ถาม:  ต้นไม้ในบ้านจะมีเทวดาไหม ?
      ตอบ :  ถ้าคุณปลูกไว้ในห้องไม่มี เพราะเขารู้ว่ามันพร้อมจะโดนย้ายโดนโค่น ถอน ดึง อยู่ตลอด อย่างพวกต้นไม้ขึ้นตามกำแพง ขึ้นตามบ้าน ตามชายคา ต่อให้เป็นไม้ที่มีแก่นก็ไม่มี ท่านรู้ว่ามันไม่มั่นคง ขี้เกียจย้ายใหม่บ่อย ๆ เดี๋ยวก็โดนเขาถอนหรือไม่ก็บ้านพัง กำแพงพัง ต้นไม้ล้มท่านก็อยู่ไม่ได้แล้ว เทวดาเขาฉลาดกว่าเราเยอะ
      ถาม:   ต้นไม้ใหญ่ขนาดไหนจึงจะมีเทวดา ?
      ตอบ :  ต้องเป็นต้นไม้มีแก่นสูงตั้งแต่ ๑ คืบขึ้นไป ๑ คืบสมัยนี้ประมาณ ๑ ฟุต ๑ คืบโบราณ ประมาณ ๑ ฟุต คือหมายความว่า ท่านมีสิทธิ์ที่จะเอาวิมานมาแปะได้แล้ว แต่คราวนี้ถ้าหากมันขึ้นอยู่ในที่ไม่เหมาะสม ท่านก็ไม่แปะให้เสียเวลาหรอก เดี๋ยวโดนโค่น ถ้ามันไม่มั่นคง ท่านก็ไม่เอา เดี๋ยวมีการโยกย้ายรื้อถอน
      ถาม:   จะรู้ได้อย่างไรว่าต้นไม้มีเทวดา ?
      ตอบ :  ก็ดูมันเลย ดูด้วยทิพจักขุญาณ ตาทิพย์ หรือไม่อีกอย่างหนึ่งคือ เผื่อเหนียวเอาไว้ เราให้ความเคารพเหมือนกับมีท่านอยู่ก็หมดเรื่องไป จะมีไม่มี ไม่รู้ เราถือว่าเราให้ความเคารพ
      ถาม:   เทวดาขึ้นสวรรค์จริง ๆ ไหม ?
      ตอบ :  มีจริง ๆ คืออย่างพระภูมิเจ้าที่ ท่านจะต้องไปรายงานท้าวจตุมหาราชทุกวันโกน ว่าในเขตที่ท่านดูแลอยู่ ชาวบ้านแต่ละคนทำดีทำชั่วอย่างไรบ้าง บัญชีความชั่วก็ส่งไปที่ท่านปู่นายบัญชีที่ตำหนักพระยายม ถ้าบัญชีความดีก็ส่งให้ปัญจสิกขเทพบุตรเลขาพระอินทร์เพื่อไปรายงานข้างบน ตอนวันพระ ถึงเวลาเขารายงานถ้าข้างบนเห็นว่า เออ...คนทำความดีเยอะมาก ก็รื่นเริงบันเทิงใจ เราจะได้เพื่อนฝูงมาก ถ้าคนทำความดีน้อยหน่อยก็ชักจะเหี่ยว เราอาจจะไม่มีเพื่อนอีกก็ได้ เขามีจริง ๆ จ้ะ แต่ไอ้เรื่องที่จะรู้จริงถึงขนาดหายาก
              คราวนี้ของจีนเขากำหนดวันนั้นเวลานั้น จัดเป็นเทวดานุสติคือการระลึกถึงเทวดาเหมือนกัน แต่ของจีนประเภทให้สินบนกันซะจนเคย กระทั่งเทวดาก็ให้สินบนกันยุ่งไปหมด
      ถาม:   วันตรุษจีนควรทำอย่างไรให้ถูกต้อง ?
