ถาม:  (ไม่ชัด) ก็มีพระที่วัด ๆ หนึ่งโทรมาที่สาขา บอกว่าจะซื้อกองทุนวายุภักษ์ ตัวเลขจำไม่ได้ซักประมาณ ๓๐ ล้าน ช็อคเลย
      ตอบ:   ได้ยินก็ช็อค
      ถาม :  ซื้อกองทุนวายุภักษ์ ๑
      ตอบ:   จะบอกความลับให้ว่า หลวงพ่อสาคร เป็นที่อิจฉามารศรีของพระทั้งอำเภอยกเว้นอาตมาเพราะว่าท่านทำเครื่องลดควันท่อไอเสียแล้วประหยัดน้ำมัน คราวนี้ท่านทำได้แล้วท่านขายลิขสิทธิ์ แล้วได้เงินมาเยอะ มาสร้างวัดไม่ต้องไปพึ่งญาติพึ่งโยมเขา ก็เลยทำให้โดนอิจฉาทั้งจังหวัด
              พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อเนสนา เป็นการหาเลี้ยงชีพในทางไม่ชอบ การหาเลี้ยงชีพของท่านบอกแล้วเป็น ปิณฑิยา โลปโภชนัง นิสสายะปัพพัชชา ปัจจัยคือเครื่องอาศัยของบรรพชิตได้แก่การบิณฑบาต (หัวเราะ) อย่างอื่นไม่ใช่ ไม่ต้องไปทำมาหากินอะไรทั้งนั้น เอาเหอะ เขารวยพอให้เขาซื้อไปเถอะกองทุนวายุภักษ์
      ถาม :  (ไม่ชัด)
      ตอบ:   บังเอิญว่าท่านฉลาด ท่านก็เลยเก็บได้ งำได้รักษาทรัพย์ได้ ของเรามันโง่ใช้เกลี้ยง (หัวเราะ) เจ้าคณะอำเภอท่านบอก อาจารย์เล็กเก็บเงินไว้บ้างซิ ได้มาเท่าไหร่เอาแต่ใช้หมด ถามว่าจะเก็บไปทำไมล่ะครับ หาซื้อรถขี่ดี ๆ มั่ง เฮ้อ! จริง ๆ ถ้าเป็นอาตมา ถ้ามันไม่จำเป็นจริง ๆ ต้องมาขนสังฆทาน ปิ๊กอัพยังไม่เอาเลย มีแล้วสารพันปัญหา คนขับก็ต้องหา น้ำมันก็ต้องจ่าย พังก็ต้องซ่อม ชนเขายิ่งซวยหนักเข้าไปอีก (หัวเราะ) มันคิดคนละอย่างกัน เขายังต้องการอยู่เขาก็ขวนขวายไป
      ถาม :  (ไม่ชัด) ถ้าจำไม่ผิด มีคำกล่าวที่ว่า ให้คิดอยู่แต่กับปัจจุบัน ไม่ให้คิดทั้งในอดีตและไม่คิดทั้งในอนาคต แต่ถ้าไม่คิดถึงอนาคตแล้วเนี่ย เราก็จะไม่มีจุดหมายปลายทาง เป็นการเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ ?
