ถาม : เวลาเราโกรธใคร รู้สึกมันสะเทือน เราจะกลับตัวยังไงให้เร็วที่สุด ?
ตอบ : เร็วที่สุด กลับไปภาวนา ถ้าได้มโนมยิทธิส่งอารมณ์ใจขึ้นพระนิพพานไปเลย การที่เราเกาะพระนิพพานเป็นการตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุด รัก โลภ โกรธ หลง มันกินใจแต่ร่างกายเท่านั้น กินใจไม่ได้ ถ้าใจไม่อยู่ไปปรุงไปแต่งกับมัน มันไม่สามารถทำอันตรายเราได้ เผ่นไปนิพพานดีกว่า เคยชนกับแสงชัย
สมัยฆราวาสยืนคุยกันอยู่เราก็เลยพิงเงียบไปเลย เงียบไปหลายนาที พอลืมตาขึ้นมา แสงชัยถามว่าอะไร บอกว่าย่าบอกว่าอย่าไปคุยกับอันธพาล โอ้ย! มันโกรธฉิบหาย (หัวเราะ) แล้วคืนนั้นมัน ก็ได้ดีไอ้นี่ต้องให้โกรธมาก ๆ พอโกรธมาก ๆ แล้วอารมณ์ใจมันจะอยากทำ เขายังทำได้ ทำไมกูทำไม่ได้ยังงี้
ถาม : อ๋อ! มิน่า เห็นโกรธบ่อย
ตอบ : ความจริงท่านย่ารู้ว่าถ้าแหย่มารูปนี้แล้ว เราพูดต่อเมื่อไหร่จะโกรธ แล้วเดี๋ยวมันจะตะกายขึ้นมาเอง คือยังไงก็ต้องตะกายไปต่อว่าย่าให้ได้มันไปด้วยอำนาจกิเลส (หัวเราะ)
ถาม : เหลือเชื่อ
ตอบ : ที่บางคนเขาพูดเล่นว่า ตัญหาพาสู่พระนิพพาน รู้สึกว่ารายนี้จะทำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ความจริงตัวอยากนี่ธรรมเขาเรียกว่า ธรรมฉันทะ คนมันดันว่าอยากแบบตัญหา ก็เลย ตัญหาพาสู่พระนิพพาน
ถาม : แล้วเวลาเราเจอคน.... (ฟังไม่ชัด)....ตัวเรามีจุดร่วมกับเขา
ตอบ : ใส่เกราะไว้ เรามีศีลกับสมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิเป็นเกราะของเรา ใช้สมาธิควบคุมอารมณ์ของเราให้อยู่ในกรอบ มีศีลเป็นที่ไป ถ้าหากว่าเกินกรอบของศีลก็ไม่ยุ่งด้วย เอาแค่ศีลของเรา ใส่เกราะไว้ ไม่ว่ามันจะมาระดับไหนก็ตามไม่ไปพ้นเขตนั้น เต็มที่แค่ศีลห้าเกินศีลห้าไม่คบด้วย
ถาม : บางทีเขามาวุ่ยวายกับเรา ?
ตอบ : วุ่ยวายน่ะสนุก ถ้ารักษากำลังใจเรานิ่ง ๆ เฉย ๆ ได้ แล้วดู จะสนุก มันเหมือนยังกับดูใครมันทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ อยู่ตรงหน้า บางทีมันก็เหมือนทารกไร้เดียงสาไปเลย เรื่องแค่นั้นไม่น่าทำ มันก็ทำ ไม่น่าจะโกรธมันก็โกรธ เลยกลายเป็นนั่งสนุกอยู่คนเดียว กลายเป็นนั่งยิ้มมองไปเรื่อย
ถาม : .......(ฟังไม่ชัด) .........
