ถาม:  บางอารมณ์ ก็แบบคิดแล้วคิดอีก ให้ดีหรือเปล่า ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะครับ ?
      ตอบ:   ยังอยู่ในลักษณะเรียกว่า ยังมีความหวงอยู่ ในเมื่อยังมีความหวงอยู่ ก็จะเป็นให้ดีไม่ให้ดีว้า
      ถาม:   วันหนึ่งพอมันตัดได้หมด ?
      ตอบ:   มันก็จะเหมือนกับอาตมานั่นแหละ มีเท่าไหร่ให้เท่านั้น
      ถาม:   อย่างนี้ถ้าเกิดลงมามีลูกมีเมีย คนที่จะมาเป็นลูกเป็นเมียเราก็ต้องคิดก่อน ?
      ตอบ:   ควรจะเป็นไหม ก็ขนาดลูกเมียยังให้เป็นทาน ลูกเมียให้เป็นทาน สมัยนี้ไม่ค่อยเห็นคุณค่า เพราะว่าไม่รักกันจริง อย่าลืมว่าบุคคลที่เขารักกันขนาดที่ว่า แม้แต่น้อยหนึ่งก็ไม่เคยกระทบกระทั่งกันมาอย่างนี้ ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตลอด อย่างพระนางมัทรี ท่านอยู่ในลักษณะของพระราชินี แต่สามีโดนไล่ออกป่า ก็ยอมตกระกำลำบากไปลำบากด้วย ภรรยาขนาดนี้ มีใครสละได้บ้าง
      ถาม:   แหม ไม่น่าเลยนะครับ อุตส่าห์แช่งกันมาชาติก่อน ปัจจุบันรักกัน ตอนแรกยังไม่นึกเลยว่าเป็นองค์ปัจจุบัน อดีตพี่สะใภ้กับน้องชาย ?
      ตอบ:   ตอนเป็นพระเจ้ากุสราช ตอนชาตินั้นท่านอาศัยอยู่กับพี่สาว พี่เขย พระปัจเจกพุทธเจ้าไปบิณฑบาต พี่สะใภ้มีหน้าที่ทำอาหาร ก็จัดแจงทอดขนม ก็คงโรตีนั่นแหละ จัดแจงทอดขนมของน้องสามี ของสามี ของตัวเอง เจอพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบิณฑบาตเข้าก็ดีอกดีใจ เอาขนมส่วนของตัวเอง ไปใส่บาตร ใส่แล้วก็อย่างว่าคนกำลังปีติ รู้สึกว่าไม่พออยากทำอีก ก็เอาส่วนของสามีใส่ไปด้วย เสร็จแล้วตัเวองก็รีบไปทอดใหม่ ปรากฏว่าไม่ทันเขากลับจากทำงานหิวหน้ามืดมาแล้ว สามีก็พอว่าได้หรอก พอบอกว่าเอาไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า น้องสามีด่าเช็ดเลย ในเมื่อด่าเช็ดก็ด่าไป พอดีทอดขนมเสร็จ พระปัจเจกพุทธเจ้าก็อย่างกับท่านแกล้ง ท่านยังไม่ไป ด่าไปด่ามา พี่สะใภ้ยัวะขึ้นมาก็เลยคว้าขนมตัวเองที่เพิ่งทอดใหม่นั่นแหละ วิ่งไปหาพระปัจเจกพุทธเจ้า ใส่บาตรอีก สาธุ ผลบุญนี้ เกิดชาติหน้าฉันใด อย่าได้เจอน้องสามีงี่เง่าอย่างนี้เลย พระเจ้ากุสราชชาตินี้ได้ยินก็ยัวะ คว้าขนมของตัวเองไปถึงก็ใส่บาตรแล้วอธิษฐาน สาธุ อานิสงส์ครั้งนี้ เกิดชาติใดขอให้ได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย เรียบร้อย เขาอธิษฐานทีหลังได้เปรียบ ตกลงวันนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ทราบฉันโรตีไปกี่อัน ก็ขนาดชาติที่เป็นพระเจ้ากุสราช ท่านยังไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเลย ท่านเป็นคนหาบน้ำขายเท่านั้นเอง คราวนี้พระเทวีอยู่บนปราสาทชั้น ๗ มองลงมาเห็นก็รักเลย โอ้โห เหลือเชื่อ
      ถาม:   ไม่ใช่คู่บารมีกันหรือครับ ?
