สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนเมษายน ๒๕๔๔ (จบ)

      ถาม :  .......(ไม่มีเสียง).........
      ตอบ :  คนอื่นเขาไม่เก่งเลยไปนิพพานกันหมด พวกเรามันเก่งก็เลยอยู่กันอีกนาน ไม่ค่อยจะกลัวนรกกัน มัฌชิมาปฎิปทาของแต่ละคนไม่เท่ากันมันเป็นไปตามกำลังใจ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมมา เป็นไปตามบารมีที่สะสมมา อย่างหลวงพ่อท่านบอกว่าวางกำลังใจของท่าน ก็คือ ทรงอารมณ์เกาะพระนิพพานไว้ตลอดเวลาไม่ยอมพร่องแม้แต่นาทีเดียว นั่นตอนที่ก่อนท่านจะบรรลุมรรคผล เราทำได้มั้ยล่ะ ? เป็นเราทำก็เครียดตายเลยใช่มั้ยล่ะ ?
              เพราะฉะนั้นตัวมัชฌิมาปฎิปทาของเรามันก็เลยไม่เหมือนกัน ทางสายหลวงปู่มั่น ของท่านท่านจะต้องเข้มงวดขนาดนั้นเพราะสิ่งแวดล้อมที่หล่อหลอมมา การดำรงชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบากของชาวอิสานทำให้จะต้องปฎิบัติอย่างเข้มข้น กำลังจิตถึงจะยอมลงให้
              อย่างหลวงตาบัวท่านบอกว่า นั่งสมาธิกันข้ามวันข้ามคืน นั่งกันก้นแตก ลุกขึ้นมานี่ประเภทน้ำเหลืองนองเลย คือมันร้อนจนพองแล้วแตก นั่นน่ะ ท่านบอกว่าจิตถึงจะยอมลง ไม่อย่างนั้นมันก็ดิ้นรนกระโดดโลดเต้นของมันไปเรื่อย
              คราวนี้แนวการปฎิบัติมันมีอยู่สี่แบบ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สุขาปฎิปทา ขิปปาภิญญา ปฎิบัติง่าย ๆ บรรลุก็เร็ว ทุกขาปฎิปทา ขิปปาภิญญา ปฏิบัติยากลำบากแต่บรรลุเร็ว ทุกขาปฏิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติลำบากบรรลุก็ยาก สุขาปฎิปทา ทันธาภิญญา ปฎิบัติง่ายแต่บรรลุยากนะ ปฎิบัติง่ายบรรลุเร็ว ปฎิบัติง่ายบรรลุช้า ปฎิบัติยากบรรลุเร็ว ปฎิบัติยากบรรลุช้าก็ขึ้นก็อยู่ว่าแบบไหนที่จะเหมาะสมกับแต่ละคนแต่ละสถานที่ ถ้าเอามัฌชิมาปฎิปทาของพระพุทธเจ้า ท่านอธิษฐานว่า เมื่อท่านนั่งลงไปแล้วแม้เลือดและเนื้อจะเหือดแห้งไปก็ตามที ชีวิตอินทรีย์นี้จะเสื่อมสลายไปก็ตาม ถ้ายังไม่บรรลุมรรคผลเมื่อไหร่ท่านจะไม่ลุกขึ้น ถ้าเราไปตั้งใจอย่างนั้นก็ตาย เพราะว่าปัญญาไม่ได้อย่างท่านนี่
      ถาม :  หมายความว่า เจ้าตัวเองเป็นคนกำหนดใช่มั้ย ?
      ตอบตัวเองควรจะรู้เองว่าอะไรเหมาะสม เรารู้เลยว่าอันนี้เราขี้เกียจแล้วเราก็รู้ว่าอันนี้เรายังขยันไม่พอ
      ถาม :  แสดงว่าเราก็ทำไปตามที่มโนสำนึกเราบอกว่า อันนี้ดี ใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ถ้ามันรู้สึกว่าไม่ไหว ให้ฝืนต่ออีกหน่อยถ้ายังฝืนได้แสดงว่าตัวนั้นเป็นตัวถีนมิทธะ ชวนให้ง่วง ชวนให้ขี้เกียจ ถ้าลองฝืนแล้วมันไม่ไหวจริง ๆ ไปไม่รอดก็เลิกเเล้วรักษาอารมณ์เอาไว้
      ถาม :  พระคำข้าว ป้องกันรังสีที่โทรศัพท์ได้มั้ยครับ ?
