะ ถามว่าเจอหลวงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ หลวงพ่อจะมีจะฝากถึงหลวงตาไหมคะ ?
      ตอบ:   จะฝากเงินก็กลัวจะขนไม่หมดก็เลยใช้เอง บอกหลวงตาแบบนั้นนะ บอกว่าหลวงพ่อฝากเงินมาหนูขนไม่หมดก็เลยทิ้งให้หลวงพ่อใช้เอง
      ถาม :  หลวงตากำลังสร้างเรือนไทยค่ะ เรือนแม่ เรือนพ่อ สร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ของหลวงพ่อฤๅษี เอาเตียงที่ท่านนอนมาจัดไว้
      ตอบ:   บอกท่านด้วยก็แล้วกันว่าสมบัติของหลวงพ่อมีเยอะ ถ้าเสร็จแล้วให้บอกด้วยจะบริจาคให้
      ถาม :  ..............................................
      ตอบ:   เรื่องของการปฏิบัติ ทำอะไรมาให้ทำอย่างนั้น เพียงแต่ว่าทำให้พอดี มากเกินไปหรือน้อยเกินไปก็ไม่ได้ จดุสำคัญที่สุดก็คือต้องทำให้ต่อเนื่อง ส่วนใหญ่พวกเราทำพอถึงเวลาเลิกก็เลิกเลย ขาดการรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่อง ความก้าวหน้าจะไม่มี พอถึงเวลากิเลสคือ รัก โลภ โกรธ หลง มันจะเอาไปรับประทานเสีย การปฏิบัติเราจะทิ้งไม่ได้ พอถึงเวลาเราลุกขึ้นแล้วอารมณ์ใจขณะที่เราปฏิบัติมั่นคงขนาดไหนแล้วรักษาให้ต่อเนื่องยาวนาน ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้
      ถาม :  แต่ละวันที่ทรงอารมณ์ไว้ ถูกต้องใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:   เอาศีลเป็นเครื่องวัด ถ้าหากว่าตราบใดที่เราไม่ออกนอกกรอบของศีลนี่ยังถูกต้องอยู่ แต่ว่าส่วนของรายละเอียดจะมีมากกว่านั้น ถึงเวลาทำไป แล้วจะต้องแก้ไขเป็นลำดับ ๆ ไป ยึดศีลเป็นหลัก ถ้ายังอยู่ในกรอบของศีลอยู่ถือว่ายังใช้ได้ อย่าเป็นกันเองกับศีลชนิดที่เรียกว่าละเมิดเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างนี้ไม่เอา
      ถาม :  พอดีมีคนบอกว่าผมปรารถนาพุทธภูมิไว้ ไม่ทราบว่าอย่างนี้ถ้าเกิดจะลาจะต้องทำอย่างไรครับ ?
      ตอบ:   การลาพุทธภูมิ ลาที่หน้าหิ้งพระ หน้าพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ ให้ใช้ดอกบัวขาว ๕ ดอก เทียนขาว ๕ เล่ม ธูป ๕ ดอก ตั้งใจจุดบูชาพระ ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วอธิษฐานต่อหน้าพระว่า ถ้าหากว่าตัวข้าพเจ้าเคยตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณตั้งแต่ชาติใดก็ตาม บัดนี้ขอลาซึ่งความปรารถนาอันนั้น จะตั้งใจปฏิบัติตามธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ในชาติปัจจุบันนี้
      ถาม :  ตอนนี้ก็หันมาฝึกมโนครับ มีเรื่องของการวัดอารมณ์ด้วยอุปทานนี่เราจะสังเกตอย่างไรได้บ้าง ?
