ถาม:  แล้วของหลวงปู่ทวดล่ะครับ ?
      ตอบ:   หลวงปู่ทวดยังไม่ได้รับมา ถ้าท่านอนุญาตเมื่อไหร่ สบายมาก
      ถาม:  จะเป็นลักษณะเดียวกันนี้ไหมครับ ?
      ตอบ:   ไม่แน่จ้ะ เดี๋ยวรอดูก่อน ถ้าวันไหนท่านอนุญาตขึ้นมาก็สบาย
      ถาม:  ถ้าอย่างนั้น พระผงสุพรรณ นางพญา ที่เขานิยมในเบญจภาคี ผู้สร้างก็คงจะประมาณนี้ไหมครับ ?
      ตอบ:   ก็น่าจะอยู่ในระดับนี้แหละ เพราะว่าพระแต่ละองค์ถ้าท่านได้ทิพจักขุญาณ ถ้าไม่ประมาทน่าจะเชื่อว่าท่านต้องรู้จักพระพุทธเจ้า ถ้ามัวประมาทเพลิดเพลินอยู่กับความสามารถตัวเอง อาจจะไม่ถึงแบบเดียวกับหลวงพ่อ ระยะแรก ๆ ท่านก็วิ่งอยู่ระหว่างเทวดากับพรหม นิพพานเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมบอกให้ไปนิพพาน ก็ยังไม่รู้จักนิพพานหน้าตาเป็นอย่างไร ไปไม่เป็น
      ถาม:  แล้วของหลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หลวงพี่เล็กรู้จักหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   รู้จักแต่ชื่อท่านจ้ะ เพราะเกิดไม่ทัน หลวงพ่อแก้ว วัดเครือวัลย์ หลวงพ่อแก้ว วัดพวงมาลัย สองแก้วนี้ดัง ถ้าหากว่าหลวงพ่อทอง ก็มีสองทองเหมือนกันใช่มั้ย ? หลวงพ่อทอง วัดราชโยธา หลวงพ่อทอง วัดเขากบ สมัยหลัง ๆ นี่เขานิยมเอารูปของท่านมาทำแก้ว แหวน เงิน ทอง ก็มีหลวงปู่แหวน หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อทอง หลวงพ่อแก้ว
              ถ้าไม่มีหลวงปู่ทวด ประเทศของเราอาจจะเป็นเมืองขึ้นของลังกา ตั้งแต่สมัยนั้น เพราะว่าสมัยนั้นทางลังกาเขาส่งปราชญ์ทางศาสนาของเขามา คือเขาวางแผนกัน ขี้เกียจรบ แต่อยากได้ เพราะอยุธยาอุดมสมบูรณ์มาก ขนาดร่ำลือข้ามประเทศไปถึงยุโรป พวกเนเธอร์แลนด์ พวกฝรั่งเศสมาค้าขายกับเราเยอะแยะไปหมด เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส โปรตุเกส ญี่ปุ่นเต็มไปหมดเลย ลังกาอยากได้ แต่ถ้ารบกันกว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงมันก็ไกล แล้วรบไปก็ไม่แน่ว่าจะชนะด้วย พวกบรรดาที่ปรึกษาก็เลยว่า พวกปราชญ์ของเราก็มีเยอะแยะไปหมด ลังกาก็ถือพุทธศาสนา อยุธยาก็ถือพุทธศาสนา ก็ลองดูว่าเราจะทำปริศนาธรรมขึ้นมา ถ้าหากว่าปราชญ์ของเมืองไทยแก้ไขได้ เราก็มีบรรณาการให้ แต่ถ้าหากว่าเขาแก้ไขไม่ได้ ใช้ในลักษณะเรียกว่า ธรรมยุทธ คือรบกันทางธรรม เราก็ขอบ้านขอเมืองของเขา คือลักษณะแลกเปลี่ยนกัน ส่วนใหญ่แล้วท้าในลักษณะนี้เขาจะรับ
      ถาม:  แล้วเขาไม่เห็นยกบ้านเมืองให้เรา ?