      ตอบ:   จริง ๆ ก็คือท่านนั่นแหละ พอหลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ต้องเกิดมาเป็นคู่เขาทุกชาติ ถามหลวงพ่อว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้นล่ะครับ ท่านบอกว่ามี ๒ อย่างด้วยกัน ประการแรก พระโพธิสัตว์กำลังใจท่านเข้มแข็งกว่า ในเมื่อกำลังท่านเหนือกว่าก็ต้องดึงเขาไป อีกประการหนึ่งเขาอธิษฐานทีหลัง มันได้เปรียบอยู่แล้ว
              เพราะฉะนั้นอธิษฐานบารมีนี่อย่าออกเสียงดัง เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน ขอให้ข้าพเจ้ารวยที่สุดในโลก ไอ้นั่นมันก็บอกว่าขอให้ข้าพเจ้ารวยกว่ามันหน่อยหนึ่ง ไม่เอาที่สุดในโลก
      ถาม:   .....................................?
      ตอบ:   ก็เมื่อครู่นี้ โยมคนหนึ่งเขาเขียนหนังสือเล่มหนึ่งกำลังพิมพ์ขายอยู่ เอามาถวายก่อนแล้วเขาถามปัญหา ๒ ข้อ ข้อแรกก็คือว่าพระพุทธเจ้าเป็นคนไทย ปรินิพพานที่เมืองไทยจริงไหม ถ้าเป็นคนไทยนั้นจริง แต่ปรินิพพานที่เมืองไทยไม่ใช่ เพราะเมืองไทยตอนนั้น ถือเป็นปัจจันตชนบท คือว่าเขตมันต่อเนื่องกัน แต่ว่าเขานับชมพูทวีป เป็นอีกเขตหนึ่ง ถ้าหากว่าชมพูดทวีปเป็นมัธยมประเทศกับปัจจันตประเทศ ถือว่าเป็นประเทศเดียวกันก็ได้ แต่ว่าจุดที่ท่านปรินิพพานจริง ๆ ปัจจุบันนี้มันไม่ใช่เขตไทย เขาคิดว่าจะเป็นที่พระแท่นดงรัง ไม่ใช่ พระแท่นดงรังไม่ใช่แน่นอน อาตมายืนยัน ยันเป็นยันตาย ถ้าหากว่าหลวงพ่อพูดนี่ชัวร์ แต่ยืนยันว่าไม่ใช่แน่ ขนาดอาตมาเองยังบอกว่าไม่ใช่ หลวงพ่อก็ต้องบอกว่าไม่ใช่แน่
      ถาม:   แล้วท่านปรินิพพานที่ไหนล่ะครับ ?
      ตอบ:   กุสินารา ใคร ๆ ก็รู้
      ถาม:   ปัจจุบัน ที่อินเดียนั่นเหรอครับ ?
      ตอบ:   ที่อินเดียนั่นแหละ
      ถาม:   เป็นคนไทย ?
      ตอบ:   เป็นคนไทยนี่ใช่ เพราะว่ามีอรรถกถาอยู่ตอนหนึ่งที่ว่า หมอชีวกโกมารภัจจ์ มาเที่ยวสุวรรณภูมิแล้วกลับไป กราบทูลให้พระพุทธเจ้าทราบว่า คนสุวรรณภูมิเป็นคนประเภทไหน พูดจายังไง พระพุทธเจ้าท่านก็เลยตรัสภาษาสุวรรณภูมิ ในเมื่อตรัสภาษาสุวรรณภูมิ ท่านถามว่าได้ด้วยปฏิสัมภิทาญาณหรือว่าอะไร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่ากบิลพัสดุ์ใช้ภาษานี้อยู่แล้ว
              อันนี้ยืนยันได้ว่าท่านเป็นคนไทย ส่วนอีกข้อหนึ่งนี้เป็นลำดับชาติของตัวเขาเอง แต่ละชาติ พ.ศ.อะไร เกิดเป็นอะไร ไล่มา ๆ ก็บอกเขาว่า อันนั้นมันไม่สำคัญหรอกว่าเราเกิดเป็นใคร สำคัญอยู่ตรงที่ว่ามันทุกข์พอหรือยัง
      ถาม:   เขาเขียนหนังสืออะไรขาย ?