      ตอบ :  เขาไหว้เจ้า เราก็ไหว้ เขาไหว้บรรพบุรุษ เราก็ไหว้ เขาเลี้ยงพวกผีไม่มีญาติ เราก็เลี้ยง แต่ขณะเดียวกัน เราก็สร้างสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทานของเราด้วย สิ่งที่เป็นประเพณี ถ้าเราไปคัดค้าน มันอยู่กับเขายาก แล้วประเพณีบางอย่างก็มีผล
              อย่างสมัยเด็ก ๆ อาตมาก็เคยไปไหว้ห่อเฮียตี๋ ถึงเวลาก็เชิญเขามากิน พอเราได้ฝึกทิพจักขุญาณได้แล้วก็ไปดูเขากิน โอ้โหพวกเปรต พวกอสุรกายมากันมืดฟ้ามัวดินเลย นั่นเราเชิญเขา เขาจึงมีสิทธิ์มา ถึงเวลาต้องเอาธูปไป ๔ ทิศ แล้วกักธูปเรียกเขาให้ตามมาจนกระทั่งถึงที่ที่เราไหว้อยู่นั่นน่ะ เขามากินจริง ๆ อันนั้นเขาก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าเขาอดอยากหิวโหยอยู่ พอเราเคยเลี้ยงเขา ถึงเวลาถ้ามันมีอะไรไม่ดี เราก็ขอให้เขาช่วยได้
              เรื่องของการไหว้เจ้า จริง ๆ คือการเคารพบูชาเทวดา เป็นเทวดานุสติอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านยังสอน แต่ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านเน้นตรงที่ว่า เราต้องรู้ว่าเทวดามีคุณสมบัติอย่างไร ? แล้วเราก็ทำตามนั้น เราก็เป็นพรหมบ้าง เป็นพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร ? เราทำตามนั้น เราก็เป็นพระอรหันต์บ้าง เพราะเทวดามีทั้งอุปัตติเทพ คือเกิดขึ้นเป็นเทวดาเองอย่างเช่น เทวดา พรหม ทั้งหมด มีสมมุติเทพ ยกขึ้นเป็นเหมือนเทวดาเองอย่างพระมหากษัตริย์ แล้วก็มีวิสุทธิเทพ เทวดาที่บริสุทธิ์สิ้นเชิง ก็คือพระอรหันต์ทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมด พระพุทธเจ้าทั้งหมด
              คราวนี้ท่านก็เลยว่าให้เราศึกษาว่า ท่านทำอย่างไร ถึงเป็นอย่างนั้นแล้วก็ทำตามนั้นไม่ใช่ว่าเออ...ถึงเวลาก้ไปไหว้อย่างเดียว ผลมันก็น้อย แต่คนจีนเคยชินน่ะ ถึงเวลาก็ไหว้ ตอนเช้าก่อนจะทำการงานถ้าไม่ได้ไหว้เจ้าแล้วมันไม่สบายใจก็ไหว้ซะเถอะ ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ เราได้ทำดี เราได้บูชาของทีดี คนที่ดี พระพุทธเจ้าท่านก็สรรเสริญอยู่แล้ว
      ถาม:   พวกที่มากินเป็นสัมภเวสี
      ตอบ :  จ้ะ เป็นพวกเปรต พวกอสุรกายซะเยอะ พวกสัมภเวสีถ้าหากว่า ไม่ใช่ญาติของตัวเองแล้ว ไม่ค่อยมีสิทธิ์ มันต้องให้ญาติตัวเองทำให้ ยิ่งระบุชื่อ ระบุแซ่ เขามีสิทธิ์เต็มที่ พวกสัมภเวสีส่วนใหญ่ตายก่อนหมดอายุ ที่เขาเรียกว่าตายโหง เกิดอุบัติเหตุตาย ตกน้ำตาย ไฟไหม้ตาย กระโดดตึกตาย อย่างนั้น
      ถาม:   ถ้าเราไม่ไหว้หน้าบ้าน ถวายสังฆทานแทนได้