      ตอบ:   ก็จริง ๆ มันคิดได้ แต่ว่าคุณต้องคิดอย่างระมัดระวัง คิดขณะที่สติควบคุมมันอยู่ เราก็มองเหตุการณ์มองลักษณะเป็นหน้าที่ เป็นงานที่เราต้องทำ พอคิดจบแล้วต้องหยุดให้เป็น ดึงมันกลับมาอยู่กับปัจจุบันนี้ให้ได้ ถ้าเรามีความชำนาญสติ สมาธิสมบุณณ์ ดึงกลับมาเฉพาะหน้าที่ได้ทันทีที่เราเลิกทำงาน เพราะว่าการที่เราคิดไปในอดีต หรือว่าคิดไปในอนาคตมันเป็นการส่งใจไปทั้งคู่ ในเมื่อส่งใจออกนอก ความทุกข์มันก็เกิด
              คิดไปในอดีตส่วนใหญ่แล้วก็ประเภทโหยหาเสียดาย ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นเลย ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย น่าจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า น่าจะเป็นอย่างนี้มากกว่า ฟุ้งซ่านเปล่า ๆ คิดไปในอนาคตส่วนใหญ่ก็เป็นการฝันเฟื่อง ควรจะเป็นอย่างนั้น ควรจะได้อย่างนี้ มันพาให้ทุกข์เพราะความคิดตัวเองทั้งนั้น
              ถ้าเราหยุดอยู่กับปัจจุบันนี้ได้ ความทุกข์ส่วนอื่นมันหมด มันเหลือแต่นิพัทธทุกข์ คือความทุกข์ปกติของร่างกายเท่านั้น เจ็บไข้ได้ป่วย หนาวร้อน หิวกระหาย อะไรพวกนั้น คิดอย่างมีสติมันเห็นช่องทางชัดเจน แล้วเรื่องมันจบเร็ว มันมองปุ๊บมันทะลุตลอดไปเลย ปัญญาทางโลกมันเป็นเรื่องง่าย ขอให้ทำทางธรรมได้เท่านั้น
      ถาม :  เพราะฉะนั้นแม้แต่ในการทำงาน (ไม่ชัด) พอเราเลิกงานเสร็จ ทางที่ดีก็ให้คิดอยู่แต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องงานในอนาคต มันจะเป็นอย่างไร ?
      ตอบ:   อยู่ตรงไหนก็กองเอาไว้ตรงนั้น เจอใหม่ค่อยว่ากันใหม่ อย่างที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ในคู่มือปฏิบัติกรรมฐานแบบง่าย ๆ ท่านบอกว่าเวลางานใจอยู่กับงาน เวลาว่างใจอยู่กับกรรมฐานเอา...จดเข้า เชื่อมั้ยว่า เดี๋ยวเอามาอ่านไม่เหมือนกันหรอก ฟังด้วยกันตรงนี้แหละ ส่วนที่กระทบใจแล้วเห็นว่าดี จะเป็นส่วนที่ตัวเองทำได้ หรือไม่ก็ทำใกล้เคียงแล้ว ส่วนที่ยังทำไม่ได้ ไม่ใกล้เคียงจะเลยหูไปหมด
              สมัยก่อนอ่านหนังสือหลวงพ่อแล้วก็จะขีดเน้นว่า นี่ตรงนี้ดี นี่ตรงนี้ดี ผ่านไปปีสองปีมาอ่านใหม่ อ้าวตรงนี้ก็ดีทำไมไม่ขีดตรงนี้ดี พักเดียวเท่านั้นแหละดีทั้งเล่ม สรุปแล้วเราทำถึงมั้ย ? ถ้าเราทำถึงแล้วมันก็จะรู้เห็นตรงจุดนั้น จะเข้าใจแจ่มแจ้งตรงจุดนั้น ถ้ายังทำไม่ถึง ก็ยังไม่รู้ไม่เห็น มันก็เหมือนกับอ่านข้ามเฉย ๆ ตอนนั้นต้องขอขมาพระรัตนตรัยกันแทบแย่ เท่ากับเราปรามาสพระรัตนตรัย ของที่ดีจริง ๆ ดีทั้งหมดเรากลับไปเห็นว่าดีส่วนเดียว
      ถาม :  แม้แต่การมองข้าม ก็ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย ?
      ตอบ:   อันนี้ไม่ใช่มองข้าม อันนี้ไปขีดเน้น (หัวเราะ) เอาหางอึ่งของตัวเองไปวัดกับความยาวที่ประมาณไม่ได้ของห้วงจักรวาล คุณเปี๊ยกเป็นไง มีอะไรคุยมั้ย? ปีใหม่ทั้งทีไม่มี ตามคุณนายกลับบ้านก็ล็อคคอไว้เลย คิดถูกหรือเปล่าที่แต่งงาน อยู่ ๆ ก็ได้เจ้านายมาคนหนึ่ง ถึงเวลาก็โทรมารับหน่อย ก็ต้องวิ่งมา แทนที่จะอยู่บ้านนอนสบาย
      ถาม :  ทำไมหลวงพี่ไม่พูดอย่างงี้ก่อนล่ะคะ ? (หัวเราะ)
      ตอบ:   (หัวเราะ) ตอนนั้นโอกาสพูดมันไม่มีนี่ ตอนนั้นยังถือเป็นคนนอกอยู่ ตอนนี้เป็นคนในแล้วบอกได้ คราวนี้ก็เป็นคนในอยากออก ครอบครัวอื่นก็คนนอกอยากจะเข้า
      ถาม :  (ไม่ชัด) ห้ามไม่อยู่
      ตอบ:   ใครจะไปห้ามไหวล่ะ พระพุทธเจ้าท่านบอกเอาไว้ชัดเลย การกินหนึ่ง การนอนหนึ่ง การเสพกามหนึ่ง การเสวยอำนาจหนึ่ง ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏฏสงสารจริง ๆ ไม่มีใครละได้
      ถาม :  การกินต้องหมายถึงการกินของดี ๆ ?