      ตอบ:   อนินทิตปุระ อรุณรุ่งแห่งอารยธรรม
      ถาม:   ระหว่างที่เราจับลมหายใจ ระหว่างที่เรารู้ลมหายใจด้วย แต่บางทีมันหนักและเราก็หายใจหนัก ๆ เอง อย่างนี้ก็ยังถือว่าระลึกรู้ลมหายใจอยู่หรือเปล่า ?
      ตอบ:   ใช้ได้ คือให้สติมันอยู่กับลมแล้วกัน เพราะว่าสภาพหายใจหนัก หายใจเบา อันนั้นอยู่กับว่าร่างกายตอนนั้นมันต้องการแค่ไหน
      ถาม:   แต่เวลาทรงสมาธิ มันก็สบาย แต่บางทีมันเหมือนหายใจไม่เต็มท้อง มันเหมือนอึดอัด ?
      ตอบ:   เขาห้ามไปสนใจกับมัน ช่างหัวมัน
      ถาม:   อ๋อ พอร่างกายมันกระทบ มันไปเอง เราก็รู้อยู่ว่ามันกระทบ มันไปเอง ?
      ตอบ:   แค่นั้นแหละ รู้ไว้เฉย ๆ ถ้าไปสนใจอาการของมัน มันจะไม่ก้าวหน้า
      ถาม:   ....................................?
      ตอบ:   ทราบว่าจะทำบุญ ช่วงที่ดีใจเป็นตัวปีติ แต่พอทำไป ๆ กำลังเกินปีติไปแล้วเป็นฌาน พอเป็นฌาน คราวนี้กำลังของฌานจะมีตัวอุเบกขาอยู่ ก็จะเป็นเฉย ๆ ก่อนหน้านี้ แหม ทำบุญแต่ละทีมันชื่นอกชื่นใจ ทำแล้วทำอีก ไม่รู้เบื่อไม่รู้หน่าย แต่ปัจจุบันทำไปงั้น ๆ เองแหละ แต่ก็ทำอยู่ตลอด คือตอนนี้เป็นฌานของทานบารมีไปแล้ว
      ถาม:   แต่บางทีก็รู้สึก เออ ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้ ?
      ตอบ:   ก็นั่นแหละ พอเป็นฌานการควบคุมมันเริ่มมั่นคงขึ้น คราวนี้จะอยู่ระดับที่รู้ว่าดีก็ทำ รู้ว่าชั่วก็ละ
      ถาม:   ..............................?
