ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ยังเห็นเป็นตัวเป็น ๆ ไม่มี แต่ว่างาช้างดำเคยเห็นมา ๔ คู่แล้ว ที่พิพิธภัณฑ์จังหวัดน่านมีข้างเดียว อยู่ในวังคู่หนึ่งแต่ว่าไม่ยาวนะ น่าจะไม่เกินเมตรแล้วก็อ้วน ๆ สั้น ๆ แต่ว่าความโค้งมันจะมากโค้งเหมือนอย่างกับเขาควายเลย ก็เลยตั้งโชว์แล้วไม่สวย คู่หนึ่งจะเล็ก ๆ ไม่ใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางน่าจะไม่เกิน ๒ นิ้ว ยาวซักศอกหนี่ง ไม่ทราบว่าใครถวายเจ้าคุณไพบูลย์ วัดอนาลโยที่พะเยาเอาไว้ ก่อนหน้านี้ท่านตั้งโชว์เอาไว้เลย สงสัยมีคนมาหมายปองเอาไว้ ท่านเลยเก็บเงียบเลย ไม่ได้ถามท่านเอาไว้ไหน
              อีก ๒ คู่นี่ มีฆราวาสคนหนึ่งเขาได้ทิพจักขุญาณ แล้วเขาก็ไปดูว่ามีที่ไหนบ้างแล้วก็ไปขุดมา เป็นแบบสีน้ำผึ้งคู่หนึ่ง แล้วก็สีดำคู่หนึ่ง สีดำ ๆ เป็นนิลเลยนะ แล้วสีน้ำผึ้งเอามาแบ่ง ๆ กันแกะพระ ก็ได้มาองค์หนึ่งนี่ แต่ว่าคู่ที่ดำเป็นนิลนั่นความยาวมันเกิน ๒ เมตร ใหญ่กว่าต้นขานี่อีก เขาถวายในหลวงไปแล้ว ในชีวิตเห็นมา ๔ คู่แล้ว เห็นทั้งใหญ่ทั้งเล็ก อ๋อ...อีกหนึ่งข้างที่จังหวัดน่านอันนั้นไม่ครบคู่
      ถาม:  แล้วงาช้างกำจัดล่ะคะ ?
      ตอบ:   อันนั้นมันเป็นช้างประเภทมันคะนอง มันแทงต้นไม้แล้วมันหักคาอยู่
      ถาม:  แล้วมันเป็นของอาถรรพ์จริงมั้ยคะ ?
      ตอบ:   ก็เขาถือว่ามันเป็นของอาถรรพ์อย่างหนึ่ง คือช้างเป็นสัตว์ใหญ่มีอำนาจมาก อยู่ในป่าไม่ต้องกลัวใคร แล้วเป็นงาที่มันหักระหว่างเรียกง่าย ๆ ว่ากำลังคะนองฤทธิ์ เพราะฉะนั้นพวกเล่นไสยศาสตร์หรือวัตถุอาถรรพ์เขาจะนิยม แต่มันมีอัศจรรย์อยู่ชิ้นหนึ่งของครูเขา รู้จักครูอี๊ดมั้ย? ครูอี๊ดชื่อจริงชื่อ ฉัตรชัย วิเศษสุวรรณภูมิ เป็นศิลปินแห่งชาติ เขาเขียนเรื่องเพชรพระอุมา (หัวเราะ)
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   คนเดียวกัน ท่านเป็นครูสอนยิงปืนมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นอยู่ ก็เลยเรียกท่านเป็นครูมาตลอด เรียกนามปากกาพนมเทียนกับใครไม่ได้
              คราวนี้ครูเขาได้มา ตั้งแต่สมัยครูยังเที่ยวป่าอยู่ แล้วมันแปลก งอกเป็นพระธาตุเลย คืองอกซ้อนไปเรื่อย ๆ อย่างกับหัวกระหล่ำอย่างนั้นแหละ แต่ว่าเนื้อมันก็คือเนื้องานี่แหละ แต่แปลกตรงมันงอกได้ ครูเขาบอกว่าไปอาจารย์เขาลงมาแล้ว แล้วก็ติดตัวไว้สมัยออกป่าจะได้ปลอดภัย
              คราวนี้ช่วงนั้นแกถังแตกครูบอก เฮ้ย...มันใครรับซื้อมั้ยวะ ? ถ้ามันให้แพงหน่อย ครูจะขายเหมือนกัน (หัวเราะ) ไม่รู้ว่ายังอยู่หรือเปล่า แกอาจจะขายไปแล้วก็ได้ เพราะช่วงนั้นปืนครูเขาก็ขายเหมือนกัน คือคนเราเวลาไม่มีสตางค์มันก็ยุ่งจ้ะ แต่ตอนนี้เป็นศิลปินแห่งชาติแล้ว เขามีเงินเดือนแล้ว มันก็เป็นเรื่องแปลก งาช้างมันไม่น่างอกใหม่ได้นะ แต่มันก็งอก
      ถาม:  แล้วคุณครูเขาเข้าป่าไปเจอสิ่งที่เขาเขียนจริง ๆ หรือว่าเป็นจินตนาการของเขา ?
