ถาม :  เรื่องจีวร ทำไมครั้งแรกต้องย้อมน้ำฝาดเป็นสีส้มค่ะ ?
      ตอบ :  คือว่าสมัยก่อนนี่บุคคลที่นุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดเขาถือว่าเป็น อนาคาริก คือผู้ที่ไม่มีบ้านเรือน ลักษณะแบบคนพเนจร จรจัดไม่มีเวลามาหาของดี ๆ ที่จะมาประดับมาตกแต่งอะไรกัน พระพุทธเจ้าต้องการลดต้นลงมาให้ต่ำที่สุดเลย เพื่อให้คนที่ถึงเวลาแล้วคนชั้นต่ำสุดจะได้คิดว่า เออ.... อย่างน้อย ๆ พระสมณโคดมก็เป็นพวกเดียวกับเรา จะได้กล้าเข้ามาหาท่านประโยชน์ของเขาจะได้ไม่เสียไป
      ถาม :  แสดงว่าเป็นความนิยมของคนสมัยก่อน ?
      ตอบ :  แล้วอีกอย่างหนึ่ง สมัยก่อนนี่คนโกนหัวเขาถือว่าเป็นกาลกิณี คนโกนหัวหรือผมสั้น ๆ นี่เขาถือว่าเป็นกาลกิณี ที่ไม่มีใครยอมคบด้วย แต่สังเกตจนกระทั่งในตอนนี้พวกอินเดียก็ยังไว้ผมมวยทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ไว้ผมยาว ๆ ใช่มั้ย ? คราวนี้เมื่อเขาถือว่าเป็นกาลกิณีอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านปลงเกศาไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าตัดหนทางถอยของตัวเอง กลายเป็นคนที่เขาไม่ยอมคบกันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้วนี่ ถ้ากลับไปครองราชย์ไม่มีใครเขาเอา ถึงเวลาจะได้ลุยขึ้นหน้าอย่างเดียวไม่ต้องไปพะวงหลัง
      ถาม :  ทำตอนนอนซะเรื่อยเลย
      ตอบ :  เอาเถอะ ถึงทำตอนนอนมันก็ค่อย ๆ สะสมตัว อย่างเมื่อเช้ามันยังไปได้ใช่ไหม ? เพียงแต่ว่ามันยังไม่ชัด แสดงว่ามันเริ่มมีผลแล้ว ต่อไปทำแบบนั้นแหละ ตัวอยากลืมมันให้ได้ สำคัญตรงนั้น ตัวอยากมีอยู่ในใจมันจะกันอยู่มันไปไม่ได้ ถ้าเราลืมตัวอยากมันเสียตั้งหน้าตั้งตาทำถึงเวลากำลังมันพอมันไปเลย เดี๋ยวพอมันคล่อง ๆ จะรู้ไม่ทันภาวนาก็ไป แค่นึกมันก็ไป ไม่ยาก ๆ
      ถาม :  ทำก่อสร้างปั๊บไปนั่งเสกมาเลย จะได้นับตังค์
      ตอบ :  (หัวเราะ) นั่นเขาจำกัดเวลานะ เพราะว่าพวกอภิญญานี่ถ้าเราไม่จำกัดเวลาทำไม่ได้ แบบเดียวที่หลวงพ่อตั้งใจให้น้ำแข็งหมดทั้งแม่น้ำน่ะทำไม่ได้หรอก ตกตูมท่วมหัวเลย ต้องเฉพาะจุด เรื่องของพวกนี้ก็เหมือนกัน ถ้าจำกัดเวลาไว้อย่างเช่นว่า ๕ ปี ๑๐ ปี อะไรอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นมันฝืนกฏของกรรมมากเกินไป
              อย่างพระเรวัตตะ น้องเล็กของพระสารีบุตรท่านไปอยู่ป่าตะเคียน พอพระพุทธเจ้าเสด็จไปท่านเนรมิตเรือนยอด ๕๐๐ หลัง รอไว้เลย ปราสาทดี ๆ นี่เอง เสร็จแล้วหลวงตาแก่ ๒ องค์นั่งนินทาพระอรหันต์ บอกว่าพระเรวัตตะมัวแต่ก่อสร้างอยู่คงปฎิบัติอะไรได้ไม่เท่าไหร่หรอก ที่พระพุทธเจ้ามาเยี่ยมเพราะเห็นแก่หน้าพระสารีบุตรที่เป็นพระอัครสาวกเบื้องขวามากกว่า พระพุทธเจ้าท่านก็รู้ เดี๋ยวเถอะจะรู้เองว่าอะไรเป็นอะไร ? ก็แอบเกล้งบันดาลให้เขาลืมขวดน้ำมัน