      ตอบ:   ก็เขาตกลงกันว่า ตอนนั้นเขาขนแก้ว แหวน เงิน ทอง มา ๗ เรือสำเภา ถ้าไทยชนะเขายกให้หมด แต่ถ้าไทยแพ้เมืองไทยต้องเป็นของเขา ส่งส่วยดอกไม้เงิน ดอกไม้ทองให้เขา เขาก็เอาทองคำมาหลอมเป็นชิ้นเล็ก ๆ เท่าใบมะขาม แล้วก็จารึกพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แล้วก็ใส่รวม ๆ กันมาเป็นบาตรเบ้อเร่อเลย มาถึงก็ขอเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน แล้วก็กราบทูลว่าทางพระเจ้าอยู่หัวเมืองลังกา พูดง่าย ๆ ก็คือว่า ไม่อยากจะรบเพื่อให้เสียสัมพันธไมตรี ก็เลยส่งปราชญ์ทางศาสนาเขามา โดยการหลอมทองคำ แล้วจารึกพระธรรมคำสอนมา ถ้าหากว่าทางไทยสามารถเรียงตัวอักษรให้ถูกต้องได้ แก้ว แหวน เงิน ทอง ที่ขนมา ๗ เรือสำเภา ขึ้นไปตรวจสอบได้เลย ของแท้แน่นอน จะยกถวายให้เป็นของกษัตริย์ไทย
              แต่ถ้าหากว่าไทยแพ้นี่ แผ่นดินไทยคืออยุธยา ต้องขึ้นกับลังกา ส่งส่วยดอกไม้เงิน ดอกไม้ทอง ให้ทุกปี ท่านก็รับ ปรากฏว่าพอถึงเวลานิมนต์พระที่ว่ามีความรู้มากี่องค์ ๆ ก็เจ๊งหมด เขาให้เวลา ๓ เดือน จนกระทั่งไม่มีใครที่รับอาสาแก้ปริศนาอันนี้ได้แล้ว เพราะว่าหยิบขึ้นมาก็ ชิ้นหนึ่งก็บาลีคำหนึ่ง ๆ เรียงไม่ถูก แล้วก็ทองเท่าใบมะขามเล็กนิดเดียว ก็ไล่ไปไล่มาก็ปรากฏว่า หลวงปู่ทวดท่านเดินทางเข้ามาอยุธยาเพื่อจะมาเรียนต่อพอดี แล้วตอนที่ท่านเดินทางจากภาคใต้เข้ามา เรือก็โดนมรสุมจนกระทั่งเสียเวลา น้ำจืดหมด จนท่านต้องไปเหยียบน้ำทะเลจืด ไม่อย่างนั้นเขาจะไล่ท่านลงจากเรือ หาว่าท่านเป็นกาลกิณี ท่านมาท่านก็ไปพักอยู่ที่วัดใกล้ ๆ พอหมดท่าขึ้นมาจริง ๆ ก็มีคนบอกว่า มีภิกษุมาจากทางภาคใต้ ขึ้นมาเพื่อที่จะศึกษาต่อ เพราะว่าศึกษาทางใต้จนสิ้นความรู้แล้ว ต้องการจะมาหาความรู้ต่อในอยุธยา ท่านก็เลยนิมนต์มา นิมนต์มาถามว่า พอจะแก้ปริศนาธรรมนี้ได้มั้ย ?
