ถาม:  พอดีอธิษฐาน หน้าพระทุกเช้าว่า ขอให้ลูกเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มีญาณเข้มแข็งยิ่ง ๆ ขึ้น สามารถช่วยเหลือบุคคลที่ควรช่วยเหลือได้ ห่างไกลจากนักเลงอันธพาล บุคคลเหล่านี้ขอให้ถอยห่างไกล หนูก็อธิษฐานทุกวันเลยเจ้าค่ะ พระท่านจะเบื่อมั้ยเจ้าคะ ?
      ตอบ:   ไม่เบื่อจ้ะ ทุกชั่วโมงได้ยิ่งดี อันนี้เผื่อเหนียวไว้ ประเภทเดียวกับสุนทรภู่ สุนทรภู่ท่านว่า
              “ขอเดชะพระเจดีย์คิรีมาศ บรรจุธาตุที่ตั้งรังสรรค์
              ข้าอุตส่าห์มาเคารพอภิวันท์ เป็นอนันต์อานิสงส์ดำรงกาย
              (ตอนนี้เขาอธิษฐานแล้วนะ)
              จะเกิดชาติใดใดในมนุษย์ ให้บริสุทธิ์สมจิตที่คิดหมาย
              ทั้งทุกข์โศกโรคภัยอย่าใกล้กราย (เป็นไปได้ยาก หัวเราะ)
              แสนสบายบริบูรณ์ประยูรวงศ์
              ทั้งโลโภโทโสแลโมหะ ให้ชนะใจได้อย่าใหลหลง (อันนี้ยิ่งยากใหญ่)
              ขอฟุ้งเฟื่องเรืองวิชาปัญญายง ทั้งให้ทรงศีลขันธ์ในสันดาน
              อีกสองสิ่งหญิงร้ายแลชายชั่ว อย่าเมามัวหมายรักสมัครสมาน
              (อันนี้เขารอบคอบกว่าเรานะ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย เขาไม่เอาเลย)
              ขอสมหวังตั้งประโยชน์โพธิญาณ ตราบนิพพานชาติหน้าให้ถาวรฯ”
              นิมนต์เถอะ ตูไม่ไปด้วยหรอก นิพพานชาติหน้า (หัวเราะ)
      ถาม :  เกิดชาติหน้านิพพานเลยซิครับ อธิษฐานอย่างนี้ ?
      ตอบ:   ชาติหน้าของเขา คืออนาคตกาล ไม่รู้มันหน้าไหน อธิษฐานได้จ้ะ พระท่านไม่รำคาญหรอก ตัวอธิษฐานบารมีเป็นตัวตั้งใจมั่น ปักความตั้งใจของเราให้มั่นคง ถ้าหากว่ากำลังบุญมันถึง สิ่งเหล่านั้นจะเป็นจริงทันที
      ถาม :  ท่านไม่เบื่อนะเจ้าคะ ?
      ตอบ:   ไม่เบื่อจ้ะ นี่ยืนยันว่าไม่เบื่อจ้ะ
      ถาม :  แล้วหลวงพี่ว่าอธิษฐานอย่างไรเจ้าคะ ?
      ตอบ:   ขอให้มีความเป็นอยู่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังทุกประการ คำว่าไม่มีขออย่าได้มีในชีวิต ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน และขอให้ถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
      ถาม :  สาธุ (หัวเราะ)
      ตอบ:   เฮ้ย! สอนให้อธิษฐาน (หัวเราะ) มันเล่นมักง่ายเลยนี่หว่า มัวแต่สาธุอยู่ มันเลยลืมหมดเขาอธิษฐานอะไร (หัวเราะ)
      ถาม :  ในบางครั้งเจ้าค่ะ เราไปเจอผู้ป่วย แล้วเราบอกอาการถูกหมดเลยเจ้าค่ะ ว่าเขาป่วยตรงไหน แต่ไม่รู้จะแก้อย่างไรเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดีคะ ?