      ตอบ:   มันมีทั้งที่เจอจริง ๆ แล้วก็มีทั้งที่ฟังบรรดาครูพรานเพื่อนร่วมป่าเล่าให้ฟัง
      ถาม:  บุญคำ มีตัวตนมั้ยคะ ?
      ตอบ:   มีจริง ๆ จ้ะ ตาคำนี่สุดลามกเลยตัวจริงน่ะ ไอ้ที่ไม่มีตัวจริงในหนังสือที่เขาเขียนรู้สึกว่าจะมีคุณหญิงดารินคนเดียว อ้อ...มีแงซายอีกตัวไม่มี นอกนั้นมีตัวจริงขนาดยายแหม่มนั้นยังมีเลย
      ถาม:  แล้วรพินทร์ไพรวัลย์
      ตอบ:   รพินทร์ เป็นตัวครูเขาครึ่งหนึ่ง คือขนาดรูปร่างคือตัวครูแกเอง แต่ว่าบุคลิกทั้งหมดเป็นของพรานเชิด พรานเชิดเป็นรุ่นพี่ ทำงานอยู่กรมรถไฟอยู่ที่ยะลา
      ถาม:  แล้วแสดงว่าความรู้เรื่องปืนที่เขาให้ไว้ก็คือ ?
      ตอบ:   อันนั้นใช้ได้เลยจ้ะ อันนั้นคือเรื่องจริงเลย แล้วปัจจุบันนี้กลาโหมเขาขึ้นทะเบียนครูไว้เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเรื่องอาวุธปืน ไอ้งูยักษ์นี่มีจริงนะ ปู่แกไปเจอเอง
      ถาม:  ไปหุงข้างบนงูเหรอคะ ?
      ตอบ:   ไม่ได้ไงหุงข้าวบนงูหรอก ปู่ก็คือ ขุนวิเศษสุวรรณภูมิเป็นกำนัน คราวนี้ช่วงนั้นประมาณรัชกาลที่ ๖ ปู่ก็ตามหาเหมืองทองตามที่ชาวบ้านเขาลือกัน จนกระทั่งในที่สุดก็เดินป่าจนหมดอารมณ์ที่จะเดินแล้ว ก็เลยเสี่ยงสัตย์อธิษฐานเอา เพราะว่าแกเองก็ไม่ได้หวังผลประโยชน์อะไร เพื่อที่จะเอามาช่วยเหลือประเทศชาติ
              ตอนรัชกาลที่ ๖ นี่เงินคงคลังมันหมด เคยศึกษาต้องให้มีการดุลราชการคือให้เออลี่รีไทร์กันหมดเลยน่ะ ก็เลยเสี่ยงสัตย์อธิษฐานว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงก็ขอให้ช่วยพาไปให้พบที ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมาตรงหน้า เขากะขนาดความใหญ่ของงูตัวนั้นไม่ถูก แต่หลังจากที่มันเลื้อยไปแล้วเขาลองวัดดูรอยมันกว้างประมาณ ๕ วา ซัก ๑๐ เมตรได้มั้ง?