      ตอบ :  ก็ได้จ้ะ แล้วเราตั้งใจอุทิศให้เขา ถ้าเขาโมทนาได้ จะได้ผลมากกว่ามหาศาลเลย พวกที่ไปไหว้แค่อิ่มชั่วคราว ถ้าหากเขามาได้นี่ บางส่วนยังโมทนาไม่ได้ แต่ว่าบางส่วนที่โมทนาได้อย่างพวกอสุรกาย หรือปรทัตตูปชีวีเปรตเขาจะได้เลย แต่ว่าพวกอดอยากหิวโหยอยู่นี่มีเปรตอีกหลายจำพวก แล้วก็ที่มันมากินได้แต่ไม่สามารถจะโมทนาบุญได้
      ถาม:   กินได้ ทำไมโมทนาบุญไม่ได้
      ตอบ :  ส่วนไอ้ผลบาปของเขายังหนักอยู่ เขายังไม่สามารถจะหลุดพ้นจากกรรมตรงนั้น ต้องใช้ให้หมด ถ้ากรรมเบาลงเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตเมื่อไร จึงจะมีสิทธิ์โมทนาเหมือนกับไม่มีบัตรคิว ในเมื่อไม่มีบัตรคิว ไปต่อคิวกับเขาไม่ได้ต้องรอไปก่อน
      ถาม:   ต้องทำอย่างไร ?
      ตอบ :  ก็สามารถทำอย่างที่ว่าได้ ก็เลี้ยงเขาปีละ ๑ ครั้ง ๒ ครั้ง ช่วงเทศกาลโดยเฉพาะของจีน ถ้าหากว่ามันแบ่งออกเป็น ๒๔ ฤดูด้วยนี่ มันไหว้กันแทบทุกวัน ไม่ใช่ไหว้กันทุกเดือน ตำราจีนนี่ละเอียดจริง ๆ
      ถาม:   พวกที่โมทนาไม่ได้ ช่วยเราได้ ?
      ตอบ :  อย่าลืมว่าเขาอยู่ในเขตของความเป็นทิพย์นะ ถึงแม้ว่าเขาจะลำบากก็ตาม บางอย่างเขารู้ แล้วบางทีเขาพยายามที่จะติดต่อดลใจให้เรารู้บ้าง อาจจะมาเข้าฝัน กำลังเขาพอมีอยู่ ถ้าหากว่าเราเคยทำบุญเอาไว้ ถึงเวลาผลบุญพอจะช่วยได้ เขาก็จะพยายามช่วยด้วย
      ถาม:   ทำบุญให้คนตายไปแล้วกลับมาเกิดเป็นคนอีก เขาจะได้รับผลบุญไหม ?
      ตอบ :  ถ้าเขาอยู่ในลักษณะนั้น จริง ๆ ก็คือไม่จำเป็นต้องใช้บุญส่วนนั้นแล้ว แต่ว่าเคยมีเหมือนกัน ที่คนทำบุญแล้วอุทิศให้คนแล้วมีผล คือว่ามีทหารไปออกรบแล้วสาบสูญไปเฉย ๆ ทางบ้านตัวเองคิดว่าตาย อีกรายหนึ่งไปตังเกแล้วเรือล่ม ไปติดอยู่ที่เกาะต่างประเทศอยู่เป็นปี ๆ พวกเขาคิดว่าตาย แล้วก็ทำบุญไปให้ ปรากฎว่าตอนที่เขากำลังอดอยากกำลังลำบากอยู่ ช่วงจังหวะเขาทำบุญไปให้ เขาบอกว่ามันรู้สึกอิ่มไปเฉย ๆ เหมือนกับกินอะไรมาเต็มที่เลย แปลว่าจริง ๆ ถ้าทำให้นี่คนเป็นก็ได้รับเหมือนกัน แต่มันรับแบบไม่รู้เรื่อง พูดถึงว่าถ้าหากว่าเขาไปเกิดแล้ว ก็อาจจะลักษณะเดียวกันว่าผลบุญที่เราทำให้อาจจะมีผลกับเขา
              แต่จริง ๆ การทำบุญทุกอย่าง คนแรกที่ได้คือเรา พอเราได้ก่อน มีผลกับเราก่อน แล้วเราจึงให้คนอื่นได้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้เงินมา เราจะเอาอะไรไปให้เขา เพราะฉะนั้นผลที่ได้จริง ๆ คือตัวเรา แล้วหลังจากนั้นเราให้ใครค่อยว่ากันอีกครั้ง
      ถาม:   ทำบุญให้คนที่ลงนรก ?