      ตอบ:   ถามท่านปู่หรือไม่ก็พระพุทธเจ้าโดยตรงจ้ะ ท่านปู่ดีกว่า งานของท่านโดยตรง กำหนดใจถามท่าน แต่ทีนี้ในคัมภีร์เวชศาสตร์วรรณา ท่านบอกแล้วว่า โรคบางอย่าง รักษาหรือไม่รักษา ก็หาย โรคบางอย่างต้องรักษาถึงหาย ถ้าไม่รักษาจะตาย โรคบางอย่าง รักษาหรือไม่รักษา ก็ตาย ถ้าถามตรงท่านปู่ ถ้าท่านบอก รักษาได้ ยาอะไรก็ถามต่อเลย แต่ถ้าท่านบอกไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลาถาม ไอ้นั่นไม่รอดแน่
      ถาม :  พอปู่ท่านบอกมา ไม่กล้าบอกยาเจ้าค่ะ ทำอย่างไรดีเจ้าคะ ? อยากเรียนให้ผ่านได้ใบประกอบโรคศิลป์ก่อนเจ้าค่ะ
      ตอบ:   ก็กล้า ๆ หน่อยจ้ะ ตอนนี้เอาแค่ว่า อธิษฐานบอกท่านว่า ถ้าหากว่ามันไม่ใช่บุคคลที่เนื่องกันจริง ๆ อย่าเพิ่งให้เขามา เพราะถ้าไม่ใช่บุคคลที่เนื่องกันมาจริง ๆ เกิดอะไรขึ้นมา ท่านจะฟ้องร้องเราได้ ถ้าบุคคลที่เนื่องกันมาจริง ๆ พวกนี้เขาเชื่อเราอยู่แล้ว แล้วหลังจากนั้น เรียนจบแล้วค่อยกวาดมันให้หมด
      ถาม :  กลัวเจ้าค่ะ คงไม่กล้ากวาด หลบไว้ก่อน
      ตอบ:   จ้า หนีไปเถอะ เดี๋ยวก็เหมือนกับอาตมา ต้องใส่แว่นจนได้ ตอนแรกแว่นก็ไม่เอา หมากก็ไม่เอา ยานัตถุ์ก็ไม่เอา
      ถาม :  ..........................?
      ตอบ:   มันหนีไม่พ้นจริง ๆ เพราะว่ายิ่งนานไป คนที่ต้องการนิพพานยิ่งมากขึ้น การพาคนไปนิพพาน เท่ากับเป็นการตัดกรรมใหญ่ทั้งหมดของเขา ในเมื่อตัดกรรมใหญ่ทั้งหมดของเขา มันก็มาลงคนนำไปนั่นแหละ
      ถาม :  เศษกรรมมันมาตีหน่อยเดียว ?
      ตอบ:   หน่อยเดียว น่วมเลย
      ถาม :  .............................?
      ตอบ:   หน้าที่ไม่มีใครอยากทำหรอก อาตมาเองยิ่งตัวเบี้ยวเลย แต่มันถึงวาระถึงเวลา มันเบี้ยวไม่ได้ ก็ยังสงสัยอยู่ อย่างงานปัจจุบันนี้ มันใช่งานของเราซะเมื่อไหร่ล่ะ ถามหลวงพ่อว่า แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะครับ ผมรู้ว่างานของผมไม่ใช่อย่างนี้ ท่านบอกว่าก็คนที่มันจะทำจริง ๆ ให้ได้อย่างเอ็งมันไม่มี ก็จำเป็นต้องเอาเราไว้ก่อน นี่เราแค่เล่นแทนเขาเท่านั้นแหละ เล่นจนจะกลายเป็นตัวจริงอยู่แล้ว เจ้าของงานเขาไม่มา พระเอกเขาไม่มา เขาก็เอาตัวประกอบมาเล่นแทน เล่นไปเล่นมาจนคนหลงคิดว่าเป็นพระเอกไปซะแล้ว
      ถาม :  เรื่องการติดธงท่านปู่พระอินทร์ นะเจ้าคะ ?