              พอหลวงปู่ทวดท่านเอาพวกบรรดาทองคำที่ทำเป็นใบมะขาม ที่จารึกเป็นตัวหนังสือมาอ่าน ๆ ดูก็บอกพอจะช่วยได้ แต่ไม่รับปากว่าจะสำเร็จหรือเปล่า ก็ยังดี เพราะที่มา ๆ ล้วนแล้วแต่บอกว่า ทำไม่ได้ ในเมื่อองค์นี้บอกพอช่วยได้ พระเจ้าแผ่นดินก็บอกว่า ท่านฝากภาระของประเทศชาติให้เป็นภาระของท่านเลย หลวงปู่ทวดท่านก็จัดแจงครองผ้า จุดธูปเทียน บอกกล่าวพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ เทพยดาทั้งหมดที่รักษาประเทศไทย ว่า ถ้าหากว่า เมืองไทยจะไม่ต้องเป็นทาส คือไม่ต้องเป็นข้าส่งส่วยให้กับทางด้านลังกาเขา ก็ขอให้ท่านสามารถที่จะเรียงปริศนาธรรมนี้ได้ถูก
              เสร็จแล้วก็เทใส่ผ้าขาว จัดแจงเรียงไล่ไปเลย เรียงไป ๆ จนเสร็จ แล้วก็บอกกับปราชญ์ที่เขามาควบคุมทั้ง ๗ องค์นั้นว่า คุณเอาหนังสือไปซ่อนไว้ที่ไหนอีก ๗ ตัวไม่มี ทั้ง ๗ คนก็เลยต้องยอมแพ้ เพราะว่าเขาเล่นห่อกระดาษม้วนไว้ในมวยผมตัวเอง
              สมัยก่อนเขาชอบเกล้ามวยกัน เขาเลยต้องแกะมาส่งให้ มันเป็นคำต้นของอภิธรรม ๗ คัมภีร์ สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ ที่เขาเรียก หัวใจพระอภิธรรม พอเรียงเข้าไปก็ครบพอดี เมื่อรู้ขนาดนั้น เขาก็เลยต้องยอมแพ้ ต้องยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด พระเจ้าอยู่หัวก็เลยตั้งท่านเป็น พระราชครูสามีรามคุณูปมาจารย์ ตำแหน่งเหมือนกับสมเด็จพระสังฆราช แต่ว่าท่านรับตำแหน่งแค่แป๊บเดียว แล้วก็ขอลากลับบ้านกลับเมือง อยู่ต่อไปก็คงไม่มีอะไรให้เรียน เพราะว่าที่นี่เขาแก้ไม่ได้ แล้วท่านแก้ได้ (หัวเราะ) ก็เลยขอลากลับ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็ถามว่า ต้องการอะไรบ้าง ท่านก็ขอกำลังพล ขออิฐ ขอปูน ไปเพื่อสร้างเจดีย์ที่วัดบ้านเกิดท่าน ที่วัดพะโคะ ปัจจุบันนี้เจดีย์ก็ยังอยู่ กรมศิลป์ขึ้นทะเบียนไว้ กำลังบูรณะซ่อมแซมกันใหม่ มีโอกาสก็ไปกราบบ้าง มีรอยเท้าของท่านอยู่ด้วย แล้วก็มีแก้วจักรพรรดิอยู่ซีกหนึ่ง
      ถาม:  ลูกแก้วนี่เป็นลูกแก้วจักรพรรดิ ?
      ตอบ:   แก้วจักรพรรดิ เพราะไปดูแล้วลักษณะเนื้อเหมือนกับของหลวงพ่อ แต่เสียดายว่าไอ้คนเสียสติดันไปทุบซะ คือลูกแก้วนั้น ตามประวัติบอกว่า ตอนนั้นท่านยังเด็ก ๆ อยู่ วันนั้นพ่อแม่ท่านออกไปทำนา ก็อุ้มท่านไปด้วย แล้วเอาท่านนอนไว้ในกระด้ง พอถึงเวลาพักกลางวันจะกลับมากินข้าว พอกลับมาถึงเจองูจงอางตัวเบ้อเร่อเลย มันขดล้อมกระด้งอยู่ พ่อแม่ก็ตกใจว่าจะทำอย่างไรดี ?