      ตอบ :  เขาก็ยังรับไม่ได้ จนกว่าจะพ้นจากเขตที่มันบาปหนักขึ้นมาแล้ว จากนรกขึ้นมาเป็นเปรตก็ยังรับไม่ได้ จนกว่าจะเป็นเปรตจำพวกสุดท้าย
      ถาม:   การทำบุญให้คนตกนรกไม่มีประโยชน์
      ตอบ :  เราได้เองจ้ะ การทำบุญเหมือนกับการก่อกองไฟขึ้นมา ๑ กอง การอุทิศให้เขาก็เหมือนกับอนุญาตให้เขาต่อไปอันนั้นไปใช้ ถ้าเขาไม่มีเวลามาต่อไฟอันนั้นไป หรือไม่ได้มาต่อไฟอันนั้นไฟอันนั้นก็ยังเป็นของเราอยู่ ผลบุญนั้นได้กับเราเอง แล้วพอเขาต่อไป ก็ไม่ใช่ของเราหมด เพราะว่ากองไฟกองนั้นก็ยังเป็นของเราอยู่ แต่แสงสว่างมันเพิ่มขึ้นเพราะเขาไปก่อเพิ่ม ตัวที่เราอนุญาตให้เขามาสามารถต่อไฟจากเราไปได้คือตัวเมตตา กลายเป็นว่าเรามาปฏิบัติในเมตตาบารมีในพรหมวิหาร ๔ ตรงส่วนนี้ก็เลยทำให้กำลังใจของเราดีขึ้น ผลบุญของเราก็เลยดีขึ้น เหมือนอย่างกับว่าเขารับช่วงไปแล้วก็ไปก่อไฟเพิ่ม มันก็สว่างมากขึ้น
      ถาม:   การสวดมนต์ต่างกับการถวายสังฆทาน ?
      ตอบ :  ก็ต้องดูด้วยว่ากำลังใจตอนที่เราสวดมนต์มันได้ขนาดไหน ? การสวดมนต์ทั่วไปได้แค่สมาธิ ถ้าสมาธิไม่ดีจะสวดมนต์ผิด แต่ว่าตอนที่เราสวดมนต์ เราก็สามารถสร้างทิพจักขุญาณได้ อย่างเช่นว่า นึกถึงตัวหนังสือคำสวดขึ้นมาเป็นตัวเลย เห็นชัดเท่าไรก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น หรือว่าเราจะส่งใจไปกราบพระบนนิพพาน สวดถวายท่านอยู่บนนิพพาน ถ้ากำลังใจมันถึงนิพพาน กำลังใจมันก็จะสูงกว่า กำลังบุญมันก็สูงกว่า แต่ถ้าทำไม่ได้ถึงระดับนั้น กำลังของสังฆทานก็สูงกว่า ก็ขึ้นกับคุณภาพที่เราทำด้วย
      ถาม:   ถ้าสวดมนต์ผิด
      ตอบ :  ไม่เป็นไรจ้ะ เรื่องของการสวดมนต์จุดใหญ่ที่สุด ก็คือโยงใจเราให้เป็นสมาธิ จุดที่สองคือ เป็นการสรรเสริญคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อให้ผิดก็ไม่เป็นไร เพราะใจเราตั้งถูก เราตั้งใจว่าเราทำอะไร ? เพื่ออะไร ?