ตอบ : เขารู้อยู่ว่ามันเป็นข้อสอบ แต่ก็สอบตกอยู่เรื่อยตอนทดสอบของนักปฎิบัติมันมาทุกวินาที แล้วทุกแง่ทุกมุม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา มันอยู่ในหัวข้อใหญ่ ๆ ก็คือ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ แต่ข้อสอบมันออกมาได้เป็นหมื่นเป็นแสน ถ้าหากว่าเราไม่ระมัดระวังเมื่อไหร่เผลอเมื่อไหร่มันเข้ามาสู่ในใจทันที
โดยเฉพาะตัวกระทบกระทั่งกัน พื้นฐานมาจากโทสะ เขาเรียกปฎิฆะ คืออารมณ์กระทบ เหมือนกับสะเก็ดไฟกระเด็นไปถูกเชื้อควันมันขึ้น ถ้าเราไม่ระวัง มันเป็นโทสะ มันจะไหม้ขึ้นเป็นเปลวเลย
เพราะฉะนั้นต้องคอยระวังอยู่ตลอดเวลาว่าจะเจอข้อสอบ จะเจอการทดสอบอยู่เสมอ เผลอเมื่อไหร่ก็โดน ๆ แต่ว่าข้อสอบนี่มันดีอยู่อย่างถ้าเราทำได้ ต่อไปก็จะไม่เป็นอีก ต้องมามากกว่านั้น ถ้าแค่นั้นไม่ได้กินเราแล้ว แต่ปรากฏว่าของเขาเอง เขาบอกว่าเขามี สมานัตตา ดำรงโทสะไว้อย่างสม่ำเสมอ (หัวเราะ) พวกตีความพระธรรมวินัยผิด
ถาม : เวลาเจอ แต่มันไม่รู้ ไม่รู้โลภ โทสะ หรือโมหะ ?
ตอบ : ไม่ต้องรู้ รักษาใจอย่างเดียว ถ้าหากว่าเราใส่เกราะไว้ได้ยิ่งดี โดยเฉพาะตัวภาวนา ถ้าอารมณ์ใจทรงเป็นฌาน มันรู้ลมอัตโนมัติก็รักษาเอาไว้เลย รับรองว่ามาเท่าไรก็รับได้ แต่ถ้าเกราะพังเมื่อไหร่ก็เตรียมตัวหัวแตกได้ ถ้าสติมันรู้อยู่ ต้องการรับรู้อาการภายนอก จะลดกำลังใจมานิดหนึ่ง คลายออกมาหน่อยหนึ่ง รับรู้กับเขาด้วยความระมัดระวัง พร้อมจะหดหัวกลับเข้าไปกลัวหัวแตก พอถึงเวลาหดหัวเข้าไปก็ปิดฉึบ
ถาม : .........(ไม่มีเสียง)........
ตอบ : จริง ๆ แล้วมันลำบากนะ เพราะว่าเวลาเหนื่อย เวลาหิว เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าไม่มีความคล่องตัวในการทรงฌานจริง ๆ สมาธิมันพังเลย มันไม่เอากับเราด้วย เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องสร้างความคล่องตัวกับมันอย่างชนิดที่เรียกว่าคิดเมื่อไหร่ก็ทรงได้เมื่อนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ก็เล่นกับมันยาก
ถาม : มีทรงแบบง่าย ๆ ?
ตอบ : อันนี้มันไม่ง่ายหรอก ทำมาหลายสิบปี รวม ๆ แล้วปีนี้ก็ ๒๕ ปีแล้ว
ถาม : แล้วจะทำยังไงเจ้าคะ ?