              คราวนี้โยมพ่อได้สติ ก็จุดธูปเทียน บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขาว่า “ถ้าสำแดงตัวมาเพื่อสงเคราะห์ลูกช้างอย่างไร ก็ขออย่าได้ทำอันตรายเด็กเลย” งูก็เลื้อยไป พองูไปแล้วก็เข้าไปดู ก็เห็นในมือเด็กมีแก้วอยู่ ก็เชื่อว่าเป็นของคู่บารมีของลูกของตัว แล้วตอนหลังมีเศรษฐีที่เป็นนาย เพราะว่าพ่อแม่เป็นทาสช่วยทำงานให้เขา เศรษฐีที่เป็นนายก็ต้องการจะเอา พยายามบีบบังคับทุกวิถีทางก็เอาไปไม่ได้ ท้ายสุดก็ต้องมาคืน
              คราวนี้ระยะหลัง ๆ ที่เขาเก็บต่อ ๆ กันมาจนถึงยุคหลังนี่ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่คนสติไม่ค่อยดีเอาไป มันเชื่อว่าลูกแก้วจักรพรรดิจะทำให้มันเหาะได้ คราวนี้เหาะไม่ได้ก็โมโห ก็ทุบแตกซะ พอทุบแตกกลายเป็น ๓ ชิ้น ๔ ชิ้น ก็มีคนโน้นเก็บไป คนนี้เก็บไป ทางวัดก็ได้ชิ้นใหญ่ไป มาตอนหลังคนที่ได้ชิ้นเล็ก ๆ ไปก็ต้องเอามาคืน เพราะว่าฝันเห็นแต่งูมาทวงอยู่ทุกคืน (หัวเราะ) ที่มั่นใจว่าเป็นแก้วจักรพรรดิ เพราะว่าลักษณะเดียวกับที่หลวงพ่อท่านมีอยู่ ของหลวงพ่อที่มีอยู่ก็ไม่ใช่ของหลวงพ่อโดยตรง เป็นหลวงปู่ชุ่มถวายมา หลวงปู่ชุ่มที่วัดวังมุย (วัดชัยมงคล) ที่ลำพูน องค์นี้หลวงพ่อบอกว่าสุดยอดมนุษย์จริง ๆ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น ถามว่าทำไมครับ ? หลวงปู่ชุ่ม ท่านเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ
              นิโรธสมาบัตินี่ จริง ๆ มันดับความรู้สึกหมดเกลี้ยงเลย ส่วนใหญ่เขาต้องนั่ง ถ้าไม่นั่งก็นอน ไม่นอนก็ยืน อิริยาบถใด อิริยาบถหนึ่ง แต่หลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ไม่ทราบว่าท่านเดินได้อย่างไร ก็ในเมื่อจิตกับกายมันไม่ได้สัมพันธ์กันเลย แสดงว่าต้องใช้กำลังของอภิญญาอธิษฐานทับเอาไว้ก่อน
              เนื่องจากว่านิโรธสมาบัตินี่มีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งก็คือว่าส่งจิตไปตามภพภูมิต่าง ๆ พอครบเวลาแล้วค่อยกลับ อีกลักษณะหนึ่งก็คือใช้จิตจดจ่อพระนิพพานเท่านั้น แต่ว่าทั้งสองลกัษณะนี้จิตกับกายจะไม่เกาะกันเลย จิตจะไม่เกาะกายแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นถ้าไม่ใช้กำลังอภิญญาอธิษฐานไว้ก่อน คงบังคับให้ร่างกายเดินไม่ได้แน่ แล้วลูกแก้วจักรพรรดินี่ทำมาจากปรอท
              สมัยที่ข้ามไปพม่าแล้วมาอยู่กับท่านโมเช่ ระยะหนึ่ง ที่รอยต่อระหว่างด่านช้างกับเมืองกาญจน์อุทัยธานีนี่ ท่านโมเช่เขาทำปรอทเป็น เขาก็สอนให้ ปรอทนี่จะมีตั้งแต่ขั้นแรกคือ จับปรอท มีวิธี ปรอทนี่ในทางวิทยาศาสตร์ เขาถือเป็นโลหะ แต่ทางไสยศาสตร์ถือว่ามันมีชีวิตมันมาได้ มันหนีได้ มันกินได้ ต้องเอาอาหารไปล่อมันให้มันมา แล้วก็ต้องฆ่ามันให้ตาย ถ้าฆ่ามันไม่ตายมันก็หนี พอมันตายที่เขาเรียกว่า “เป็นตัว” คือมันจะแข็งขึ้นมา พอมันแข็งขึ้นมาแล้วก็จะมีการปลุกเสกของมันไปเรื่อย มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ขั้นตอนจะเป็นอย่างนี้