      ตอบ:   เขาให้พิสูจน์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะสั้น ๆ อย่างเช่นว่า บอลคู่นี้เตะใครจะชนะ แพ้ชนะกันเท่าไหร่ มวยคู่นี้ชกใครจะชนะ ๆ กันแบบไหน ชนะน็อคหรือชนะคะแนน เทนนิสคู่นี้ตีกันใครจะชนะ
              ในสมัยที่ฝึกอยู่ หลวงพ่อจะให้นั่งข้างถนนเลย ถึงเวลารถมาให้ทำเป็นสบา ยๆ กำหนดใจให้นึกว่ารถมาสีอะไรมันจะได้คำตอบขึ้นมา แล้วก็ลืมตาเดี๋ยวนั้นเลย เพราะว่าแป๊บเดียวมันก็มาแล้ว ถ้าหากว่าถูกต้องให้จำอารมณ์นั้นไว้ถ้าผิดไม่ต้องจำ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ จนกระทั่งถูกสัก ๘ คันใน ๑๐ คัน ก็ใส่รายละเอียดเพิ่มขึ้นไป รถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คน รถมาสีอะไรคนนั่งมากี่คนผู้หญิงเท่าไหร่ ผู้ชายเท่าไหร่ แต่ละคนใส่เสื้อผ้าสีอะไร ทะเบียนรถหมายเลขอะไร อย่าลืมว่าถ้าถูกให้จำ ถ้าผิดไม่ต้องจำ พักเดียวมันก็จะรู้อารมณ์ที่ถูกต้อง มันวางอยู่จุดไหน และหลังจากนั้นก็จะได้รับคำตอบที่ถูกต้องไปเรื่อย ๆ เราจะเกิดความมั่นใจตัวเองขึ้นมาเอง
      ถาม :  บางทีเหมือนกลัวว่าจะถามจะเหมาะสมหรือเปล่า ส่วนใหญ่จะถามบารมี
      ตอบ:   ท่านอนุญาตให้กวนอยู่แล้ว
      ถาม :  ได้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:   ท่านสามารถสงเคราะห์คนเป็นแสนเป็นล้านได้พร้อม ๆ กัน ไม่ถือเป็นการรบกวน ถ้าเกรงว่าจะเป็นการรบกวนต้องบอกว่าท่านเต็มใจให้กวนอยู่แล้ว
      ถาม :  คงมีคำถามเท่านี้แหละครับ
      ตอบ:   จ๊ะ เชิญตามสบาย ตั้งใจทำไป พยายามซ้อมบ่อย ๆ มโนมยิทธิทำแล้วทิ้งไม่ได้ ทิ้งเมื่อไหร่มันจะเฝือ ต้องเป็นคนขยัน กรรมฐานทุกอย่างต้องเป็นคนขยันรักษาอารมณ์ให้ต่อเนื่องผลจะเกิดเร็ว ถ้าไม่ขยันช่วยไม่ได้จ้ะ
      ถาม :  ถ้าเลี้ยงปลาก็คือ ถ้าตายจากความเป็นคน ถ้าไม่เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าก็จะอยู่ในวิมานคือ โดนกั้นอาณาเขตไม่ให้ออกไปไหนอย่างนี้ ถ้าเราเลี้ยงปลาบ่อใหญ่ ๆ จะมีผลอย่างไร ?
      ตอบ:   เอาอย่างนี้นะ มีผลเหมือนกัน การเลี้ยงสัตว์โดยการกักขังเขาเอาไว้ ต่อให้เลี้ยงเขาอยู่สุขสบายขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราไม่เคยสร้างบุญอื่นไว้เลย ถึงวาระถึงเวลาผลบุญตัวนี้ให้ผลเราจะไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต ไม่ใช่เทวดาแต่เป็นเปรตประเภทหนึ่ง เป็นเปรตที่มีทิพยสมบัติเหมือนเทวดา มีสภาพร่างกายเหมือนเทวดานางฟ้าทั่วไป เพียงแต่ว่าโดนจำกัดเขตอยู่นอกวิมานไม่ได้ โผล่ออกไปเมื่อไหร่กงจักรฟันหัวขาด มันรออยู่
              หมายความว่าเราไม่เคยทำบุญอื่นไว้เลย แต่ว่าเราทำบุญอยู่คือตัวเมตตา บารมีที่เราเลี้ยงให้เขาได้รับความสุขสบาย มันจะเสริมบุญส่วนอื่นของเราให้ได้ดีกว่าเดิม ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปกักขังเขาเลย สงสารเขาเถอะ มันอยู่สบายแค่ไหนก็ไม่เหมือนธรรมชาติของเขาหรอก
      ถาม :  อย่างกรณีที่วันตรุษจีนเวลาถ้าเราซื้อเป็ดซื้อไก่ ผิดศีลข้อ ๑ อยู่แล้ว แต่กรณีที่เรารู้ว่าร้านนี้เขาขายเป็ดขายไก่วันตรุษจีนอย่างนี้ เราไปสั่งเขา ๆ ก็ไปซื้อของเขามาเอง เราจะบาปไหมคะ ?