ตอบ : ค่อย ๆ ทำไป พอมันคล่องตัวแล้ว อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน หัดเข้าฌานสลับฌาน นึกทรงฌานเมื่อไหร่ต้องทรงได้ สมัยที่หัดอยู่ใช้วิธีลุก ๆ นั่ง ๆ เป็นไอ้บ้าอยู่คนเดียว เข้าเวรอยู่หน้าห้องหลวงพ่อ ก็ซ้อมไปเรื่อย ถึงเวลาลุกปรื๊ดขึ้นมาแล้วค่อยคลายอารมณ์ออกมาจนถึงอุปจารสมาธิ ถ้าลงล่ะก็ดิ่งปึ๊ดเงียบไปเลยยังงั้นน่ะ ลุก ๆ นั่ง ๆ อยู่คนเดียวแหละให้มันเข้ามันออกอยู่จนคล่องตัวแล้วเอาให้ได้ทุกเวลาที่ต้องการ ไม่ยังงั้นเวลาป่วย ๆ นี่ มันไม่เอากับเราแน่
ขนาดนั้นตอนมาเลเรียมันกินหนัก ๆ ยังรู้สึกเลย ตอนนั้นอากาศมัน ๑๑ องศา ใส่อังสะตัวเดียวนะ เอาผ้าชุบน้ำเย็นโปะหัวนี่ควันขึ้นยังกับเตาเลย ตัวมันร้อนอยู่ขนาดนั้น
รู้อยู่อย่างนั้นว่าความร้อนขึ้นมากกว่านี้นิดเดียวเราเบลอแน่ก็พยายามตั้งสติกำหนดใจเอาไว้ ใหสติมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า ผ่านไปได้อย่างหวุดหวิด รู้อยู่อย่างเดียวถ้ามากกว่านั้นเราเบลอแน่แก้ผ้าวิ่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ก็ขนาดเดินไปหาหมอที่เวชศาสตร์เขตร้อน หมอเขาไปถามเจ้าแดงว่าเป็นอะไร เจ้าแดงเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นครับ หมอเขาก็นั่งคุยกับพยาบาล เขาก็ส่งปรอทเอามาให้เราอม บอกให้อมไว้ เขาก็คุยอะไรของเขาไปพักนึง ชักปรอทไปดูมอง ๔๒ องศา (หัวเราะ) เขาถามว่าเดินไปยังไง ปกติมันน่าจะ ช็อกไปแล้ว ก็บอกว่ามาอย่างที่หมอเห็นนั้นแหละ ก็สติมันยังอยู่ก็ลากสังขารไป
ตอนที่หนักที่สุดนั้นไปใต้ ลงจากเครื่องบิน โยมเขาเข้ามากราบมาออกันเข้ามา บอกกับสุขุม สุขุมเป็นลูกของลุงสมนึก เขาเป็นเจ้าของบ้านที่ไปพักประจำ บอกสุขุมว่า ระวังด้วยนะ หลวงพี่จะล้มเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ช่วยประคองไว้ด้วย เขาเองเขาก็เห็นเราเดินดี ๆ แต่พอได้ยิน เขาก็จับแขนถามว่า เป็นมากเลยเหรอ มาเลเรียขึ้นนี่ตัวมันร้อนฉ่าเลย ก็บอกว่าก็อย่างที่เห็นนี่แหละ นั่งคุยกับแขกไปทุ่มกว่า บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขอตัวไปนอน ตั้งแต่เช้า เพราะว่าไปเที่ยวราว ๆ หกโมงครึ่งไปถึงที่โน่นราว ๆ เกือบสองโมง ก็รับแขกไปเรื่อยจนถึงทุ่มกว่า ปกติจะรับถึงสามทุ่มบอกขอตัวไปพัก สุขุมเขาก็บอกว่า หลวงพี่ไปโรงพยาบาลหน่อยดีมั้ย ? แต่ว่าบอกอย่างเดียวนะมันหาโรคไม่เจอหรอก
เขาก็พาไปที่ มอ. ไปถึงก็บอกว่าเป็นอย่างนั้น ๆ