      ตอบ:   หน้าธงให้หันไปเหนือหรือตะวันออก
      ถาม :  ติดหน้าบ้านนะเจ้าคะ
      ตอบ:   ไม่จำเป็นต้องหน้าบ้าน คือหน้าบ้านหันไปทิศเหนือหรือตะวันออก ก็ติดหันออกไปเลย ถ้าหากว่าไม่ได้ ก็ติดด้านอื่นที่หันไปเหนือหรือตะวันออก ตะวันออกเฉียงเหนือก็ได้
      ถาม:   เพราะว่าแถวบ้าน นักเลงอันธพาลเยอะ ช่วยกันได้ไหมคะ ?
      ตอบ:   ได้ คอมมิวนิสต์น่ากลัวกว่าอันธพาลเยอะเลย ตื่นเช้าขึ้นมาก็นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สวดคาถามอะไรเสร็จก็นึกถึงท่านปู่พระอินทร์อีกทีของให้ช่วย แล้วภาวนาคาถา บอกไล่มันไปไกล ๆ เลยปู่
              สมัยก่อนทางด้านลูกศิษย์หลวงพ่อ เขาเรียกว่า ธงเขียว ธงแดง ธงเขียว คือธงท่านปู่พระอินทร์ ธงแดงก็คือธงของท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณ ของท่านปู่ท้าวเวสสุวรรณอนุญาตให้หนังแตกได้ แต่กระดูกห้ามหัก และถ้าถึงอายุขัยจริง ๆ ให้ไปตายที่บ้าน คนอื่นจะได้ไม่ต้องมาเดือดร้อนเก็บ อันนี้ท่านไม่ได้ว่านะ อันนี้พูดต่อเอง เพราะว่าช่วงนั้นเป็นช่วงของการป้องกันประเทศชาติ โดยเฉพาะพวกทหารตำรวจงานหนักมาก ท่านก็เลยต้องทำขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือเขา ก็ถึงขนาดท่านบอกว่าถ้าคอมมิวนิสต์ขึ้นจริง ๆ ถ้ามันมาทางบ้านของเราเห็นท่าไม่ดี ก็นึกถึงท่านปู่พระอินทร์ แล้วก็ภาวนา
      ถาม:   ...........................?
      ตอบ:   รายนี้เขาอยากเกิดอีก เกิดอีกต้องเป็นแบบพระพุทธเจ้าพระนามว่า สุมนะ ๒๔ องค์ล่าสุด ท่านสูงที่สุดเลย ๙๐ ศอก ตั้งแต่พระพุทธเจ้ามีนามว่าทีปังกร มาจนถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ ท่านสูงที่สุดตอนเป็นมนุษย์ ตอนเป็นพระพุทธเจ้าชาตินั้น พระศรีอาริยเมตไตรยท่านตรัสรู้ จะมีพระพุทธวรกายสูง ๘๘ ศอก ก็ยังเตี้ยกว่าหลวงพ่อสุมนะของเราอีก ๒ ศอก พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา อะไร ๆ ทุกอย่าง ประเภทที่เรียกว่า ลำบากที่สุด เล็กที่สุด น้อยที่สุด มีอยู่อย่างเดียวคือยานที่ออกมามหาภิเนษกรมณ์ พระพุทธเจ้าจะต่างกัน ๘ ประการ
              ประการแรก คือ ขนาดพระวรกาย ประการที่ ๒ คือ พระรัศมีคือฉัพพรรณรังสี ประการที่ ๓ คือ ปธาน การทำความเพียรเพื่อตรัสรู้ ประการที่ ๔ คือ โพธิพฤกษ์ ต้นไม้ตรัสรู้ ประการที่ ๕ คือ บัลลังก์ ที่นั่งสำหรับตรัสรู้ และอีก ๓ ประการ ยานพาหนะที่ใช้ในการตรัสรู้ พระพุทธเจ้าของเรานี่ลำบากกว่าใครหมด องค์ที่ตรัสรู้เร็วที่สุด ท่านบำเพ็ญเพียร ๗ วัน ๑๕ วัน ๑ เดือน ๓ เดือน ๖ เดือน ที่หนักที่สุดคือ ๑๐ เดือน มีของเรานี่ ๖ ปี พระรัศมีก็เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิด พระพุทธเจ้ามีนานมว่า สุมังคละ พระรัศมีแผ่ไปหมื่นโลกธาตุ องค์อื่น ๆ อย่างต่ำ ๆ ก็ ๓ โยชน์ ขององค์ปัจจุบัน ๑ วา แล้วองค์อื่นอย่างที่ว่าไล่มาตั้งแต่ ๙๐ ศอก จนมาถึง ๓๐ ศอก ต่ำสุด มีของเราปัจจุบันนี้ หลวงพ่อท่านบอก ๘ ศอก แต่ไปดูในอรรถกถามธุรัตถวิลาสินีพุทธวงศ์ ในขุททกนิกาย ท่านบอก ๑๘ ศอก ก็ยังเตี้ยกว่าองค์อื่นที่สุด
      ถาม:   คนปัจจุบัน ๔ ศอก ?