      ตอบ:   ไม่จำเป็น อะไรก็ได้ ลองเลิกกินดูซิ มันตะกายไปหากินเอง สภาพร่างกายมันต้องการ
      ถาม :  กินในที่นี้ไม่ใช่กินเพราะความหิว ใช่มั๊ยคะ?
      ตอบ:   มันมีทั้งความหิวด้วย และไม่ใช่ความหิวด้วยต่อให้กิน ๆ ๆ ยัดทะนานมันลงไป จนกระทั่งเซ็งไปเลย รุ่งขึ้นก็ต้องกินอีก เอาไง เป็นบุคคลผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารดีมั้ย เอา วัฏฏะ เฉย ๆ ไม่ต้องไปสงสารมัน สังสาระวัฏ การหมุนเวียนที่ไม่มีจุดสิ้นสุด ไม่เห็นต้นไม่เห็นปลาย
      ถาม :  แต่ว่าการกินเนี่ย ถ้าหมายถึงการกินธรรมดา พระอรหันต์ก็ยังต้องกินอยู่ ?
      ตอบ:   กิน แต่ทีนี้ของพระอรหันต์ท่านกิน ท่านกินเพื่อยังอัตภาพร่างกายอยู่เท่านั้น เพื่อระงับความกระวนกระวายเท่านั้น ท่านรู้จักประมาณในการกิน ท่านไม่ได้ไปนั่งยัดทะนาน
              มีพระภิกษุอยู่รูปหนึ่ง พวกเราก็เรียก ท่านแดง อดีตเคยเป็นเจ้าอาวาส ปัจจุบันโดนชาวบ้านไล่ออกจากตำแหน่งแล้ว ท่านแดงจะไปยุ่งด้วยทุกที่ พรรคพวกเพื่อนฝูงเขาจะเรียกไอ้ห่าแดง มีอยู่ปีที่แล้วเข้าไปสอนธรรมศึกษากันที่โรงเรียนทองผาภูมิ ก็จะมีอาจารย์เอ๊ดดี้ อาจารย์เอ๊ดดี้นี่จริง ๆ ท่านชื่อ สถิตย์ แต่ว่าหน้าตาท่านเหมือนดาวตลกเอ๊ดดี้ ก็เลยเรียกท่านเอ๊ดดี้ ขนาดพวกกะเหรี่ยงเห็นแกเดินผ่าน “ช่ายเล๊ยคงนี้ลาวจามล่าย เปงดาลาแน่นอง”
      ถาม :  หน้าเขาเหมือนกันหมด ?