              คราวนี้ปีนั้นมีพระจากฝั่งไทยข้ามไปเรียนเรื่องปรอท ๕ รูป พอทำถึงขั้นแรก สึกเกลี้ยงทั้ง ๕ รูปเลย คือขั้นแรกจะเป็นมหาเสน่ห์ เสร็จหมด ! ขนาดไปแอบทำกลางป่ากลางดง ผู้หญิงมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาไปกินหมด มันจะเป็นมหาเสน่ห์ ป้องกันภัย รักษาโรค ทำเป็นทอง ทำเป็นแก้ว ปรอทที่เป็นทองที่นี่มี ที่ใส่ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง
              คราวนี้ที่ทำเป็นแก้วนี่ ถ้าเป็นปรอทตัวผู้นี่จะเป็นแก้วจักรพรรดิ ถ้าเป็นปรอทตัวเมียจะเป็นแก้วราหู หลวงปู่ชุ่มท่านบอกว่า ท่านก็ทำไม่ได้ แต่หลวงปู่ชุ่มท่านสำเร็จปรอท เพราะว่าท่านเคยทำตะกรุดปรอทแจกพวกเราอยู่ สมัยนั้นเคยได้มา แต่ท่านบอกว่าท่านก็ทำเป็นแก้วไม่ได้ แต่ที่ท่านได้มานี่อาจารย์ทำให้ ก็ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านคือ หลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หรือว่าเป็นอาจารย์ที่ท่านธุดงค์ไปศึกษาตอนข้ามไปพม่าก็ไม่รู้ ? ไม่ได้ถามรายละเอียดท่าน
              ตอนนั้นหลวงปู่ชุ่มท่านจะดังเรื่องตะกรุดปรอท และตะกรุดหนังลูกวัวตายในท้อง ๒ อย่าง ถ้ามีลูกวัวตายในท้อง ชาวบ้านจะรีบแล่หนังไปให้หลวงปู่ทำตะกรุด คราวนี้พอหลวงพ่อพาพวกเราไปกราบหลวงปู่ หลวงพ่อต่าง ๆ ที่เป็นพระสุปฏิปันโนสายเหนือ หลวงปู่ชุ่ม พอพบหน้า หลวงพ่อก็หัวเราะ พวกเราก็ถามว่า เรื่องอะไร ? หลวงพ่อท่านบอกว่า หลวงปู่ชุ่มเกิดเป็นพี่มาหลายชาติ แต่ว่าเป็นพี่ที่ทุกชาติก็ตายเพราะหลวงพ่อสั่งประหาร (หัวเราะ) เป็นพี่ที่รักน้องมาก ขนาดตายเพื่อรักษาวินัยทัพก็ยอม หลวงปู่ชุ่มท่านมาหาหลวงพ่อ ตอนนั้นท่านใกล้มรณภาพ หลวงปู่ชุ่มมรณภาพตอนปี ๒๕๒๓ ก่อนมรณภาพได้ไม่นาน ท่านมาหาหลวงพ่อ เอาแก้วจักรพรรดิให้ บอกว่าหลวงน้อง บริวารของหลวงน้องเยอะมาก การต่อไปข้างหน้าจะยิ่งเยอะมากกว่านี้ ถ้าหลวงน้องมีแก้วจักรพรรดิอยู่ บริวารมากเท่าไหร่ก็จะเลี้ยงดูเขาได้ แล้วก็ถวายหลวงพ่อไว้
              แล้วอีกองค์หนึ่งหลวงปู่ชุ่มถวายในหลวงไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวนะ ถึงเวลานึกถึง เราไม่ต้องมีหรอก แต่นึกถึงแก้วจักรพรรดิไว้ ถึงเวลาขออานุภาพแก้วจักรพรรดิช่วยสงเคราะห์ด้วย จะได้มีความคล่องตัวกว่าคนอื่นเขา ส่วนลูกเล็กที่เป็นแก้วราหู แก้วราหูก็จะมีช่องเล็ก ๆ อยู่ให้สำหรับสอดเชือกได้ แก้วราหูนี่เกิดจากปรอทตัวเมีย