      ตอบ:   ยิ่งปีติมาก ยิ่งผลบุญมาก ตัวปีติกับผลบุญนั้นจะอยู่ในระดับกามาวจรเท่านั้น คือถ้าหากว่าเป็นพวกยังต้องเวียนตายเวียนเกิดอะไรอยู่มาก ก็จะมีผลในระดับนั้นมาก แต่ถ้าเกินนั้นขึ้นไป อย่างต่ำ ๆ ก็ต้องเป็นพรหม พรหมนี่จะเลยจุดกามาวจรไป เพราะว่าท่านต้องอยู่โดดเดียวเอกา ถ้าหากว่าเป็นพรหม พระอริยเจ้า หรือว่าเข้านิพพานไปเลยก็เป็นอันว่าจบไปเลย
              ดังนั้นว่าการทำบุญ ถ้าหากว่าต้องการอานิสงส์คือผลได้มาก ถ้าปีติมากผลบุญก็มาก แต่จริง ๆ แล้วฌานเกินปีติ เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าฌานเกินปีติน่าจะดีกว่า เป็นการทำที่ไม่หวังผลไปแล้ว ในเมื่อเป็นการที่ทำไม่หวังผล ถ้าหากว่าไปพูดถึงเรื่องของผลบุญ อะไรที่ต้องการ จริง ๆ มันน่าจะมากกว่า แต่สภาพจิตถ้าปีติผลบุญจะสูง ทำไปเถอะดีกว่าเยอะเลย เพราะเป็นการทำในลักษณะปล่อยวา งทรงฌานในทานบารมีย่อมสูงกว่าปีติอยู่แล้ว
      ถาม:   การใช้คาถาท่านปู่พระอินทร์ในการสอบ
      ตอบ:   ปัญหาถามว่ารูปแบบของการเทศน์ในปัจจุบันนี้มีที่มาอย่างไร เดี้ยงเลยคุณเอ๋ย หนังสือไม่ได้อ่านสักตัว ก็ต้องยอมเชื่อความรู้สึกแรก พอถึงเวลามันเหนื่อยเหมือนกับว่ามีกำลังบางอย่างลงตรงกลางกระหม่อม พอกำลังออกมาถึงมือ ๆ มันไปเอง ในลักษณะที่เราห้ามไม่ได้ด้วย มีอย่างเดียวก็คือ พยายามเบรคให้มันช้า ๆ หน่อย เพราะว่าถ้าเขียนเร็วไปลายมือไม่ดี บางทีกรรมการตรวจขี้เกียจอ่าน พระสอบกันทีเป็นร้อย ๆ ถ้าเขาขี้เกียจอ่านเราจะเสียประโยชน์เอง ก็เลยต้องค่อย ๆ บังคับมือให้มันช้าลงหน่อย อาศัยความจำดีก็เลยจำตอบไป พออกจากห้องสอบไปเปิดเฉลยดูเกือบหงายท้อง ตรงทุกคำตรงทุกอักษร ถ้าเขาจับว่าลอกข้อสอบเถียงเขาไม่ได้เลย ถ้าคุณไม่ลอกเขียนได้อย่างไร เหมือนทุกคำเลย นั่นแหละคือต้องเชื่อกันขนาดนี้ ตอนนั้นที่ยอมเชื่อเพราะไม่ได้อ่าน เพราะป่วยอยู่ กลายเป็นว่าเชื่อแล้วได้ดี
      ถาม:   แล้วเราจะใช้กับคาถามนี้กับกรณีที่เราเข้าเรียนด้วย ใช้ไปด้วยก็ได้หรือครับ ?
      ตอบ:   ปกติควรจะใช้ให้เป็นประจำทุกวัน มีอย่างท่านหนึ่งจำชื่อไม่ได้ ทำดอกเตอร์อยู่ ท่องก่อนไปเรียน พอเรียนจบแล้วก็ท่อง ๆ ก่อนอ่านหนังสือ เสร็จแล้วก็ท่องอีกรอบ เขาทำอย่างนี้นั่นแสดงว่าเขาเอาจริง คาถาท่านปู่พระอินทร์ อาตมายืนยันเลยว่าเห็นผลชัด ๆ ตอนงานนั้นเอง งานอื่นเราก็ไม่แน่ใจตัวเอง หัวดี งานนั้นไม่ได้อ่านเลย ดีแค่ไหนมันก็ไม่ได้หรอก จำเป็นต้องยอมท่าน
              ปรากฏว่าพอยอมทำตามเข้าจริง ๆ ทุกอย่างมันได้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์ คือเราต้องการแค่นี้ได้เกินที่ต้องการเยอะเลย เป้นอันว่าสอบได้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ่านหนังสือ ไปกราบเรียนหลวงปู่ ท่านบอกคุณเก่งนะ ผมตกตั้ง ๑๒ ปี ตกจนกระทั่งเขาถามว่าจะเรียนไปทำไมครับหลวงตา ผมบอกว่าเรียนเอาบุญ อันนี้หลวงปู่พูดเองจำแม่นเลย เรียนเอาบุญ ต่อไปก็น้อมใจเชื่อท่าน ว่าอย่างไรเชื่อไปเถอะ
              มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่สอบนักธรรมโทหรือนักธรรมเอกก็ไม่ทราบเหมือนกัน ไปเข้าห้องน้ำ พอไปเข้าห้องน้ำเสียงบอกชัด ๆ อยู่ข้างหู บอกเป็นภาษาบาลียาวเลย เราก็รู้ว่าต้องออกตรงนี้แน่ แต่ก็นิสัยเหมือนกับคุณนั่นแหละ ช่วงนั้นมันยังไม่เชื่อจริง เมื่อไม่เชื่อจริงก็ดูผ่าน ๆ ข้อนั้นไป โดนหักไป ๕ คะแนนเพราะว่าเขียนบาลีผิดไปคำหนึ่ง ไม่ได้ดูละเอียดเหมือนกัน แสดงว่าเรามันพวกเดียวกัน ไม่ค่อยดูละเอียด ขนาดได้ยินเต็มสองหู แล้วเสียงบอกชัด ๆ เลย หลวงปู่ตอนที่ท่านสอบชิงทุนไปเรียนต่างประเทศ ท่านก็ได้ยินเสียงพระแก้วมรกต บอกชัด ๆ เต็มสองหู ตอนนั้นท่านเชื่อ พอท่านเชื่อท่านก็จัดแจงตั้งหน้าตั้งตาซ้อมทำไว้ก่อน ถึงเวลาออกจริง ๆ คนซ้อมไว้ก่อนเต็มที่ออกมาก็หวานล่ะ ของเราตอนนั้นมันยังไม่เชื่อเต็มที่ ของคุณก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นให้เจอสักทีสองทีก็เชื่อไปเองแหละ ต้องทำเหมือนอาตมาไม่มีอะไรให้พึ่งแล้ว ในเมื่อไม่มีที่ให้พึ่งแล้วก็จำเป็นต้องเชื่อความรู้สึกนั้น
      ถาม:   จะต้องสวดกี่จบครับ ?
      ตอบ:   ตามตำราท่านบอกว่า รับกระดาษมาอย่าเพิ่งอ่าน ให้คว่ำลง ตั้งใจขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ทำข้อสอบได้ถูกต้องและถูกใจคนตรวจด้วย หลังจากว่าคาถา ๓ จบ แล้วเปิดคำถามขึ้นมาอ่าน ถ้ายังไม่มั่นใจว่าจะตอบได้ทั้งหมด ให้คว่ำกระดาษลงและว่าอีก ๓ จบ คราวนี้นึกจะทำอย่างไรก็ทำไปเลย อาตมาเป็นคนขึ้เกียจและก็นอกคอกประจำ คว่ำลงก็ลุยไป ๑๐ จบ ทีเดียวเลย ๒ ขยักไม่ชอบ
      ถาม:   หมายความว่าต้อง ๑๐ จบหรือครับ ?
      ตอบ:   ก็แล้วแต่ จะสวดสัก ๑๐๘ ก็ได้ไม่มีใครว่าหรอก เขาก็คงว่าเรานั่ง คิดว่าจะเขียนอย่างไร แต่อย่าเผลอหลับ เดี๋ยวจะเหมือนคุณศัลยา ลูกสาวนั่งหลับในห้องสอบ ออกมาเจ็บใจมาก ข้อสอบทำได้แท้ ๆ แต่เผลอหลับเวลาหมด ดูหนังสือหามรุ่งหามค่ำ บอกแล้วบอกอีกว่าอย่าไปทำอย่างนั้น มันเสียสุขภาพ ดูยันสว่างแล้วไปสอบเผลอหลับ แทนที่จะได้เกรด ๔ เลยได้ ๒ กว่า ๆ
      ถาม:   ถามได้ทุกเรื่องใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:   ถามได้ทุกเรื่อง แต่จะตอบได้หรือเปล่าไม่ทราบ บอกไว้ก่อน เดี๋ยวตอบไม่ได้จริง ๆ
      ถาม:   อย่างคาถาโสตัตตะภิญญานี่ล่ะครับ เวลาเข้า-ออกนี่แบ่งอย่างไรครับ หรือเข้าหมดเลย แล้วออกหมดเลย