      ตอบ:   ก็ประมาณ ๔ ศอก แต่มันไม่ถึง
      ถาม:   เตี้ยลงเยอะเลยนะครับ ?
      ตอบ:   ก็เล็กลงไปเรื่อย เส้นกราฟวิวัฒนาการสังเกตไหมว่ามันลง แล้วก็ขึ้นอีกที ถ้าหากว่าถึงจุดต่ำสุด ที่โบราณต้องสอยมะเขือกิน ต้นมะเขือมันจะกลายเป็นไม้ใหญ่ไปเลย แล้วคราวนี้ตอนที่เคิฟขึ้น ๙๐ ศอก ของหลวงพ่อสุมนะท่าน ๙๐ ศอกนี่ใหญ่สุด อาจจะมีกว่านั้น แต่ในพุทธวงศ์ท่านบอกเอาไว้แค่นี้เอง แล้วที่ว่าท่านไม่ลำบากที่สุดก็คือเรื่องยานพาหนะใช้ออกมหาภิเนษกรมณ์ จะมีไปด้วยปราสาท โอ้โห บุญท่านเหลือรับเลย ลอยออกไปด้วยปราสาททั้งหลัง ไปด้วยวอ ไปด้วยรถ ไปด้วยช้าง ไปด้วยม้า พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราไปด้วยม้า มีอยู่องค์เดียวใน ๒๔ องค์ เดินเท้า พระพุทธเจ้ามีนามว่า นารทะ คือว่าพระพุทธเจ้าของเรานี้ อะไร ๆ ก็ลำบากที่สุด น้อยที่สุด เล็กที่สุด ยกเว้นเรื่องยานอย่างเดียว อย่างน้อยท่านก็ยังมีม้าขี่ หลวงพ่อนารทะท่านเดินย่ำต๊อกไป มีอยู่องค์เดียวจริง ๆ แล้วอัศจรรย์ ก็คือ ๒๔ องค์ที่ว่ามานี้ตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิง ๔ องค์ ตรัสรู้ใต้ต้นอ้อยช้าง ๒ องค์ นอกนั้นไม่ซ้ำกันเลย สารพัดต้นไม้ มีอยู่องค์หนึ่ง ตรัสรู้ใต้ต้นไผ่ เรามานึกดู เออ มันไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่เหมือนกัน
              แต่ว่าพระศรีอาริยเมตไตรย ทางด้านเรานั้นแปลออกมาว่า จะตรัสรู้ใต้ต้นกากะทิงอีก กลายเป็นไม้ยอดฮิตไปเลย แต่ทางพม่าเขาว่า ตรัสรู้ใต้ต้นบุนนาค ดังนั้นทางพม่าจึงเร่งปลูกต้นบุนนาคกันอุตลุด บ้านเราต้นบุนนาคไม่มี แต่บุนนาคที่พม่า บางแห่งเจอโตเป็นโอบ ๆ เลย ต้นบุนนาคขนาดดอกจะประมาณเหรียญบาท ดอกหอมมาก เคยเจอพวกดอกการะเกด ดอกกากะทิงไหม จะคล้าย ๆ กัน แต่ว่าคนละกลิ่น หากว่าพวกกากะทิงกลิ่นมันจะหอมจนฉุน ถ้าเดินผ่าน อาจจะนึกว่าเดินผ่านส้วมใครฉี่ไว้ แต่ถ้าหากว่ามีดอกสองดอก กลิ่นจะหอมเย็น ถ้ารวมกันมากเกินไปมันหอมจนฉุน
      ถาม:   ต้องอธิษฐานด้วยหรือเปล่าครับ ต้นไม้นี่ ?