      ตอบ :  ตั้งใจดูแล้วกัน ขนาดนิวเคลียร์ยังกัน โทรศัพย์ไม่น่าจะยาก
      ถาม :  นอกจากมีพระของหลวงพ่อแล้ว มีพระของวัดอื่นมั้ยคะ ที่กันรังสีได้ ?
      ตอบ :  ที่ประกาศชัด ๆ เลย ก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทราวาส ก่อนมรณภาพให้เขาเก็บก้อนกรวดที่บางบ่อ ท่านถือว่าเป็นบ่อเงินบ่อทอง เอามาอธิษฐานจิตให้ ท่านบอกชัดเลยว่ากันนิวเคลียร์ได้
      ถาม :  กันรังสีได้ทุกชนิดเลย ?
      ตอบ :  คือสำนักอื่น ๆ อาจมี ถ้าพระสงเคราะห์ให้ ก็กันได้แต่ท่านไม่ได้ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ อย่างนั้น ที่ประกาศชัด ๆ ก็มีของหลวงพ่อ แล้วก็ของท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านเจ้าคุณนรฯ ประกาศก่อนด้วย เพราะว่าเท่าที่จำได้ท่านเจ้าคุณนรฯ มรณภาพปี ๒๕๑๔ แต่ว่าหลวงพ่อประกาศครั้งแรกว่า ของท่านกันนิวเคลียร์ได้ประมาณปี ๒๕๒๑
      ถาม :  เจ้าคุณนรฯ คือก้อนกรวด ลักษณะก้อนกรวดธรรมดา ?
      ตอบ :  ก้อนกราด ปฐวีธาตุ สำนักอื่น ๆ กันได้หรือเปล่าไม่รู้แต่สมัยนี้ฮิตกับจังเลย พรุ่งนี้ใช่มั้ย พระกิ่งจอมไทย เหยียบกันตายแน่ วัดสุทัศน์สร้าง คราวที่แล้วคนไป ๕,๐๐๐ กว่า มีพระ ๗๙๙ องค์ ไม่ดังก็ไม่ได้ ได้เหยียบกันตายจริง ๆ แล้วพรุ่งนี้เขาประกาศเช่าตีห้า รับรองว่าพระไม่ต้องฉันหรอก
              ขนาดของหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐมชุดแรกมีแค่ ๓,๐๐๐ องค์ คนไปเป็นแสนเลย พอเสร็จพิธีไม่ฟังเสียงเคาน์เตอร์ มันโดดข้ามหมดเลย ทหารสามสี่คนเป่านกหวัดเท่าไหร่ไม่ฟังหรอก ทึ้งเสียหลวงพี่วิรัชจีวรกระรุ่งกระริ่งเลย ของเราเราจองไว้หนึ่งร้อยองค์ พอถึงเวลาออกมาก็จ่ายไปหมื่นแล้วเอาหนึ่งร้อยองค์ใส่ย่ามไป ปรากฏว่าร้อยองค์นั้นไม่เหลือ มันเห็น.... เรื่องอะไรจะปล่อยให้ผ่านมือไปสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก รุ่นมีกริ่งน่ะ หลวงพ่อสั่ง ๓,๐๐๐ องค์
              พอช่างเขาถอดแบบแล้วซุ้มส่วนใหญ่จะหัก เพราะซุ้มนี่เล็ก ๆ จะบางพอถอดแบบแล้วซุ้มหักก็ใช้ไม่ได้ก็กลายเป็นพระชำรุด ได้องค์ที่สมบูรณ์มา ๓,๐๐๐ องค์ พอออกจากงานนั้นอาตมาเดินไม่ถึงกุฎิ มันเป็นลมตั้งแต่กลางทางก็เดินไปเรื่อย เดินไปกระทั่งถึงกุฎิแล้วก็นั่งลง คนก็ยังตามมาเป็นร้อยน่ะ ตามมาจะเอาพระ เราเองทั้ง ๆ ที่เป็นลมก็ว่ามันไปเรื่อย หูมันอื้อไปหมดแล้ว ไม่รู้ใครพูดอะไรบ้าง ลมมันออกหู คนมันก็ไม่สังเกตุเลยว่าพระหน้าซีดยังกะศพ คนมันรุมเข้ามาเป็นแสน ก็หายใจไม่ทันไง....เป็นลม ขนาดทหารเป่านกหวีดมันยังไม่ฟังเลย ไอ้ที่มันแหวกวงล้อมได้ กระโดดข้ามเคาน์เตอร์ไปเลย