              อย่างเช่นเรื่องของคาถาก็เหมือนกัน คนได้คาถาผิด ๆ ไป แต่ใจเขามั่นคง มันก็ใช้ได้เหมือนกับคนที่ได้ถูกไป แล้วบางทีคนที่ได้ผิดไป กำลังใจเขาดี เขาใช้ได้ คนได้ถูกไปใช้ไม่เป็นอีก มันสำคัญตรงใจของเรา ถ้าใจเราตั้งถูก สวดผิดก็ไม่เป็นไร ถ้าวันไหนเหนื่อยมาก ๆ ก็ประเภทนอนหงายผลึ่ง พุทโธ พุทโธ ก็พอ ไม่งั้นเหนื่อยมากมันนั่งไม่ติด บางคนสวดมนต์ยาวเป็นชั่วโมง เหนื่อยดี พูดเล่นน่ะ...อะไรที่คุณได้ทำย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก สมาธิจะทรงตัว ในเมื่อสมาธิทรงตัว ก็คือกำลังใจมันเกิด คราวนี้คุณปรารถนาอะไร มันก็จะสำเร็จที่ใจไง “มโนมยา” ใจคิดยังไง ก็เป็นอย่างงั้น ถ้ามันยังไม่พอก็ว่าสัก ๑,๐๘๐ จบก็ได้ บวกเข้าไปอีก ๑๐ เท่า
      ถาม:   การกำหนดจิตว่าขณะนี้กำลังทำอะไร คือวิปัสสนารึเปล่า ?
      ตอบ :  เขาเรียกว่า อิริยาบถและสัมปชัญญะของมหาสติปัฏฐาน กำหนดสติให้รู้อยู่เสมอว่าเราทำอะไร เราเคลื่อนไหวอย่างไร มือไปทางไหน เท้าไปทางไหน หยิบจับอะไรอยู่ มันไม่ใช่วิปัสสนาจ้ะ วิปัสสนาต้องพิจารณาให้เห็นว่าถึงเราเคลื่อนไหวอยู่ตอนนี้ก็ตาม เราก็เคลื่อนไหวอยู่ในกองทุกข์ เพราะว่าการเคลื่อนไหวมันย่อมมีความเมื่อย
              สมมติว่าเราจับอยู่อย่างนี้ ถ้าเรายกขึ้นยกลงอย่างนี้สัก ๕-๖ ร้อยครั้งพร้อม ๆ กัน มันเมื่อยขนาดไหน ? แต่เนื่องจากว่าเรายกขึ้นแล้วเลิกไป มันก็เลยไม่รู้ตัว แต่จริง ๆ มันก็คืออยู่ในทุกข์ เอาข้าวใส่ปากเคี้ยวไปนี่ แต่ละคำมันเคี้ยวกี่ครั้ง แล้วมันก็กลืนไป ถ้าเกิดว่าป้อนมาไม่รู้จักหยุด เราต้องเคี้ยวอยู่ตลอดเวลา มันลำบากแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน คือเขาให้ดู ให้เห็นทุกข์ของมัน ถ้าเห็นทุกข์ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จะเป็นวิปัสสนา แต่ถ้าหากว่าดูการเคลื่อนไหวของมันเฉย ๆ มันเป็นการฝึกมหาสติฯ ในอริยาบถและสัมปชัญญะ จับอาการเคลื่อนไหวของร่างกาย เพื่อจะไม่ให้ใจมันไปไกล ให้มันอยู่แค่ตัวนี่
      ถาม:   การกำหนดอิริยาบถ และกำหนดลมหายใจเหมือนกันไหม ?