      ตอบ:   ก็คงจะต้องมั้ง ? เป็นความตั้งใจอย่างหนึ่ง กระทั่งขนาดบัลลังก์ยังต่างกันเลย บัลลังก์ของพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบัน ๑๔ ศอก เรานึกถึงความสูง ๑๘ ศอก บัลลังก์ ๑๔ ศอก ก็สมน้ำสมเนื้อ เพราะที่นั่งจะเอาขนาดเตียงก็ไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าขนาดเตียงต้องเกิน ๑๘ ศอก หลวงพ่อสุมนะที่ว่าสูงที่สุด ๙๐ ศอก บัลลังก์ท่านยาว ๖๐ ศอก
              เรื่องของพระพุทธเจ้านี่แตกต่างกันด้วย ประมาณ คือ ขนาดร่างกาย ปธาน คือการทำความเพียร พระรัศมี ยาน โพธิพฤกษ์ บัลลังก์ แต่ว่ามีอยู่ ๔ หรือ ๕ องค์ ที่ออกมหาภิเนษกรมณ์ด้วยปราสาท แสดงว่าบุญท่านเหลือรับจริง มีต่างอยู่อันหนึ่งคือ ต่างกันด้วยตระกูล พระพุทธเจ้าไม่ว่าจะเกิดเพื่อตรัสรู้เมื่อไหร่ ไม่พราหมณ์ก็กษัตริย์ คราวนี้ ๒๔ องค์ มีอยู่ ๓ องค์ ที่เกิดในตระกูลพราหมณ์ คือ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันโธ นามว่าโกนาคมน์ นามว่า กัสสปะ ๓ องค์รวดเลย คือเขาใช้คำว่า แล้วแต่ว่าโลกในยุคนั้น นับถืออันไหนมากกว่ากัน ในระหว่าง ๒ ตระกูลนี้ แสดงว่าช่วงก่อนของเรานี้พราหมณ์ดังกว่า
      ถาม:   กษัตริย์ไม่แปลกใจ ทำไมพราหมณ์ถึงวกกลับมาได้อีก ทุกอย่างมันสูญสลาย ?
      ตอบ:   สังเกตดูไหมว่า ปัจจุบันนี้ ก็ตาม ทางด้านธิเบตน่ะ ก็ไม่ใช่บุคคลธรรมดาปกครอง ดาไลลามะ ปกครอง จำไม่ได้ประวัติพราหมณ์ มีปราสาทพราหมณ์ ๗ ชั้น ปราสาท ๗ ชั้น สมัยก่อนส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของพระมหากษัตริย์ ชาวบ้านเขาสร้างให้ แกมีอำนาจปกครองเหมือนพระมหากษัตริย์ มีคทาอาญาสิทธิ์ จำชื่อไม่ได้ ในพระไตรปิฎกมีอยู่
      ถาม:   แล้วองค์ไหนบำเพ็ญบารมีเกินวิริยาธิกะ นอกจากองค์ปฐมแล้ว ?
      ตอบ:   ทุกองค์ คือประเภท ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป การบำเพ็ญบารมี มโนปณิธาน คือนึกว่าจะเป็ฯวจีปณิธาน คือพูดว่าจะเป็น กายวจีปณิธาน คือตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อให้ได้เป็น ช่วงสุดท้ายต่างหากที่เป็น ๔,๘,๑๖ กระนั้นเริ่มแรกนี่อ่วมเลย
      ถาม:   ผมเอาแค่ช่วงสุดท้าย มีใครทำเกิน ?