      ถาม :  แต่หลังจากนั้นก็ได้มี รุ่นสอง รุ่นสาม
      ตอบ :  รุ่นสองได้น้อย รุ่นสามไม่มี รุ่นสามจะเป็นล็อกเก๊ต
      ถาม :  มีแแค่สองรุ่น
      ตอบ :  มีสองรุ่นสมเด็จองค์ปฐม ถ้ารุ่นถัดมาก็เป็นหลวงพี่นันต์ รุ่นหลวงพ่อยังอยู่มีแค่สองรุ่น ของหลวงพ่อนี่ มีอยู่รุ่นหนึ่งที่เป็นรุ่นสี่เหลี่ยมที่วิมาลีทำ แล้วหลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว วิมาลีเอาแอบซุกเข้าไปในพิธี
              หลวงพ่อท่านบอกว่าคลานออกมาเลย ท้าวมหาชุมภูบอกว่า สั่งไว้แล้วถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูป เขาตั้งไว้บูชากับบ้าน มีแค่พานบายศรีก็พอ แต่การพุทธาภิเษกพระเครื่องที่เขาติดตัวอยู่ มันจะช่วยสะเดาะห์ด้วย เครื่องบวงสรวงต้องเป็นชุดใหญ่ สั่งแล้วไม่จำ ถ้าไม่ใช่น้องจะล่อให้สลบเลย แค่คลานนี่เมตตาแล้ว หลวงพ่อท่านจำได้ แต่วิมาลีไม่เข้าใจ ก็ซุกเข้าไปไง สี่เหลี่ยมที่แบบทรงหลวงพ่อวัดปากน้ำ จะมีทอง มีเงิน มีทองแดง
      ถาม :  แล้วหลวงพ่อรู้ตอนไหนที่เขาแอบซุก ?
      ตอบ :  หลวงพ่อรู้ อีตอนคลานแล้วน่ะ แล้วเขามาถึงก็แจกพระคนละชุด ๆ หลวงพ่อบอก หลวงพี่ประทีป ว่าไปบอกพวกมันด้วยว่าเข้าพิธีใหม่ซะ หลวงพี่ประทีปก็ยังมีความหวัง บอกหลวงพ่อครับ มันไม่ติดสักนิดเลยหรือครับ (หัวเราะ) หลวงพ่อบอกเดี๋ยวถีบเลย พระท่านพูดคำไหนเทวดาท่านพูดคำไหนก็คำนั้น แล้วยังจะเอานิดหนึ่งอีก (หัวเราะ) ไม่ทัน....ท่านมรณภาพก่อนไม่ได้เข้าพีธีซ้ำ
      ถาม :  สรุปว่ารุ่นนั้นใครแขวน ก็ต้องไปเข้าพิธีใหม่ ?
      ตอบ :  รุ่นนั้นใครแขวนก็ต้องเข้าพิธีใหม่แล้วกัน น่าเสียดายว่ามีเหรียญทองคำด้วย ไม่ทัน... ท่านมรณภาพเสียก่อน เพราะว่าช่วงนั้นวันที่เป็นวันพฤหัสหรือเป็นพรหมประสิทธิ์ หลวงพ่อส่วนใหญ่จะพุทธาภิเษกพระพุทธรูปแก้ว คล้าย ๆ กับทำตุนไว้เพราะท่านรู้เวลาท่านหมดแล้ว คราวนี้พวกเวลาเขามีอะไรก็ยัดเข้าไปเรื่อย ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือ
      ถาม :  หลวงพี่ สมเด็จองค์ปฐมที่มีกริ่ง รุ่นที่สอง
      ตอบ :  รุ่นแรกมีรุ่นสองไม่มี รุ่นแรกมีกริ่งพอได้เขย่ากันใหญ่ หลวงพ่อบอกว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย เลยเลิกใส่กริ่งไปเลย กริ่งนั้นคือโลหะชนวนที่หล่อสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่
      ถาม :  คิดว่าเอาพระธาตุใส่ลงไป
      ตอบ :  ไม่ใช่ แต่รุ่นสองไม่มี เจาะไว้เฉย ๆ

      ถาม :  พระคำข้าวที่หลวงพ่อเสกครับ ท่านฉันก่อนแล้วค่อยเสก ?