      ตอบ :  เหมือนกันจ้ะ ก็คือให้สติมันมั่นคงอยู่เฉพาะหน้า การที่เรากำหนดทุกอิริยาบถ เรารู้การเคลื่อนไหวของร่างกายทุกอิริยาบถ สติมันก็จะอยู่ตรงนี้ อยู่กับลมหายใจเข้า อยู่กับลมหายใจออก สติมันก็จะอยู่ตรงนี้ แต่ว่าการกำหนดลมหายใจมันได้เปรียบกว่า เพราะกำลังใจมันสามารถทรงตัวสูงขึ้น สูงขึ้น จนเป็นฌานได้ การกำหนดอิริยาบถการเคลื่อนไหวของเรา ถ้าทรงเป็นฌานปั๊บ มันจะขยับไม่ออก ยกเว้นคนที่คล่องแคล่วชำนาญจริง ๆ จึงจะขยับออกได้
      ถาม:   สามารถกำหนดระดับสมาธิได้
      ตอบ :  จริง ๆ ถ้าหากว่าจะทำให้ได้ผล เขาจะใช้กำลังใจสูงสุดที่ตัวเองทำได้ แต่ถ้าหากว่าอย่างงานทั่ว ๆ ไปของเรา เราต้องลดกำลังใจลงมาอยู่ที่อุปจารสมาธิหรือปฐมฌาน อุปจารสมาธิก็ประมาทเกินไป เพราะมันสามารถหลุดได้ง่าย ก็เอาปฐมฌานดีกว่า มันจะประเภทเหมือนกับคนไร้อารมณ์ คือประเภทที่เรียกว่าฉลาดมาก ความคิดแล่นดีมาก การงานทุกอย่างทำด้วยความระมัดระวัง เสร็จลงด้วยความเรียบร้อยดีมาก แต่การสื่อสารกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไปเหมือนกับคนไร้อารมณ์ คือ รัก โลภ โกรธ หลง มันไม่เข้า แล้วคนอื่นจะว่ามันเป็นอะไรของมันวะ เงียบอยู่ทั้งวัน แต่ความจริงใจกำลังมีความสุขมากเลย
              อาการป่วยของหลวงพ่อ...(ไม่ชัด) ทั้งหมดสาเหตุใหญ่มาจากมาเลเรียเรื้อรัง แต่หลวงพ่อเองท่านก็ไม่ได้คิดถึงว่ามันเป็น เพราะท่านเลิกธุดงค์มา ๓๐-๔๐ ปีแล้ว ไม่นึกว่าเชื้อมันมีอยู่ ท่านก็คิดอยู่อย่างเดียวว่า เออ...พระท่านช่วยเอาไว้ พอถึงเวลาเลิกรับแขกพอดีทีไร มันก็จะเริ่มอาเจียนทุกที แต่จริง ๆ แล้วมาเลเรียมันขึ้นตรงเวลาเป๊ะทุกวัน พวกนี้นาฬิกามันดี มันเคยจับวันไหน เวลาไหน ตั้งเวลาไว้เลย วันต่อไป ตอนนั้นเป๊ะเลย
              หลวงพ่อท่านรู้ก่อนท่านมรณภาพไม่นาน เรื่องที่ท่านจะบรรเทา แล้วให้ขันธ์ ๕ มันสบาย มันก็เลยได้สบายแค่แป๊บเดียว พอรักษาได้ปุ๊บ มันก็เอาโรคอื่นต่อ บวมไปทั้งตัว แล้วไม่นานก็มรณภาพ ท่านบอกว่า ตอนแรกท่านถามพระท่าน พระท่านบอกว่า เออ...ถึงเวลาแล้วจะบอกยาให้ แล้วก็ทำภาพยาให้ หลวงพ่อก็ไปอธิบายให้หมอฟัง หมอบอกว่า เป็นควินินเข้มข้นสำหรับรักษามาเลเรียครับ ถ้าหากว่าร่างกายไม่ดี ฉีดไปมันจะน๊อคไปเลย หลวงพ่อก็ให้หมอฉีดไป นั่นแหละท่านบอกว่า ข้าเพิ่งจะรู้ว่าจริง ๆ ข้าเป็นมาเลเรีย ไอ้ที่อาเจียน เพราะว่ามาเลเรียลงกระเพาะ แล้วที่ท่านปวดหัว หัวจะระเบิดก็ขึ้นสมอง โดนแบบเดียวกับอาตมาเปี๊ยบเลย แต่ท่านโดนก่อน ของเราโดนทีหลัง นี่ก็สมบัติพ่อไม่ได้ให้ แต่มันดันเหมือนกัน เจอมาเลเรียเรื้อรังครั้งแรกเป็นปี ๒๕๒๔ ที่ชายแดนตาพระยา แล้วหลังจากนั้น ปี ๒๕๓๑ หรือ ๓๒ ไม่รู้ โดนทองผาภูมิอีก