      ตอบ:   ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ไปถึงมันก็มีรออยู่บานเลย ถามว่าบาปไหม ขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ห้ามเลย ท่านบอกว่าถ้าเป็นปวัตตมังสะ คือเนื้อที่เขาขายเป็นปกติอยู่แล้ว ภิกษุฉันได้เพราะถึงเวลาเราไม่ได้ซื้อเขาก็ฆ่าอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นอุทสมังสะ คือเขาเจาะจงฆ่าเพื่อเรา ท่านบอกว่าถ้ารู้ว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้าเห็นว่าเขาฆ่าเพื่อเรา ถ้ารังเกียจว่าเขาฆ่าเพื่อเราปรับทุกคำที่กินอันนี้ของพระถ้าของฆราวาสเบากว่าเยอะ เราอย่าไปสั่งก็แล้วกันถึงเวลาตรุษสารทวางขายบานเบอะอยู่แล้ว ไปซื้อร้านไหนก็ได้ที่เขาเชือดไว้เรียบร้อยแล้ว
              มีอยู่ปีหนึ่งอยากรู้ว่าตรุษสารทแต่ละปี สัตว์จะตายมากเท่าไหร่ ก็ตั้งใจไปดูที่ตำหนักพระยายม เจ้าประคุณเถอะไม่ต้องนับกันเลยเป็นล้าน และที่แปลกใจมากก็คือมีวัวเยอะมาก มีวัวมีแพะเยอะมาก เอ๊ะ! เราก็แปลกใจวัวกับแพะมันเกี่ยวอะไรกับตรุษจีนว่ะ ต้องมาตายกับเขาด้วย ปรากฎว่าจริง ๆ แล้วมีคนจีนอยู่จำนวนมหาศาลที่เขากินวัวกินแพะเป็นปกติ พวกนี้จะอยู่ด้านมณฑลซินเกียงของจีน มณฑลซินเกียงใหญ่ประมาณ ๕ เท่าของประเทศไทย และ ๕ เท่าของประเทศไทยคนจะมีสักเท่าไหร่ ตีเสียว่าคนมี ๕ เท่าด้วย ก็คงประมาณ ๓๐๐ ล้านคน และมณฑลซินเกียงจะเป็นพวกเผ่าที่นับถืออิสลาม พวกเขาจะกินวัวกินแพะกินแกะเป็นปกติอยู่แล้ว
              แต่คราวนี้ตรุษสารทก็เยอะหน่อย ตอนแรกเห็นแล้วงงมากมันมีวัวมีแพะได้อย่างไร คนจีนเขาไม่กินวัวเราก็รู้ ส่วนใหญ่นับถือเจ้าแม่กวนอิมใช่ไหม ที่ไหนได้ฟาดกันเพลินเลย
              อาตมาเองมีเวรมีกรรมอยู่อย่างหนึ่ง ถ้าซื้อรถเมื่อไหร่ ทำพิธีบวงสรวงรับรถแล้วเลขทะเบียนมักจะออก คราวที่แล้วพอซื้อป้ายแดง ออกไป ๒ งวด มางวดนี้พอป้ายดำติดเข้าไปพี่มุกดาฟาดไปงวดหนึ่งแล้ว เขาได้เลขท้ายไปคู่หนึ่ง ๙๔ สังเกตมาตลอดทั้ง ๓ คัน