              ตอนนั้นคุณอรรณพ กอวัฒนา ยังเป็นร้อยตำรวจโท ตชด.อยู่ ก็รับอาสาหลวงพ่อไปเป็นยามรักษาการณ์ ตอนหลวงปู่ชุ่มเข้านิโรธสมาบัติ หลวงปู่ชุ่มท่านก็เห็นคุณความดีของเขา ก็เลยมอบแก้วราหูไปให้ มาตอนหลังเพื่อนซี้กัน ก็คือตี๋เล็ก (สันต์ สมิทติเวช) ก็ยืมไป แล้วมันก็ไปเที่ยวซ่อง ไปเชียงใหม่ กิตติศัพท์สาวเชียงใหม่สวย เจ้าตี๋เล็กก็ไปรื่นเริง บันเทิงใจอยู่ในซ่อง ผู้กองอรรณพบอกว่า เขาร้อนใจบอกไม่ถูก โทรไปถาม ตี๋เล็กบอกว่า กูจะกลับแล้ว เที่ยวบินเที่ยวนั้นเที่ยวนี้ คุณอรรณพเขารอไม่ได้ ถึงขนาดไปดักรอที่ดอนเมือง
              คราวนี้แก้วราหูนี่ แกให้คนอื่นช่วยถักเชือกหุ้มเอาไว้ แล้วพอถึงเวลาก็แขวนติดตัวเอาไว้ ตี๋เล็กมันยืม มันก็เอาไปทั้งชือกทั้งหุ้มนั่นแหละ พอกลับมา ปรากฏว่าอรรณพก็ไปทวง คือใจของแกประเภทรับสัมผัสได้ บอกมันรู้สึกอย่างไรก็ไม่รู้ รู้สึกอยู่อย่างเดียวว่าจะเสียของไป มันต้องรีบทวงกลับ พอมาถึงเอยปากทวง เจ้าตี๋เล็กมันก็ยิ้ม โธ่เอ๊ย! ของแค่นี้ต้องหวงกันด้วย ก็อยู่ที่คอนี่ ก็ถอดให้ ปรากฏว่าพอถอดนี่ เจ้าสันต์หน้ามันเหลือ ๒ นิ้วเท่านั้นแหละ เพราะว่ามันเหลือแต่เชือกเส้นนั้น กับถุงเปล่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ถุงมันถักปิดตายไปเลยนะ แก้วหายไปแล้ว เล่นเอาผู้กองอรรณพเกือบจะหักคอตาสันต์
              ตอนนั้น ๒ คน หนึ่งตี๋ใหญ่ คนหนึ่งตี๋เล็ก ตาสันต์เขาเรียก ตี๋เล็ก เขาก็เรียกผู้กองอรรณพ ซี้เขาว่า ตี๋ใหญ่มาตอนหลังก็ไปรายงานหลวงพ่อ หลวงพ่อก็บอก เออ! ก็มันอยากไปที่ไม่ดีนี่หว่า เขาไม่อยากอยู่กับเอ็งหรอก แล้วถามหลวงพ่อว่า ตอนนี้อยู่ที่ไหนครับ หลวงพ่อบอก หนีมาอยู่ที่ข้านี่ (หัวเราะ) แล้วหลวงพ่อก็หยิบให้ดู
              ในเมื่อมาแล้วก็อุ๊บอิ๊บ ไม่คืน ปัจจุบันนี้ทั้ง ๒ องค์ ก็คงอยู่กับหลวงพี่อนันต์ เพราะว่าตอนที่หลวงพ่อมรณภาพ ย่ามหลวงพ่อ ปกติแล้วจะมีแก้วจักรพรรดิ มีมีดหมออยู่ด้ามหนึ่ง แล้วก็มีเครื่องมือของท่าน มียานัตถุ์ มีหมาก แค่นั้นเอง อย่างอื่นไม่มีหรอก ของเรามันมือซน หลวงพ่อส่งย่ามให้เมื่อไหร่ ก็ล้วงดูมีอะไรบ้าง วันนั้นล้วงเข้าไปเกือบตาย ไปโดนมีดหมอเข้าพอดี โอ้โห! มันดูดอย่างกับโดนไฟฟ้าเป็นหมื่น ๆ โวลต์ ดูดตัวลอยเลย คือกำลังใจเปิดรับพอดี คือของเราตอนนั้นใจสบาย ๆ คิดอยู่อย่างเดียว ล้วงดูพ่อมีอะไรบ้าง ? ไม่ได้ตั้งท่าตั้งทางอะไร ตรงล็อกพอดี โดนดูดเกือบตาย หลวงพ่อหันมาหัวเราะ บอกสมน้ำหน้ามึง (หัวเราะ)