              สรุปแล้วเชื้อดื้อยาทั้ง ๒ ฝั่งรวมกัน ปัจจุบันนี้อาตมากลายเป็นตัวอย่างที่เขาคอยศึกษา เพราะว่ามันเป็นยังไม่รู้ ๒๐ กว่าปีรักษาไม่หาย ยาทุกชนิดใหม่ขนาดไหนก็ตาม ลงไปครั้งแรกจะมีผลอยู่หน่อยหนึ่ง คือรู้สึกว่าไข้มันลด อาการมันห่างไป แล้วพอครั้งต่อไป ถ้ามันขึ้นมา กินลงไปใหม่ มันก็เฉยแล้ว มันปรับตัวได้เร็วจริง ๆ
      ถาม:   ดื้อยาขึ้นทุกที
      ตอบ :  หมอบอกว่ามาเลเรียมันเปลี่ยนตัวของมันเองตามสภาพได้ แล้วอีกอย่างถ้าเรากินยา ส่วนใหญ่อาการอื่น ๆ มันจะขึ้นก่อน เหมือนกับปวดหัว ตัวร้อน เป็นธรรมดา ถ้าเราไม่สังเกต ไปกินยาแก้ปวดลดไข้เข้าไป เชื้อมันก็จะหลบ แต่อาการมันยังแสดงอยู่ ตอนนั้นมันแปลงตัวเป็นอะไรแล้วก็ไม่รู้ ตรวจหามาเลเรียทั่วไปจะตรวจไม่เจอ
      ถาม:   หลบไปอยู่ที่ไหน ?
      ตอบ :  หลบไปอยู่ในตับ ต้องตัดตับทิ้ง ถึงจะหาย มีหมอนพพรคนเดียวแหละ ของเราเองไข้มันขึ้นหัวจะระเบิด หน้าหูแดงหมด เห็นอยู่ชัด ๆ แต่วัดอุณหภูมิของร่างกายแล้วแค่ ๓๖.๕ เย็นกว่าคนปกติอีก แล้วความดันขึ้นหัวจะระเบิด มันก็แค่ ๑๒๐-๗๐ , ๑๑๐-๗๐ แค่นี้
              หมอนพพรรู้ดีที่สุด หมอนพพรมาถึงก็ หลวงพี่ครับ คิดว่าเป็นอะไร ? บอกมาเลยครับ เดี๋ยวผมจ่ายยาให้ ขืนรอผลตรวจของทาง Lab นี่ตายก่อน ท่านบอกว่าโรคบางอย่างกรรมมันบัง ตรวจหาอย่างไรก็ไม่เจอ
      ถาม:   หมอนพพรที่คิดยารักษาโรคเอดส์
      ตอบ :  รักษาหายไปหลายรายแล้ว แต่หมอขอร้องไว้อย่างหนึ่ง บอกว่าถ้าไม่ใช่คนใกล้ตัวตัวที่หลวงพี่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ นะครับ อย่าส่งมาหาผมเลย ถามว่าทำไมล่ะ ? หมอบอกว่ามันเกิดจากสาเหตุ ๒ ประการ
              ประการแรก ตอนป่วยมันอยากจะหาย บอกมันว่าถ้าหายแล้วขอถ่ายทำเป็นวีดีโอ เพื่อที่จะได้มีหลักฐานยืนยัน ทุกคนก็รับปาก แต่พอหายเสร็จมันแอบหนีหมด มันไม่ยอมให้ถ่าย
              ประการที่สอง ก็คือว่าเรื่องของการรักษาโรคเอดส์ไม่ยาก ท่านทำยาเข้มข้นให้มันเจือจางลง ฉีดประมาณ ๗ เข็มหาย ถ้าปกติแล้วฉีดแค่ไม่เกิน ๓ เข็มจะหาย แต่ร่างกายของคนป่วยนี่มันโทรม จะทนไม่ได้ ท่านบอกว่าโรคนี้ ๗ เข็มเท่านั้นแหละหาย แต่การรักษาโรคข้างเคียงที่เกิดจากภูมิคุ้มกันบกพร่องนี่ บางทีล่อกันครึ่งค่อนปีกว่าจะหมด ท่านรักษาจนเซ็ง ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่คนข้างตัวที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ อย่าส่งมาเลย เบื่อแล้ว
      ถาม:   คนโรคเอดส์ มักไม่ตายเพราะเอดส์
      ตอบ :  ใช่ มันตายเพราะโรคอื่นกำเริบก่อน
      ถาม:   ทำไมหมอไม่รักษา ?