ถ้าทำพิธีบวงสรวงรับเมื่อไหร่มันออกตั้งแต่ป้ายแดงเลย จะวนไปวนมาในกลุ่มนั้นแหละ จนกว่าจะเปลี่ยนป้าย ถ้าอยากรู้ไปเดินดูเอาว่าทะเบียนรถ รถเป็นสีน้ำเงินเข้ม ตอนเป็นป้ายแดงมันดูสวย พอใส่ป้ายขาวไปแล้วรู้สึกโล้นไปเลย มองไม่เห็น ป้ายไม่เด่น รถ ๔ ประตูเขาจะตีทะเบียนเป็นรถนั่งส่วนบุคคลก็เลยเป็นป้ายรถเก๋ง ป้ายรถเก๋งจะขาวดำ ถ้าป้ายรถปิคอัพจะสีเขียวขาว
              เพราะฉะนั้นใครซื้อรถปิคอัพ ๔ ประตูแล้วเจอทะเบียนแพง ๆ อย่ากระโดดนะ เพราะเขาตีทะเบียนรถคุณเป็นรถเก๋ง ของอาตมาจริง ๆ จะโดน ๘,๐๐๐ บาท แต่เราสั่งเขาแค่เครื่อง ๒,๕๐๐ สมัยนี้เขานิยมเล่นเครื่อง ๓,๐๐๐ กัน
      ถาม :  คนที่เขาได้ลาภบ่อย ๆ เขาทำบุญอะไรคะ ?
      ตอบ:   เรื่องลาภการพนันเกี่ยวกับหวย เกี่ยวกับการทำบุญโดยไม่ได้ตั้งเจตนาไว้ก่อน ไปเห็นกองบุญการกุศลที่ไหนก็ร่วมทำกับเขาไปเลย ถ้าคนทำบุญโดยตั้งเจตนาไว้ก่อนถ้าไปเกิดใหม่นี่มันไม่ต้องรอหวย มันรวยเลย มันต่างกัน
      ถาม :  ...................................
      ตอบ:   สาธุ ขอให้อยู่คนเดียวเร็ว ๆ นะจ๊ะ แฟนเขาจะไปบวช ระวังเถอะ หลอกเขาบ่อย ๆ เดี๋ยวเขารำคาญเขาบอกไปเลย เอาแค่พอดีพอควร ผู้ชายบางประเภทไม่ชอบให้ใครไปปั้นเล่น ปั้นเขาเล่นบ่อย ๆ เดี๋ยวเขาทิ้งเอาแค่พอเหมาะพอควร เรื่องของผู้หญิงจริตมารยานี่เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะว่าธรรมชาติเขาสร้างมาให้เป็นอย่างนั้น เพียงแต่ว่าอย่าใช้มันมาก ผู้ชายบางประเภทเขาไม่ชอบ โดยเฉพาะอาตมาดัดจริตมาก ๆ เดี๋ยวไล่ตะเพิด มีอะไรว่ากันตรงไปตรงมา
              สมัยก่อนบวชพวกเพื่อนผู้หญิงจะรู้มีอะไรจะสอนให้เขาพูดกันตรง ๆ ถึงวาระถึงเวลาว่ากันตรง ๆ จะทำให้ทุกอย่างมันเคลียร์กันง่าย มีอยู่เที่ยวหนึ่งเซ็นทรัลลาดพร้าวเพิ่งเปิดใหม่ ๆ ก็ธรรมดาของยุคนั้นอะไรใหม่ก็ต้องไปลอง ก็ไปซื้อของกัน สาวเขามีหน้าที่ซื้อ เราก็มีหน้าที่จ่ายกับหิ้ว หิ้วไปหิ้วมาเยอะขึ้น ๆ มันก็ต้องหอบ พอทั้งหอบทั้งหิ้วไปพักหนึ่ง มันเกิดความรู้สึกว่านี่เรากำลังทำอะไรอยู่ ทำไมเหลวไหลอย่างนี้ บอกไม่ถูกหรอกตอนนั้นมันเบื่อโลกสุดขีดเลย ไม่นึกว่านิพพิทาญาณจะไปเกิดกลางห้างอย่างนั้น