      ตอบ:   นั่นมันเป็นโรคอย่างหนึ่ง พอใครป่วยเป็นโรคนี้ หน้าตาจะเป็นอย่างนั้นหมด อาจารย์เอ๊ดดี้ขนาดนั้นน่ะ พอเวลาท่านแดงนั่งลงด้วย อาจารย์เอ๊ดดี้คว้าชามลุกหนีไปนั่งโต๊ะอื่นเลย ทีนี้ดันผ่าไปนั่งใครไม่นั่ง ไปนั่งข้างท่านกอล์ฟ ไอ้คนปากคัน ท่านก็เลยถาม อ้าว! อาจารย์เอ๊ดดี้ไม่นั่งรวมวงกับเขาเรอะ ฮึ! ไม่เอาหรอก นั่งกับไอ้ห่านั่น พาให้ขายหน้าพวกเราทั้งหมดนั่นแหละ เดี๋ยวคอยดูซิ มันแดกกระจายเลย
              ปรากฏว่าวันนั้นไม่มากหรอก เฉพาะก๋วยเตี๋ยวแห้งว่าไป ๔ ชาม แล้วยังมีก๋วยเตี๋ยวน้ำ แล้วก็ยังมีข้าวเหนียว ยังมีอะไรอีกสารพัด ความจริงคนจีนเขาบอกว่ากินได้ถือเป็นวาสนาใช่มั้ย ? แต่มันต้องกินนะ ไม่ใช่แดกนะ (หัวเราะ)
      ถาม :  แล้วเขาหุ่นขนาดไหนคะ น้ำหนัก ?
      ตอบ:   หุ่นขนาดไหน น้ำหนักก็น่าประมาณ ๘๐ รูปร่างสูงใหญ่เสียงดังฟังชัด แล้วก็ชอบโชว์ งานหน้าที่ของเราแท้ ๆ เวลามีงานสงฆ์ต้องเป็นโฆษก แกชอบแย่งไมค์ เราก็ยัดให้แก เราจะเหนื่อยน้อยหน่อย เพื่อนเจ้าอาวาสบางรายทนไม่ได้ อาจาย์ไปยอมมันทำไม ไอ้ห่านั่น อ้าว! ก็เขาทำงานให้เรา เราก็สบาย แหม คิดอย่างนี้ก็มีด้วย คือความจริงงานโฆษกมันเหมือนกับโชว์หน้าตัวเอง มันต้องอยู่ตลอดงาน
              ปรากฏว่าปล่อยให้แกไปพักเดียว แกร่วงไม่เป็นท่า พระผู้ใหญ่มาประกาศชื่อถูกแต่งสังกัดวัดผิด ไปคนละทิศกันเลย จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้ว...ยังไงล่ะ การที่คนเราบวชเข้ามาในพุทธศาสนา ถ้าจิตใจไม่ได้ปรารถนาความพ้นทุกข์ ไม่มีความละอายในการปฏิบัติของตัวเอง มันก็ลูกชาวบ้านดี ๆ นี่เอง รัก โลภ โกรธ หลง เต็มหัว เพียงแต่เปลี่ยนกฎกติกาการยึดถือ เปลี่ยนผ้านุ่งผ้าห่มของตัวเอง คือรูปแบบการครองชีพเปลี่ยนเข้ามา เท่านั้นเอง กิเลสเท่ากับชาวบ้านธรรมดาเลย ในเมื่อกิเลสเท่ากับชาวบ้าน ถ้ายังรู้ละอาย รู้จักระมัดระวังก็ไม่มีปัญหา มันไปมีปัญหาตรงที่ว่า ส่วนใหญ่ปราศจากความละอาย ก็ว่ากันซะเต็มที่ไปต้องอย่างป้านิภา ป้านิภาบอก อิฉันจะไหว้พระนะ อิฉันต้องเลือกแล้วเลือกอีก เราจะได้ไหว้พระดี หรือเราจะได้ไหว้ผัวชาวบ้านก็ไม่รู้ (หัวเราะ) แกว่าแสบจริง ๆ เลยป้านิภา
              คราวนี้มาพูดถึงตรงจุดนี้ก็เลี้ยวไปหน่อย เดือนก่อนไปที่ทางใต้ก็แวะไปที่สำนักสายเขาอ้อ ก็มีวัดเขาอ้อ วัดบ้านสวน วัดดอนศาลา สำนักเขาอ้อนี่ถือเป็นสายปฏิบัติใหญ่ของปักษ์ใต้เขา เขายอมรับเลยว่าเขาทำไสยศาสตร์ แต่ทีนี้ไสยศาสตร์ของเขาอ้อเขาช่วยคนอื่นมาตลอด มันก็เลยเป็นในลักษณะของไสยขาว แล้วชาวบ้านก็ขึ้นกันเยอะมากนะ ขึ้นกันเยอะมากให้ความเคารพมากปรากฎที่ไปน่ะ ก็วัดเขาอ้อเองเหลือหลวงปู่กลั่นอยู่