      ตอบ:   มี คือสมเด็จองค์ปฐม จำไว้นะ แค่เอ่ยปากยังเป็นแค่วจีปณิธาน ถ้าว่าอยู่ในขั้นอุปบารมี คือขั้นกลาง ถ้าหากว่าเป็นปัญญาธิกะ ขั้นต่ำสุด คิดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยกับแสนมหากัป พูดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๙ อสงไขยกับแสนมหากัป มันล่อไป ๑๖ แล้ว เสร็จแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป รวมแล้ว ๒๐ กับอีก ๓ แสน ที่เหลือก็คูณขึ้นไปเป็นเท่าตัว ๆ ๔๐ กับ ๖ แสน ๘๐ กับ ๑๒ แสน อะไรอย่างนี้
      ถาม:   ทำไมมันไม่มีอารมณ์เบื่อ ทั้งที่จริง ๆ มันก็รู้แล้วว่ามันก็แค่นี้ ถึงเป็นก็เท่านี้ ถึงไม่เป็นก็เท่านี้ ไม่เห็นจะต่างกันเลย ?
      ตอบ:   ต่างกัน ถึงวาระ ถึงเวลาสิ่งที่ได้รับจะละเอียดประณีตต่างกัน แต่จริง ๆ แล้วที่ทำมากส่วนใหญ่ทำเพื่อบริวาร บางคนท่านบอกว่าองค์ไหนปัญญาดีก็ตรัสรู้เร็ว องค์ไหนปัญญาทึบก็ตรัสรู้ช้า ไม่ใช่หรอก จะมาทึบได้ยังไง จริง ๆ แล้วที่ท่านทำท่านทำเพื่อบริวารของท่านเอง
              อย่างพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ ใช้เวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารท่านจะมีรวยมีจน มีสวยงาม มีอัปลักษณ์ สับสนปนเป มีดีมีชั่ว แต่เป็น ๘ อสงไขยกับแสนมหากัปของสัทธาธิกะ บริวารท่านจะดี สวย รวย เสมอกันหมด แล้วเขตที่ท่านประกาศศาสนาคนชั่วเข้าไม่ได้ ประกันความเสี่ยงให้บริวาร ถ้า ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัปนี่ สุด ๆ ไปเลย โลกยุคนั้นคนชั่วห้ามเกิด มีแต่คนของท่านล้วน ๆ
      ถาม:   รีบไปไม่ดีกว่าหรือครับ จริง ๆ แล้วถึงจะมีคนชั่วเข้ามา สุดท้าย ?
      ตอบ:   ก็ถ้าหากว่าบริวารท่านชั่ว มันก็ยังไปไม่ได้ ท่านตั้งใจเอาไปให้หมดจริง ๆ
      ถาม:   เวลามองลูกตัวเองยังหนาวเลย เวลามันดุ แต่ก็แปลกบางอารมณ์เขาก็กลัวผม ?
      ตอบ:   ชักรู้สึกว่าหัวเราจะขาดหรือเปล่า คือในแต่ละชาติที่เกิดมา มันจะสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อย ชาติไหนที่เราเด็ดหัวเขามา ชาตินั้นเขาก็จะกลัวเรา สลับกันไปสลับกันมา บางคนเขาก็แปลกใจว่า ทำไมอาตมาไม่กลัวใครเลย บอกถึงเวลาเจอหน้ามันเรารีบยกกำลังใจชาติที่เราเก่งกว่ามันขึ้นมา มีหลวงพ่อองค์เดียวแหละ ยกขึ้นมากี่ชาติท่านเหนือกว่าเราทุกที เสร็จท่านจนได้
      ถาม:   ขอเกิดก่อนซักที ก็ยังไม่เคย ?
      ตอบ:   ไม่เคย มีแต่ต้องตามหลังอยู่ สุดกู่ปลายตะโกนทุกที
      ถาม:   ผมไปค้นหนังสือที่บ้านเจอเล่มหนึ่ง ชีวิตนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก เป็นลูกของลูกชายตัวเอง เขาก็มาเขียนหนังสือไว้ใส่งานศพทั้งพ่อและตัวเอง ปัจจุบันเป็นหมอ เมียก็เป็นหมอ ผมนึก โอ้โห รู้ขนาดนี้ จริง ๆ น่าจะบวชตั้งแต่เด็ก ?