      ตอบ:   แล้วแต่เราถนัด อยู่ที่ตัวเราถ้าเราสะดวกก็ว่ายาวไปเลย ถ้าไม่สะดวกก็แบ่งคำเอาเอง แล้วแต่ว่าเรากำหนดลมหายใจได้สะดวก หรือเรากำหนดลมหายใจไม่สะดวก ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ๆ เขาอาจจะกำหนดเข้า-ออกหมดได้ แต่เรารู้สึกว่ายาวไปเราก็แบ่งครึ่งเอาก็ได้
      ถาม:   ถ้าเกิดว่าเราท่องไปสักพัก แล้วเรารู้สึกว่าไม่อยากจับแล้วล่ะครับ แต่อยากจับแก้วไปเรื่อย ๆ แต่ว่าในหนังสือของท่านบอกว่าให้เพิกนิมิต แล้วให้ใช้ลมหายใจ ก็พยายามหลบนิมิตใช้แต่ลมหายใจ พอเผลอทีไรแก้วมาอีกแล้ว อย่างนี้ครับ
      ตอบ:   ก็ให้มา ใครว่าอะไรล่ะ เวลาแก้วมาพยายามน้อมให้ภาพนั้นเข้ามาอยู่ในอก จับภาพนั้นให้ใสชัดเจนจริง ๆ คราวนี้ตัวมันจะเริ่มลอยขึ้น ฟังให้ดี ๆ นะ ที่เราทำมานั่นน่ะเราไปโยนของดีทิ้งเสีย พอแก้วมาอยู่ในอก ถ้าเราจับภาพจนใสชัดเจน ตัวมันจะเริ่มลอยขึ้น เมื่อเริ่มตัวลอยขึ้นคราวนี้บังคับให้ลอยช้า ๆ ก่อน เอาในห้องนั่นแหละไม่ต้องไปที่อื่น เดี๋ยวคนแตกตื่นกันหมด พอมันลอยช้า ๆ จนกระทั่งเราทำคล่องตัวและมั่นใจ คราวนี้ก็ไปไกลได้ จำเอาไว้นะ ดึงมันเข้าไปในอก
      ถาม:   ดึงเข้ามาในอก แต่ผมออกนอกหมดเลยครับ
      ตอบ:   ใช่ ถ้าหากว่าไม่เห็นแก้วก็จะเห็นเป็นแสงสว่าง เป็นเส้น เป็นสาย เป็นแผ่นเป็นผืน เป็นจุดเป็นแต้ม อะไรก็ตามดึงมารวมในอก ก็จะเป็นลักษณะลูกแก้ว จะสีทองหรือสีขาวใสก็ตามเอาทั้งนั้น ถ้าดึงเข้ามารวบรวมเป็นดวงในอกได้เมื่อไหร่ตัวจะเริ่มลอยขึ้น ของเรามันยังปล้ำกับมันไม่พอ ก็เลยไม่รู้เคล็ด บอกให้แล้วไม่ต้องไปคลำเอง แปลกใจทำมาตั้งนานทำไมไม่ได้เสียที มันผิดไปหน่อยเดียว
      ถาม:   แต่ถ้าพูดถึง ถ้าเกิดเราไม่คิดอย่างนี้ เอาออกไปข้างนอก นี่ก็คือเอาบุญเหมือนกัน
      ตอบ:   ถ้าหากว่าภาพอยู่ข้างนอกเป็นรูปฌาน ถ้าอยู่ข้างในอรูปฌาน กำลังมันต่างกันเยอะ เรื่องนี้ไม่ต้องไปนั่งเถียงและไม่ต้องไปนั่งคิด มันจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน เอาเข้ามาให้ได้ก็แล้วกัน แล้วตัวมันจะเริ่มลอย
      ถาม:   ก็คล้าย ๆ กับที่ผมเคยได้ ตอนนั้นผมก็งี่เง่าอยู่ด้วย
      ตอบ:   คนยังไม่เข้าใจวิธี เรียกว่างี่เง่าไม่ได้หรอก
      ถาม:   ตอนนั้นหลวงพี่อาจินต์ ธัมมจิตโต ท่านก็พูดอย่างนี้ครับ แต่ท่านพูดสอนรวม ๆ แล้วผมไม่ได้จำ ท่านบอกว่านั่งแบบนี้มโนมยิทธินี่ กราบพระเสร็จปุ๊บแล้วดึงดวงแก้วออกมาจากตัวเอง และก็อธิษฐานให้ตัวข้างในหายเข้าไปในแก้ว ผมก็ลองทำอย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง ปรากฎว่านั่งแล้วมันนิ่งดี แล้วมาเปิดหนังสือเขาเรียกว่า อรูป ผมก็ไม่รู้อะไร มันเรียกอะไรก็ช่าง
      ตอบ:   เออ! ความจริงทำถูกแล้ว เพียงแต่เราไม่ได้ทำให้ต่อเนื่องเท่านั้นเอง เราไปทำแล้วทิ้ง ทำแล้วไม่ทิ้งกำลังมันพอไปนานแล้ว
      ถาม:   ทำอย่างที่ว่านี้ใช่ไหมครับ ?