              แต่ผู้หญิงความรู้สึกไวมาก เขาถามว่าพี่เป็นอะไร ก็บอกว่าเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้เบื่อหน้าเธอฉิบหายเลย ก็บอกแล้วว่าสอนให้พูดตรง ๆ เขาบอกถ้าอย่างนั้นก็กลับ ไม่นึกว่ามันจะไปเกิดบนห้างเบื่อสุดขีด ความรู้สึกตอนนั้นถ้ามุดดินหนีลงไปได้ก็ไปเดี๋ยวนั้นเลย รู้สึกตัวเองเหลวไหลไร้สาระสิ้นดีเหมือนกับว่าความตายมันจี้มาติดหลังแล้ว ยังนั่งเอ้อระเหยลอยชายอยู่อย่างนั้น แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็บวช
      ถาม :  ถ้าเราทำอะไรแล้วอยู่ดี ๆ มันเกิดความเบื่อขึ้นมา เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ตอนนั้นเป็นนิพพิทาญาณ
      ตอบ:   จริง ๆ ความเบื่อทุกชนิดจัดเป็นนิพพิทาญาณ เพียงแต่ว่าเป็นนิพพิทาญาณแท้แค่ไหนเท่านั้นเอง ถ้าหากว่าเป็นการเบื่อในร่างกาย เบื่อในโลกนี้ จะเป็นนิพพิทาญาณแท้ ความเบื่อจริง ๆ เป็นของดี ถ้าเราไม่เบื่อก็ยังไม่เข็ดกับทุกข์ ต้องเบื่อให้ถึงที่สุดจะได้รู้สึกกลัว รู้สึกเข็ด แล้วจะได้ไม่ไปยุ่งกับมันอีก แล้วอีกอย่างหนึ่งนิพพิทาญาณเป็นกำลังของอนาคามี ถ้าไม่เบื่อก็ยังเกาะโลกอยู่ อนาคา หมายถึงผู้ไร้บ้านเรือน ไม่ต้องการจะสร้างโลกอีกแล้ว ถ้าหากว่าถึงเวลานั้นถึงวาระถ้าตัวนิพพิทาญาณมันทรงตัวอยู่ได้ต่ำ ๆ ก็ต้องเป็นพระอนาคามี
      ถาม :  อย่างนี้ต้องฝึกเบื่อทุกวันใช่ไหมคะ ?
      ตอบ:   ก็พยายามเลยล่ะ ให้รู้แจ้งเห็นจริงตามไม่จำเป็นต้องไปฝึกเบื่อ ถ้ารู้แจ้งเห็นจริงจะเบื่อของมันเอง ถ้าหากปัญญาถึงจากเบื่อจะเป็นปล่อยวาง ถ้าปล่อยวางจนเป็นสังขารุเปกขาญาณ ที่เบื่อตอนนั้นของเราเบื่อในลักษณะไปแบกมันไว้ ในเมื่อแบกมันไว้มันรับความรู้สึกนั้นเต็ม ๆ ตอนนั้นอยากมุดดินหายไปใต้โลกเลย
      ถาม :  แล้วรู้สึกเศร้าหมองไหมคะ ?