      ตอบ:   ไม่แน่ เรื่องของการบวชเป็นบุญเนกขัมมบารมี ถ้าหากว่าตัวนี้ไม่มาสนอง โอกาสจะบวชยังไม่มีเลย แล้วถ้าหากว่าขาดช่วงลง จะอยู่ต่อก็อยู่ไม่ได้ มันมีเหตุให้ต้องสึกจนได้
      ถาม:   แสดงว่าตอนที่เราลงมาเกิดก็ต้องอธิษฐานมาสิครับว่า ขอมาเพื่อเนกขัมมบารมี ?
      ตอบ:   ไม่แน่ แล้วแต่ บางทีก็มาตั้งใจเอาชาตินี้ก็ได้ ถ้ากำลังใจเข้มแข็งก็รอด
      ถาม:   ....................................?
      ตอบ:   คือประเภทจะไปฝืนแรงกรรม มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว อย่าลืมว่าโพธิราชกุมาร แกไม่มีลูก ทำยังไงก็ไม่มี เป็นพระเจ้าแผ่นดินมีสนมเป็นพันยังไงก็ไม่มีลูก ก็เลยนิมนต์พระพุทธเจ้าเข้าไปฉันในวัง ปูผ้าขาว ตั้งแต่ประตูวังเข้าไปถึงที่ฉันเลย อธิษฐานว่าถ้าท่านจะมีลูกได้ ขอให้พระพุทธเจ้าเดินเหยียบบนผ้าขาว พระพุทธเจ้าเข้าไปถึงหน้าประตู สั่งพระอานนท์รื้อผ้าขาวเกลี้ยงเลย แล้วจะมีศีลที่เรียกว่า อภิสมาจารข้อหนึ่งห้ามภิกษุเดินเหยียบผ้าขาว กลัวเขาอธิษฐานไว้ พระเจ้าโพธิราชท่านเสียใจมาก
              พอพระพุทธเจ้าฉันเสร็จก็ทูลถามว่าอธิษฐานไว้อย่างนี้ ทำไมพระพุทธเจ้าสั่งรื้อหมด ท่านบอกว่า มหาบพิตรมีลูกไม่ได้หรอก กรรมเก่าในอดีตตามมาทัน ถามว่าเป็นยังไง ท่านบอกว่า อดีตกาลชาติหนึ่ง ท่านเป็นพ่อค้าไปค้าขายทางเรือ เรือแตกว่ายน้ำไปติดเกาะอยู่ ก็หาอาหารไม่ได้ มีพวกนกทะเลมันขึ้นมาวางไข่กันเยอะแยะก็เก็บไข่นกกิน กินไข่นกจนหมดก็ยังไม่มีคนมาช่วย ก็เลยกินลูกนก กินลูกนกหมดไม่มีคนมาช่วย ก็กินพ่อนก แม่นก พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าท่านกินแต่ไข่นก ตอนวัยหนุ่มไม่มีลูก จะไปมีลูกวัยกลางคน ถ้ากินไข่นกกับลูกนก วัยหนุ่มวัยกลางคนจะไม่มีลูก ไปจะไปมีลูกยามชรา ทีนี้เล่นกินพ่อแนกแม่นกไปด้วย ทำให้ไม่มี
      ถาม:   เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราอยากเป็นเพราะอีโก้ หรือว่าเราอยากเป็นเพราะรักจริง ๆ
      ตอบ:   ก็นึกซะว่าอีโก้ หมดเรื่อง
      ถาม:   มันจะเหมือนกัน หรือไม่เหมือนกัน ?
      ตอบ:   ถ้าหากว่าไม่ใช่เกิดจากใจจริง ก็จะต้องลาจนได้แหละ ในเมื่อไม่ได้เกิดจากใจจริงก็ทำไม่ทนทำไม่นาน พวกที่ตั้งใจจริงทำได้ทน ทำได้นาน หน้าด้านกว่า
      ถาม:   ผมก็แปลก บางกำลังใจเดือดร้อนขนาดไหนก็เฉย ๆ เวลาคนมาช่วยหน่อย ไม่รู้สึกเดือดร้อนหรือเหนื่อยใจเลย สบายมาก ทั้งที่เราก็ไม่พร้อมด้วย ?