              คราวนี้พอเห็นนี่เข้าใจเลยว่าสิ่งเหล่านี้มันจะต้องลักษณะว่าเจ้าป่าเจ้าเขาหรือเทพยาดาสำแดงตน แกก็ยกมือไหว้งูบอกว่า ถ้าหากพ่อปู่งูใหญ่รู้ว่าขุมทองอยู่ทางไหนให้เลื้อยพาไปด้วย งูเขาก็เลื้อยนำ แกก็เดินตามรอยไป แล้วก็ไปเจอก็คือขุมทองที่โต๊ะโมะ นราธิวาส มันดงดิบจริง ๆ เลย ถนนมันตัดเข้าไปน่ะ ปัจจุบันนี้ประกาศเป็นเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฮาลาบาลา
              ด้วยความที่อยากจะทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติใช่มั้ย เขาร่ำลือกันว่ามีเหมืองทองอยู่ ใครต้องการก็ไปขุดเอา แต่อย่าเอาเยอะนะ เอาแค่เรียกว่าทำให้ตัวเองและครอบครัวไม่เดือดร้อน พอที่จะมีกินมีใช้ก็พอแล้ว สมัยก่อนคนเขามีสัจจะ คราวนี้ท่านขุนแกก็เลยไป อยากจะช่วยชาติ ถ้าเป็นสมัยนี้หลวงตาบัวท่านก็นั่งรับผ้าป่า
      ถาม:  แล้วของท่านเชาวรินทร์ (ไม่ชัด)
      ตอบ:   มันผิดเวลา เรื่องอะไรที่เป็นทรัพย์แผ่นดินนี่มันต้องรอระยะเวลาที่เหมาะสม คนโลภมันยังเยอะอยู่ โดยเฉพาะคนโลภที่มีอำนาจในแผ่นดิน ถ้าคนโลภมันน้อยลงเดี๋ยวมันขึ้นมาเองแหละ อาตมาเองไปดูมาซะจนเรียกว่าอยากรวยวันไหนก็สึกได้เลย สึกแล้วก็ไปขนเอาคือมันเห็นจนเซ็งไปเองเลย อะไรมันจะเยอะปานนั้น บางอย่างถามเขาว่าของใคร ? เขาบอก “ของท่านนั่นแหละ” (หัวเราะ) เขาก็บอกหน้าตาเฉย ถ้าของฉันก็ฝากเอาไว้ก่อนนะ ช่วยเฝ้าให้ด้วย (หัวเราะ) ไม่รู้จะเอามาทำอะไร
      ถาม:  พวกเทวดาที่เฝ้าสมบัติอย่างนี้ (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ไม่ใช่จ้ะ จริง ๆ ถ้าเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา ท่านมีวิมานของท่านอยู่แล้ว แต่เพียงว่าในนั้นเป็นเขตรับผิดชอบของท่าน ไม่ว่าท่านจะอยู่ตรงไหนก็ตามท่านก็รู้อยู่ แล้วมีอะไรเกิดขึ้นในส่วนที่ท่านรับผิดชอบท่านมีความเป็นทิพย์อยู่นี่ จะไปปรากฎตัวเมื่อไหร่ก็ได้
      ถาม:  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   อันนั้นพวกลัวะ มั้ง ทางเหนือนี่ลัวะเขาจะมีประเพณีกินควาย เขาจะฆ่าควายเซ่นผีแล้วก็แห่มากินทั้งหมู่บ้าน
      ถาม:  จริง ๆ ไม่ใช่ (ไม่ชัด)
      ตอบ:   พวกลัวะเขาก็ว่าผี มันเป็นผีแบบของเขา บางทีเรียก ผีแถน ผีฟ้านี่ก็คือเทวดา แต่คราวนี้เขาเข้าใจทำอย่างนั้นแล้ว เทวดาจะพอใจ เขาไม่รู้หรอกว่าจริง ๆ เทวดาไม่ต้องการ
      ถาม:  หลวงปู่บอกว่าพอหลวงปู่ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว ผีตัวนั้นหรือเทพเทวดาก็มาบอกว่า จะไม่อยู่แล้วจะไปถือศีลในป่า เพราะตอนนี้พระมาเทศน์แล้วรู้ว่าปาณาติบาตมันไม่ดี ก็เลยงง ๆ ว่าทำไมเทวดาไม่รู้ ?