              พอหลวงพ่อท่านมรณภาพ พระทั้งหมดก็คิดอย่างเดียวกัน ในเมื่อหลวงพี่อนันต์ท่านเป็นรองเจ้าอาวาสอยู่ จัดแจงผูกหูย่ามส่งรับไปเลย ปัจจุบันก็น่าจะอยู่กับหลวงพี่อนันต์ท่าน ถ้าไม่มีนี่ เลี้ยงวัดท่าซุงไม่ได้แน่ จำเป็นต้องมีจ้ะ หลวงพ่อท่านบอกว่า ท่านขึ้นไปดูแก้วจักรพรรดิของท่านพระอินทร์ที่ดาวดึงส์แล้ว ลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่ว่า แก้วจักรพรรดิของท่านปู่พระอินทร์อยู่ในความเป็นทิพย์ รัศมีก็เลยสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นที่หลวงพ่อ หรือที่ในหลวงท่านมีต้องใช้ทิพยจักษุญาณดู ถึงจะรู้ว่าสว่างแค่ไหน สรุปว่า แก้วจักรพรรดิจริง ๆ ทำมาจากปรอท
              ตอนนี้ทางพม่าก็ยังมีอาจารย์หลายองค์ ที่ท่านสำเร็จปรอทลักษณะนี้ พอทำเป็นแก้วแล้ว อมแล้วจะเหาะไปไหนก็ได้ ไอ้รายโน้นของเขาก็คงคิดอยู่ในลักษณะว่า ในเมื่อเป็นแก้วแล้ว ต้องเหาะได้ พอเอาของหลวงปู่ทวดไป มันเหาะไม่ได้ มันใช้ไม่ถูกต้อง มันก็เลยทุบซะ รู้สึกว่าจะเป็นอะไรตายไม่รู้ ตายระยะเวลาไม่นานหลังจากทุบทำลาย
      ถาม:  แล้วเวลาจะใช้ ใช้อย่างไรคะ ?
      ตอบ:   อธิษฐานเอา ถ้าอย่างของเรานี่มีลูกแก้วของหลวงพ่อ ก็ใช้ควบคาถาเงินล้านอธิษฐานเอา โดยเฉพาะเรื่องลาภผล จะคล่องตัวมากเป็นพิเศษ
      ถาม:  แสดงว่าครูบาชุ่ม ท่านมีบารมีทางลาภ ?
      ตอบ:   มีไม่มี ท่านสร้างทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ หลวงปู่ครูบาชุ่มพาโยมสร้างทางขึ้นพระธาตุจอมกิตติ ถ้าไม่ได้ขนาดนั้นก็คงไม่ไหวหรอก
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   จะกลมหรือไม่กลม อะไรก็ตามจ๊ะ ถ้าเป็นรุ่นที่หลวงพ่อทำนี่ อานุภาพก็เกือบ ๆ จะเท่าของจริงจ้ะ
              ที่เขียนว่าปรอทเงิน ปรอททอง นั่นแหละจ้ะ ฝรั่งมันทำไม่ได้ มันทำได้ก็เอาไปปั่นรวมกับโลหะอื่น ๆ ลักษณะเหมือนกับปั่นเพื่ออุดฟัน อย่างนั้นเขาเรียกว่าปรอทเป็น มันจะมีพิษ โดยเฉพาะเข้าปาก มันขยายตัวหลายเท่านี่ ตับ ไต ไส้ พุง แย่เลย ก็ต้องฆ่ามันให้ตายก่อน
      ถาม:  สรุปว่าในหมู่พระสุปฏิปันโน ที่หลวงพ่อเคยพาลูกศิษย์ไปกราบนี่ ครูบาชุ่มมีวาสนาทางลาภที่สุดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ทราบเหมือนกันจ้ะ เพราะว่าไม่ได้เอ่ยถามหลวงพ่อท่าน แต่ว่าเท่าที่ได้ยินมา ก็คือว่าหลวงปู่ชุ่มนี่ หลวงพ่อท่านบอกว่าอัศจรรย์ตรงที่ว่าเข้านิโรธสมาบัติได้ ๔ อิริยาบถ ซึ่งท่านไม่เคยได้ยินว่ามีใครเคยทำได้มาก่อนเลย
              แล้วก็หลวงปู่สี วัดเขาถ้ำบุญนาค ที่ตาคลี นครสวรรค์ ท่านบอว่า ถ้าในจำนวนพระปฏิสัมภิทาญาณด้วยกัน ก็องค์นี้แคสเซียส เคลย์ ของรุ่นเฮฟวี่เวท (หัวเราะ) สุดยอดเลย เพราะว่าท่านมรณภาพตอนอายุ ๑๒๘ ปี
      ถาม:  หลวงปู่สี ?