      ตอบ :  โยมอยากได้คนไข้ วันละ ๒๐,๐๐๐ คนไหมล่ะ ? ตายคาที่พอดี ถ้าวาระมันยังมาไม่ถึง ยังไงก็ทำไม่ได้ หมอเขาเคยมาปรึกษาครั้งหนึ่งว่า หลวงพี่ครับ ผมควรจะทำอย่างไรดี ? ก็บอกว่าขาย Know – how ให้ต่างประเทศ เครืองมือมันดีกว่า ถ้าผลิดยามามาก ๆ ราคาจะถูกลง เขาก็ถามว่า แล้วจะขายให้ใคร ? บอกไม่สหรัฐฯ ก็ญี่ปุ่น ตกลงหมอเขาบอกว่า ถ้าเขาขาย เขาจะขายให้ญี่ปุ่น แล้วเขาก็ถามอีกว่าราคาควรประมาณสักเท่าไร ? เราก็บอกว่าประมาณสัก ๓๐๐ ล้านดอลล์ฯ ก็พอไม่ต้องเอามันเยอะ
              อาตมาขนาดรู้ ๆ อยู่ว่าเป็นมาเลเรีย ยังเอามันไม่อยู่เลย หลวงพ่อเองท่านไม่รู้ ท่านก็เลยปล่อยมันว่าตามสบายไปเลย จริง ๆ ถ้าหากว่าร่างกายท่านไม่โดนมันทำลายขนาดนั้น ท่านคงอยู่อีกนาน
      ถาม:   มหาปุริสวิตก
      ตอบ :  มหาปุริสวิตก ผู้มีสติตั้งมั่น ผู้มีใจตั้งมั่น จะเป็นผู้ที่จำ เรียนรู้ จำได้ว่า พูดอะไรที่พูดไปแล้วนานได้ จำได้ว่าทำอะไรที่ทำไปแล้วนานได้ นานแค่ไหนก็ยังจำได้ สติดี
              ปกติไม่ได้สอนกรรมฐาน คือถ้าใครปฏิบัติแล้วติดขัดตรงไหนมาถาม ก็จะบอกให้ ปรากฎว่าวันนั้นนั่งทำกรรมฐานอยู่ตอนเช้า รำคาญกำลังใจพระท่านผลุบ ๆ โผล่ ๆ หลุดปากสอนไปครั้งหนึ่ง โดนจองตัวว่ามันทุกเช้าจนป่านนี้ เรื่องของวาระ เรื่องของเวลา ถึงเวลามันโดนจับยัดเอง
              เมื่อไรเขาจะทำเหรียญในหลวง เหรียญซักขนาดนี้...จะเอาไว้ทำน้ำมนต์สักเหรียญหนึ่ง ปัจจุบันนี้ใช้เหรียญพระมหาชนกอยู่ ที่ผมใช้จะมียันต์น้ำมนต์หลวงพ่อ ยันต์น้ำมนต์หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เหรียญรัชกาลที่ ๕ เหรียญรัชกาลที่ ๙ ให้ทางวัดท่าขนุนไว้ เกิดขึ้นที่ไหนให้ไว้ที่นั่น อาจารย์พงษ์ใช้อยู่ทุกวัน เติมน้ำทีใช้กันลืมเลย ๘๐ ลิตร