      ตอบ:   ก็แสดงว่าคงเป็นพวกนั้นแหละ ไม่ใช่เทวดาหรอก หลวงปู่หลุยกับ หลวงปู่ชอบ ตอนที่ธุดงค์ไปทางเหนือ แล้วพวกชาวบ้านพวกชาวเขาเอาพวกเนื้อสัตว์มาถวาย แล้วก็มีพวกหัวเผือกหัวมัน ท่านก็หยิบเอาแต่หัวเผือกหัวมันมากิน เขาก็ถามว่าทำไม ? ก็บอกว่าลักษณะนี้ครูใหญ่สอนเอาไว้ ภาษาชาวบ้านเรียก ผีเจ้าตนหลวงโคตะมะ คือเป็นหัวหน้าผี ต้องไปหลอกมันอย่างนั้น บอกองค์นี้เป็นหัวหน้าผีเลย ถ้าหากนักถือองค์นี้แล้วผีทุกคนก็จะดีด้วย ต้องใช้วิธีนั้นมันก็จริง ๆ บอกว่าผีเจ้าตนหลวงโคตะมะ สอนไว้ว่า “การเบียดเบียนผู้อื่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี” ก็ค่อย ๆ สอนค่อย ๆ แก้ไป
              พอเขารู้ว่าพระไม่ฉันเนื้อก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหัวเผือกหัวมัน น้ำผึ้งอะไรมาแทน ท่านก็ต้องอยู่อย่างนั้นฉันอย่างนั้นไปทั้งปีทั้งชาติ อยู่ปีหนึ่งก็ฉันปีหนึ่ง อยู่พรรษาหนึ่งก็ฉันพรรษาหนึ่ง แต่ว่าเพื่อสงเคราะห์เขา แล้วก็เห็นพระเดินจงกรมก็ไปยืนเฝ้าดูกันเป็นแถวเลย...
      ถาม:  จะต่อหนังสือเดินทางไปแคนาดา แต่ติดเอกสารใบรับรองของบริษัท ซึ่งเดิมเคยคิดว่าจะได้ไม่ยาก แต่พอไปขอจริง ๆ ติดตัวนี้ ถ้าไม่ยื่นก็คือไม่ผ่าน ไปสัมภาษณ์มาเรียบร้อยแล้ว ตัวอื่นก็แค่ตรวจร่างกาย เหลือแค่ใบรับรอง
      ตอบ:   เรื่องอื่นเรื่องเล็กใช่มั้ย ? มีเรื่องใหญ่อยู่เรื่องเดียว ไปนั่งภาวนาใช้คาถา “สัมปติจฉามิ” ให้ภาวนาไปเรื่อย ๆ นึกถึงคนที่จะอนุมัติให้เรา ภาวนาไปสักหนึ่งถึงสองชั่วโมงก็ได้ แล้วค่อยไปขอใหม่ คราวนี้ถ้าเขาไม่ให้ดี ๆ ต้องบังคับภาวนาสัมปติจฉามิ แล้วนึกถึงหน้าเขา คนไหนที่จะเป็นคนอนุมัติก็เอาคนนั้น ไม่ให้ดีนักใช่มั้ย ? ให้เขาให้ทั้งน้ำตา
      ถาม:  ไปคราวนี้จะได้กรีนการ์ด