              หลวงปู่กลั่นนี่วิชาการของเขาอ้อเหลืออยู่ติดน้อยมาก ที่อยู่ได้เพราะอายุยืนเหลือเกิน เพื่อนร่วมรุ่นตายเกลี้ยงแล้วเหลือท่านอยู่ก็เลยต้องเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ปีนี้ ๙๐ ขึ้น ๙๐ (หัวเราะ) ไปวัดบ้านสวนเหลือหลวงพ่อพรมอยู่ หลวงพ่อพรมท่านก็บอกว่า วิชาการด้านกรรมฐาน คาถาอาคม เกี่ยวกับประเภทปลุกเสกเลขยันต์อะไร ท่านไม่เก่งหรอก ท่านเก่งแต่สมุนไพร เป็นอันว่าได้มาซีกหนึ่ง ไปอีกทีหนึ่ง ก็วัดดอนศาลา คือสามวัดนี้เขาอยู่ใกล้ ๆ กัน เขาเป็นสาขาเดียวกันหมด พระที่เป็นเจ้าอาวาสปกครองส่วนใหญ่ออกจากวัดเขาอ้อกันหมด
              ก็ปรากฎว่าวัดดอนศาลา ไปถึงจ๊ะเอ๋ อ้าว อาจารย์มหาอุทัย เคยรู้จักสนิทสนมกันเป็นเจ้าอาวาสอยู่วัดหาดใหญ่ใน วัดมหัตมังคลารามอ้าว! อาจารย์มาได้ไงเนี่ย ผมเป็นเจ้าอาวาสที่นี่ครับ อ้าว บอกเอ...ทางด้านผม อย่างเก่งเขาก็ย้ายอำเภอ นี่ขนาดย้ายข้ามจังหวัดก็เพิ่งจะเจอที่นี่ เขาบอก ไม่เจอก็ไม่ได้ครับ เพราะว่าผมเป็นคนบ้านนี้ (หัวเราะ) แกไปบวชอยู่หาดใหญ่โน้น แล้วเสร็จแล้วเล่าเรียนจนกระทั่งเป็นมหา เป็นเจ้าอาวาสหาดใหญ่ใน เป็นเจ้าคณะตำบลควนรังด้วย พอถึงเวลาอาจารย์ศรีเงินมรณภาพ หลวงพ่อศรีเงินมรณภาพท่านก็มา ชาวบ้านก็ไปนิมนต์ท่านเป็นเจ้าอาวาสแทน ก็เลยจำเป็นที่จะต้องเป็น ก็ปรากฎว่า พอเห็นอย่างนั้นแล้ว
              มานึกถึงวัดเราเองคือวัดท่าซุง อยู่ยันปักษ์ใต้ฟุ้งซ่านไปท่าซุงได้ เรามาเห็นว่าสายเขาอ้อจริง ๆ น่ะเขาสืบสายมายาวนานมาก ตั้งแต่สมัยปรมาจารย์ทองเฒ่า ไล่ลงมา ๆ จนกระทั่งถึงสมัยหลัง ๆ อย่างหลวงพ่อเอียด หลวงพ่อปาน หลวงพ่อศรีเงิน ไล่ลงมาถึงหลวงพ่อนำ แก้วจันทร์ล้วนแล้ว แต่ว่ามีความสามารถเป็นที่พึ่งของชาวบ้านเขาได้ระดับหนึ่งทั้งนั้นเลย กระทั่งฝ่ายฆราวาสเก่ง ๆ ก็เยอะแยะ
              อย่างปัจจุบันก็ปู่ขุนพันธ์ อาจารย์ประจวบ คงเหลือ อะไรอย่างนี้ เขาสืบสายกันมาหลายร้อยปี ถึงจะมาถึงวาระเสื่อมในปัจจุบันนี้ ถึงแม้มันจะค่อย ๆ เสื่อมลงก็เหอะ แต่ปัจจุบันนี้ฆราวาสที่เก่ง ๆ อย่างอาจารย์ประจวบ คงเหลือ ถ้าบวชกลับเข้าไปเมื่อไหร่คนก็แห่ไปเต็มบ้านเต็มเมืองเหมือนเดิม เพราะท่านเก่งตั้งแต่เป็นฆราวาสแล้ว จะว่าเสื่อมทีเดียว หมดทีเดียวก็ไม่ใช่
      ถาม :  ลักษณะเป็นยังไงครับ
      ตอบ:   ลักษณะเป็นยังไง ? มันก็มีปีกบินด้วยกระด้งเหมือนอย่างที่ว่า
      ถาม :  ผีกระหังนี่จัดเป็นอสุรกายแบบมีเนื้อมีหนัง ?