              สมัยก่อนเขาเดินทางต้องมีน้ำมันทาเท้าไม่งั้นเดินมาก ๆ เท้ามันแตก หลวงตาแก่ ๒ องค์นึกขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปเอา ตายแล้วหว่า ! ตอนเข้ามานี่แหม ถนนหนทางมันอย่างกับเมืองฟ้าเมืองสวรรค์กลับเข้าไปอีกทีมีแต่ป่ารกทึบมีแต่หนามเต็มไปหมด กว่าจะตะเกียกตะกายเข้าไปถึง ไปเอาขวดน้ำมันของตัวเองกลับมา
              พอกลับถึงเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขามหาอุบาสิกา ท่านก็ไปถวายทานอยู่เป็นประจำอยู่แล้วใช่ไหม ? บังเอิญไปถามหลวงตาเข้าว่าที่อยู่ของพระเรวัตตะน่ารื่นรมย์ไหม ? หลวงตาแก่ก็บอกว่าไม่เห็นจะได้เรื่องเลยอย่างกับป่าช้าผีดิบ มีแต่หนามมีแต่อะไรรกไปหมด พอไปถามพระองค์อื่น พระองค์อื่นบอกว่าอย่างกับอุทยานของพระเจ้าอยู่หัว ตกลงก็ขัดกัน นางวิสาขาท่านเป็นฉลาด ท่านก็คงคิดว่าอาจจะเป็นการเนรมิตด้วยฤทธิ์ ด้วยอภิญญา กราบทูลถามพระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันให้
      ถาม :  .........(ไม่มีเสียง)...........
      ตอบ :  มันก็เป็นของแปลกเขาเรียกว่าเลือดผา มันจะไหลออกมาจากตามผาสูง ๆ สีมันแดงเหมือนเลือด พวกเลียงผา พวกลิง ค่าง ถ้ามันเจอมันกินเกลี้ยง มันบำรุงกำลัง บำรุงร่างกายมันดีมันเหมาะสำหรับคนแก่ ๆ เพราะว่าท่านป๊อบมันลองดี มันดีดยิ่งกว่าม้าอีก
      ถาม :  มันจะไม่เกี่ยวกับเรื่องเพศนี่ ไม่เกี่ยว ?
      ตอบ :  คือมันกระตุ้นให้ร่างกายมันทำงานมากขึ้นเหมาะสำหรับคนแก่ ประเภทหง่อมแล้วอย่างนั้นน่ะ
      ถาม :  อย่างนี้ถ้าเอามาผลิตขายก็รวยเลยสิครับ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องผลิตหรอก ส่วนใหญ่เขาก็ไปเก็บ ๆ มาขายกัน คราวที่แล้วไปพม่าซื้อมาทีเดียวครึ่งชั่ง ชั่งหนึ่ง ๓ ปอนด์ ล่อไปซื้อปอนด์ครึ่งหมดร้านมันก็ ๖,๐๐๐ แต่คราวนี้ชั่งพม่ามันเท่ากับ ๓ ปอนด์
      ถาม :  เท่ากับบ้านเรากี่กิโล ?
      ตอบ :  ๒.๒ ปอนด์เท่ากับกิโลหนึ่ง ๓ ปอนด์ก็กิโลกว่า เล่นมันซะเกือบครึ่งกิโล
      ถาม :  แล้วหลวงพี่เอาไปแจกไหนหมดแล้ว ?
      ตอบ :  เปล่า แม่ชีเขาฝากซื้อว่าจะให้โยมแม่เพราะว่าอายุมากแล้ว ๘๐ กว่าแล้ว คราวนี้เขาไม่ได้ฝากซื้อเยอะขนาดนั้นหรอก เราเห็นก็เลยเอาของมันมาหมดนั่นแหละ
      ถาม :  แล้วอานุภาพมันอยู่ได้นานขนาดไหนครับ ?
      ตอบ :  ตราบใดที่เรายังไม่กินมันอยู่ได้เรื่อย ๆ เพราะว่ามันแห้งแล้วถึงเวลาจะกินก็ชงน้ำร้อน
      ถาม :  กินทีหนึ่งอยู่ได้กี่วันครับ ความแข็งแรง ?