      ตอบ:   นั่นแหละ ถึงเวลาวาระก็ภาวนา ”โสตัตตะภิญญา” ของเราไปเรื่อย ถ้าเห็นภาพดวงแก้วเมื่อไหร่ พยายามน้อมเข้ามาในอกให้ได้ เข้ามาอยู่ในอกเมื่อไหร่เป็นอันว่าเริ่มลอยได้แล้วว ถ้ากลัวไปไกลก็เอาเชือกล่ามไว้ มันลอย ๆ มากจริง ๆ หลังคงหลังคามันพุ่งไปเลย ตอนแรกเราก็ตายล่ะหว่า ต้องซ่อมหลังคาแน่เลย ปรากฎว่ามันออกไปในลักษณะไหนหลังคาปกติทุกอย่าง
              คราวนี้โยมเขารู้ ตอนนั้นโยมศุภาภรณ์ ปุษยะนาวิน อดีตภรรยาของหลวงตาวัชรชัย ท่านอยู่ติด ๆ กัน เราพักอยู่ตึกกองทุน ท่านพักอยู่ตึกเป๊บซี่ ตึกบายศรีนั่นแหละ ไม่รู้ว่าแกไปแอบเห็นตอนไหน วันนั้นเดินผ่านแกก็แซวเอา หลวงพี่ระวังนะตอนออกไปครึ่งตัวแล้วกำลังมันลด มันก็ติดกระด๊อกกระแด๊กอยู่นั่นแหละ จริง ๆ แล้วมันไม่เป็นไรหอรก เคยมีอยู่ครั้งหนึ่งว่ากำลังใจมันลด ๆ ตรงที่ว่าของเราเองเพิ่งจะใหม่ ๆ มันยังไม่ชิน พอมันลอยวูบขึ้นไปเกิดความกลัวขึ้นมานิดหนึ่งกำลังใจก็เลยลด ตัวเลยติดเพดานเป็นจิ้งจก มันทะลุไปไม่ได้ คราวนี้ลำบากเพราะติดอยู่อย่างนั้น จมูกบี้หายใจไม่ได้ต้องขยับกันอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมลงมา น่าสนุกไหม ? อันนี้ยังไม่เท่าไหร่ มีคนเก่งกว่าอาตมาเยอะเลย เป็นฆราวาสด้วย
              ตอนนั้นอาตมาบวชพระ เขาไปทั้งเตียงเลย นอนภาวนาอยู่บนเตียง เขาบอกว่าเขารู้สึกเหมือนฝัน ไปทั้งเตียงเลย แต่เตียงหนักหรือยังไงไม่รู้จึงลอยไปสูงไม่ได้ มันก็เลยเลียบ ๆ ดงหญ้าไป มันดึกหลังเที่ยงคืนแล้วก็มีน้ำค้างลง พอกลับมาที่เดิมผ้าห่มเปียกโชกไปทั้งผืนเลย นอนสั่นแหง็ก ๆ อยู่พักใหญ่