      ตอบ:   ตัวนี้เป็นแบบที่เขาสร้างขึ้นมา ไม่ใช่อสุรกาย เป็นกระหังที่เขาสร้างด้วยวิชาการพวกตำราสร้างอสูรทางตันตระเขา มันใช้ลูกของมันเองทำ
              พม่ากับอินเดียเหมือนกันว่าเขาพยายามดึงเอาเหตุการณ์ต่าง ๆ ในพุทธประวัติให้ตกอยู่ในประเทศของตัว เขาก็เลยพยายามจะสร้างตำนานต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อให้ควาสำคัญแก่สถานที่ของตัวว่าเป็นที่ที่พระพุทธเจ้าเสด็จ เป็นที่พระพุทธเจ้าประทับทำอะไร ๆ อยู่
              คราวนี้ที่เมืองมินบูมีรอยพระพุทธบาทอยู่ ที่เชิงเขารอยหนึ่ง ที่ยอดเขารอยหนึ่ง ก็ตั้งอยู่อย่างนี้ แล้วเราลองคิดดูว่าถ้าเป็นคนจะก้าวอย่างนั้นแล้วจะก้าวไปได้ยังไง ? แล้วพอไปดูเข้าจริง ๆ รอยพระพุทธบาทของเขาเหมือนกับรอยเท้าช้างมากกว่า เพราะกลม ๆ สัญฐานมันกลม ๆ แทบจะไม่มีลักษณะเป็นรอยเท้าคนเลย จะเป็นไดโนเสาร์เหยียบไว้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าหากเป็นที่ของเราที่ว่าท่านเหยียบก้าวที่หนึ่ง แล้วก็ก้าวที่สองเหยียบไปที่ยอดเขา ถ้าดูแล้วต้องเป็นที่พระพุทธบาท เพราะว่าก้าวที่สองเป็นที่พระพุทธฉายพอดี ห่างกัน ๖ กิโล(หัวเราะ) อันนั้นของเขาอยู่ที่ตีนเขาแล้วก็อยู่ที่ยอดเขา มันตั้งเด่ ดูยังไงก็ไม่ใช่ แล้วรอยก็ไม่ใช่รอยเท้าคนเป็นกลม ๆ เป็นแอ่งลงไป
      ถาม :  แล้วในประเทศไทยที่รอยพระพุทธบาทจริง ๆ มีที่สระบุรีที่เดียวใช่มั้ยคะ ?
      ตอบ:   มีอยู่หลายที่เหมือนกัน แต่ว่า ไม่ใช่สมัยเดียวกัน คราวนี้ไม่สำคัญ ว่าจริงหรือไม่จริง สำคัญอยู่ที่คนไหว้นึกถึงอะไร ถ้าหากคนไหว้นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสสติ จะจริงจะปลอมก็ใช้ได้ทั้งนั้น
      ถาม :  ถ้าอย่างนี้การที่พม่าเขาอ้างว่า ของเขาเป็นสถานที่สำคัญก็มีประโยชน์เหมือนกันเพราะว่าคนของเขาก็ยึดมั่นในศาสนาเยอะ ?
      ตอบ:   ก็อย่างนั้น แต่ถ้าเอาความเป็นจริงแล้ว บางทีเขาเมกขึ้นมาชัด ๆ เลย ก็พอ ๆ กับอินเดียที่เขาขุดเจอพระบรมสารีริกธาตุแล้วก็มั่นใจว่าเป็นของพระพุทธเจ้า แต่ความจริงข้อความสันสกฤตที่จรึกอยู่ที่ผอบ เขาแปลความเข้าข้างเอง ข้อความนั้นบอกว่า “เป็นอัฐิธาตุของภิกษุแห่งตระกูลศากยะ” ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นพระพุทธเจ้า เพราะว่าตระกูลศากยะออกบวชเยอะแยะไป เจ้าชายนันทะ เจ้าชายอนุรุทธ พระมหานาม พระภัททิยะ เยอะแยะไปหมด
      ถาม :  ศากยะวงศ์นี่ทางฝ่าย ?