      ตอบ :  ไม่เคยลอง ต้องถามคนลอง อาตมาไม่เอาด้วยคน นั่งมองเขาฉันกันคราวนั้นไปกับ ๕-๖ องค์ไปพม่า เที่ยวกันครึกครื้นเลย คราวนี้ไปซื้อเลือดผามาแล้วเขาอยากลองกัน นั่งฉันไปแป๊บเดียวหน้าแดง (หัวเราะ) แสดงว่ามันเร่งความดันได้ ระดับความดันโลหิตมันต้องขึ้นมากเลยไม่งั้นมันไม่หน้าแดงอย่างนั้น
      ถาม :  เกี่ยวกับเรื่องพระภูมิเทวดา ถ้าเผื่อแบบเราพูดเฉย ๆ เราพูดออกไปว่าเรามีโอกาสเราจะสร้างศาลให้ท่าน ใช้วิธีของท่านและสถานที่ตรงนั้น แล้วพอดีเลยเมื่อวันจันทร์หรือวันอังคารไม่ได้คุยกับผู้ปกครองเลยไม่ทราบว่ายังไง ท่านก็บอกว่าชื่อผู้ปกครองแล้วท่านก็บอกว่าไอ้ที่พูดไว้นี่ทำซะที
      ตอบ :  ถ้าเขาทรงก็รีบทำได้แล้วจ้ะ ถ้าขืนช้าละเดี๋ยวเขาคิดดอกเบี้ยแล้วจะยุ่งกันใหญ่
      ถาม :  คือ ท่านบอกว่าที่ในบริเวณนี้ดินดี เจ้าของที่ท่านก็บอกว่า ท่านก็อยากสงเคราะห์เรา แต่ว่าให้เราทำซะ
      ตอบ :  ก็ขนาดนั้นแล้วยังไม่ทำอีกหรือ ? มาบอกขนาดนั้นนี่แสดงว่าเต็มใจเต็มที่แล้วนะ
      ถาม :  ก็ไม่ได้คิดอะไร หนูกลับจากเขาวงจากนั้นท่านก็มา เป็นเพราะก่อนหน้านี้เราจิตไม่ถึงหรือเป็นเพราะอะไรท่านถึงไม่มาบอก ?
      ตอบ :  มันยังไม่ถึงเวลาจ้ะ บางอย่างเช่น อากาศเทวดาท่านจะสงเคราะห์ก่อน แต่ถ้าภายใน ๒ ปีนี้ไม่ได้ตั้งศาลให้ท่านพ้น ๒ ปี ไปก็เป็นอันว่าเลิก
      ถาม :  ท่านถึงได้มาเร่งเรา ?
      ตอบ :  จ้ะ เดี๋ยวมันจะเลยเวลา ของพรรค์นี้ยิ่งเร็วยิ่งดี วาระและเวลามันมีอยู่เดี๋ยวรถขบวนสุดท้ายเลยไปก็พอดีกันนะ

      ถาม :  แล้วเราจะตั้งศาลนี่ อ่านหนังสือหลวงพ่อท่านยังไงนะคะ ท่านบอกว่าไม่ต้องใช้ผ้า ไม่ต้องมีอุปกรณ์ ไม่ต้องมีเครื่องเซ่น หมายถึงข้าวปลาอาหาร ไม่ต้องถวายนะคะตอนนั้น เพราะว่าถือว่าทำแล้วต้องเป็น ....สละประจำแล้วต้องทำอย่างนั้นตลอดไป
      ตอบ :  ตอนเชิญท่านควรจะมีพวกเครื่องสังเวย อย่างเช่นว่า บายศรี หัวหมู ไก่ ปลาแป๊ะซะ พวกนั้น แต่ว่าหลังจากนั้นแล้วมันอยู่ที่เราว่าจะบูชาท่านแบบไหน ถ้าไม่อะไรจริง ๆ ก็ ๑๐ นิ้ววันทาเอา แต่ว่าตอนที่ทำพิธีใหญ่นั้นควรจะมีให้ครบตามพิธีเขา
      ถาม :  ต้องมีพราหมณ์หรือเปล่าคะ ?
      ตอบ :  ไม่ต้องจ้ะจริง ๆ แล้วไม่ต้องมีใครเลย
      ถาม :  ใช้เทปหลวงพ่อได้เลยใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  จ้ะ เราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี
      ถาม :  แล้วต้องมีรูปหลวงพ่อตั้งอยู่ด้วยไหมคะ ?
      ตอบ :  ไม่มีไม่เป็นไร แต่ว่าที่พวกเราทำบวงสรวงแล้วมักจะตั้งรูปหลวงพ่อไว้ ก็คือว่าเอาครูบาอาจารย์นำหน้า จริง ๆ แล้วเราตั้งเองทำเองได้ยิ่งดี เพราะว่าจุดมุ่งหมายของท่านก็คือต้องการความเคารพจากเรา เราทำเองด้วยความเต็มใจ คือ เคารพแน่นอนแล้วอย่างนี้
      ถาม :  แต่สถานที่นี่ไม่ใช่บ้าน เป็นสถานที่ ๆ เราไปทำกิจการขายของ
      ตอบ :  นั่นก็สำคัญ อยากจะรวยก็รีบทำซะ มาเตือนขนาดนั้นแล้ว
      ถาม :  พอดีหนูเกิดบนพระนารายณ์ที่วัดเขาวง ไว้น่ะค่ะว่าจะอยู่ ... ๓ วัน แล้วหนูไปตั้งแต่วันศุกร์ คือ วันศุกร์นี่หนูถือศีล ๘ ที่บ้านน่ะค่ะ ใส่เทปหลวงพ่อตั้งแต่ตี ๔ แล้ววันอาทิตย์กลับมานี่จะถือว่าครบ ๓ วันไหมคะ วันอาทิตย์กลับแต่ว่ามาลาศีล ๘ วันจันทร์เช้า
      ตอบ :  อย่างนั้นครบจ้ะ เพียงแต่ว่าเราไม่ได้อยู่ที่นั่นจนครบ เรารักษาครบ
      ถาม :  แต่จริง ๆ แล้วไปอยู่ที่นั่นจนครบ... ?