      ตอบ:   จ้ะ ป่านนี้สังขารท่านก็ยังอยู่ อย่างกับทองแดงเลย แล้วอีกองค์หนึ่งก็คือ หลวงปู่ครูบาธรรมชัย หลวงพ่อท่านบอกว่า ถ้าในโลกยุคปัจจุบัน คือ ตอนช่วงของหลวงปู่แต่ละองค์ท่านยังอยู่ ท่านบอกว่า หลวงปู่ครูบาธรรมชัย ทิพยจักขุญาณยอดเยี่ยมที่สุด เพราะหลวงปู่ธรรมชัยท่านมา เพื่อรักษาโรค ถ้าหากว่าทิพยจักษุญาณไม่ดี บอกสมุฏฐานโรคไม่ถูก
      ถาม:  (ไม่ชัด) ครบ ๑๐๐ ปี หลวงปู่ปาน มีการแจกผ้ากาสายะ ผ้าสังฆาฏิ ครูบาชุ่มจะมีอยู่ ๒ ลักษณะ ลักษณะหนึ่งเป็นผ้าที่ใช้เข้านิโรธสมาบัติ อีกอันเป็นผ้าที่ใช้ทั่วไป มีความต่างกันอย่างไรครับ ?
      ตอบ:   เรื่องของอานุภาพไม่ต้องพูดถึง ท่านแจกให้เป็นอนุสติ นึกถึงท่านก็โอเคแล้ว
      ถาม:  เวลาตื่นนอนมาครับ ยังไม่ต้องลุก ให้ทำสมาธิได้เลย ผมก็ลองดู ทำอย่างนั้นมาหลายครั้ง พอตื่นปุ๊บ นึกได้ ก็ พุท โธ ต่อ แล้วก็หลับไปเลย อย่างนี้ผมทำอะไรผิดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ไม่ผิด กำลังใจที่จะหลับได้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นปฐมฌานขั้นหยาบ ถ้าไม่เป็นปฐมฌานขั้นหยาบมันจะไม่หลับ อย่างน้อยนะ แต่คราวนี้ของเราจริง ๆ เราต้องการที่ว่าให้ภาวนาแล้วรู้ตัว จนกระทั่งลุกไปล้างหน้าล้างตา อาบน้ำอาบท่า ทำงานต่อไปเลย ถ้าอย่างนั้น ต้องผ่านการฝึกกันเป็นขนานใหญ่ เราต้องฝึกจนกระทั่งตื่นกับหลับ อารมณ์ใจเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้น ถึงเวลาหลับอยู่ใจก็ยังภาวนา ตื่นมาก็ภาวนา ของมันต่อ ขนาดตัวเองหลับอยู่มันยังรู้ว่าตัวเองหลับ พอจะตื่นมันต้องกำหนดใจ ถามตัวเองก่อนว่า พร้อมจะตื่นหรือยัง ถ้าพร้อมแล้ว ลืมตาลุกขึ้นนั่ง ยืน เดิน