เชื่อมั้ยว่าอาการทุกอย่างมันปกติเดี๋ยวนั้นเลย หมอวัดความดัน วัดปรอทวัดอะไรเป็นปกติหมดหาโรคไม่เจอ เขาบอกหลวงพี่เป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะทำไงก็ คลายกำลังใจออกให้มันรู้ว่าเราเป็นยังไง
พอคลายกำลังใจออกปุ๊บ ความดันเขาวัดปกติก็คือ ๑๓๐ / ๘๐ มันลดฮวบเหลือตัวบนแค่ ๖๐ จาก ๑๓๐ เหลือ ๖๐ พยาบาลวัดสายคาแขนอยุ่ ร้องกรี๊ดจนเราขี้หูสั่นเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่ในอาการกึ่ง ๆ ช็อก หมอเวรสี่คนวิ่งมาดูหมดเกลี้ยงเลย เลยบอกหมอจำไว้นะ คนบางประเภทกำลังใจมันเกินร่างกาย มันสามารถบงการให้ร่างกายทำอะไรก็ได้ ถ้าเขาบอกว่าป่วยเป็นอะไรน่ะ หมอเชื่อเขาเถอะ ไม่งั้นเขาจะตายเปล่า หมอเขาบอกว่าโดยมารยาทแล้วถ้าเขาตรวจอาการไม่เจอ เขาจะจัดจ่ายยาไม่ได้ ถ้าคนไข้เป็นอะไรไปเขาต้องรับผิดชอบ บอกถ้าอย่างนั้นฉันขอกลับ เขาบอกหลวงพี่จะกลับยังไงล่ะครับ ? บอกเดี๋ยวจะเดินให้ดูขอเวลาสิบนาที
เราก็รวบรวมกำลังใจใหม่ ตอนนั้นน่ะเผลอลืมไปว่าบ้านมันพัง เราเอาไม้ค้ำ แล้วเสือกไปถอนไม้ค้ำออก มันก็พังโครมเลย รวบรวมกำลังใจได้สัก ๑๐ นาที ก็เดินฉับ ๆ ขึ้นรถไป นั่นแหละคนช็อกไปแล้วนะ ต้องใช้เวลาอยู่นานเหมือนกัน เพราะว่ามันพังหมด มันไม่เหลือต้องไปรวบรวมมาใหม่
ตัวอย่างชัด ๆ หมอนพพรนั่นจะรู้มากกว่าเพื่อน ไข้ขึ้นหูแดงหมดเลยความดันมันขึ้น วัดดูความดัน ๑๑๐/๗๐ แหม !ต่ำกว่าปกติอีก วัดอุณภูมิร่างกาย ๓๕.๖ คนดี ๆ ยังมากกว่านี้เลยใช่มั้ย ? หมอเขาบอกว่าหลวงพี่เป็นอะไรบอกมาเลยครับ ขืนรอผลแล็บผมว่าตายแน่ ก็บอกเขาว่าเป็นยังงี้ ๆ เขาก็จ่ายยามา แต่หมอที่เขาไม่คิดแบบหมอนพพรมันเยอะ ความจริงยามันอร่อยนะกินไปลิ้นด้านหมด คนอื่นเห็นสีก็สยองแล้ว หม้อเบ้อเริ่มต้มกินแทนน้ำไปเรื่อย ๆ ไปโรงพยาบาลหลายทีมันน่าตายแต่ว่าไม่ตาย
ที่โรงพยาบาลวัดท่าซุงหมอเขาแทงน้ำเกลือ อาเจียนออกมาเป็นถัง น้ำหมดน่ะ รู้สึกเลยว่าตัวมันเหี่ยวไปหมด หมอเขาแทงน้ำเกลือเข้าไป เส้นมันตีบ น้ำเกลือไม่เดิน แทงอยู่ตั้งหลายชั่วโมงเข้าไปประมาณ ๕๐ ซีซี เลยบอกหมอถอดออกเหอะ ขอกลับไปตายที่กุฎิดีกว่า หมอเขาบอกไม่ได้หรอกครับ อาหารหนักขนาดนี้บอกหมอไม่ถอดฉันก็ถอดเอง (หัวเราะ) หมอเขาเจอพระดื้อ เลยต้องถอดให้
ถาม : หลวงพี่โดนเข็มแล้วหลวงพี่อ้วก คงเพราะเป็นทหาร แล้วเคยถูกฉีดยา ( ฟังไม่ชัด)
ตอบ : ไม่ใช่ ที่อ้วก ไม่รู้ว่าตัวเองน่าคอหัก มันไปเบียดประสาทร่างกาย ประสาททรงตัวอยู่ จะเหมือนกับคนที่อยู่บนพื้นดินแล้วโคลงไปโคลงมาอยู่ เราเองก็พยายามกลั้นเอาไว้ มันไปอ้วกเอาตอนหมอฉีดยาพอดี (หัวเราะ)
ถาม : นึกว่าหลวงพี่กลัวเข็ม ?