      ตอบ:   สมัยก่อนต้องมีเงินสามหมื่นดอลล่าร์ก็ไปได้ใช่ไหม ? สมัยนี้ยังกติกาเดิมหรือเปล่า ? เดี๋ยวนี้หมื่นดอลลาร์เท่านั้นหรือ ลดลงไปสามเท่า เจ้าทรายไปอยู่ที่โน่นต้องเสียค่าประกันสามแสนดอลลาร์ แม่เขาอยู่ที่นั่นแล้วแต่งงานกับคนของเขา จะเอาลูกไปอยู่ด้วย ก็เลยต้องเสียค่าประกัน แต่เอาคืนทีหลังได้ ทั้งนี้ต้องติดตามความประพฤติก่อน แต่เด็กไปเรียนหนังสือ
      ถาม:  ตอนนี้เสียค่าสมัคร เอาคืนไม่ได้
      ตอบ:   ไปเที่ยวน้ำตกไนแองการ่าเผื่อด้วยนะ ถ้าหากว่าได้ไปแคนาดาต้องการเห็น ๒-๓ อย่าง คือ น้ำตกไนแองการ่า สวนป่าเอฟเวอร์กรีน และเล่นหมาลากเลื่อน
      ถาม:  ตอนแรกไม่คิดว่าหมาลากเลื่อนมันจะแรงเยอะ แต่เจอที่บ้านหมามันลากโต๊ะใหญ่มาก...กระโดดกระชากโต๊ะกับข้าวลากไปตั้งไกล มิน่ามันถึงลากเลื่อนกันได้
      ตอบ:   ถ้าลากเลื่อนเขาไม่ใช้หมาตัวเดียว ต้องใช้เป็น ๑๐ ตัว และจะต้องมีตัวที่เป็นหัวหน้า ๑ ตัว ถ้าหัวหน้านำตัวอื่นจะตาม และตัวหัวหน้าจะต้องปราบได้ทั้งฝูง
      ถาม:  คิดว่าหมาเมืองไทยเป็นจ่าฝูงได้เลย...
      ตอบ:   หมามีข้อเสียอยู่อย่างเดียวคือ มันจะไม่รู้ว่าตัวมันโตขึ้น ในเมื่อมันไม่รู้ ถ้าตอนเล็ก ๆ เคยโดนกัดและแพ้ตัวอื่นเขา มันก็จะกลัวเขาไปเรื่อย ๆ ก็แบบเดียวกับเสือที่หลวงตาบัวเล่า โห้! ตัวใหญ่อย่างกับตึก แต่พระทุบเข้าให้นอนหงายชี้ฟ้าไปเลย คือถ้าหมามันโดนตีตั้งแต่เล็ก ๆ มันก็เลยคิดว่ามันสู้ไม่ได้เหมือนเดิม มันไม่คิดว่าตัวมันใหญ่ขึ้น
      ถาม:  เวลาหมามันพุ่งเข้ามาหาเรา โดยที่มันไม่คิดว่าตัวมันใหญ่ขึ้น เราก็เจ็บ
      ตอบ:   ก็นั่นแหละ มันคิดว่าตัวมันเท่าดิม เล็ก ๆ มันเล่นอย่างนั้นได้ พอโตขึ้นมาก็เล่นท่าเดิมนั่นแหละ
      ถาม:  เวลาคนเราซวย มีกรรม หรือเคราะห์ มันเกิดจากอะไร ?