      ตอบ :  ของหลวงพ่อท่านไม่ได้ฉันหรอก พระท่านมาถึงท่านก็ชี้เลย ว่าเอากับข้าวตรงนี้ เอาข้าวคำนี้ ๆ ท่านก็ตักเลย หลวงพ่อท่านถ่ายทอดวิชาให้ทุกคนอย่างแบบไม่มีการปิดปัง
              แต่พอถึงพระคำข้าวท่านบอกว่า ถ้าพวกคุณต้องการจะเรียน ผมไม่รู้จะสอนพวกคุณอย่างไร เพราะว่าพระท่านมาถึงท่านก็บอกว่า เอาข้าวตรงนั้น เอากับตรงนี้ เสกด้วยคาถาบทนี้ พอรุ่งขึ้นเปลี่ยนอีกแล้ว เอาข้าวอย่างนั้น เอากับอย่างนั้น คาถาอีกบทหนึ่ง บางทีคาถาซ้ำกันเจ็ดวัน บางทีไม่กี่วันก็เปลี่ยนอีกแล้ว ท่านไม่สามารถจะบอกได้ เลยกราบเรียนหลวงพ่อบอกไม่เป็นไรครับ หลวงพ่อทำไว้เยอะ ๆ แล้วกัน เดี๋ยวพวกผมตุนเอาไว้แจกเอง
      ถาม :  หางหมาก ก็เหมือนกันหรือคะ เคี้ยวไปเสกไป ?
      ตอบ :  หางหมากนั้นเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะว่าเรื่องของการเคี้ยวหมากนี่ เป็นการจับอิริยาบทและสัมปชัญญะไปในตัวด้วย ส่วนอีกอย่างก็คือ ของหลวงพ่อที่เคี้ยวหมากนี่เป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมาสงเคราะห์แล้ว ถ้าหากว่าพระท่านมาสงเคราะห์ หลวงพ่อท่านจะฉันหมาก
      ถาม :  อ๋อเหรอ เมื่อไหร่เคี้ยวหมากแสดงว่า...โอ้ย...ไม่เห็นรู้เลย ไม่เห็นมีใครบอกเลย
      ตอบ :  ฉลาด !เขารู้กันไปเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ไอ้เปอร์เซ็นต์เดียวนั่งอยู่นี่ (หัวเราะ) ที่ท่านเคี้ยวหมากเป็นสัญลักษณ์ว่าพระท่านมา มีอยู่วันหนึ่ง นั่งอยู่บนรถทัวร์ ได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ปื้ดอยู่ข้างหูแล้วกลิ่นมันหอมมา โห! มันอยากน้ำลายยืดเลย ตกใจ บอกหลวงพ่อครับ หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา แว่นตาก็ไม่เอานะครับ ท่านถามว่าไม้เท้าเอามั้ย เอาหรือไม่เอา โดนแน่ เงียบเสียดีกว่า ไม่น่าเชื่อ มันจะอยากได้ขนาดนั้น มันอยากน้ำลายยืดเลย แค่ได้กลิ่นน่ะ เราก็ตกใจตายละหว่า ถ้าตูต้องไปเป่ายานัตถุ์ มันคงทุเรศมากเลย ก็เลยบอกท่านว่าไม่เอาสักอย่าง สังเกตได้ ที่ออกนอกวัดไป ไม่ยานัตถุ์ก็หมากน่ะเจอกันแถวเลย ไอ้ของเรานี่ก็ยังดิ้นรอดมาได้อยู่ทุกวันนี้
      ถามหลวงตาวัชรชัยก็หมาก ?