ตอบ : คนกลัวเข็มคงไม่ไปหาหมอเป็นว่าเล่นหรอก หมอเขาก็พยายามเราเองก็นึกว่าหัวเราไปชนมา ก็หมอเขาหาสาเหตุ เอ็กซเรย์ก็ไม่เจอ ไปหายเพราะหมอนวด ถ้าไม่มีหมอนวดก็คงอีกนาน เพราะว่าอยู่โรงพยาบาล ๖ วัน ฉันข้าวไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียวลงถึงท้องก็อาเจียนหมด ก็นอนหายใจพะงาบ ๆ คราวนี้ไม่รอดแน่ตู ขอหมอเขากลับไปตายที่กุฎิ
หลวงพี่สมานกับพรรคพวกก็ช่วยหอบหิ้วไป ตอนนี้แกสึกซะแล้วถ้าเราเป็นก็ไม่มีคนหิ้วแล้ว หลวงพี่สมานช่วยหอบช่วยหิ้วไปกลับไปถึงกุฎิ คืนนั้น มันเกิดหิวขึ้นมาไส้จะขาด คนไม่ได้กินมา ๖ วันมันหิวขนาดไหนน่าจะรู้ อยู่ ๆ อาการมันเกิดเฉย ๆ ก็เลยรอตอนเช้ารอให้สว่างรอแทบไม่ไหว มันอยากกินน้ำลายเหนียวไปหมด (หัวเราะ) อยากกินอะไรก็ได้ที่มันเผ็ดมาก ๆ พอได้อรุณปุ๊บก็ถือไม้เท้าค้ำไปที่ร้านของป้ากิมกี เพราะว่าถ้าไม่ถือไม้เท้ามันหมุนไปเรื่อย มันหมุนเหมือนกันกับคนทรงตัวไม่ได้ จนกว่าจะติดอะไรมันถึงจะหยุด เพราะประสาททรงตัวมันเสีย
พอไปถึงก็บอกยายแจ๋วบอกว่า ผัดกระเพรามาไข่ดาวด้วยเอาเผ็ด ๆ ยายแจ๋วเขาก็ทำมาให้จานเบ้อเริ่มเลย เข้าไปนั่งรอฉันอยู่ใต้หอระฆัง พอเอามาลองดม ๆ ดู เออ! มันไม่อ้วกแน่ ก็ฟาดโลด พอฉันหมดมันเหมือนยังกับง่วงกระทันหัน อยากจะหลับเดี๋ยวนั้นเลย อาการอย่างนี้หลวงพ่อท่านเคยบอกไว้ เคยถามท่านเพราะมันเป็นหลายที ท่านบอกว่าถ้าพระหรือพรหมหรือเทวดา ท่านต้องการจะติดต่อด้วย แล้วเราไม่ได้ทรงอารมณ์เพื่อรับการติดต่อจากท่าน ท่านจะกดเราเพื่อให้ติดต่อได้ คือท่านจะเป็นฝ่ายปรับคลื่นมาเอง มันเหมือนยังกับง่วงจะหลับให้ได้เดี๋ยวนั้น ฟิวส์ขาดเลย เราก็ถ้วยจานไม่ต้องเก็บล่ะวะ เอนลงได้ก็นอน
พอเอนลงปุ๊บมันรู้สึกว่าเตียงมันยุบฮวบลงไปเลย ลืมตาขึ้นมาอยู่ตรงหน้าท่านปู่พอดี ไม่ใช่ปู่ ท่านลุง อยู่ตรงหน้าท่านลุงพอดีเราก็ตายล่ะวา นี่ตูตายแล้วตกนรกด้วย (หัวเราะ) ท่านปู่นายบัญชี ท่านเปิดบัญชี บัญชีเล่มหนาปึ๊กเลยนะ เปิดเม่นจริง ๆ เปิดปึ๊กถึงหน้าของเราเลยดูว่าอีก ๖ วันหาย แล้วท่านก็ปิดตึง เรากราบลาได้ก็เผ่นเลย เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจ (หัวเราะ) หนี้เก่ายังไม่ได้ใช้เยอะ เดี๋ยวท่านเปลี่ยนใจทวงขึ้นมาล่ะยุ่งเลย เผ่นกลับมามันก็สบายใจโยมเขาก็พาไปรักษา ไปเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ครั้งละห้าพัน ก็ไปกับเขา ไปเรื่อยแหละ