      ตอบ:   จะเรียกว่าเศร้าหมองก็ไม่ใช่ แต่เบื่อสุดขีดจริง ๆ ประเภทเห็นอย่างมันเหลวไหลไร้สาระไปหมด ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารสักอย่างเดียว โดยเฉพาะประเภทที่ต้องมานั่งจ่ายเงินอะไรก็ไม่รู้ หอบของเบ้อเริ่มเลย ความรู้สึกเหมือนกับตัวเองหอบขยะเหม็น ๆ เอาไว้ อธิบายไม่ถูกไปเจอเองแล้วจะรู้ คำพูดคนมันมันอธิบายธรรมะจริง ๆ ไม่ได้ว่าคำพูดรหือตัวหนังสือมันหยาบเกินไป ลองดูเถอะแล้วจะรู้เอง ไปวิปัสสนาญาณ ๙จริง ๆ ก็มาสำคัญตรงที่นิพพาทาญาณกับสังขารุเปกขาญาณ ถ้าสามารถจับตัวท้าย ๒ ตัวนี้ได้ตัวอื่นไม่ต้องจับเลยก็ได้
      ถาม :  หนูเบื่อนะคะ แต่ไม่ถึงกับปล่อยวาง
      ตอบ:   เรารักษาไม่อยู่จริง ๆ ก็คือว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้เราเบื่อ สร้างเหตุอันนั้นมันก็จะเบื่ออีก ถ้าหากเราสามารถสร้างเหตุให้มันต่อเนื่องก็จะเบื่อยาว คราวนี้ถ้าเบื่อยาวถ้าปล่อยได้ก็สบายเลย
      ถาม :  แล้วมันเบื่อจนกลัวการเกิดมาก กลัวว่าถ้าต้องเกิดอีกมันไม่ไหวจริง ๆ
      ตอบ:   อันนั้นเป็นภยตูปัฏฐานญาณ เห็นว่ามันเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นว่าเป็นของน่ากลัว
      ถาม :  แต่แปลกนะคะ ตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นอยู่ดี ๆ ก็ไม่รู้คิดอะไรขึ้นมา ไปตั้งจิตอธิษฐานบอกตัวเองว่าถ้าหากวันใดที่ลูกตายขอทำลายดวงวิญญาณไม่ให้มีการเกิดอีก คิดอย่างนั้นตั้งแต่เด็ก
      ตอบ:   ไม่ต้องห่วง ถึงเวลามันทำลายของมันเองแหละ วิญญาณคือประสาทความรู้สึกของร่างกาย ตายมันตายแค่วิญญาณ ในความคิดของเรามันคือจิต ไม่ใช่จิต วิญญาณในบาลีแปลว่าประสาทร่างกายเท่านั้น
      ถาม :  ที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไรคะ ?
      ตอบ:   ของเก่าตุนมาเยอะ ในเมื่อของเก่าตุนมาเยอะ ถึงวาระถึงเวลามัน ก็คิดดูว่าอายุอย่างเรามาเข้าวัด เพื่อน ๆ ว่าบ้าแล้วใช่ไหมล่ะ แต่คราวนี้ของเก่าตุนมาเยอะ อายุเป็นเพียงอายุร่างกาย ไม่ใช่กำลังบุญกำลังความดีที่สั่งสมมา
      ถาม :  .........................?
      ตอบ:   ทุกอย่างไม่เที่ยงจ้ะ จากเด็กเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ เป็นเด็กโต จากเด็กโตก็เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว จากหนุ่มจากสาวก็เป็นวัยกลางคน จากวัยกลางคนก็เป็นคนแก่ พอสิ้นสุดสภาพก็ตาย คราวนี้ไม่ได้แก่แล้วตาย ตายเมื่อไหร่ไม่ได้บอกด้วย เด็ก ๆ ก็ตายได้ วัยรุ่นก็ตายได้ เป็นหนุ่มเป็นสาวก็ตายได้ วัยกลางคนก็ตายได้ ชราแล้วก็ตายได้ ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายแล้ว หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายเหมือนกัน
              เพราะฉะนั้นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสถามว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ เธอคิดถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ที่เป็นพระโสดาบันแล้ว ท่านบอกประมาณ ๗ ครั้งพระพุทธเจ้าข้าฯ พระพุทธเจ้าบอกว่า อานันทะดูก่อนอานนท์ ยังห่างเกินไป ตถาคตคิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก สติท่านละเอียด ทุกลมหายใจท่านรู้อยู่ ถ้าขาดลงเมื่อไหร่ตายเมื่อนั้น
              ในเมื่อความตายอยู่ใกล้เราขนาดนี้ ทุกวันนี้เราได้ตั้งใจทำความดีเต็มที่แล้วหรือยัง ? ถ้าตายลงตอนนี้ จิตของเรามีอะไรเป็นที่ยึด เป็นที่เกาะเป็นที่ไป ต้องคอยถามตัวเองอยู่เสมอ ตื่นเช้าขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว แล้วลองถามตัวเองดูว่า คนที่เรารักมีไหม ? ของที่เรารักมีไหม ? ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ มีไหม ? มีแน่นอนทุกคน แล้วถามตัวเองดูว่า ถ้าตายตอนนี้ห่วงไหม ? ให้ตอบจากใจจริง ๆ นะ ไม่ใช่ตอบเพราะรู้ว่าตอบอย่างนั้นถึงจะถูก ให้ตอบจากใจจริง ๆ ว่าไม่ห่วง แล้วถามตัวเองว่าแล้วจะไปไหน ? ถ้าบอกว่าไปนิพพาน ก็จับอารมณ์นั้นต่อไปเลย จับอารมณ์ที่ว่าไปนิพพานนั่นแหละ
              ในเมื่อเกาะตรงจุดนั้นก็ภาวนาต่อไปเลย จนอารมณ์ใจทรงตัวมั่นคง ตั้งใจไว้เลยว่า เราจะไปทำหน้าที่การงานประจำวันของเราแล้ว ถ้าหากวันนี้หมดอายุขัยหรือถึงแก่ความตาย ด้วยอุบัติเหตุอะไรก็ตาม เราขอไปอยู่พระนิพพานที่เดียว ทำไว้ทุกวัน ไม่ต้องมากหรอก วันหนึ่งแค่ ๕ – ๑๐ นาทีก่อนไปทำงานก็พอ พอถึงเวลากลางคืน หมดธุระทุกอย่างแล้ว เหนื่อยมามาก กราบพระสวดมนต์ได้ก็เอานิดหน่อย ทำมากไม่ได้หรอก ง่วง อยากนอน เหนื่อยแล้ว ถึงเวลานอนลงก็ตั้งใจว่า ขณะนี้ร่างกายของเราเหยียดยาวลงไปแล้ว ก็เหมือนกับคนตายดี ๆ นี่เอง ถ้าหากตายโดยไม่ได้เห็นตะวันขึ้นก็เป็นเรื่องของมันเถอะ ตายตอนนี้เราขอไปพระนิพพาน เอาจิตเกาะพระนิพพานแล้วภาวนาให้หลับไป ไม่ต้องมากหรอก ทำแค่นี้แหละ
              หลวงพ่อบอกว่า ถ้าจิตยึดมั่นก่อนนอน ๒ นาที ตื่นนอน ๒ นาทีอย่างนี้ทุกวัน ถ้าตายเราไปนิพพานได้แน่นอน เพราะจิตมีสภาพจำ เราตั้งใจมั่นคงอยู่ตรงจุดไหน ? ถึงเวลาตายจะไปจุดนั้น เหมือนกับเราล็อคสเป็คเอาไว้แล้วจะต้องทำอย่างนี้ จะต้องเป็นอย่างนี้ ถึงวาระถึงเวลาจะเป็นเอง ในช่วงเวลาระหว่างวัน อาจจะยุ่งอยู่กับงาน ฟุ้งซ่านอยู่กับเรื่องต่าง ๆ บ้าง แต่จิตที่มีสภาพจำ จะจำอารมณ์แรกที่เกาะ แล้วอารมณ์แรกที่เกาะของวันสำคัญที่สุด
              ดังนั้นกรรมฐานตอนช่วงเช้าเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด ถ้าเราสามารถรักษษอารมณ์ใจให้สงบให้มั่นคงได้ จะอาศัยได้ทั้งวัน จิตใจที่สงบมั่นคงเพราะกำลังสมาธิอยู่ตัวแล้ว เราก็อาศัยกำลังสมาธินั้นกดกิเลสไว้ รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้ แต่ละวันก็เหลือหน้าที่แค่คอยดูว่า นิวรณ์ ๕ อย่าง คือ