      ตอบ:   เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาก่อนจะมานี่ มีพระอยู่องค์หนึ่งหนี้สินท่านล้นพ้นตัว ท่านบอกว่าแม่ท่านจะเข้าผ่าตัดมะเร็งที่โรงพยาบาลพระมงกุฏ หมอเขาจะเอาประมาณ ๖ หมื่น ขอร้องต่อรงแล้วว่าให้ลดให้หน่อย หมอเขายอมลดให้ครึ่งหนึ่ง คราวนี้เขาไม่มีเงินซักบาท ก็เลยไปขออาตมา ตอนนั้นของเราก็ดวงเฮงจริง ๆ เพิ่งกลับจากใต้มาได้เงินมา ๕ หมื่นกว่าก็จ่ายค่าวัสดุก่อสร้างไป ๖ หมื่นกว่า ๆ เลยไม่เหลือให้เขา มีทองอยู่บาทหนึ่งก็เลยให้เขาไปแก้ขัดก่อน แล้วก็นัดเขามาเอาที่นี่
              ปรากฏว่าพอถึงวัน ยังไม่ถึงวันก็โทรมาเลย เขาโทรมาบอกตอนนี้แม่เขาอยู่โรงพยาบาลแล้ว เราก็เลยแวะไปดู ปรากฏว่าแวะไปก็เห็นอาการแปลก ๆ ของเขา เขาอ้างว่าตอนนี้แม่เขากำลังไปทำเคโมบำบัดบ้างอะไรบำบัดบ้าง บังเอิญเราก็ตาไว เข้าไปเห็นป้ายผู้อำนวยการโรงพยาบาล พลตรีอิสรชัย จุลโมกข์ ปรากฎว่า ก็คือรุ่นพี่นั่นแหละ ก็เลยให้เขาเช็คดูว่าคนไข้ชื่อนี้ นามสกุลนี้เป็นอย่างที่เขาว่ามาไหม ต้องผ่าตัดวันนั้น วันนี้ ปรากฎว่าไม่มีเลย มีแต่เข้ามาเช็คร่างกายเฉย ๆ แล้วก็ขอค้างคืน
              คราวนี้พอเขาบอกว่า ตอนนี้แม่เขากลับจากทำเคโมแล้ว ก็เลยขึ้นไปดูปรากฎว่าสองแม่ลูกพูดสอดคล้องกันดี ลูกบอกว่าผ่าตัดเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวา แม่บอกว่าผ่าวันที่ ๒๑ ตุลา ก็เลยบอกกับเขาไปว่า ฆราวาสโกหกผมยังไม่คบเลย อย่าว่าแต่พระโกหก ถ้าพระโกหกผมถือว่าไม่ใช่พระ ที่ช่วยไปแล้วก็แล้วกันไป ที่ช่วยใหม่ไม่มีให้ เขาเองก็พยายามจะแก้ตัวแต่ขี้เกียจฟัง เดินมาเฉย ๆ ก็เลยบอกให้ว่าเนื่องจากงานเก่ามันเคยเป็นงานพุทธภูมิ เห็นว่าอะไรที่พอช่วยเหลือคนได้ มักไม่ปฏิเสธ ในเมื่อไม่ปฏิเสธบางทีคนชั่วมันก็ถือโอกาสของมันเหมือนกัน มันเห็นคนนั้นขอ ๕ หมื่น คนนี้ขอ ๓ หมื่น คนนั้นขอแสนหนึ่ง อาจารย์เล็กให้ตะบันราดเลย แหม...เล่นเอาบุพพการีมาเล่น เราเองก็ตั้งใจจะให้ถ้าขอเฉย ๆ ก็ได้ไปแล้ว ดันทะลึ่งมาอ้างอย่างนั้น เราเองก็บังเอิญมาที่เช็คได้ซะอีก เฮงไป