จนกระทั่งถึงวันที่ห้ากลางคืน นิมิตเห็นหลวงปู่มหาอำพัน ท่านให้ไม้เท้าอันหนึ่ง ไม้เท้าหวายสีขาว ๆ บอกกับโยมช่วยพาไปกุฎิหลวงปู่ทีเถิด จะเอาไม้เท้าไปถึงหลวงปู่ท่านเห็น ท่านก็บอกว่าคุณดูผมมาเยอะแล้ว ตอนนี้ขอผมดูแลคุณบ้างนะ แล้วท่านก็ถวายไม้เท้าอันที่เราเห็น ท่านบอกว่าพอหายแล้วไม่ต้องคืนผมเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าคุณเคยป่วยหนักขนาดนี้
พอตอนบ่าย ๆ มีลูกศิษย์หลวงปู่มาคนหนึ่ง เขามีพ่อบุญธรรมเป็นหมอนวด พอเขาเห็นอาการเขาบอกว่าในเมื่อรักษาทางปกติแล้วมันไม่ได้ผล ลองให้หมอนวดดูบ้างมั้ย ? ก็บอกว่าอยู่ไกลมั้ย ? ไม่ไกลหรอก แล้วถ้าแขกเขาไม่มากลัดคิวได้ด้วย ก็เลยไป ไปถึงถือไม้เท้าไปน่ะ หมอเอามือแตะคอปุ๊บบอกกระดูกคอเคลื่อน ๒ ข้อ แล้วถามว่ารักษาได้มั้ย ? เขาบอกว่าสบายมาก เอาแขนกดต้นคอไว้ จับคอบิดกรึ้บเดียวหายเลย ๖ วันพอดีเป๊ะ ไม่มีพลาดเลย ท่านบอกว่า ๖ วันหาย ก็รวมแล้ว ๑๒ วันเต็ม ๆ
ตอนนั้นไม่ได้เจตนาหรอกเพราะว่าไปกับหลวงพ่อท่าน ไปฉลองโบสถ์กับหลวงพ่อลักษณ์ วัดศรีรัตนาราม ท่านสร้างโบสถ์อยู่สร้างเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จซะที ก่อนหน้านี้สมัยหลวงพ่ออยู่วัดโพธิ์ชัยนาท หรือวัดสะพาน จนกระทั่งไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านก็เจอกันตลอดออกกิจนิมนต์ออกอะไร
หลวงพ่อลักษณ์ ทิพยจักขุญานท่านดีใช่มั้ย ? แต่ว่าดีขนาดไหนก็ไม่คล่องตัวอย่างหลวงพ่อ หลวงพ่อลักษณ์สร้างโบสถ์เท่าไหร่ก็ไม่เสร็จ มาถามหลวงพ่อหลวงพ่อบอกว่าไปทุบส้วมทิ้งซะ แกสร้างส้วมไว้ใต้โบสถ์ท่านบอกว่าโบสถ์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าเอาสิ่งสกปรกไปไว้ในเขตนั้น หลวงพี่ลักษณ์กลับไปทุบส้วมเสร็จ อุปสรรคต่าง ๆ หมดกลี้ยง สร้างโบสถ์เสร็จฉลองได้ ก็คิดดูซิบังอยู่นิดเดียวเท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่ท่านคล่องตัวในทิพจักขุญานมากนะ แต่ท่านก็ไม่รู้ พอถามหลวงพ่อ เสร็จก็นิมนต์หลวงพ่อไปฉลอง เพราะข้างล่างท่านทำเป็นที่พักใต้โบสถ์ ใต้ถุนทำเป็นที่พัก พระวัดท่าซุงไปที่ฉันเพลเสร็จก็พักผ่อนอยู่ที่นั่น หลวงพ่อ รับแขกอยู่ข้างบน พอบ่าย ๒ หลวงพ่อบอก เฮ้ย ! รวมพลขึ้นรถเว้ยจะกลับแล้ว พวกเราวิ่งกันช้าไม่ได้ใช่มั้ย ใต้ถุนโบสถ์นั้นมันครือ ๆ กับหัวหัวแค่นี้ แต่ปรากฏว่าทางประตู คานแบบลดลงมาคืบหนึ่ง แล้วลองคิดดูมันก็หน้าผากพอดี ๆ วิ่งเข้าไปหาชนิดไม่ต้องยั้งเลย เสียงดังเปี๊ยะ ใครตีกูว่ะ ? ดาวขึ้นว่อนเลย เอามือคลำดู แตกยาวเป็นนิ้วเลยนั่นแหละไปวันที่ ๙ เมษา ปรากฏว่าวันที่ ๑๔ เมษาตอนเพล มันถึงแสดงอาการ
วันที่ ๑๔ เมษาเป็นเวรครัวอยู่กับเณรตวง พองานครัวจัดอาหารอยู่ก่อนเพล หิ้วเข่งที่ใส่จานที่เขาใส่กับข้าวตอนวันพระ พอถึงเวลาเราถ่ายรวม ๆ ลงปิ่นโตอาหารอย่างเดียวกัน เทรวมกัน ๆ แล้วแบ่งวง แบ่งเสร็จจะเหลือถ้วยเยอะ สองคนกับเณรตวงหิ้วไปจะไปล้าง
พอหิ้วขึ้นมันรู้สึกแผ่นดินมันหมุนไปหมด บอกเณรตวงว่า เณร....ถ้าอยู่ ๆ หลวงพี่ล้มนี่เอ็งเอาเข่งให้อยู่นะ อย่าให้ของแตกหลวงพี่ล้มฟาดลงไปก็ไม่เป็นไร กลัวของสงฆ์เสียหาย เณรตวงก็ครับ ๆ เลยกัดฟันหิ้วจนกระทั่งถึงบอกว่าเณรล้างไม่ไหวนะอยู่ ๆ มันเป็น ช่วยบอกพระเวรด้วยกันอีกสององค์ บอกว่าให้ช่วยจัดเรื่องเพลที เราเองตะเกียกตะกายขึ้นไปจนกระทั่งถึงกุฎิ มันเริ่มอาเจียน ว่าเป็นถังเลย มีเท่าไรอยู่ในท้องมันออกหมด กระดูกคอ ๒ ข้อ
พอมันชนตรงนี้แรงสะบัดมันทำให้กระดูก ๒ ข้อนั้นหลุด แล้วมันไปค้ำอยู่เราเงยหน้าไม่ได้ แล้วไม่ได้สังเกตตัวเอง มันอยู่ในลักษณะนี้แล้วไปเบียดประสาทการทรงตัง ทำให้เหมือนยังกับว่าเราอยู่บนที่โคลงไปโคลงมา แบบอาการเมารถเมาเรือก็อาเจียนไปถึงเขาหามไปหาหมอยังมีสติบอกหมอช่วยเช็คดูด้วยมันเป็นเชื้อไทฟอยด์หรือเปล่า อยู่ ๆ มันจะอาเจียนกะทันหัน หมอเขาก็ครับ ๆ คือรู้ทุกอย่าง สั่งหมอได้แต่บังคับตัวเองไม่ได้ ขยับตัวนิดมันจะพลิกเป็นตุ๊กตาล้มลุกไปเลย ขยับนิดเดียวมันวูบไปเลย พอแตะติดมันก็หยุด ถ้าหากว่ายืนขึ้นก็หมุนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะติดข้างฝาหรือแตะอะไรได้มันถึงจะหยุด เขาก็ให้แต่ยาปรับความดันมากิน ล่อซะ ๖ วันเต็ม ๆ ให้น้ำเกลือไม่เข้าสักอย่าง อาการก็เป็นอย่างที่ว่ามาแล (หัวเราะ)
|