      ตอบ:   กรรมเก่าที่ทำมา กรรมในอดีตที่เราทำมาทั้งหมดจะส่งผลในปัจจุบัน ไม่ว่าดีหรือชั่ว “อกุศลกรรม” คือสิ่งที่เราทำไม่ดี หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “กรรม” ส่วน “กุศลกรรม” คือ สิ่งที่เราทำดี หรือเรียกง่าย ๆ ว่า “บุญ”
              เมื่อถึงวาระกรรมสนอง แปลว่า พลังของบุญจะขาดช่วงลงและกรรมก็เข้ามาสนองในวาระนั้น สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีก็จะเกิดขึ้นกับเราบ่อย ๆ บางคนก็ตายไปเลยก็มี เราก็จะบอกว่าช่วงนั้นมันซวย ถ้าไม่ขยันทำบุญไว้ก็จะซวยบ่อย ๆ ถ้าขยันทำบุญไว้กำลังบุญจะส่งผลต่อเนื่อง วาระกรรมก็ไม่สามารถแทรกเข้ามาได้ มันก็จะซวยน้อยหน่อย จริง ๆ แล้วก็คือกรรมเก่านั่นแหละ
      ถาม:  ช่วงวัยเบญจเพส ทำไมต้องให้ระวัง
      ตอบ:   ถ้าเราแบ่งอายุออกเป็น ๔ ช่วงชีวิต แต่ละช่วงเท่ากับ ๒๕ ปี วาระก็มีกำหนด หากเปรียบก็เสมือนเช่น เป็นวัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน และวัยชรา ในแต่ละช่วง แต่ละวาระ แต่ละวัย ก็จะมีรอยต่อของแต่ละช่วงอยู่ และช่วงที่เป็นรอยต่อไม่ว่าจะเป็นสภาพของอะไรก็ตาม ถือว่าเป็นจุดอ่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็นรอยต่อ เป็นจุดอ่อน หากว่ามีสิ่งดีเข้ามาก็ถือว่าดีไป แต่ถ้ามีสิ่งไม่ดีเข้ามาก็จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีกับเรา ซึ่งคนอื่นจะเป็นอย่างไรนั้นอาตมาไม่รู้ แต่สำหรับอาตมาแล้วช่วงอายุ ๒๕ ปี เป็นช่วงที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ อยากให้มีช่วงอายุ ๒๕ ปีบ่อย ๆ ซึ่งก็มีน้อยคนเหมือนกัน
              อาตมาได้เปรียบตรงที่ว่าพื้นฐานของสมาธิจิตถูกฝึกมาตั้งแต่อายุ ๑๐ กว่าขวบ พอพื้นฐานแน่นแล้ว สิ่งต่าง ๆ ก็ส่งผลให้วาระนั้นกลายเป็นเรื่องดีไป ช่วงนั้นเหมือนกับว่าโชคดีมหาศาลผิดปกติ ส่วนใหญ่ในช่วงอายุ ๒๕ ปี, ๓๕ ปี, ๔๕ ปี มักจะโดนกันทั้งนั้น ส่วนอายุ ๕๕ ปี แก่แล้วปล่อยมันเถอะ
      ถาม:  แล้วสงครามจะเกิดไหมคะ ต้องเตรียมตัวอย่างไร ?
      ตอบ:   เตรียมเรื่องปัจจัย ๔ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค สมัยนี้เงินเป็นปัจจัยสารพัดนึกอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็ทำงานพยายามเก็บเงินไว้เยอะ ๆ หน่อย ถึงจะเงินเฟ้อก็ขอให้มีใช้ก็แล้วกัน ข้าวแกงจานละหนึ่งร้อยบาทก็ให้มีสตางค์ซื้อก็พอ
      ถาม:  ถ้าเรารู้หัวข้อ แล้วเราอ่านเฉพาะหัวข้อนั้นได้ไหมคะ ? (พระไตรปิฎก)