      ตอบ :  ดูเอาเถอะ หลวงพี่อาจินต์อยู่ในวัดก็หมาก หรือยานัตถุ์ แต่ส่วนใหญ่หลวงพี่อาจินต์จะยานัตถุ์แล้วพี่แกถ้าเป่าแล้วกลัวคนจะรู้แกเล่นเปิดขวดดมเสร็จแล้วปิดใส่ย่าม (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วหลวงพี่วิรัชล่ะคะ ?
      ตอบ :  ไม่ทราบเหมือนกัน ต้องโดนจนได้แหละ ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
      ถาม :  หลวงพี่ด้วยมั้ยคะ ?
      ตอบ :  ก็บอกท่านแล้วว่าไม่เอา ถ้าอยากจะใช้งานอย่าให้ทำอย่างนี้ คือมันจะทำให้คนลงนรกอีกเยอะ พวกที่ไม่เข้าใจน่ะ มันไม่พูดก็ไม่ว่า พอพูดแล้วมันเป็นโทษกับมันเอง จะกลายเป็นว่า เอาไปวัดรอยเท้าหลวงพ่อเลียนแบบหลวงพ่อ ซึ่งทั้ง ๆ ที่หลวงพ่ออบรมพระในโบสถ์ ท่านบอกให้วัดรอยเท้าท่าน ท่านบอกว่าพระอรหันต์ทุกองค์ต้องปฎิบัติตามพระพุทธเจ้าถึงเป็นพระอรหันต์ได้นะ
              ท่านเองก่อนที่จะเป็นพระอรหันต์ที่ดีได้ ท่านก็ต้องวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ลอกแบบนักเทศน์ที่ดีเขา โดยการไปจำลีลา จำการเทศน์ของเขา ท่านบอกว่าถ้าใครเทศน์ดีบางทีท่านจำทั้งกัณฑ์เลย จำแบบเราท่องจำน่ะ ถึงเวลาก็เทศน์เลียนแบบ ออกลีลาดูว่าเหมือนเขามั้ย ท่านบอกว่านักเทศน์ถ้าหากประเภทที่เรียกว่า เทศน์ได้ไม่ถึงร้อยกัณฑ์นี่ยังเอาดีไม่ได้ ท่านบอกว่าให้ทุกคนวัดรอยเท้าซะ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครกล้าวัด ไอ้เรากระดิกทำอะไรไม่ได้หรอก เขากล่าวโทษว่าวัดรอยเท้าครูบาอาจารย์ ทั้ง ๆ ที่ครูบาอาจารย์สั่งให้วัดแล้ว
      ถาม :  ถ้าเขาไม่สั่งนี่ ต้องทำแบบนี้หรือเปล่า ?
      ตอบต่อให้ไม่สั่งก็ต้องทำ เพราะว่าถ้าไม่เลียนแบบครูบาอาจารย์จะไปเลียนแบบใคร ท่านบอกว่าท่านเอง ท่านก็ลอกแบบหลวงปู่ปานมา ไม่ลอกแบบครูบาอาจารย์จะไปลอกแบบแมวที่ไหน หลวงตาไง พอโดนสอบสวนมาก ๆ แกตบะแตก ก็กูลูกช้างก็ต้องขี้แบบช้าง จะให้กูขี้แบบหมาได้ยังไป ( หัวเราะ) หลวงตาตบะแตก พอหลวงตาขึ้นเสียง กรรมการสงฆ์ก็เงียบ เถียงหลวงตาได้มั้ยล่ะ ลูกช้างก็ต้องขี้ตามช้าง (หัวเราะ)
      ถาม :  แต่มองแบบนี้แล้ว ไม่ได้มองว่าวัดรอยเท้า จะมองว่ามันเหมือนติดวัตถุ เราไม่เคยติดอะไรเราก็เลยไม่รู้
      ตอบ :  ก็ลองดูซิ
      ถาม :  ไม่เอา (หัวเราะ)
      ตอบ :  พอถึงเวลาจะรู้ สมัยหลวงปู่ปาน หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟัง ไปถึงก็กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อครับทำไมหลวงพ่อเป่ายานัตถุ์ครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อฉันหมากครับ เอ้อ! แล้วเดี๋ยวข้าจะให้เอ็ง ท่านบอกว่าหลวงปู่ปานมรณภาพไม่ถึงเจ็ดวันหรอกมันไปควานหาเอง (หัวเราะ) อยากขึ้นมาใจจะขาดต้องเอา แล้วเสร็จแล้วท่านก็เข้าว่า เวลาพระท่านสงเคราะห์จะแสดงสัญลักษณ์ให้ไง ไอ้ของเราไม่เอาอะไรสักอย่างเดียว ก็เลยได้อย่างงี้มา แผลเป็นชัด ๆ เลย
      ถาม :  ตาที่สามเหรอคะ ?