      ตอบ :  ก็เราตกลงกับว่ายังไง ? เรื่องของเทวดาเขาตรงไปตรงมา เราบอกว่าจะอยู่ที่นั่น ๓ วัน แต่ถ้าเราจะรักษา ๓ วัน เป็นอันว่าจบแล้ว เราตกลงกับท่านว่ายังไงก็ตามนั้น เริ่มต้นใหม่ก็ได้ เผื่อเหนียวไว้เอามันซะ ๗ วันก็ได้
      ถาม :  ถวายหลวงพี่ต้า ว่าเป็นเจ้าภาพพระ ๔ ศอกที่น้ำหนาวน่ะค่ะ หลวงพี่เขาบอกว่าทำไมต้องทำบุญครั้งเดียว ก็อธิบายให้เขาไปแต่ไม่ทราบว่าตัวเองอธิบายถูกหรือเปล่า ว่าถ้ามีโอกาสก็ให้ทำไปได้เรื่อย ๆ ในการชำระหนี้สงฆ์ คือ ถ้าเราทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ก็นานจนกว่าจะเต็ม
      ตอบ :  มันนานจ้ะ พระก็ลำบากในการสร้างเพราะต้องหาเงินส่วนอื่นมาก่อน ถ้าสามารถทำได้ครั้งเดียวโดยไม่เดือดร้อนก็ควรทำครั้งเดียวไปเลย
      ถาม :  แล้วยังมีผู้อื่นร่วมที่รับไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
      ตอบ :  รับไว้ได้ เพราะว่าพระชำระหนี้สงฆ์ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้
      ถาม :  เป็นพระปูน ...?
      ตอบ :  พระปูนอย่างดียวจะปิดทองไหมจ้ะ
      ถาม :  ถ้ามีโอกาสก็จะทำค่ะ
      ตอบถ้าหากว่าไม่ปิดทองก็ได้คนเดียว ถ้าปิดทองนี่คณะกี่คนก็ได้หมด คือ จะมีอานิสงส์ในการชำระหนี้สงฆ์ จริง ๆ แล้วน่าจะรอให้มีอาคารถาวรที่จะตั้งพระได้อย่างเป็นหลักเป็นฐานเสียก่อน เพราะว่าไม่อย่างนั้นก็สร้าง ๆ รื้อ ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าหากว่าไม่ปิดทองนี่หน้าตัก ๔ ศอกนี่มีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ได้คนเดียว แต่ถ้าหากว่าหน้าตัก ๔ ศอกนี่ปิดทอง หมู่คณะใหญ่แค่ไหนก็มีอานิสงส์เท่ากันหมด
      ถาม :  อยากจะเรียนถามหลวงพ่อแล้วกลางคืนกลับไปฝันว่าโดดลงเหวลึก แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเจ้าค่ะ แต่ไม่ทราบว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ?
      ตอบ :  ฝันอย่างนี้มันทดสอบกำลังใจ ความเป็นจริงมันมี ๒ อาการ อาการแรกตอนนั้นจิตของเราอาจจะอยู่ในระดับปฐมฌานหยาบ เพราะว่าคนที่อารมณ์จิตมันจะหลับได้มันจะต้องเทียบเท่าปฐมฌานหยาบมันถึงจะหลับ คราวนี้ถ้ามันหยาบเกินไปมันเกาะไม่ติดมันจะพลัดลง พอมันพลัดลงนี่ถ้าหากว่าเรานั่งอยู่มีสติสมบูรณ์พร้อมนี่มันจะวูบเหมือนอย่างกับว่าเราตกจากที่สูง
              แต่คราวนี้ลักษณะนั้นเราหลับอยู่ พอมันวูบลงมาก็เหมือนกับว่าเราตกเหว มันก็เลยพลอยฝันตามไปด้วย ส่วนอีกอย่างหนึ่งมันเป็นความฝันจริง ถ้าความฝันจริง ๆ ตกเหวไม่ตายก็ไม่ต้องไปสนใจมันหรอก ตกเหวไม่ตายนี่เราตื่นซะก่อนก็หายแล้ว ( หัวเราะ)