      ตอบ:   ทางฝ่ายพ่อ
      ถาม :  พระอานนท์หลังจาก (ไม่ชัด)
      ตอบ:   ใช่ แต่ทีนี้ของเขาเองพยายามตีความว่า ศากยะ ตัวนี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้า เขาก็เหมาเอาว่าใช่ แล้วก็เอามาให้เรายืมที่พุทธมณฑลปีนั้นน่ะ
      ถาม :  แล้วของจีน (ไม่ชัด) พระเขี้ยวแก้ว
      ตอบ:   พระเขี้ยวแก้ว พระกรามจ้ะ (หัวเราะ) นั่นฟันกรามจ้ะ ไม่ใช่เขี้ยวแก้ว เขี้ยวคือเขี้ยว
      ถาม :  แล้วใช้คำว่าพระเขี้ยวแก้วหมด (ไม่ชัด)
      ตอบ:   อันนั้นถ้าใช่นะ ก็แสดงว่าหลวงปู่โกณฑัญญะ ที่เมืองเมียนชาน ก็ใช่ด้วยแบบเดียวกันเปี๊ยบเลย ทรงเดียวกันเปี๊ยบเลย แต่ว่าหลวงปู่ท่านใส่ไว้ในเซฟเก็บไว้ชื่นชมคนเดียว ของเราเข้าไปถามขอดูท่านก็เปิดเซฟให้ดู ตอนนั้นไม่มีกล้องดิจิตอลนี่ถ่ายรูปออกมาก็เอียงกระเท่เร่แล้ว ระยะไม่ได้ก็เลยมัว ๆ แต่ถ้าไปใหม่จะไปสอยซะอีกที
              พระเขี้ยวแก้วที่เห็นครั้งหนึ่งที่สวยจริง ๆ อยู่ในประเทศไทยเรานี่เอง ตอนนั้นที่วัดเบญจมบพิตร เขาจะมีนั่งกรรมฐานกันทุกวัน ไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นยังไง เพราะว่าตอนนั้นตั้งแต่ก่อนบวช ตั้งแต่สมัยเจ้าประคุณสมเด็จพุทธชินวงศ์ท่านยังเป็นพระพุทธิวงศ์มุนีอยู่ ตามประวัติเขาบอกมีอยู่วันหนึ่ง คือ ปกติพอนั่งกรรมฐานแล้วจะมีเสียงกราว ๆ คนก็จะเก็บพระธาตุเรื่อย ๆ แล้วมีสารพัดสีเลย
              คราวนี้ก็มีวันหนึ่งมีโยมผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งกรรมฐานอยู่ท้ายศาลา อยู่ ๆ ก็เลื้อยปรื๊ดขึ้นมาข้างหน้าเลื้อยเหมือนงูเลื้อยเลย แล้วก็อ้าปากคายพระเขี้ยวแก้วออกมา บอกว่า “พวกนาคที่นาคพิภพเห็นว่าพร้อมใจกันทำความดี ก็เลยปลื้มใจให้ยืมพระเขี้ยวแก้วมาเพื่อจะได้บูชาระยะหนึ่ง” เขาจัดไว้ให้ดูสวยจริง ๆ เขาจัดพระเขี้ยวแก้วไว้ตรงกลาง ประมาณซักเท่านิ้วก้อยใสเป็นเพชรเลยจริง ๆ แล้วก็เอาพวกพระบรมสารีริกธาตุสีต่าง ๆ วางเรียง ๆ ล้อม ๆ กันเป็นรูปอย่างโน้นรูปอย่างนี้ ดูสวยมากอยู่ที่ตึกชินปัญชระ ชั้น ๓ ไม่รู้ปัจจุบันนี้ยังอยู่หรือเปล่าเพราะเขาให้ยืม อาจจะเอากลับไปแล้ว