      ตอบ:   จะมีบางอย่างที่ทั่ว ๆ ไปเขาจะไม่ยอมรับ เพราะว่าเดี๋ยวนี้โดยเฉพาะพระไตรปิฎกจะแบ่งกันเป็นส่วน ๆ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำได้พึงเชื่อ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำได้บ้างไม่ได้บ้าง อย่าเพิ่งเชื่อ ส่วนใดที่คนทั่วไปทำไม่ได้เลยก็อย่าเชื่อ เพราะฉะนั้นถ้าไปอ่านของหลวงพ่อจะมีเป็นจำนวนมากที่คนทั่วไปทำไม่ได้ เดี๋ยวอาจารย์จะไม่ยอมรับ ให้อ่านของเขาให้รู้สักสองรอบ แล้วค่อยมาอ่านของหลวงพ่อ พอถึงเวลาตอบให้ตอบตามของเขา ในทางโลกถ้าตอบตามของหลวงพ่ออาจจะตก ได้ทางธรรม
              ข้อต่อไป...ให้ทบทวนตัวเองไว้ทุกวัน ๆ โดยเฉพาะให้ยึดศีลเป็นหลัก ดูว่าแต่ละวันศีลของเราดีข้อไหน บกพร่องข้อไหน แล้วเราพยายามแก้ไขให้ดีขึ้นมั้ย ? ส่วนกำลังใจในแต่ละวันให้ดูนิวรณ์ คือ กิเลสหยาบที่มากินใจของเรา มีข้อไหนที่ยังกินใจเราได้เป็นปกติบ้าง เช่น กามฉันทะ ความพอใจระหว่างเพศ พยาบาท ความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นผู้อื่น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่านอารมณ์ไม่ทรงตัว วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย ว่าปฏิบัติจะได้ผลหรือไม่ได้ผล กิเลสเหล่านี้มากินใจอะไรเราบ้าง ในแต่ละวัน ๆ ในระดับของเราก็ทวนอยู่แค่นี้ ศีลของเราบกพร่องไหม นิวรณ์กินใจเราได้ไหม ถ้าศีลไม่บกพร่อง และนิวรณ์กินใจเราไม่ได้ ก็ตั้งใจไว้เลยว่า กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำสิ่งนั้นให้ได้ ฟังดูเหมือนง่าย ลองปล้ำดูเถอะแล้วจะรู้ว่าเหนื่อยแค่ไหน
      ถาม:  ก็พยายามทำเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าจะได้หรือไม่ได้ ?
      ตอบ:   ค่อย ๆ ทำ คำว่าจะได้หรือไม่ได้นี้ก็เริ่มลังเลแล้ว ถ้าทำมันต้องได้ ทำถูกได้กำไร ทำผิดได้บทเรียน ไม่มีขาดทุนเลย มีแต่ได้ทั้งนั้น
      ถาม:  กลัวเป็นอุปทานครับ
      ตอบ:   อุปทาน คือสิ่งเดิม ๆ ที่เรายึดถือไว้ เพราะฉะนั้นอุปทานโยนมันทิ้งไปไกล ๆ เลย อุปทานในความหมายของเราเป็นคนละเรื่องกัน ถ้ากลัวอุปทานมีอยู่อย่างเดียวก็คือ อะไรเกิดขึ้นให้คิดไว้ว่า เรายังไม่เชื่อ อย่าเพิ่งน้อมใจเชื่อตามนั้น
      ถาม:  ถ้าจะไปสมัครงาน จะต้องเตรียมตัวเตรียมใจอย่างไร ?
      ตอบ:   เตรียมใจว่าไม่ได้ก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้ก็เสมอตัว เพราะเราคิดว่าไม่ได้อยู่แล้วถ้าได้กำไร พร้อมที่จะรับความผิดหวัง คิดในด้านแย่ที่สุดเอาไว้ก่อน จะได้ไม่ผิดหวังมาก ถ้าได้ก็กำไรกระดี๊กระด๊าฉลองไป ๓ วัน ๓ คืนได้
      ถาม:  ตอนนี้มีทุนให้ไปเรียนต่อ ๑ ปี แต่ว่าที่ทำงานเดิมทุกอย่างก็ดีแล้ว แต่ถ้าไปตรงนั้นจะก้าวหน้ามากกว่า เขาบอกว่าสังคมจะไม่เหมือนกับที่เดิม ไม่อบอุ่น อาจารย์ก็ดุมาก ก็รู้สึกกลัว ๆ เหมือนกัน
      ตอบ:   ปกติชอบความมันในชีวิตหรือเปล่า ถ้าชอบก็ย้ายเลย ถ้าไม่ชอบความมันในชีวิต อะไรก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ ก็อย่าย้าย ดูนิสัยตัวเองด้วยนะว่าถ้าเข้ากับเขาลำบาก เราต้องปรับตัวมากก็แย่เหมือนกัน