              ๑. กามฉันทะ ความพอใจระหว่างเพศ
              ๒. พยาบาท ความคิดโกรธ เกลียด อาฆาตแค้นคนอื่นเขา
              ๓. ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจ
              ๔. อุทธัจ ความฟุ้งซ่าน อารมณ์ไม่ตั้งมั่น
              ๕. วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลปฏิบัติ
              ๕ อย่างนี้มีอยู่ในใจของเราไหม ? ถ้ามีก็ไล่ออกไป ถ้าไม่มีก็คอยระมัดระวังป้องกันไว้อย่าให้เข้ามา ก็เหลือหน้าที่ควบคุมกำลังใจของเราอย่างเดียว
              เพราะว่าเป้าหมายเราตั้งตรงไว้แล้ว เหลือแต่รักษากำลังใจให้อยู่ในกรอบของสมาธิ อยู่ในกรอบของสมาบัติ เหมือนกับเอาหินไปทับหญ้าเอาไว้ ถ้าทับไปนาน ๆ กอหญ้าจะเฉาตายไปเอง อาการอย่างนี้เรียกว่า เจดตวิมุติ คือการบรรลุโดยใช้กำลังใจสะกดข่มเอาไว้
              อีกอย่างหนึ่งเรียกว่า ปัญญาวิมุติ คือการพิจารณารู้แจ้งเห็นจริง แล้วสภาพจิตยอมรับ แต่ส่วนใหญ่พวกเราถนัดใช้เจโตวิมุติ คือใช้กำลังใจข่มกิเลส สู้กิเลส ไม่ใช่ปัญญาไม่มี แต่ไม่ถนัดอย่างนั้น มวยลวดลายชนะคะแนนพวกเราไม่ค่อยชอบหรอก เพราะเป็นนักบู๊มาเยอะ ต้องเจอลำหักลำโค่น คนละทีแลกกัน ถ้ามันไม่น็อคเราก็น็อคแทนอย่างนั้น
      ถาม :  กำลังใจขึ้นบ้างลงบ้าง เป็นเพราะเราอ่อนจุดไหน ?
      ตอบ:   ต้องทำให้ต่อเนื่องจ้ะ เราขาดการปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สังเกตไหม ? พอเราเลิกแล้วเลิกเลย จริง ๆ พอเราเลิกปฏิบัติแล้ว แต่ละวันต้องพยายามจับภาพพระ เอากำลังใจส่วนหนึ่งจดจ่ออยู่กับพระนิพพานหรืออยู่กับภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เป็นปกติ ใช้กำลังความรู้สึก ๒๐-๓๐ เปอร์เซ็นต์ นึกอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ นิพพานก็อยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ไกลเลย พยายามให้เห็นภาพพระชัดเจนแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
              ส่วนกำลังใจอีก ๗๐-๘๐ เปอร์เซ็นต์ ก็ให้ทำหน้าที่การงานตามปกติไป ถ้าเราสามารถรักษากำลังใจลักษณะนี้ได้ อยากรู้อะไรเมื่อไหร่ ? จะรู้ได้ชัดเจนแจ่มใสมาก แค่นึกถึงพระปุ๊บคำตอบจะมีมาทันทีเลย เพียงแต่ว่าของเราพอเราเลิกแล้วทิ้งเลย ไม่ได้ไปจับให้ต่อเนื่องกัน เหมือนกับเราว่ายทวนน้ำได้ระยะหนึ่งถึงเวลาก็ปล่อย ก็ไหลตามน้ำไป แล้วก็ว่ายทวนน้ำใหม่ พอได้อีกหน่อยก็ปล่อยตามน้ำไป บางทีได้ไม่เท่าเดิมด้วย ลอยไปก็ไกลกว่าเดิมด้วย ลอยไปก็ไกลกว่าเดิมด้วย เลยกลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวัน แต่ไม่ได้ผลงานเพิ่มขึ้นเลย รักษากำลังใจให้ต่อเนื่อง พยายามจับภาพพระให้ได้ตลอดเวลา