      ตอบ :  ไม่ใช่ ตรงนี้น่ะ เห็นมั้ยล่ะ ต้ององค์ใหญ่ถึงจะชัด ไอ้ของเราอยากดื้อดีนัก ท่านก็เลยเฉาะหน้า
      ถาม :  แล้วมีตลอด หรือเฉพาะเวลาที่ท่านสงเคราะห์ ?
      ตอบ :  สงสัยมันจะตลอดไปเลย มันอยากไม่เอาดีนัก
      ถาม :  ก็ยังดีนะ ยังดูดี
      ตอบ :  (หัวเราะ) ไอ้โน่นก็เบี้ยวได้ ไอ้นี่ก็เบี้ยวได้ ไม่รู้ทำไง ขืนบอกว่าให้มันไม่เอาแน่ เฉาะกบาลมันซะเลย
      ถาม :  ถ้าพระติดบุหรี่นี่คงไม่เกี่ยวใช่มั้ย ?
      ตอบ :  ไม่แน่ อาจจะเกี่ยวก็ได้ ก็ต้องดูว่าไม่มีอะไรเลย อยู่ ๆ ก็อยากบุหรี่ขึ้นมายังงี้
      ถาม :  ปกติท่านก็ไม่สูบใช่มั้ย ?
      ตอบ :  เรื่องของบุหรี่นี่ ถ้าวินัยไม่ห้ามก็ไม่ต้องไปตำหนิใคร หานรกใส่ตัว มีรายหนึ่งคลาน ๆ ไปหาหลวงพ่อที่สายลม ไอ้เราก็นั่งอยู่ด้านข้างไปถึงก็หลวงพ่อครับผมว่าหลวงปู่แหวนนี่กระทั่งพระโสดาบันก็ยังไม่ได้เป็นเลยครับ หลวงพ่อบอกว่าแกเป็นหรือยัง ? ยังครับ แล้วเสือกไปรู้เรื่องเขาได้ยังไง ? บอกหลวงปู่แหวนสูบบุหรี่ บอกพอ ๆ ๆ ไอ้เรื่องควรหรือไม่ควร พระเขารู้ เรื่องของบุหรี่ เรื่องของยานัตถุ์ มันเป็นเรื่องของประสาทร่างกายต้องการ จิตท่านไม่ได้ต้องการหรอก
              แล้วอีกคนหนึ่งไปถามอะไร หลวงปู่ชอบวัดถ้ำผาบิ้ง วัดป่าสัมมานุสรณ์ หลวงปู่ชอบระยะหลังนี่ ท่านไปไหนต้องเข็นรถไป แต่ว่าท่านก็ยังสูบบุหรี่อยู่ คนก็ไปถามว่าหลวงปู่ทำไมไม่เลิก ? ท่านก็บอกว่าสูบมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ก็สูบจนตายนั่นแหละ (หัวเราะ) พระวินัยไม่ห้าม ไม่ต้องไปยุ่งกับพระเลย เพราะพระวินัยคือศีลพระ ห้ามแล้วท่านก็เลิกเอง
      ถาม :  แต่เฮโรอีน กัญชา ห้ามใช่มั้ย ?
      ตอบ :  อันนั้นไม่ได้ห้ามเหมือนกัน แต่พระพุทธเจ้าท่านมีมหาปเทส คือข้ออ้างใหญ่อยู่สี่ข้อ สิ่งใดไม่สมควร สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่ไม่สมควร ถือว่าไม่สมควร พระเขามีสติสัมปชัญญะจ้ะ นั่นไม่ใช่เพียงแต่ว่ามันผิดธรรมผิดวินัยหรอก มันผิดกฏหมายบ้านเมืองด้วย ใครเขาจะทำ ยกเว้นสมัยนี้เขาว่าสามหมื่นกว่าองค์ติดยาบ้าใช่มั้ย ? นิมนต์ท่านเหอะ